ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1959 MINI รถยนต์จิ๋วเพื่อคนเมืองของอังกฤษ ก็ยืนยันทำตลาดด้วยตัวถัง 3 ประตูมาตลอด
(ไม่นับรวมตัวถัง Countryman ที่ตั้งใจทำเป็นรถยนต์ตรวจการณ์แบบ 5 ประตู) วันนี้ หลังเติบโตภายในชายคา BMW Group
มานานกว่าสิบปี MINI ขอแตกไลน์ เปิดตัวถังแฮตช์แบก 5 ประตูเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตนเอง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงแค่เพิ่มจำนวนประตูคู่หลังให้กับงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI Hatchback โฉมล่าสุดเท่านั้น
เพราะ MINI ตั้งใจขยายระยะฐานล้อหน้า-หลังให้ยาวขึ้นอีก 72 มิลลิเมตร (อยู่ที่ 2,567 มิลลิเมตร) ส่งผลให้ตัวรถมีความยาว
มากขึ้นอีก 161 มิลลิเมตร (3,982 มิลลิเมตร) นอกจากนี้ผู้โดยสารตอนหลังยังมีความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีการเพิ่ม
เนื้อที่ศรีษะเพิ่มขึ้นอีก 15 มิลลิเมตรเช่นกัน พื้นที่สัมภาระยังถูกเพิ่มขึ้นจากรุ่น 3 ประตูถึง 67 ลิตร
ด้านฟังก์ชั่นถูกคำนึงเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความสบายในการโดยสาร แต่ก็ไม่ส่งผลให้งานออกแบบสูญเสียเอกลักษณ์ไปเลย
เพราะ MINI ยังคงตั้งใจออกแบบ MINI ตัวถัง 5 ประตูให้คงสัดส่วนความเป็น”มินิ”เอาไว้อย่างมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแนวหลังคา
ที่ยังคงเน้นความขนานกับพื้น ส่วนงานออกแบบส่วนหน้านั้นยังคงใช้ร่วมกับ MINI โฉมล่าสุด (F56) ประตูคู่หลังที่เพิ่มเข้ามา
ยังถูกออกแบบให้ดูเรียบง่ายและเข้ากับทรงประตูหน้ามากที่สุด เพื่อให้คงความใกล้เคียงกับ MINI ตัวถัง 3 ประตู ที่สำคัญ
คือความพยายามคงมิติตัวถังให้กะทัดรัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำให้การขับขี่ยังคงความสนุกและคล่องตัวในแบบมินิ
ส่วนห้องโดยสาร ยังคงออกแบบให้ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันกับ MINI ตัวถัง 3 ประตู ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์ใหม่
พร้อมกับแผงแดชบอร์ดที่เปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ของมินิ ให้ส่วนวงกลมตรงกลางกลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิง ทั้งหน้าจอ
อินโฟเทนเมนต์ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมกับขอบไฟ LED แสดงสีสำหรับลูกเล่นต่างๆ เช่น ระบบช่วยถอยหลัง แสดงโหมดการขับขี่
ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับหน้าจอมาตรวัดที่เคยอยู่ตรงกลางในโฉมที่แล้ว กลับถูกย้ายมาไว้บริเวณหลังพวงมาลัยเหมือนรถยนต์ปกติแทน อันเป็นผล
จากการที่ MINI โฉมใหม่ ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับรถยนต์ BMW รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า จนทำให้การออกแบบชุดสายไฟและระบบ
แสดงผลให้อยู่หลังพวงมาลัยร่วมกัน ดูจะเป็นเรื่องง่าย ประหยัด และเหมาะสมมากกว่า
ขุมพลังที่ MINI ตัวถัง 5 ประตูได้ใช้ ยังคงเหมือนกับ MINI ตัวถัง 3 ประตูเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Cooper ที่หันมาใช้ขุมพลังเบนซิน
ที่ BMW เดินหน้าพัฒนาเอง แบบ 3 สูบ พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร
รุ่น Cooper S ขยับมาใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหญ่ขึ้น แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo
192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ฟากดีเซล รุ่น Cooper D ได้เครื่องยนต์ 3 สูบ พร้อมเทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร
รีดแรงม้าได้ 116 ตัว แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่น Cooper SD ได้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ
170 แรงม้าไปใช้ ซึ่งเรียกแรงบิดสูงสุดได้มากถึง 360 นิวตัน-เมตร
เครื่องยนต์ทั้งหมด จะถูกส่งกำลังผ่านล้อคู่หน้า ด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งมาพร้อมกับโหมดการขับขี่
3 รูปแบบ ตอบสนองการขับขี่ทั้งแบบประหยัด ไปจนถึงแบบสปอร์ตเร้าใจ ซึ่งสอดรับกับระบบช่วงล่างที่ยังคงปรับจูนมาให้ฟีลการขับขี่
ในแบบรถยนต์โกคาร์ทที่คล่องตัวและสนุกสนาน
ด้านความปลอดภัยยังคงให้มาแบบจัดเต็ม ทั้งบรรดาระบบอิเล็ดทรอนิกส์และโปรแกรมช่วยควบคุมการทรงตัว ไปจนถึงหลากเซนเซอร์
ทั่วคันรถ เพื่อช่วยตักเตือนผู้ขับขี่ เช่น ระบบ Head-up Display, ระบบ Speed Limit Info และ No Passing Info ระบบ Driving Assistant
ไปจนถึงระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในความเร็วต่ำ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อื่นและคนเดินถนน
MINI ตัวถัง 5 ประตู จะตะลุยตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกากันก่อนในช่วงเดือนกันยายนนี้ มุ่งบุกกลุ่มวัยรุ่นและครอบครัวขนาดเล็กเป็นหลัก
โดยน่าจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้กับ MINI ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนที่ตัวถัง Clubman โฉมใหม่ และตัวถังซีดาน 4 ประตู จะตาม
ออกมาในอีกไม่นานนี้