หนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับ พลังงานทนแทนอย่างประเทศญี่ปุ่น ยังไม่หยุดยั้งในการออกมาตรการ เพิ่มปริมาณสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยในขณะนี้ ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาลดความเข้มงวดของข้อบังคับ ให้ผู้ประกอบการตั้งแท่นชาร์จได้ง่ายกว่าเดิม แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่า จำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้าในแดนอาทิตย์อุทัย มีปริมาณมากกว่าปั๊มน้ำมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดเผยในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่อนปรนความเข้มงวดข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยสรุปใจความเป็นส่วนต่างๆ ได้ดังนี้

  • ยกเลิกกฎบังคับให้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ห่างจากปั๊มน้ำมันหรือปั๊มไฮโรเจน อย่างน้อย 10 เมตร
  • อนุญาตให้ผู้ประกอบการ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเปิด ร้านสะดวกซื้อ, supermarket และ จุดส่งของได้ จากเดิมที่กำหนดให้เปิดได้แต่ ร้านล้างรถหรือกิจการอื่น เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
  • อนุญาตให้ไม่ต้องมี พนักงานประจำสถานีตลอดเวลา อย่างน้อย 1 คน และ ใช้เทคโนโลยีมาตรวจสอบแทน
  • อนุญาตให้ติดตั้งถังเชื้อเพลิงบนดินได้ จากเดิมที่ต้องติดตั้งใต้ดินอย่างเดียว

มาตรการเหล่านี้จะยังไม่บังคับใช้ทันทีทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาในบางพื้นที่เท่านั้น โดยมีตัวแทนจากบริษัทน้ำมัน – แก็ส และ หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วมศึกษาด้วย คาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม และ ถ้าผลการศึกษาเป็นไปในทางที่ดี ภาครัฐของประเทศญี่ปุ่น อาจเริ่มการผ่อนปรนข้อกฎหมายที่กล่าวไป อย่างไวที่สุดในปีงบประมาณ 2019

นับว่ามาตรการต่างๆ เหล่านี้ น่าจะช่วยจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แม้ว่าจะมีการประเมินจาก Nissan ว่าประเทศญี่ปุ่นมีจุดชาร์จ EV ทั่วประเทศมากกว่า 40,000 แห่ง ในปี 2015 ส่วนจำนวนปั๊มน้ำมัน ในปีงบประมาณ 2016 อยู่ที่ 31,467 แห่ง ทั้งนี้ มีการเปิดเผยข้อมูลแย้งมาว่า Nissan ได้รวมจำนวนจุดชาร์จส่วนตัวเข้าไปด้วย

ดังนั้น ถ้าจะให้คาดการณ์จำนวนจุดชาร์จสาธารณะอย่างเดียว ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ราว 23,000 แห่ง เท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ตัวเลขที่แท้จริงของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ยังต่ำกว่าจำนวนปั๊มน้ำมันอยู่ดี ดังนั้น เราต้องติดตามต่อว่า ถ้าหากภาครัฐของประเทศญี่ปุ่นไฟเขียวมาตรการนี้ จำนวนจุดชาร์จสาธารณะจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

 

ที่มา: asia.nikkei, transportevolved