ถึงตอนนี้พวกคุณคิดว่างานออกแบบของรถยนต์ยุคถัดไปจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกโฉมหน้าเดิมแค่ไหน? แต่ถ้า
มองกันตามความจริง มันคงถึงเวลาแล้วสินะที่หน้าตาของรถรุ่นใหม่จะเริ่มแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น ไอ้หน้าตาเรียบร้อย
อันประกอบไปด้วยรูปทรงเลขาคณิตขั้นพื้นฐานประเภทสี่เหลี่ยมทุกอย่างก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงหันไปใช้รูปทรงใหม่ ๆ มาก
ขึ้น ส่วนแถบโครเมี่ยมยาว ๆ เต่อ ๆ นั้นก็ถูกเก็บเข้ากรุไม่ให้มันผุดขึ้นมาเกิดอีกครั้ง ถ้ามองในมุมของคนที่ชอบมโนแทนคน
อื่นก็มักคิดว่ารถแบบนี้ แนวนี้คนแก่คงไม่ชอบ โถ ไอ้หลานยายไม่ถงไม่ถามกันสักคำเลยว่า ผู้ใหญ่เขาก็ชอบอะไรที่หวือ
หวาเป็นเหมือนกันนะลูก
แต่ถ้ามองในมุมมองของคนที่รักรถก็คงมองว่ามันน่าจะถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของรถไปสู่ยุคหน้าซึ่งฉีกไปจากรูป
แบบเดิม ๆ ออกไปอีก ก็แน่นอนว่ามันมีทั้งชอบและไม่ชอบอย่างละครึ่งซึ่งก็ถือว่าต้องเสี่ยงดวงเพื่อความเปลี่ยนแปลงที่ไม่
เหมือนเดิม
ถ้ามองเฉพาะตลาดรถในประเทศไทยก็พบว่ามันก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงในการออกแบบมากนัก แต่ถ้าคุณลองทัศนา
รถใหม่ในงาน Geneva Motorshow 2014 มันก็แสดงให้เห็นว่ารถยนต์หลาย ๆ รุ่นเริ่มมีดีไซน์ที่กล้าฉีกแนวไปจากปีก่อน
พอสมควร จะเรียกว่างานนี้กลายเป็นดงรถหน้าตาประหลาดไปเลยก็คงเรียกไม่ผิดนัก แต่ถ้าไม่อคติทางความคิดใด ๆ มันก็
เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและจับตาความเปลี่ยนแปลงในงานออกแบบของรถยุคปีถัดไปได้เลย
ดังนั้น Geneva Motorshow 2014 นี้จึงกลายเป็นปีที่น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว
Audi
ใครต่อใครก็ชอบบ่นว่า Audi TT เจเนเรชั่นที่ 3 ย่ำรอยเท้าเดิม ไม่เห็นจะมีความเปลี่ยนแปลงอันใดเลย? ใจจริงก็อยากจะ
บอกว่าแอบเห็นด้วยบ้าง แต่อย่างว่าครั้น Audi คิดจะเปลี่ยนงานออกแบบใหม่ ชีก็คงทำไปตั้งนานแล้ว คงไม่รอให้ชาวเน็ต
มานั่งบ่นและจิกด่ากันอยู่ดี (เอาใจยากแฮะ) เอาน่าแต่อย่างน้อย Audi ก็พยายามที่จะพัฒนาให้มันดูมีวิวัฒนาการบ้างก็
ยังดีกว่าย่ำอยู่กับที่
Audi TT โฉมที่ 3 เป็นการจับนำสัดส่วนของรถโฉมแรกกับโฉมที่ 2 มายำรวมกันจึงสรุปได้ว่า TT ใหม่มันจะต้องเป็นคูเป้ที่
มีท้ายยาวยื่น หน้าก็ยาวยื่นไม่เท่าพิน๊อกคิโอ้ แต่สิ่งที่เห็นแล้วรู้สึกว่า TT รุ่น 3 มันโดดเด่นขึ้นคือการออกแบบด้านหน้าให้ดู
ปราดเปรียวกว่าเดิมเยอะ เพราะเปลี่ยนไฟหน้าใหม่ให้เรียวยาวขึ้นและออกแบบกระจังหน้าให้ดูมีมิติตามยุคสมัย
ในด้านของมิติตัวถัง กลายเป็น Audi TT โฉมใหม่ มีขนาดสั้นลงจากรุ่นที่แล้ว 20 มิลลิเมตร (ความยาวตัวถัง 4,180
มิลลิเมตร)แต่ถูกขยายระยะฐานล้อหน้า-หลังขึ้นอีก 37 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างถูกลดลงจากรุ่นที่แล้ว 8 มิลลิเมตร
เช่นกัน ในขณะที่ความสูงจะอยู่ที่ 1,353 มิลลิเมตร เท่าเดิม
และด้วยการพัฒนาบนแฟลตฟอร์ม MQB ที่คุ้นเคยกัน ทำให้ 2014 Audi TT/TTS มีน้ำหนักลดลงจากเดิม 50 กก. (ใน
รุ่น 2.0 TFSI มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,230 กิโลกรัม) ผลของการใช้แพลตฟอร์มใหม่นี้ ยังช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถเพิ่มความ
จุสัมภาระด้านท้ายได้อีก 13 ลิตรจากรุ่นที่แล้ว กลายเป็นเนื้อที่บรรทุกสัมภาระขนาด 305 ลิตร
ส่วนเครื่องยนต์ ตามที่เคยได้รายงานไว้ว่า Audi จะยังคงเรียกใช้ขุมพลังเบนซิน พร้อมเทอร์โบ TFSI และขุมพลังดีเซล
พร้อมเทอร์โบ TDIเช่นเคย โดยในรุ่น TT จะมีขุมพลังเบนซิน TFSI ขนาด 2.0 ลิตรเดิม ที่ถูกจูนสมรรถนะใหม่ จนสามารถ
รีดกำลังออกมาได้230 แรงม้า พร้อมแรงบิด 370 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์ดีเซล TDI ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมกำลังสูงสุด
184 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ให้เลือกใช้กัน
ในขณะที่ Audi TTS จะได้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน TFSI ขนาด 2.0 ลิตรเช่นกัน แต่ปรับปรุงให้สามารถมีแรงม้าได้สูงถึง 310
แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ทั้ง Audi TT และ TTS จะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S
Tronic แบบ 6 จังหวะให้เลือกใช้ โดยใน Audi TT รุ่น 2.0 TFSI สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลาเพียง
5.3 วินาที และในรุ่น TTS จะใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีก ที่ 4.7 วินาทีเท่านั้น ด้านระบบช่วงล่าง Audi ยังคงให้ TT โฉมใหม่ ใช้
ระบบช่วงล่างแมคเฟอร์สันสตรัทสำหรับล้อคู่หน้า และระบบช่วงล่างอิสระ 4-Link ในล้อคู่หลังเช่นเคย แต่มีการปรับจูนให้
มีความแน่นหนึบมากขึ้น
ห้องโดยสารของ 2014 Audi TT/TTS จะเป็นตัวอย่างของการออกแบบภายในห้องโดยสารยุคใหม่ของ Audi ที่เล็งเห็นว่า
หน้าจอสีกลางคอนโซลหน้าของระบบอินโฟเทนเมนต์ จะลดบทบาทลง และยุบรวมกับหน้าจอมาตรวัดของผู้ขับขี่ให้
กลายเป็นหน้าจอเดียวส่งผลให้งานออกแบบภายในมีความสะอาดตาและเรียบง่ายจากการใช้งานมากขึ้น
งานออกแบบชิ้นสำคัญอีกหนึ่งจุดอยู่ที่การออกแบบช่องแอร์ระบบปรับอากาศทรงกลม ที่แฝงปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ
เข้าไปอย่างชาญฉลาด ทำให้ลดความวุ่นวายและเนื้อที่ในการติดตั้ง ส่วนเบาะนั่งแบบสปอร์ต S ที่เป็นออพชั่นเสริม จะมี
ลูกเล่นปีกเบาะที่ปรับให้กระชับร่างกายของผู้ขับขี่/ผู้โดยสารด้วยระบบลม
นอกจากนี้ พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ต พร้อมส่วนล่างของพวงมาลัยแบบตัดตรง ยังถูกออกแบบชุดถุงลมนิรภัยให้มี
ขนาดเล็กลงกว่าเดิม 40% ส่วนระบบเครื่องเสียงเป็นหน้าที่ของ Bang & Olufsen ที่ออกแบบลำโพงกว่า 12 จุดรอบคัน
พร้อมทั้งแอพพลิไฟเออร์ และซับวูฟเฟอร์บนแผงประตู
แต่ถ้ามาขนาดนี้คุณก็ยังไม่พอใจในชีวิตอีกก็จงรอดู Audi TT Quattro Sport Concept ที่โมดิฟายด์เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
ให้แรงถึง 420 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.7 วินาที พร้อมทั้งปรับปรุงช่วงล่างและลดความสูง
พื้นตัวถังให้เตี้ยลงเล็กน้อย และประโคมด้วยชุดแต่งแอโรไดนามิครอบคัน ใครอยากได้ก็จงภาวนาไว้เลยว่าให้ Audi ผลิต
ทีเถอด เพี้ยง
Audi S3 รอคอยเธอมาแสนนาน มาคราวนี้ก็ขอเปิดหลังคา ความเปลี่ยนแปลงหลัก อยู่ที่ตัวถังล้วนๆ ซึ่งมีการลดระยะใต้
ท้องรถถึงพื้นถนนลง 25 มิลลิเมตร (จากรุ่นตัวถังอื่นๆ) และออกแบบกันชนหน้าใหม่ ล้อมกรอบกระจกรอบคันด้วยวัสดุ
โครเมี่ยม ส่วนหลังคาผ้าใบสามารถเลือกสีผ้าได้ 3 สีด้วยกัน สามารถกาง-พับเก็บได้ในระยะเวลาเพียง 18 วินาที และ
สามารถทำได้ขณะรถแล่นได้ความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม. ส่วนจุดอื่นๆของตัวรถถูกตกแต่งตามสไตล์รหัส S ไม่ว่าจะเป็น
ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 18 นิ้ว (และสามารถเลือกติดตั้งขนาด 19 นิ้วเป็นพิเศษได้) ระบบเบรกพร้อมคาลิปเปอร์เบรก
สีดำ กรอบกระจกมองข้างสีอะลุมิเนียม และสามารถเลือกสีตัวถังได้มากถึง 12 สี
ภายในห้องโดยสาร ยังถูกออกแบบตกแต่งให้เนี้ยบตามสไตล์รถยนต์เปิดประทุน ด้วยการหุ้มหนังแท้ Nappa สีขาว Pearl
ผสานกับใยผ้าชั้นดี หรือจะเลือกตกแต่งด้วยหนังแท้ Nappa ทั้งหมด รวมถึงหนังแท้ Alcantara ด้วยก็ได้ ซึ่งลูกค้า
สามารถเลือกตกแต่งได้ตามสไตล์ของตนเอง และในรุ่นเปิดประทุนนี้ จะได้ใช้เบาะนั่งทรงสปอร์ต S Sport Seat พร้อม
พนักพิงศรีษะและแผงรองรับช่วงไหล่ เดินฝีเย็บเป็นลายเพชร ให้ความพิเศษกับรถยนต์รุ่นนี้
ขุมพลังยังคงยกชุดมาจาก Audi S3 ตัวถังอื่นทั้งสิ้น ไร้การเปลี่ยนแปลง ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร
พร้อมเทอรืโบ TFSI ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังทั้งหมด
สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S Tronic แบบ 6 จังหวะ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
ในระยะเวลาเพียง 5.4 วินาที แล่นได้ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. จากการล็อกความเร็วของกล่อง ECU
Bentley
อยากได้ Bentley แรง ๆ สักคัน แต่ยังไม่มีใครไหนถูกใจเลย หนอย จนแล้วยังเรื่องมากอีกนะ ถ้าแบบนั้นมาดู Bentley
Continental GT Speed กันดีกว่าไหม เพราะ Bentley เคลมไว้ว่านี่แหล่ะคือรถ Bentley ที่แรงที่สุดเท่าที่พวกเขาเคย
ผลิตกันมาเลย ดูจากภายนอกก็ไม่เห็นเลยว่ามันจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่ทาง Bentley ก็ปรับปรุงตัวรถให้เข้า
กับความแรงด้วยการโหลดความสูงตัวถังและปรับปรุงช่วงล่างให้แข็งค่าขึ้น
Bentley Continental GT Speed มีให้เลือกทั้งแบบคูเป้และรุ่นเปิดประทุนท้าทายสายลม มัวแต่มองหน้าก็ไม่รู้หรอกว่า
มันแรงแค่ไหนต้องลองขับถึงจะรู้เลยว่ามันได้ติดตั้งเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่แรงจี๊ดมากถึง 635
แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 820 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 331 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สำหรับรุ่นเปิดประทุนก็แรง
สูงสุดที่ 327 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนภายในก็มีการเปลี่ยนสีสันใหม่ให้เข้ากับความแรง
BMW
BMW 2 Series Active Tourer รถที่มีกระแสว่าไปลอกใบหน้าจากรถมินิแวนพ่อบ้านจากยี่ห้อไหนมาอีกล่ะ? เพราะ
บางคนรู้สึกว่ามันไม่สมค่ากับความเป็น 2-Series ที่รู้สึกสปอร์ตเอาเสียเลย ความจริงแล้วเราก็เคยได้ยินเขาเมาท์มอยกัน
ว่ารถคันนี้เกือบจะเคยใช้ชื่อ 1-Series Active Tourer มาแล้ว เหตุที่ต้องใช้ชื่อ 2-Series คงเพราะต้องการจับตลาดวัยรุ่น
ที่จะซื้อมินิแวน (ก็แน่ละว่าตลาดมินิแวนมันมาพร้อมกับภาพลักษณ์ “รถพ่อบ้าน”)
รูปลักษณ์ภายนอก แม้เส้นสายจะมีความเป็น BMW อยู่สูงพอควร แต่สัดส่วนของตัวรถกลับดูไม่คุ้นเคย ด้วยความที่เป็น
รถยนต์ MPV 5 ที่นั่งคันแรกของ BMW อีกทั้งยังเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จึงทำให้ทีมออกแบบสามารถ
ออกแบบระยะโอเวอร์แฮงค์หน้าที่สั้นลงกว่า BMW รุ่นอื่นๆ จนทำให้มีมิติตัวถังความยาว 4,342 มิลลิเมตร ความกว้าง
1,800 มิลลิเมตร ความสูง 1,555 มิลลิเมตรและมีระยะฐานล้อหน้า-หลังกว้างถึง 2,670 มิลลิเมตร
ด้านหน้ายังคงโดดเด่นด้วยกระจังหน้าไตคู่ขนาดโตเช่นเคย พร้อมโคมไฟหน้าขนาดใหญ่ ด้านข้างแม้จะมีหลังคาที่สูงโปร่งในสไตล์
MPV แต่เส้นสายยังคงเอกลักษณ์ของ BMW ชัดเจน โดยเฉพาะกรอบกระจกแบบ Hoffmeister Kink ส่วนด้านท้าย
กลับดูคล้ายคลึงกับด้านท้ายของ BMW 5-Series Estate อย่างน่าประหลาด ด้วยสัดส่วนของฝากระโปรงท้าย และโคม
ไฟท้ายที่ยังเล่นกับเส้นไฟ LED รูปตัว L ช่วยทำให้รถดูกว้างและภูมิฐานมากขึ้น
นอกจากนี้ BMW ยังคงเสนอไลน์การตกแต่งเช่นเคย ได้แก่ Luxury Line ตกแต่งสไตล์หรู ด้วยกระจังหน้าโครเมี่ยม ล้ออัล
ลอยขนาด 16 หรือ 17 นิ้วลายหรูพิเศษ พร้อมพวงมาลัยทรงสปอร์ต แต่หุ้มหนังแท้ รวมถึงเบาะนั่งที่ถูกหุ้มหนังแท้เกรด
พิเศษ
ส่วน Sport Line เน้นความสปอร์ตเต็มที่ด้วยกระจังหน้าสีดำเงา พร้อมกันชนหน้าออกแบบใหม่ เน้นความสปอร์ตมากขึ้น
เปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นขนาด 16 หรือ 17 นิ้วเช่นกัน แต่เน้นลายล้อที่ให้ความดุดัน ส่วนภายในห้องโดยสาร เปลี่ยนเบาะนั่ง
ให้เป็นทรงสปอร์ต พร้อมตกแต่งภายในด้วยวัสดุสีดำเงาเป็นหลัก
ถ้ายังสปอร์ตกันไม่หนำใจ BMW ก็จัด M Sport Package ให้โดยเฉพาะ เปลี่ยนชุดบอดี้คิทรอบคันใหม่ทั้งหมด เน้น
ความลู่ลมเป็นหลัก เปลี่ยนระบบช่วงล่างให้หนึบแน่นมากขึ้น ส่งผลให้ความสูงของตัวรถเตี้ยลง 10 มิลลิเมตร พร้อมล้ออัล
ลอยขนาด 17 หรือ18 นิ้ว ขนาดเบา ภายในห้องโดยสารยังถูกเปลี่ยนพวงมาลัยสไตล์ M เบาะนั่งสปอร์ตหุ้มด้วยหนังแท้
แบบพิเศษ บุเพดานหลังคาด้วยใยผ้าสีเข้ม และติดตั้งกาบบันไดประตูของ M
ในช่วงเปิดตัว จะมีขุมพลังให้เลือก 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ รหัส 218i เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อม
เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร หรือ 230 นิวตัน-เมตรในโหมด Overboost
เน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เพราะสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้เกิน 20 กม./ลิตร
ส่วนใครอยากแรง ต้องหันไปคบกับรหัส 225i เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ ให้กำลัง 231
แรงม้า แต่สะใจกับแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ซึ่งน่าจะให้ความเร้าใจในการขับขี่พอสมควร และท้ายสุดกับขุมพลัง
ดีเซล
ช่วงเปิดตัว กับรหัส 218d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร
และหลังจากนี้ จะมีอีกหลายรหัส หลายเครื่องยนต์ใหม่ เปิดตัวคลานตามกันออกมา ได้แก่ 216d, 220d และ 220i รวมไป
ถึงเวอร์ชันระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive อีกด้วย
เอ๊ะใครเอา Teana มาแปะหน้ายี่ห้อจมูกบาน (เรียกหรู ๆ ว่าไตคู่) มาอวดโฉมในงาน Geneva Motorshow ครั้งนี้เนี่ย ดู
ใกล้ ๆ ก็อยากจะเอามือแนบนมเพราะนี่มันคือ BMW 4-Series Gran Coupe หรือเรียกกันว่ามันคือ BMW 3-Series
ตัวถังซีดานคูเป้ ที่บอกกันตรง ๆ เลยว่ามันก็เป็นงานยากมากที่ BMW จะพยายามสร้างความแตกต่างจาก 3 GT ยังไงให้
มากที่สุด
ส่วนใครจะติดใจเรื่องสารร่างของ BMW 3-Series Gran Coupe ก็คงจะช่วยไม่ได้ที่ BMW ออกมาแบบนี้ เพราะ BMW
ต้องการออกแบบให้มีกระจกโอเปร่าด้านหลังเพื่อลดความอึดอัดของคนโดยสารด้านหลัง (ขอปรบมือหลายแปะที่ BMW
ยังเผื่อแผ่ให้คนนั่งหลังบ้าง?)
ขุมพลังที่ใช้ในช่วงแรก จะยกชุดมาจาก BMW 3- และ 4-Series ทั้งสิ้น แต่จะหยิบมาเพียง 5 ขุมพลังเท่านั้น
เริ่มต้นด้วย BMW 418d และ BMW 420d อันเป็นขุมพลังดีเซล 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบแบบ
TwinPower Turbo เหมือนกัน แต่ปรับเป็น 2 ระดับความแรงได้แก่ 141 และ 181 แรงม้าตามลำดับ
ก่อนจะขยับมาเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TwinPower
Turbo ทั้งในรุ่น BMW 420i และ BMW 428i แต่จะปรับความแรงเป็น 181 และ 240 แรงม้า ตามลำดับ โดยในรุ่น
BMW 428i นั้น จะมีแรงบิดสูงสุดมากถึง 345 นิวตัน-เมตร ช่วยสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 5.7 วินาที
ส่วนขุมพลังแรงที่สุด ตกเป็นของรหัส BMW 435i ที่เลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อม
เทอร์โบแบบ TwinPower Turbo มาพร้อมกำลัง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 406 นิวตัน-เมตร สร้างอัตราเร่ง
0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.9 วินาที
ส่วนเศรษฐีไทยต้องรอไปก่อน
BMW X3 LCI ก็มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เข้ากับรุ่นพี่อย่าง BMW X5 และรถยนต์ BMW รุ่นอื่นๆ ที่มักจะ
ออกแบบโคมไฟหน้าเชื่อมต่อกับกระจังหน้าไตคู่ งานนี้ 2015 BMW X3 LCI จึงมีรูปลักษณ์ไฟหน้าที่เชื่อมกับกระจังหน้า
แต่ออกแบบให้ดูมีชั้นเชิงด้วยการเล่นระดับกรอบโคมไฟหน้า พร้อมกับออกแบบกระจังใหม่ ให้ใหญ่และโดดเด่นขึ้น
ออกแบบชุดกันชนหน้าให้มีรายละเอียดช่องดักอากาศใหม่
นอกจากนี้ยังการเพิ่มสีตัวถังภายนอกเฉดใหม่อีกหลายสี รวมถึงเปลี่ยนกระจกมองข้างให้ฝังไฟเลี้ยวในตัวเหมือนรถยนต์
BMW ยุคใหม่ และออกแบบล้ออัลลอยลายใหม่ ให้เข้าคู่ ดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น
BMW ยังได้เตรียมแพคเกจ ‘xLine’ สำหรับลูกค้าที่อยากต่อยอดงานออกแบบให้ BMW X3 LCI ดูบึกบึน พร้อมลุย
มากกว่าเดิม ด้วยการ์ดชายล่างรอบคัน ตกแต่งรูปลักษณ์ด้วยแถบสีเงินด้าน และล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 และ 19 นิ้ว ให้เลือกติดตั้งกัน
แต่ถ้าใครอยากจะแต่งเติมให้ออกแนวสปอร์ตมากกว่า BMW ก็เตรียมแพคเกจ ‘M Sport’ มาให้ โดยจะติดตั้งชุดบอดี้คิท
แนวสปอร์ต เน้นความลู่ลมรอบคัน พร้อมกับล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 18 ถึง 20 นิ้ว และเปลี่ยนเบาะนั่งภายใน
แบบสปอร์ต บุแผงหลังคาด้วยผ้าบุสีเข้ม เซ็ตระบบช่วงล่างให้สปอร์ตมากขึ้น
ภายในห้องโดยสาร มีการปรับปรุงการตกแต่งใหม่ พร้อมทั้งออกแบบที่วางแก้วน้ำใหม่บริเวณคอนโซลกลาง และ
อัพเกรดระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive ใหม่ พร้อมปุ่มควบคุมแบบแป้น Touchpad และมีออพชั่นระบบฝาท้ายเปิด
อัตโนมัติเมื่อแกว่งเท้าใต้กันชนหลัง
Citroen
Citroen C1 Modelchange ทำเอาพวกเรา Shocking Pink กันขนหัวลุกน่าดู เพราะ Citroen เล่นนำใบหน้าสุดล้ำโลก
มาใส่ในรถเล็ก A-Segment ตัวน้อย ๆ ขนาดนี้ จะว่าไปดูเผิน ๆ ก็แอบคล้าย ๆ Nissan Juke บ้างเหมือนกัน เอาเป็นว่า
มันสามารถสะกดทุกสายตาได้แน่นอน (แต่ไม่ชัวร์ว่าคนมองจะเบ้ปากใส่หรือแอบคิดนินทาอยู่ในใจหรือไม่) แต่ Citroen
ลงทุนออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งหมดพร้อมกับเปลี่ยนรายละเอียดตัวถังรถให้แตกต่างจาก Peugeot 108 ค่อนข้างมาก
หลังจากใจหายใจคว่ำจนอกอีแป้นจะแตกกันไปเรียบร้อย คราวนี้เราขอตั้งสติสัมปชัญญะมาดูรายละเอียดตัวรถบ้างดีกว่า
เริ่มจากขนาดตัวรถที่สั้นแค่เพียง 3.46 เมตร คิดง่าย ๆ ก็เหมือนกับนำ Honda Brio โดนกระบะ NV มาชนท้ายให้หดลง
เล็กน้อย มีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.8 เมตร
นอกจากมันมีหน้าตาที่ Shock โลกแล้วมันก็ยังติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ หน้าจอสั่งงานสัมผัสขนาด 7 นิ้วที่สามารถ
เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้, ติดตั้งกล้องส่องถอยหลังและระบบช่วยขึ้นทางชัน
Ferrari
Ferrari California T รถสปอร์ตที่อาศัยโครงสร้างตัวถังจาก California รุ่นปัจจุบันมาพัฒนาให้มาในแนวทางเดียวกับ
F12 Berlinetta คือมีแนวเส้นด้านข้างที่ลาดลึก, มีแนวเส้นพลิ้วไหวที่ชัดเจนกว่า California รุ่นปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด
และยังมีด้านหน้าและด้านท้ายที่คล้ายกับรุ่นพี่อีกด้วย แต่เห็นมีความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ทาง Ferrari ก็ยังยืนยันว่ามัน
ยังคงความเป็น California เสมอมาตั้งแต่ปี 1950
Ferrari California T แรงด้วยเครื่องยนต์ 8 สูบ เทอร์โบ 3,885 ซีซี ติดตั้งในตำแหน่งที่ต่ำและวางกลางลำให้กำลัง 560
แรงม้า (CV) ที่ 7,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 755 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.6
วินาที แรงขึ้นกว่ารุ่นเดิม 45% แต่ประหยัดน้ำมันขึ้นถึง 15% ก็เรียกว่าความแรงมาพร้อมกับความประหยัดได้ก็คราวนี้
Fiat
เรารู้หรอกว่า Fiat ขายรถตระกูล Panda ขอบตาคล้ำดีขนาดไหน แต่ก็ไม่คิดว่า Fiat จะกล้าคิดขยายไลน์ Panda ให้มี
ความหลากหลายยิ่งกว่าเสื้อผ้าแฟชั่นประตูน้ำ คราวนี้ก็ดันเปิดตัว Fiat Panda Cross ฟังชื่ออาจจะดูหงิม ๆ แต่ขอโทษที่
มันดุดันสวนทางกับชื่อเสียเหลือเกิน
Fiat Panda Cross มันเป็น Panda ที่เกิดมาลุยมากกว่า Panda 4×4 สวนทางกับชื่อที่นึกว่าจะดูหวานแหววเสียแล้ว โดย
มันมีหน้าตาที่ดุดันมาก โดยเฉพาะด้านหน้าที่ออกแบบและตกแต่งด้วยวัสดุกันกระแทกอย่างดีและชุดกาบรอบคันที่ดูแล้ว
น่าจะกันหิน กันฝุ่นได้ดีมาก
คุณสมบัติพิเศษของ Fiat Panda Cross คือการติดตั้งระบบกระจายแรงบิดเพลาคู่หน้าและคู่หลังพร้อมระบบช่วยลงเขา
อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดช่วงล่างให้ลุยมากขึ้น
Fiat Panda Cross จะติดตั้งเครื่องยนต์ 900 ซีซี TwinAir เทอร์โบชาร์จ 89 แรงม้าแรงบิด 107 ลูกบาศก์ฟุต และ
เครื่องยนต์ดีเซล 1.3 ลิตร MultiJet 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 140 ลูกบาศก์ฟุต
Ford
ฉมหน้าของ 2014 Ford Focus Minorchange เปลี่ยนงานออกแบบกระจังหน้า ให้เป็นกระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมในสไตล์
แอสตันมาร์ติน เพิ่มภาพลักษณ์ให้ดูสปอร์ตมากขึ้นและออกแบบชุดกันชนหน้าใหม่ รวมถึงโคมไฟหน้าทรงแหลมเรียว เน้น
ความโฉบเฉี่ยว ส่วนด้านท้ายเปลี่ยนโคมไฟท้ายให้มีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น และออกแบบชุดกันชนท้ายใหม่ ทั้งในรุ่น
เอสเตทและแฮตช์แบก
ไม่เพียงแต่ภายนอก แต่ระบบช่วงล่างของ 2014 Ford Focus Minorchange ยังถูกเปลี่ยนโช้คอัพคู่หน้าให้มีปรับความ
หนืดได้ 2 ระดับ เปลี่ยนบูชยางของระบบช่วงล่างหน้า-หลังใหม่ เสริมให้ตัวรถสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังปรับ
จูนระบบพวงมาลัยไฟฟ้าและระบบ ESC ใหม่อีกด้วย
ด้านขุมพลัง ต้องต้อนรับขุมพลังใหม่แกะกล่องถึง 2 บล็อกด้วยกัน ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร
พร้อมเทอร์โบ EcoBoost มี 2 ระดับกำลังให้เลือก ได้แก่ 150 และ 180 แรงม้า ขุมพลังนี้จะทำหน้าที่แทนเครื่องยนต์
1.6 ลิตร EcoBoost ที่ถูกถอดทิ้งไปในรุ่นปรับโฉม ส่วนอีกขุมพลังได้แก่เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร
พร้อมเทอร์โบ TDCi มาพร้อม 2 ระดับแรงม้าเช่นกัน ได้แก่ 95 และ 120 แรงม้า
ส่วนเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกใช้ จะมีเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ พร้อมเทอร์โบ EcoBoost 100 และ 125 แรงม้า
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร TI-VCT ให้กำลัง 85, 105 และ 125 แรงม้า เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ
1.6 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TDCi ให้กำลัง 95 และ 115 แรงม้า รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร
TDCi ที่ถูกจูนใหม่จนมีกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็น 150 แรงม้า โดยตัดรุ่น 163 แรงม้าทิ้ง และจะมีเวอร์ชันไฟฟ้า
ขนาดกำลัง 145 แรงม้าอีกด้วย
สำหรับระบบส่งกำลัง มีให้เลือกใช้ได้หลากหลายมากกว่าเดิม โดยขึ้นอยู่กับขุมพลังที่ใช้ ซึ่งมีทั้งระบบเกียร์ธรรมดา
5 และ 6 จังหวะ ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ 6 จังหวะ และแบบคลัทช์คู่ PowerShift 6 จังหวะ ส่วนเวอร์ชัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
Honda
เรายังจำข่าวช่วง 5 ปีก่อนกันได้เลยว่า Honda ยังลังเลกับการพัฒนา Civic Type-R เป็นอย่างมากเพราะกังวลในเรื่อง
ของค่าไอเสียที่มีผลต่อการวางจำหน่ายพอสมควร สมัยใหม่เทคโนโลยีเครื่องฉีดตรงติดเทอร์โบสำหรับยี่ห้อ Honda
อาจจะดูไกลตัวมาก แต่วันเวลาผ่านไป Honda ก็ต้องปรับตัวทางด้านเทคโนโลยีเหมือนกับค่ายอื่นจนทำให้ความหวังใหม่
ของ Civic Type-R
ในงาน Geneva Motor Show 2014 นี้ Honda จึงขอส่งสัญญาณเพื่อทวงคืนความขลังของรหัส Type R ด้วยการ
เปิดตัวHonda Civic Type R Concept รถยนต์ต้นแบบที่ใกล้เคียงกับรุ่นขายจริง เพื่อพรีวิวและเป็นสาส์นบอกคนรักการ
ขับขี่ทุกคนว่าHonda พร้อมแล้วที่จะกลับมาสู่สังเวียนรถคอมแพคท์สมรรถนะสูงอีกครั้ง และเพื่อเป็นการประกาศความ
พร้อมว่าจะเปิดตัวรุ่นขายจริงในปีหน้า
คราวนี้ Honda เลือกตัวถังแฮตช์แบกที่ทำตลาดในยุโรป เป็นตัวถังในการพัฒนาเวอร์ชัน Type R เพียงตัวถังเดียว แต่มี
การปรับปรุงงานออกแบบหลายๆจุด เพื่อรองรับกับสมรรถนะที่สูงขึ้น และเพื่อเพิ่มความปราดเปรียว ดุดัน ไม่ว่าจะเป็นชุด
บอดี้คิทเน้นการรีดกระแสลมรอบคัน การเปลี่ยนชุดกันชนหน้า เน้นความดุดันด้วยการตกแต่งในโทนสีดำเงา Glossy
Black และลิ้นกันชนหน้าที่ออกแบบพิเศษเพื่อรุ่น Type R ส่วนด้านข้างมาพร้อมกับสเกิร์ตด้านข้างใหม่ ด้านท้ายโดดเด่น
ด้วยชายล่างกันชนที่ออกแบบเพื่อรีดลมส่งท้ายได้ดีเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งโคมไฟหน้าแบบ LED เจาะช่องระบายความร้อนบนฝา
กระโปรง ขยายซุ้มล้อพร้อมช่องระบายความร้อน เพื่อรองรับกับสมรรถนะที่แรงขึ้น รวมถึงความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
ด้วยการออกแบบชุดสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มแรงกดขณะขับขี่ โดยแฝงชุดไฟท้ายแนวโฉบเฉี่ยวเข้าไปอย่างลงตัว
หัวใจของความแรง ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทอร์โบ จนสามารถรีดกำลังสูงสุด
ออกมาได้มากถึง 280 แรงม้า พอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่แข่งทั้งในยุโรปและจากประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ Honda ยังได้สื่อความมั่นใจออกมา ผ่านประสบการณ์การกลับเข้าร่วมแข่งขันรายการ World Touring Car
Championshipเมื่อปีก่อน ซึ่ง Honda กล่าวว่า ประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดที่ได้จากการแข่งขัน จะมีส่วนช่วยให้การ
พัฒนา Honda Civic Type R ใหม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบเฉกเช่นรถแข่งในสนามอย่างแน่นอน
Hyundai
Hyundai ก็ส่งรถต้นแบบอินทราประตูน้ำ เอ้ย ไม่ใช่ละ รถต้นแบบคันนี้มันชื่อ Intrado Concept ต้นแบบครอสโอเวอร์
Fuel-Cell ที่เน้นวิวัฒนาการด้านวัสดุโครงสร้างตัวถังอย่างแท้จริง
Hyundai Intrado Concept นอกจากนี้จะมีจุดเด่นด้านงานออกแบบแล้ว มันยังใช้วัสดุตัวถังที่น้ำหนักเบามากและ
ติดตั้งขุมพลัง Fuel Cell เจเนเรชั่นที่ 2 (ทั้ง ๆ ที่เจนแรกยังไม่ทันวางจำหน่ายเลย รีบซะแล้ว ฮันเด) และยังนำเสนอปรัชญา
การออกแบบใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายแต่มีฟังก์ชันเยอะ
Peter Schreyer ประธานฝ่ายงานออกแบบได้เปิดเผยว่า รถคันนี้จะถูกออกแบบจากภายในสู่ภายนอก เน้นผู้ขับขี่เป็น
ศูนย์กลาง ถูกออกแบบให้ตรงกับสรีระศาสตร์และยังมีฟีเจอร์ใช้สอยที่น่าประทับใจ ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถในระยะทาง
สั้น ๆ หรือจะเดินทางไกล
มองจากภายนอกแค่นี้ก็ยังไม่ถือว่าสุดยอด เราจำเป็นต้องล้วงควักภายในออกมาพิสูจน์ เพราะแค่คำพูดมันไม่พอ งานนี้
Hyundai ได้ใช้โครงสร้างตัวถังระดับสุดยอดที่ทำจากวัสดุ คาร์บอนไฟเบอรภายใต้กรอบโครงโลหะ ผลลัพธ์จึงทำให้มี
น้ำหนักตัวถังเบากว่ารถยุคปัจจุบัน 70% และทนต่อการบิดตัวถึง 2 เท่า
ขุมพลัง Fuel Cell เจเนเรชั่นที่ 2 อันประกอบไปด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและ Fuel Cell Stack ใต้ฝากระโปรงหน้า ส่วนชุด
แบตเตอรี่ 36kWh จะซ่อนอยู่ใต้เบาะผู้ขับขี่ และถังกักเก็บไฮโดรเจนจะติดตั้งไว้ใต้พื้นตัวถังและหลังเบาะหลัง
Thomas Burkle : Design Chief ประจำ Hyundai ยุโรปกล่าวว่ารถคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดคนรุ่นหนุ่มสาวที่มี
บุคลิกกระตือรือร้น, ชอบธรรมชาติและค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งรถต้นแบบที่พวกเขาตอบโจทย์แนวคิดด้านความสวยงามอัน
บริสุทธิ์ที่เกิดจากฟังก์ชันการใช้งาน มากกว่าที่เป็นรถสวยงามเพราะปรุงแต่ง หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือพวก
รถจักรยานเสือภูเขา, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ระดับบนหรืออุปกรณ์ที่ใช้มือถือ โดยแนวคิดนี้จะนำไปประยุกต์กับรถพรีเมี่ยม
เจเนเรชั่นต่อไป
Jaguar
ในช่วงนี้ Jaguar ดูครึกครื้นมาก นอกจากจะเผยทีเซอร์ XE รถคู่แข่ง BMW 3-Series ในงาน Geneva Motorshow
2014 นี้ (แต่ยังไม่เผยรถคันจริง) Jaguar ยังเปิดตัวรถแวกอนสุดแรงเกิด XFR-S Sportback เอาใจพ่อบ้านขาซิ่งที่
ต้องการขนสัมภาระ ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ 542 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายใน 4.6 วินาที
Maserati
งานนี้ Maserati ลงทุนอวดโฉม Alfieri Concept (ชื่อแอบอ่านยาก) รถต้นแบบ 2+2 ที่นั่งที่พูดกันตามตรงเลยคือ 2 ที่นั่ง
หน้าให้คู่สามีภรรยานั่งเท่านั้น ส่วน 2 ที่นั่งหลังแบบ Dog Seat หรือพวกก้างขวางคอความรักของคนคู่หน้านั่นเอง ส่วนชื่อ
ที่เกือบจะเรียกยากนั้นพวกเขาเอามาจากชื่อ Officine Alfieri Maserati หรือชื่อบิดาผู้ให้กำเนิดแบรนด์ Maserati
นั่นเอง ถ้าถึงขนาดลงทุนปลุกวิญญาณจากชื่อเจ้าของได้ขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่ารถต้นแบบคันนี้จะต้องมีความหมาย
มากต่ออนาคตของ Maserati ไม่น้อยเลย
ถึงแม้ Maserati กำลังรุ่ง (แต่ไม่ริ่ง) กับรถรุ่นใหม่อย่าง Quattroporte และ Ghibli ที่ช่วยทำให้ยอดขายรวมประจำปี
2013 พุ่งสูงขึ้นจาก 6,200 คันกลายเป็น 15,400 คัน !!! แต่ใช่ว่า Maserati จะนิ่งนอนใจนอนกระดิกปลายเท้าดู
ความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืนแน่นอน
Maserati Alfieri Concept ถือเป็นการกำเนิดแนวทางการออกแบบยุคต่อไปของ Maserati ในกลุ่มรถคูเป้ที่เน้นความมี
เอกลักษณ์ในด้านประวัติศาสตร์การขับขี่และความงามในแบบรถ GT แน่นอนว่ารถคันนี้มันจะสะท้อนสไตล์บุคลิกรถใน
แบบเดียวกับ 1957 3500 GT, the 1959 5000 GT และ 1969 Indy และน่าดีใจว่า Maserati ตั้งใจที่จะนำรถต้นแบบ
คันนี้ออกสู่สายการผลิตจริงแน่นอนโดยอ้างอิงจากงานออกแบบที่เห็นอยู่ในขณะนี้
รถต้นแบบคันนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Maserati GranTurismo MC Stradale แต่สั้นกว่ามากถึง 24
เซนติเมตร โดยยังคงจุดเด่นงานออกแบบที่เน้นด้านหน้าที่ยาวเฟื้อยพอสมควร ส่วนภายในห้องโดยสารก็น่าทึ่งมากที่สุดจะ
ใช้หลักการ Minimalist หรือละทิ้งซึ่งความยุ่งเหยิงของปุ่มกด
ไหน ๆ เกิดมาเป็นรถสปอร์ตแล้วก็ต้องติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4.7 ลิตร 460 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520
นิวตันเมตรที่ 4,750 รอบต่อนาทีจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะพร้อมลิมิเต็ดสลิป
Mazda
และแล้วมาถึงรถยนต์ที่ทุกคนรอคอยนั่นก็คือรถต้นแบบ Mazda Hazumi Concept ที่เห็นแล้วบอกเลยว่ามันเป็นโปรโต
ไทป์ของ Mazda 2 รุ่นต่อไปที่จะเปิดตัวในไทยและตลาดโลกช่วงปลายปีนี้ซึ่ง ชื่อ Hazumi มีความหมายในภาษาอังกฤษ
แปลว่า “กระโดดหรือกระโจนขึ้น” ถ้าฟังเผิน ๆ บางคนก็ตีความหมายว่าเป็นรถวัยรุ่นก็ต้องรู้จักโดดเรียนหรือกระโดดเพื่อ
แสดงออกถึงวัยมันส์ ก็ถือว่าเกือบจะถูก เพราะ Mazda เขาได้ให้คำนิยามเอาไว้ว่า Hazumi มันคือการสะท้อนถึง
ภาพลักษณ์ของสัตว์เปลี่ยวที่กำลังกระโดดซึ่งก็เหมาะสมกับรถคันเล็กที่มีดีไซน์เปี่ยมไปด้วยพลังและอัดแน่นไปด้วยงาน
วิศวกรรมเพื่อการขับขี่ตามแบบฉบับของ Mazda
สัดส่วนตัวถังของ Mazda Hazumi Concept จะยังคงเป็นรถแฮทช์แบค B-Segment ทรงเพรียวสปอร์ต แต่ถูกปรับ
สัดส่วนทั้งหมดให้เข้ากับความแนวออกแบบ Kudo Design เหมือนกับรุ่นพี่ และเมื่อมองบุคลิกโดยรวมของคันจริงก็พบว่า
มันเหมือนถูกออกแบบให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงตามข่าวที่เคยออกมาก่อนหน้านั้นพอสมควร
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็คือการออกแบบแนวเส้นกระจกที่มาแนวเส้นตรง แทนที่จะเป็นเส้นเฉียงตวัดขึ้นไปด้านท้าย
จนทำให้คิดว่ามันน่าจะดัดแปลงเป็นรถซีดานได้ไม่ยากเลย แต่ก็มีข้อน่าสงสัยว่ามันมีความยาวฐานล้อที่ใกล้เคียงกับรุ่น
เดิมพอสมควร
ไฮไลต์สำคัญของรถคันนี้คือการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร SkyActiv ใหม่ล่าสุด
McLaren
McLaren 650S ได้เปิดตัวสองตัวถังพร้อมกัน ได้แก่ ตัวถังคูเป้และตังถังฮาร์ดทอปที่สามารถพับเก็บหลังคาได้ โดยชู
บุคลิคเป็นรถสปอร์ตที่เน้นการขับขี่อย่างถึงที่สุด ดังนั้นลูกค้าจะสามารถขับขี่ได้อย่างสนุกสนานทั้งบนท้องถนนจริงและบน
สนามแข่ง โดยชื่อ 650S จะนำมาจากตัวเลขแรงม้าที่แรงจัดถึง 641 แรงม้า แต่ MaLaren ปัดเศษให้สวย ๆ เป็น 650
และตัว S ย่อมาจากคำว่า Sport อืม คิดง่าย เล่นง่ายขนาดนี้กันเลยทีเดียว
ดีไซน์ McLaren 650S จะได้แรงบันดาลใจมาจาก P1 อันเป็น Design Language ล่าสุดจาก McLaren โดยมีจุดเด่นที่
ออกแบบตัว Splitter ให้ฝังลงในกันชนหน้าจึงทำให้ช่วยเพิ่มแรงกดตัวถัง, ให้ความรู้สึกในการบังคับยอดเยี่ยมและสร้าง
ความมั่นใจในการขับขี่ บานประตูใหม่ถูกออกแบบพิเศษเพื่อให้ลมไหลเวียนเข้าไประบายความร้อนในห้องเครื่องที่อยู่วาง
กลางลำ
เมื่อมาถึงหัวข้อการปรับปรุงตัวรถตามหลักอากาศพลศาสตร์ ก็น่าจะทำให้ McLaren 12C อาจจะน้อยใจเข้าไปใหญ่
เพราะ 650S ได้มีการปรับปรุงตัวรถตามหลักอากาศพลศาสตร์ขนานหนักทำให้ลมหมุนเวียนลื่นไหลมากขึ้น ยิ่งเมื่อวิ่งด้วย
ความเร็ว 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็จะมีแรงกดเพิ่มขึ้นถึง 24% เลยทีเดียว
McLaren ใส่ใจการขับขี่แม้กระทั่งล้ออัลลอยที่ออกแบบและพัฒนาพิเศษโดยจับคู่กับยางขั้นเทพ Pirelli P Zero Corsa
ทำให้การขับขี่ดีในทุกสภาพถนนแม้กระทั่งสนามแข่ง
McLaren 650S ได้รับเทคโนโลยีอันสูงส่งจากรุ่นพี่รุ่นน้องทั้ง 12C และ P1 นำมาติดตั้งเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ ได้แก่
เทคโนโลยี Airbrake ที่ช่วยปรับแรงกดด้านหลังเพื่อช่วยให้ทรงตัวอย่างยอดเยี่ยม โดยระบบจะทำงานเมื่อตัวรถเริ่มรู้สึกว่า
ต้องเพิ่มแรงกดตัวถังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มแรงเบรกเสริมกับระบบเบรกปกติ
ระบบช่วงล่างแบบ ProActive Chassis Control ที่สามารถเลือกการขับขี่ได้ทั้งแบบ Normal / Sport / Track ที่ช่วย
เติมเต็มการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ
Mercedes-Benz
Mercedes-Benz S-Class Coupe เป็นรถทรงคูเป้ที่ผสานความใหญ่โต, สปอร์ตที่ดูหรูหราทันสมัยและเทคโนโลยีระดับ
สุดยอดที่มาพร้อมกับระบบช่วงล่างแบบ Magic Body Control ที่มีระบบควบคุมการเข้าโค้ง และที่สำคัญไฟหน้ายัง
ประดับด้วยคริสตัล Swarovski อร้าอร่ามมากถึง 47 เม็ด (ถ้าไม่โดนไฟหน้าเพื่อเอาเพชรเม็ดงามไปเสียก่อน)
การออกแบบของ S-Class Coupe จะสะท้อนถึงความทันสมัยถึงความหรูหราที่มาพร้อมกับปรัชญใหม่ของ Mercedes-
Benz ด้วยเส้นคอนทัวร์ชัดเจนและมีพื้นผิวที่ดูลื่นไหลสะท้อนถึงความไฮเทคและความตระการตาด้วยแนวคิด sensual
purity ที่สะท้อนคุณค่าของการออกแบบ, อารมณ์และความก้าวล้ำซึ่งสิ่งเหล่านี้ปรากฏในรถยนต์ Mercedes-Benz ใน
แต่ละรุ่น
S-Class Coupe มันก็เหมือนกับรถ Mercedes-Benz ทุกรุ่นที่จะต้องมีเส้นสาย (Dropping Line) ที่ดูน่าจดจำ, มี
สัดส่วนแห่งรถขับเคลื่อนล้อหลังอย่างเต็มเปี่ยม, แนวกระจกที่เตี้ยแต่มีเส้นบ่าข้างสูง, ขับความโดดเด่นด้วยซุ้มโป่งล้อ
ขนาดใหญ่ที่รองรับล้อขนาด 18-20 นิ้ว
ผลงานชิ้นเอกของ S-Class Coupe ใหม่คือกระจังหน้าที่ดูมีมิติด้วยเพชร 3 มิติที่สะท้อนมุมมองแปลก ๆ และไฟหน้า Full
LED ที่ พร้อมกับประดับคริสตัล Swarovski รวมทั้งสิ้น 47 เม็ด
การออกแบบบั้นท้ายก็เป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของ Mercedes-Benz ด้วยการพยายามทำให้มุมมองด้านท้าย
ดูแบนและกว้างเท่าที่จะทำได้
ภายในห้องโดยสาร S-Class Coupe ได้ให้คำนิยามของดีไซน์ว่าเป็น Modern Luxury ที่ให้รู้สึกดึงดูด, คุณภาพ, ความ
ประณีตและให้ความรู้สึกสัมผัสดี แต่ถ้ามองจากภาพก็รู้เลยว่าได้ยกแผงคอนโซลจากตัวถังซีดานมาใส่ไว้ในคันนี้พร้อมทั้ง
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง อาทิ สีของภายใน, พวงมาลัยที่สปอร์ตขึ้น เป็นต้น
แม้ S-Class Coupe จะเป็นรถราคาแพงแต่ก็ใช่ว่าจะติดตั้งออพชั่นทุกอย่างในโลกนี้ทั้งหมด ลูกค้าสามารถติดตั้ง
Touchpad ที่ติดตั้งบริเวณที่ท้าวแขนคู่หน้าเป็นอุปกรณ์เสริมได้ไว้สำหรับควบคุมฟีเจอร์การใช้งานที่อยู่ในระดับศีรษะด้วยนิ้วมือหรือวาดลายมือ
S-Class Coupe ยังได้ติดตั้งระบบช่วยการทรงตัวอันเป็นจุดขายล่าสุด MAGIC BODY CONTROL ที่ช่วยควบคุมระบบ
กันสะเทือนเหมือนมีองค์เทพมองทะลุพื้นถนนข้างหน้าได้ที่มีฟังก์ชันปรับองศาเอียงตอนเข้าโค้ง “ครั้งแรกในรถยนต์ที่ผลิต
ออกมาจำหน่ายจริง” ซึ่งทำให้ S-Class Coupe สามารถเอียงเข้าโค้งเรียบเนียนดุจนักเล่นสกีและนักขี่รถจักรยานยนต์
ระบบ MAGIC BODY CONTROL แบบใหม่จะติดตั้งเฉพาะ S500 พร้อมกันนี้ยังติดตั้งระบบ Active Body Control ที่
ช่วยปรับสตรัทผ่านลูกสูบไฮโดรลิคที่จะช่วยทำให้ล้อแต่ละข้างกดพื้นกับถนน แม้กระทั่งตอนเลี้ยวเข้าโค้งซึ่งจะช่วยทำให้ตัว
รถเอียงได้มากสุด 2.5 องศาแล้วแต่ความโค้งของถนนและความเร็ว นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบตรวจส่องพื้นถนนด้วยกล้อง
แบบ Stereo ที่สามารถตรวจจับถนนโค้งล่วงหน้าได้ 15 เมตรก่อนที่จะกระตุ้นให้ระบบรองรับการเข้าโค้งทำงาน
S-Class Coupe ในขณะนี้มีแค่รุ่น S500 ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4,663 ซีซี Bi-Turbo ให้กำลัง 455 แรงม้า (HP) แรงบิด
สูงสุด 700 นิวตันเมตร
Mini
Mini ก็เหมือนกับค่ายรถทั่วไปที่พยายามฟังเสียงลูกค้าไฮโซและโลโซอยู่บ้าง Mini ก็รู้ดีว่า Clubman เป็นรถที่ไม่เหมาะ
กับประเทศพวงมาลัยขวาเลยแม้แต่น้อยเพราะ Mini ไม่ลงทุนทำบานประตูผู้โดยสารแบบตู้กับข้าวให้เหมือนกันทั้งสองฝั่ง
ทำให้ผู้โดยสารหลังต้องเสี่ยงภัยต่อการโดนรถเฉี่ยวเมื่อคิดจะจอดข้างทาง แทนที่จะลงมาอย่างสง่าเหมือนหงส์อาจกลับ
เป็นกล้วยปิ้งเพราะโดนรถทับแทน
อีกทั้งรูปลักษณ์ของ Mini Clubman รุ่นเดิมก็ยังคงความอนุรักษ์นิยมจากตำนานเดิมก็ทำให้รูปร่างรูปทรงดูเหลี่ยมถึก
เหมือนรถขนของไปนิด นี่จึงทำให้ Mini ต้องทำให้ Clubman มี “วิวัฒนาการ” เดินหน้ากันต่อไป แทนที่จะหยุดชื่นชมกับ
อดีตเหมือนพวกคนบ้าบางจำพวกชอบยัดเยียดและพยายามจะให้ค่ายรถไม่เดินหน้าในยุคต่อไป (เพราะไม่ยอมรู้สัจธรรม
เลยว่า โลกใบนี้ยังไง ๆ ก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป)
Mini Clubman Concept มาคราวนี้ขอพลิกโฉมแบบ Sport Wagon ที่มีความ Stylish สูงมาก แน่นอนว่ามันใช้
โครงสร้างตัวถังร่วมกับ Mini ใหม่ล่าสุด แต่การออกแบบครึ่งคันหลังนี่คือพลิกชีวิตใหม่ให้ Clubman กันเลยเพราะมันเน้น
ความปราดเปรียวและดูเป็นรถยนต์ทรงแวกอนสปอร์ตมากกว่าเดิม ใครที่ชอบพูดมากว่า Mini ไม่กล้าเปลี่ยน นี่กรุณาถอน
คำพูดโดยพลัน
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้แฟน Mini หันมามองแน่นอนคือการเพิ่มบานประตูคู่หลังแบบปกติและออกแบบ
บั้นท้ายที่ดูแปลกตาแต่ดูซ่อนรูปจนไม่คิดว่ามันเป็นฝากระโปรงท้ายแบบตู้กับข้าว!!!
ความยาวตัวถังท้าชนกับ B-Segment Wagon ทั่วไปที่ 4,223 มิลลิเมตร กว้าง 1,844 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร
เทคโนโลยีใหม่ที่นำมาติดตั้งให้กับ Mini Clubman คือ ม่านอากาศบริเวณซุ้มกันโคลนล้อหน้า เพื่อให้ประสิทธิผลตาม
หลักอากาศพลศาสตร์
ภายในห้องโดยสารก็ยกมาจาก Mini รุ่นใหม่แต่ออกแบบแผงส่วนล่าง, แผงข้างประตูใหม่และสาดสีสันที่ดูจี๊ดจ๊าดซึ่งเมื่อ
ผลิตจริงก็ไม่แน่ใจว่าจะแตกต่างจากนี้แค่ไหนกัน
Nissan
ในบ้านเราเพิ่งเปิดตัว Nissan Juke Joiny Edition ไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2014 แต่ในวันเดียวกันนั้นในงาน Geneva
Motorshow 2014 ก็ดันเปิดตัว Juke Minorchange ซะงั้น ก็เลยทำให้คนไทยบางส่วนแอบลังเลว่าจะรอตัว MC ที่คาด
ว่าน่าจะเปิดตัวในอินโดนีเซีย/ไทย ในปี 2015 ดีหรือไม่ เราก็ต้องบอกว่า Juke MC มีการปรับปรุงหลายอย่างให้ดีขึ้น
กว่าเดิมพอสมควร
Nissan Juke Minorchange จะมีการเปลี่ยนไฟหรี่หน้าทรงบูมเมอร์แรงเหมือน 370Z พร้อมไฟ DRL, กระจังหน้า V-
Shape, ไฟเลี้ยว LED บนกระจกมองข้างทรงใหม่, ช่องดักลมหน้าใหม่ นอกจากนี้ยังให้หลังคาพาโนรามิคเปิดปิดได้เฉพาะ
ฝั่งตอนหน้าแต่ที่น่าแปลกมากคือในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ Nissan ก็พยายามที่จะขยายพื้นที่วางสัมภาระท้ายให้ให้มากกว่า
เดิมถึง 40% จน Nissan กล้าชูว่ามีเนื้อที่ด้านท้าย 354 ลิตรใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของตลาด
ส่วนเครื่องยนต์ก็เชื่อว่าคนไทยคงต้องอิจฉาเพราะ Juke MC ได้วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร DIG-T ให้กำลัง
115 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร ปล่อยไอเสียเพียงแค่ 126 กรัมต่อกิโลเมตรและยังประหยัดน้ำมันมากถึง
18.18 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนเครื่อง 1.6 DIG-T จะปรับให้เน้นแรงรอบต่ำกว่า 2,000 รอบต่อนาที
Peugeot
Peugeot 108 รถ A-Segment รุ่นใหม่ล่าสุดที่จะมาแทนที่รุ่น 107 ที่ทำตลาดมานานถึง 9 ปีแล้ว
หน้าที่ที่สำคัญของ 108 ใหม่ก็จะเป็นรถที่ยกระดับ A-Segment ดั้งเดิมให้รู้สึกสูงค่า, สง่างาม, ประณีตและสะท้อนบุคลิก
เจ้าของได้อย่างดี
ขนาดตัวถังของ Peugeot 108 ใหม่ก็ยังเล็กเวอร์เท่ารูหนูที่ความยาว 3.47 เมตร กว้าง 1.62 เมตร ถูกออกแบบให้เป็นรถ
นาครที่โดดเด่นในเมือง ด้วยด้านหน้าที่ย่อส่วนมาจาก Peugeot 308 รุ่นใหม่ และเพิ่มความหรูล้ำด้วยไฟ DRL แบบ LED
ในบริเวณโคมไฟหน้า
แม้สัดส่วนของตัวรถเน้นระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคันที่สั้นกุด แต่ก็สามารถเข้าห้องโดยสารอย่างสะดวกสบายได้ ด้วยบาน
ประตูขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบให้ชนชิดกับขอบซุ้มล้อมากที่สุด เมื่อดูจากด้านท้ายก็ไปสะดุดสายตากับไฟท้ายใหม่ที่มี
ขนาดเขื่องและมีมุมมองแบบ 3 มิติ
ภายในห้องโดยสารถือเป็นจุดขายสำคัญของ Peugeot 108 เพราะมันถูกออกแบบให้มีความสะดวกสบายดุจรถพรีเมี่ยม
และเน้นทุกสิ่งทุกอย่างให้สามารถอ่านได้อย่างสะดวก และพิเศษสุด Peugeot 108 มีทางเลือกความปลอดโปร่งด้วยรุ่น
108 Top หลังคาผ้าใบถลกเปิด-ปิดได้ที่มีความกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 76 เซนติเมตร
Béatrice Garric : Brand Project Manager กล่าวว่า พวกเขาอยากทำ Peugeot 108 ให้เป็นรถที่คนขับมีความสุข
ด้วยคุณภาพหลายประการ Peugeot 108 จะทำให้คุณยิ้มได้ทุกวันด้วยบุคลิกที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่จริง ๆ เพราะมันมี
สีตัวถังให้เลือกมากถึง 8 สี สำหรับรุ่น 3 ประตูก็จะมีการพ่นสีทูโทนสองเวอร์ชันให้เลือก คือ สี Purple Berry และ Zircon
Grey หรือสี Diamond White และ Aïkinite สำหรับรุ่น 108 Top จะมีสีหลังคาผ้าใบให้เลือก 3 สีแสบคือ Black, Grey
และ Purple Berry
นอกจากนี้ยังมีชุดธีมตามบุคลิกภาพอีก 7 ธีม, มีบรรยากาศภายใน 3 แบบและมีทางเลือกการตกแต่งภายในอีก 6 แบบ
เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ไม่ค่อยจะพบเจอในรถ A-Segment นั่นก็คือหน้าจอ Touch Screen ขนาด 7 นิ้วอันเป็นอุปกรณ์
มาตรฐานสำหรับรุ่นย่อย Active โดยหน้าจอนี้จะสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียง, มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ
MirrorLink กับสมาร์ทโฟน
ขุมพลังของ Peugeot 108 จะติดตั้งเครื่องยนต์ 3 สูบบล็อกใหม่ล่าสุด ได้แก่ 1.0 ลิตร e-VTi 68 แรงม้า(BHP) เกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 88 กรัมต่อกิโลเมตรพร้อม Stop&Start, 1.0 ลิตร VTi 68 แรงม้า (BHP)
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 95 กรัมต่อกิโลเมตร, 1.0 ลิตร VTi 68 แรงม้า (BHP) เกียร์
อิเล็กทรอนิคส์ 5 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 97 กรัมต่อกิโลเมตร และ1.2 ลิตร PureTech VTi 82 แรงม้า (BHP)
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 99 กรัมต่อกิโลเมตร
Rolls-Royce
Rolls-Royce ค่ายรถยนต์แห่งความหรูหรา เปิดตัว Rolls-Royce Ghost Series II หรือรุ่นปรับโฉมของ Ghost ออกมา
แล้วเพื่อเผยโฉมสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกในงานแสดงรถยนต์ Geneva Motor Show 2014 ถือว่าเป็นการปรับโฉม
ใหม่เพื่อสานต่อความสำเร็จในฐานะยนตรกรรมในย่านราคา 200,000 ยูโร (หรือประมาณ 8 ล้านบาทไทย) ที่ขายดีที่สุด
และกลายเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของ Rolls-Royce
รุ่นปรับโฉมนี้ เป็นวิวัฒนาการทางออกแบบเพื่อให้ Rolls-Royce Ghost คงความเป็นที่สุดของความสมบูรณ์แบบ โดย
ยังคงรักษาความเรียบง่ายเอาไว้ รูปลักษณ์ด้านหน้ามาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด กับโคมไฟหน้า LED ที่ผสานไฟกลางวัน
Daytime Running Lightเข้ากับไฟต่ำได้อย่างลงตัว
ฝากระโปรงหน้าถูกออกแบบใหม่ เน้นเส้นสายเรียวยาวกลางฝากระโปรง นำสายตาไปสู่สัญลักษณ์
Spirit of Ecstasy จนทำให้นึกถึงสายควันจากเครื่องบินเจ็ท หรือร่องรอยบนผิวน้ำของเรือยอชต์หรูที่แล่นผ่านด้วย
ความเร็วกันชนหน้า ถูกออกแบบใหม่เช่นกัน โดยเน้นเส้นสายที่ทำให้เกิดความรู้สึกกว้าง ภูมิฐาน พร้อมเสริมเส้นโครเมี่ยม
ไปบนกระจังหน้าและช่องดักอากาศด้านล่าง โดยไร้การเปลี่ยนแปลงในงานออกแบบด้านข้างและด้านท้ายของตัวรถ
ภายในห้องโดยสาร ถูกปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก ด้วยการผสานความร่วมสมัย ความหรูหรา และเทคโนโลยีล้ำยุค
เข้าด้วยกันโดยยังคงความโดดเด่นในการประกอบ วัสดุที่เลือกใช้ จนทำให้การโดยสารใน Rolls-Royce Ghost Series II
เป็นไปอย่างสุนทรีย์ สงบ เรียบง่าย และมีความสะดวกสบายมากที่สุด
เครื่องยนต์ที่ใช้ ยังคงใช้ขุมพลังเบนซิน V12 ของ BMW เช่นเคย ด้วยความจุ 6.6 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงตรง
มีกำลังสูงสุด 563 แรงม้าที่ 5,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 780 นิวตัน-เมตรที่รอบต่ำเพียง 1,500 รอบ/นาที เท่านั้น
เชื่อมต่อกำลังผ่านระบบเกียรอัตโนมัติ 8 จังหวะ
Skoda
แท้จริงแล้ว Skoda VisionC Concept จะเรียกว่ารถยนต์คันนี้เป็นเวอร์ชันคูเป้ 4 ประตูของ Skoda Octavia ก็ไม่ผิด โดย
จะถูกทำตลาดในตำแหน่งที่สูงกว่า Skoda Octavia แต่ต่ำกว่า Skoda Superb อีกทั้งจะเป็นรถยนต์ที่ประกาศ
เอกลักษณ์งานออกแบบของ Skoda ยุคใหม่ ที่จะมาพร้อมความปราดเปรียว เฉียบคมมากขึ้น แม้ว่าในบางมุมอาจจะมี
กลิ่นของงานออกแบบค่าย BMW อยู่บ้างโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงตัว U ที่เน้นเหลี่ยมมุม เล่นความโฉบเฉี่ยวด้วยโคม
ไฟหน้าทรง 3 เหลี่ยม เข้าคู่กับไฟตัดหมอกหน้าด้านล่าง
รูปทรงของรถยนต์คูเป้ 4 ประตูในสไตล์ Skoda นี้ มาพร้อมกับแนวเส้นหลังคาที่ลาดเทเฉกเช่นรถยนต์คูเป้ 4 ประตูทั่วไป
แต่จะถูกออกแบบให้ยังคงมีความสบายในการโดยสารอยู่ และยังใช้เส้นสายที่สะอาด เรียบง่าย เข้าถึงคนทุกกลุ่ม
เพื่อคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ Skoda ไว้เช่นเดิม
ภายในห้องโดยสาร เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงบรรยากาศภายในห้องโดยสารของ Skoda ยุคใหม่ โดยผู้ขับขี่
จะได้ใช้หน้าจอมาตรวัดดิจิตอลแบบ 3 มิติ และจะมีหน้าจอสัมผัสบริเวณกลางแผงคอนโซล สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์
และความบันเทิงต่างๆ ในขณะที่แผงควบคุมระบบปรับอากาศจะถูกติดตั้งลงมาด้านล่าง เพราะเป็นส่วนที่ใช้งานน้อยครั้ง
กว่าหน้าจอสัมผัส ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญภายในห้องโดยสารของยุคปัจจุบันไปแล้ว
ด้านงานวิศวกรรม แน่นอนว่ารถยนต์คันนี้จะใช้แพลตฟอร์ม MQB ในการพัฒนาเช่นเดียวกับ Skoda Octavia แน่นอน
และถึงแม้จะเป็นรถยนต์ต้นแบบ แต่ขุมพลังกลับไม่ห่างไกลความเป็นจริงอย่างที่คิด แถมยังมีแรงม้าไม่หวือหวาตามวิสัย
รถยนต์คูเป้เพราะเป็นการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง พร้อมเทอร์โบ TSI ขนาด 1.4 ลิตร ให้กำลัง 110 แรงม้า เน้น
ความประหยัดด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ต่ำเพียง 29.4 กม./ลิตร
Toyota
ถ้าใครที่ยังอคติว่า Toyota ยังออกแบบอนุรักษ์นิยมอยู่แล้วล่ะก็เห็นทีต้องมาเจอกับ Aygo รุ่นใหม่ที่ฉีกภาพใหม่ของรถ A-
Segment ที่ไม่จำเป็นจะต้องออกแบบให้ดูกระป๋องอีกต่อไป มันเป็นการออกแบบที่มีความกล้าหาญชาญชัยมากยิ่งขึ้น
คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่าในขณะนี้มันก็แทบจะถอดแบบรถต้นแบบ Design Concept ที่เคยอวดโฉมก่อนหน้า
นั้นกันพอสมควร แต่ไม่แน่ใจว่าดีไซน์ที่ Bold แบบนี้จะหลุดออกมานอกตลาดยุโรปมากน้อยแค่ไหน
ภายในห้องโดยสารนั้นก็ใช้ร่วมกับ Peugeot 108 และ Citroen C1 โฉมใหม่ที่ไฮเทคด้วยการใช้หน้าจอสัมผัสควบคุม
อุปกรณ์ภายในรถแทบทั้งหมด ยกเว้นแอร์ ดีไซน์ก็ถือว่าจี๊ดโดนใจวัยรุ่นเป็นอย่างมาก เห็นภายนอกดูไม่ต่างจากเดิมมาก
แต่รู้หรือไม่ว่า Aygo ใหม่ได้เพิ่มความยาวเนื้อที่ห้องสัมภาระอีก 9 มิลลิเมตรจึงทำให้มีเนื้อที่วางของเพิ่มอีก 29 ลิตร
เครื่องยนต์ Aygo ใหม่ก็ใช้บริการเครื่องเบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร ปรับปรุงใหม่ให้มีกำลังอัด 11.5:1 และมีการปรับปรุงห้อง
เผาไหม้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้กำลัง 68 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 95 นิวตันเมตรที่ 4,300
รอบต่อนาที และสามารถให้แรงบิดที่ 85 นิวตันเมตรที่ต่ำแค่ 2,000 รอบต่อนาทีเท่านั้น
นอกจากปรับปรุงตัวเครื่องแล้วก็มีการปรับปรุงค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียงแค่ 0.29 จนทำให้ประหยัดน้ำมันจาก
68.8 MPG เหลือเพียงแค่ 64.4 MPG ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 95 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
Volkswagen
Volkswagen T-Roc Concept มาพร้อมกับความยาว 4,179 มิลลิเมตร กว้าง 1,831 มิลลเมตร สูง 1,501 มิลลิเมตร
ถูกสร้างบนชุดโครงสร้างพื้นตัวถังและงานวิศวกรรมร่วม MQB มีน้ำหนักตัวถัง 1,420 กิโลกรัม มีความยาวฐานล้อ 2,595
มิลลิเมตร
ส่วนงานออกแบบถูกลิขิตโดย Walter de Silva และ Klaus Bischoff ที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความเป็นเอสยูวีที่มีหัว
ก้าวล้ำ เริ่มจากด้านหน้าที่ถูกออกแบบให้มาแนว 3 มิติ ที่ออกแบบลายกระจังหน้าแบบรังผึ้งพร้อมไฟ LED ที่แฝงตัวมาใน
รูปแบบรังผึ้งดูเนียนตาไปหมด ส่วนไฟหน้าทรงกลมก็จะช่วยทำให้ตัวรถดูแปลกตาขึ้น ส่วนฟีเจอร์พิเศษที่หาได้ยากจากรถ
สมัยนี้ก็คือหลังคาสามารถพอดออกได้
ส่วนเครื่องยนต์กลไกจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ DSG 7
จังหวะและระบบขับเคลื่อน 4Motion ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.9 วินาที จิบน้ำมันเพียงแค่ 4.9
ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
Volkswagen Scirocco สปอร์ตคูเป้ที่สร้างชื่อให้แก่ค่าย Volkswagen ก็ได้เวลาปรับปรุงโฉมต้อนรับปี 2014 ด้วย
รูปลักษณ์ที่สดใหม่ขึ้นหลังจากที่ทำตลาดมานานแล้ว 6 ปี ถึงจะดูนานแต่ตัวรถก็ยังสวยสดเหมือนฉีดฟอร์มาลีน แต่ครั้นจะ
ไปคาดวังให้มันเปลี่ยนแปลงระดับพลิกโฉมหน้าไปเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน อย่างน้อย ๆ มันก็มีความเปลี่ยนแปลงที่
พอสังเกตกันได้บ้าง
Volkswagen Scirocco รุ่นปกติจะมีการเปลี่ยนแปลงกระจังหน้า, โคมไฟหน้า bi-xenon และที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก
ที่สุดก็คือชุดกันชนหน้าที่เล่นลวดลายช่องดักลมทันสมัย ใครที่คิดว่าปรับด้านหน้าแล้วเล่นง่ายไม่ยอมปรับบั้นท้ายแล้วล่ะก็
เห็นทีจะคิดเพราะ Volkswagen ได้ลงทุนขึ้นรูปฝากระโปรงท้ายใหม่ให้มีขอบสันตูดเป็ดพร้อมกับเปลี่ยนกันชนท้ายใหม่
และเปลี่ยนรายละเอียดโคมไฟท้าย LED ก็ทำให้บั้นท้าย Scirocco ใหม่ดูเฉียบคมกว่าเดิมเอามาก ๆ
สำหรับ Volkswagen Scirocco R จะมีความแตกต่างจากรุ่นปกติธรรมดาเหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา และมีการเปลี่ยนแปลง
รายละเอียดโคมไฟหน้า, กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่
ภายในห้องโดยสารก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับรถยนต์ Volkswagen ยุคปัจจุบันด้วยการกลับมาเปลี่ยนช่องแอร์ทรง
เรียบง่ายอีกครั้ง, เปลี่ยนสวิตช์แอร์อัตโนมัติ, เปลี่ยนพวงมาลัยทรงสปอร์ตทันสมัยขึ้น พิเศษสุดได้ติดตั้งมาตรวัดความดัน
น้ำมัน, นาฬิกาสไตล์ chronometer และมาตรวัดความดันเทอร์โบ นอกจากนี้ยังติดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง อาทิ ระบบ
เครื่องเสียง Dynaudio Excite, ระบบช่วยจอดและฝาปิดช่องเก็บของบริเวณเบรกมือ
Volkswagen Scirocco มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 บล็อก ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร TSI ที่ถูกปรับปรุงให้แรง
กว่าเดิม 4 แรงม้า เป็น 125 แรงม้า (HP) และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร TSI รุ่นปรับปรุงใหม่ที่มีกำลังให้เลือก 3 แบบ ได้แก่
180 แรงม้า (แรงกว่าเดิม 20 แรงม้า), 220 แรงม้า (แรงกว่ารุ่นเดิม 10 แรงม้า) และ 280 แรงม้า (แรงกว่ารุ่นเดิม 15
แรงม้า) และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 150 แรงม้า (แรงกว่ารุ่นเดิม 10 แรงม้า) และ 180 แรงม้า (แรงกว่าเดิม 7 แรงม้า)
ทุกเครื่องยนต์ติดตั้งระบบ Start and Stop และแบตเตอรี่สำหรับเก็บประจุจากพลังงานจลน์ เฉพาะรุ่นเครื่องเบนซิน 2.0
ลิตร 280 แรงม้าจะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและเกียร์ DSG ให้เลือก
Volkswagen Multivan Alltrack Concept เกิดขึ้นจากการเห็นแนวโน้มของตลาดรถตู้ที่เน้นการบรรทุกผู้โดยสาร
จำนวนมากแต่ยังไม่มีการทำให้พร้อมกับการบุกป่าฝ่าดง ทำให้ Volkswagen อยากทำลายข้อจำกัดนี้ ด้วยการยกตัวถัง
ให้สูงขึ้นจนมีระยะห่างจากพื้นถนนมากกว่ารุ่นปกติ พร้อมกับติดตั้งการ์ดกันกระแทกสีเงินด้านบริเวณชายล่างของตัวถัง
รอบคัน ส่วนสีตัวถัง ใช้สีขาวเฉดพิเศษคล้ายประกายไข่มุก Moonstone ช่วยตัดกับสีของการ์ดกันกระแทกและล้ออัล
ลอยขนาด 19 นิ้ว สีเทา-ดำได้เป็นอย่างดี
ขุมพลังที่ใช้ เป็นขุมพลังจาก Multivan รุ่นปกติ ได้แก่เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ TDI ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง
สูงสุด180 แรงม้า แต่ที่พิเศษคือการใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยติดตั้งระบบเฟืองท้าย Haldex ที่ล้อคู่หลัง ทำให้มี
ความสามารถในการลุยออฟโรดบ้างเล็กน้อย
Volvo
Volvo Concept Estate เป็นรถต้นแบบที่สานต่อมาจาก Volvo Concept Coupe ที่เคยอวดโฉมมาแล้วในช่วงปลายปี
ก่อน และ Volvo Concept XC Coupe แต่เมื่อดูรูปแล้วมันเป็นญาติห่าง ๆ ของรถทั้งสองคันมาผสมคัน แต่ถ้าคิดแบบชั่ว
ๆ แล้วมันก็เหมือนกับนำ Volvo Concept XC Coupe มาจับให้เตี้ยลงแล้วดัดแปลงเส้นบางอย่างให้เรียบขึ้น
Volvo Concept Estate ยังคงเอกลักษณ์การออกแบบใหม่สไตล์ New Volvo ด้วยไฟ DRL รูปตัว T , ทรงกระจังหน้า
และกันชนหน้าที่ดูเข้าทีและไฟท้ายสไตล์ Volvo
ภายในห้องโดยสารไม่ต้องคิดมาก แค่นำภายในจาก Volvo Concept Coupe และ Volvo Concept XC Coupe มา
สวมใส่
——————————————————————————————