ตามหลักการจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์บางแขนงมักระบุไว้ว่า หากเรายิ่งตอกย้ำและกดดันอะไรบางอย่างตลอดเวลา มันก็
จะมีโอกาสที่ระเบิดและคลายความกดดันบางอย่างในรูปแบบที่แล้วแต่จะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง บ้างก็แสดงออกถึงความ
ก้าวร้าว, การเปิดเผยตัวตนที่ไม่เคยเห็น เป็นต้น
หลักการง่าย ๆ แบบนี้มันก็ได้เกิดขึ้นในวงการรถยนต์ตอนต้นปี 2014 กับเขาเสียแล้ว เพราะด้วยความอัดอั้นตันใจของ
ผู้ผลิตและลูกค้าชาวอเมริกันเริ่มที่จะ “เบื่อและเอียน” กับรถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม(ที่รัฐบาลบังคับ), ประหยัดน้ำมันเพื่อ
ถนอมฟอสซิลใต้พื้นโลกให้นานมากที่สุดจนแทบไม่มีความหลากหลายเอาเสียเลยซึ่งสวนทางกับก้นบึ้งจิตใจของชาว
อเมริกันที่ชอบล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติและบ้าความใหญ่โตแบบเวอร์ ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น หากจะมีการแสดง
ปฏิกิริยาแบบแปลก ๆ เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจบ้างก็อย่าเพิ่งตกใจไปเสีย
Detroit Autoshow 2014 ถือเป็นเวทีที่แสดงออกถึงความกดดันจากอดีตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอย่างเต็มเปี่ยม เพราะ
รถยนต์ที่จัดแสดงในงานนี้ล้วนแต่เป็นรถสปอร์ตในรูปแบบใหม่, รถยนต์ความเร็วสูง หรือรถสไตล์เท่ห์ ๆ ทั้งนั้น ส่วนใครที่
เป็นนักอนุรักษ์แล้วคิดอยากจะมองหารถสีเขียวที่มี Form ตัวถังน่าเบื่อแล้วล่ะก็ ขอบอกไว้เลยว่า งานนี้มันหายากมากจน
กลายเป็นของน่าบูชาไปเสียอย่างนั้น
ก็กลายเป็นว่างาน Detroit Autoshow ปีนี้กลับพลิกรูปโฉมของวงการจัดแสดงรถยนต์ที่ผู้ผลิตพร้อมใจกันเลิกตาม
กระแสรถยนต์สีเขียวจนไม่มีความหลากหลายเหมือนในอดีต แล้วหันมาโชว์รถยนต์ที่มีความหลากหลายและหลุดกรอบ
เดิม ๆ เมื่อมองเผิน ๆ บางคนก็คงจะโจมตีว่าค่ายรถจะคิดกลับลำสร้างรถที่บู๊ล้างผลาญทรัพยากรหรือเปล่า แต่เมื่อปล่อย
ใจให้ว่างและทำใจให้เป็นกลาง ก็พบว่าผู้ผลิตได้พยายามนำเทคโนโลยีตามยุคสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อทำให้ประหยัดน้ำมัน
มากขึ้นและลดมลภาวะมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่ได้คิดอยากจะทำลายล้างสิ่งแวดล้อมโลกอย่างที่บางคนเข้าใจหรอก เพียงแค่
ทำอะไรให้มันน่าสร้างสรรค์กว่าอดีตก็แค่นั้นเอง
หากรถทรงสปอร์ตสวยเพรียวสามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้ก็คงจะบอกกับพวกเราว่า “ทำไมยะ รถสวย ๆ แบบพวกชั้นมัน
ทำลายสิ่งแวดล้อมมากรึไง ก็หาเครื่องประหยัดพลังงานและไอเสียต่ำมาวางซะซี่”
Acura
งานนี้ไม่มีใครคาดถึงว่า Acura จะนำรถโปรโตไทป์มาโชว์ในงาน Detroit Autoshow 2013 อย่าง TLX prototype มา
อวดโฉมกัน ตัวรถนั้นถูกสร้างขึ้นบนแนวคิด “Red Carpet Athlete” ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นสปอร์ตซีดานที่
ดูหรูหราสง่างามที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงและการขับขี่อันยอดเยี่ยม
สัดส่วนของ Acura TLX prototype จะเตี้ยและแบน มีระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคันน้อย การขึ้นลายเส้นคลื่นบนพื้นตัวถังก็
เหมาะสมกับบุคลิค มาพร้อมกับไฟหน้า LED แบบ Jewel Eye
ขนาดตัวถัง Acura TLX prototype จะมีความยาวตัวถังสั้นกว่า TL รุ่นปัจจุบันเพียงแค่ 3.8 นิ้ว แต่มีความยาวฐานล้อ
เท่ากับ TL จนถึงขั้นชูจุดขายใหม่ว่าเป็นรถซีดานหรูระดับกลางที่มีพื้นที่ห้องโดยสารมากที่สุดในคลาสและยังให้ความโปร่ง
โล่งของเนื้อที่ภายในอีกด้วย
ขุมพลังจะมีให้เลือก 2 เครื่องได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.4 ลิตร 16 วาล์ว ฉีดเชื้อเพลิงตรง i-VTEC จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์
คู่ DCT 8 จังหวะใหม่ล่าสุดทำให้เรียกประสิทธิภาพได้ช่วงกว้าง, มอบอัตราเร่งที่ทันใจและการเปลี่ยนเกียร์ที่นิ่มนวล และ
เครื่องยนต์รุ่นเดอะ V6 SOHC 3.5 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงตรง VTEC มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
รุ่นขับเคลื่อนสองล้อจะติดตั้งระบบ Acura Precision All-Wheel Steer ปรับมุมโทล้อหลังด้านซ้ายและขวาอิสระ ส่วน
รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (เฉพาะเครื่อง 3.5 ลิตร) จะติดตั้งระบบขับเคลื่อน SH-AWD ใหม่ล่าสุด
Acura จะส่ง TLX ขึ้นโชว์รูมได้ภายในอีกไม่นานนัก
Audi
Audi Allroad Shooting Brake รถต้นแบบที่ร่วมกันเปิดมิติใหม่ของการนำรถสปอร์ตมาดัดแปลงครึ่งคันหลังให้มาใน
สไตล์แวกอน Shooting Brake ซึ่งมามุขเดียวกับ Volvo Concept XC แบบเป๊ะ ๆ จนทำให้เราแอบคิดว่าอีกไม่นานนัก
น่าจะมีผู้ผลิตที่นำรถถสปอร์ตหรือสปอร์ตคูเป้คอมแพคท์ในสายการผลิตมาดัดแปลงครึ่งคันหลังให้อเนกประสงค์พร้อมกับ
ยกความสูงตัวถังสวย ๆ เพื่อจับกระแสรถครอสโอเวอร์ที่เน้นความสปอร์ตแบบสุด ๆ (หรือจะเรียกภาษาบ้าน ๆ ว่า รถ
สปอร์ตจับยกสูงก็น่าจะได้อยู่)
Audi Allroad Shooting Brake มันไม่ใช่แค่รถต้นแบบที่แสดงออกว่า Audi จะทำรถครอสโอเวอร์แนวใหม่เท่านั้น แต่ถ้า
หากเพ่งจิตพิจารณากันให้ดีจะพบว่าดีไซน์ครึ่งคันหน้ามีแนวโน้มว่ามันคือ All New Audi TT ตัวใหม่ล่าสุดซึ่งไม่ใช่เรื่อง
แปลกใหม่อะไร เพราะเมื่อปี 2005 Audi ก็เคยใช้มุกนี้มาแล้ว ด้วยรถยนต์ต้นแบบ Audi Shooting Brake ซึ่งเป็นรถยนต์
ต้นแบบที่ทำขึ้นเพื่อพรีวิวAudi TT โฉมที่ 2 ในสไตล์ตัวถัง Shooting Brake
ดีไซน์ของ Audi Allroad Shooting Brake เน้นเส้นที่แข็ง, ดุ, ตรงไปตรงมาและมีความคมสูงมาก ถึงแม้ดีไซน์โดยรวมจะ
ไม่ฉีกอะไรมากนัก แต่เราก็ยังต้องลุ้นกันต่อไปว่าดีไซน์ TT โฉมใหม่ทั้งคันจะเป็นเช่นไรอยู่ดี
เห็นหน้าตาสปอร์ต ๆ ลุย ๆ แบบนี้ก็อย่าไปปรามาสว่าไม่รักษ์โลกและทรยศต่อสิ่งแวดล้อมเชียว เพราะ Audi ได้ติดตั้งขุม
พลัง e-tron Hybrid เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร TFSI 292 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์
แรงบิด 270 นิวตันเมตร นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าแยกเฉพาะจากระบบหลัก แต่จะติดตั้งมอเตอร์ตัวนี้ไปยังล้อคู่หลังที่
ให้กำลัง 85 กิโลวัตต์ แรงบิด 270 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ e-S Tronic 6 จังหวะ ประหยัดขั้นเทพเพียง 1.9 ลิตรต่อ 100
กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 45 กรัมต่อกิโลเมตร
ใครที่แฟนคลับ TT เห็นทีจะต้องอีกนิด แต่จะมาพร้อมขุมพลังรักษ์โลกไหมต้องลุ้น
Cadillac
นึกว่าจะไม่มีอะไรมาโชว์เสียแล้ว แต่ที่ทึ่งมากที่สุดคือ Cadillac กลับเปิดตัวรถสไตล์คูเป้แนวสปอร์ตกับเขาด้วยนี่สิ นั่นก็
คือ Cadillac ATS Coupe ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานจาก ATS Sedan อันเป็นรถที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับ BMW 4-Series
(ส่วนตัวถังซีดานก็ต้องแข่งกับ 3-Series) สิ่งที่แตกต่างของ ATS Coupe เมื่อเปรียบเทียบกับตัวถังซีดานก็คือกันชนหน้า
ใหม่และการออกแบบครึ่งคันหลังใหม่หมด
Cadillac เคลมว่า ATS Coupe เป็นรถคูเป้ที่มีน้ำหนักเบา, คล่องตัวกว่า, ให้ความสนุกที่มากกว่า มาพร้อมกับทางเลือก
เครื่องยนต์ 2 แบบได้แก่ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ 272 แรงม้าที่ยกมาจากรุ่นซีดานแต่โชคดีที่ Cadillac ได้ปรับจูนให้มี
พลังแรงกว่าตัวซีดานถึง 14% จนมีแรงบิดมากถึง 400 นิวตันเมตร ด้วยคุณลักษณะเด่นของเครื่อง 2.0 ลิตรตัวนี้ก็ทำให้
Cadillac เคลมว่ารุ่นนี้แหล่ะมีพละกำลังที่เหนือกว่า BMW 428i แน่นอน
แต่ถ้าหากอยากแรงม้ามากกว่านั้นก็ต้องนี่เลย เครื่องยนต์ V6 3.6 ลิตร 321 แรงม้า แต่แรงบิดจะน้อยกว่าเครื่อง 2.0 ลิตร
เทอร์โบเหลือเพียงแค่ 373 นิวตันเมตร เมื่อดูจาก Press Release แล้วก็รู้เลยว่า Cadillac คิดอยากจะขายเครื่องรุ่น 2.0
ลิตรชัด ๆ เพราะเห็นโปรโมตกันยกใหญ่เลยว่าเครื่อง 2.0 ลิตรมอบแรงบิดมากถึง 90% ในระหว่างรอบ 2,100 – 5,400
รอบต่อนาที แต่อย่างไรก็ตามเครื่องทั้งสองแบบจะจับคู่เกียร์ Hydra-Matic 6L45 อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนเครื่อง 2.0 ลิตร
มีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้สับกันเล่น ๆ
Chevrolet
เห็นไหมครับ งานนี้มีแต่รถสปอร์ตสมใจอยากกันจริง ๆ แม้กระทั่งบูธ Chevrolet ก็ขออวดโฉมผลงานชิ้นโบว์ไท
Chevrolet Corvette Z06 ที่มอบความแรงเหนือระดับกว่า Corvette Stingray ที่เพิ่งเปิดตัวไป ไฮไลต์สำคัญคือการ
ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส LT4 V8 6.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ ให้พละกำลัง 625 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 861 นิวตันเมตร จับคู่
เกียร์ธรรมดา 7 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่มีน้ำหนักเบากว่า Corvette Stingray
Chevrolet เคลมว่าเครื่อง LT4 ซูเปอร์ชาร์จเป็นเครื่องที่สุดยอดทั้งประสิทธิภาพและความประหยัดน้ำมัน นั่นเป็นเพราะ
ได้ติดตั้งซูเปอร์ชาร์จรุ่น 1.7L Eaton R1740 TVS ที่หมุนรอบระหว่าง 20,000 – 5,000 รอบต่อนาที นั่นเป็นเพราะลูก
หมุนภายในมีขนาดเล็กลงทำให้หมุนได้เร็วขึ้น ช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้น และที่สำคัญ Chevrolet เคลมว่า Corvette
Z06 จะแรงกว่า Porsch 911 กันเลยทีเดียว
Chrysler
ความหวังครั้งสำคัญของ Chrysler ในครั้งนี้คือการเปิดตัว All New Chrysler 200 รถซีดานระดับ D-Segment ที่จะลบ
ทุกจุดด้อยทุกซอกหลืบกันจนพัฒนาขึ้นมาเป็น Mercedes-Benz แห่งอเมริกันชนกันเลยทีเดียว ความเปลี่ยนแปลงแค่
สบตาสายตาแรกคงหนีไม่พ้นรูปลักษณ์ที่สลัดความแข็งทื่อ, ความไม่สวยงาม,และความไม่มีที่พึงจะคิดได้ออกไปเกือบ
หมดจนเหลือแต่รูปลักษณ์ที่ดูดี, ทันสมัยด้วยไฟ DRL แบบ LED, สัดส่วนตัวถังก็พลิ้วไสวระดับหนึ่ง
จุดขายหลักของรถคันนี้คือเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะครั้งแรกในรถระดับ D-Car ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองนอกเมือง
ที่ 35 MPG อย่าคิดว่ามีเทคโนโลยีใหม่แค่นี้ มันมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถตัดกำลังจากเพลาหลังได้
100% เมื่ออยู่ในภาวะที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น
ติดตั้งเครื่องยนต์ Pentastar V6 3.6 ลิตร 295 แรงม้า แรงบิด 354 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 4 สูบ MultiAir2
Tigershark 184 แรงม้า 234 นิวตันเมตร ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดียวกับ Alfa Romeo Giulietta แต่ดัดแปลงให้
เหมาะสมกับรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจนเรียกว่า CUS-Wide ซึ่ง Chrysler เคลมว่าช่วยปรับปรุงคุณภาพตัวรถได้, ลดเวลา
การผลิตและช่วยควบคุมต้นทุน
น่าจับตามองว่า Chrysler 200 ใหม่จะทะยานยอดขายดีกว่าเดิมแค่ไหน?
Ford
Ford สร้างความแตกต่างให้กับบูธตัวเองอย่างหนักด้วยการเปิดตัวรถกระบะ Full Size ในนาม F-150 โฉมใหม่ที่คราวนี้
ถึงขั้นหั่นน้ำหนักลงถึง 300 กิโลกรัม ถือว่าผ่านการไดเอ็ทกันอย่างหนักหน่วงมากกว่าที่เคยเห็นมา
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นการลดโทนจากรถต้นแบบ Ford Atlas Concept อย่างที่คาดกันเอาไว้ โดดเด่นด้วยกระจังหน้า
ทรงโตตระหง่าน ให้ความรู้สึกทรงพลัง แข็งแกร่ง เช่นเดียวกับ Ford F-Series Super Duty รุ่นพี่ เสริมด้วยชุดโคมไฟหน้า
LED ทรงเหลี่ยมล้ำอนาคต ด้านข้างมาพร้อมกับเส้นสายแข็งแกร่ง ทรงกระจกด้านข้างเล่นระดับ พร้อมกับด้านท้ายที่มี
เหลี่ยมสันแต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยว จากสปอยเลอร์หลังในตัว
ส่วนภายใน มาพร้อมกับงานดีไซน์เน้นเหลี่ยมสันเช่นกัน แต่อัดเน้นไปด้วยบรรดาอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น
ระบบอินโฟเทนเมนต์ SYNC พร้อมลูกเล่น MyFord Touch หน้าจอมาตรวัดอัจฉริยะ TFT ขนาด 8 นิ้ว ระบบกล้องมอง
หลังระบบกล้องมุมมอง 360 องศา ช่องปลั๊กไฟกำลังสูง รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงขึ้นจากรุ่นปัจจุบัน และ
คุณภาพการประกอบที่มีความพรีเมี่ยมมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ ลูกเล่นสำหรับความสามารถด้านบรรทุก ยังถูกคิดค้นลูกเล่นใหม่ๆขึ้นมา เพื่อเป็นรถยนต์กระบะที่ชาญฉลาด
มากที่สุด เช่น ฝากระโปรงท้ายพร้อมบันไดทางลาดในตัวเพื่อโหลดสัมภาระได้ง่ายขึ้น ระบบ Smart Tow Module ช่วย
ตรวจจับการลากจูงเพื่อแจ้งความผิดปกติให้กับผู้ขับขี่ได้หลากหลาย เช่น หลอดไฟสัญญาณขาด หรือความบกพร่องของ
แบตเตอรี่ในส่วนลากจูงระบบช่วยยึดส่วนพ่วง ระบบไฟส่องสว่าง LED รอบคัน รวมไปถึงระบบ BoxLink ช่วยยึดสัมภาระ
หนักได้ดีเป็นพิเศษ
จริงๆแล้ว จุดเด่นของการเปลี่ยนโฉม F-150 รุ่นใหม่นี้ อยู่ที่งานวิศวกรรมตัวถัง ที่ถูกพัฒนาให้มีการลดน้ำหนักลงให้ได้มาก
ที่สุดส่งผลให้เฟรมแชสซีส์และชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ นำเอาวัสดุใหม่ๆมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะเหล็กกล้าที่ถูกพัฒนาใหม่ให้มี
น้ำหนักเบาหลังแต่มีความแกร่งมากขึ้น และนำเอาเหล็กโบรอน อะลุมิเนียม มาใช้มากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้ 2015 Ford
F-150 ลดน้ำหนักลงไปได้ถึง 317 กิโลกรัม เลยทีเดียว
ส่วนขุมพลัง ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยการนำเอาขุมพลังเบนซิน พร้อมระบบเทอร์โบ EcoBoost มาใช้
มากขึ้นเริ่มต้นด้วยแบบ V6 ขนาด 2.7 ลิตร และแบบ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ก่อนจะตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 ไร้
ระบบอัดอากาศขนาด 3.5 ลิตร และแรงกันสุดๆ กับเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 Ti-VCT ขนาด 5.0 ลิตร โดยเครื่องยนต์
ทั้งหมดยังถูกอุบตัวเลขสมรรถนะเอาไว้
GMC
เมื่อสิ้นปีที่แล้ว Chevrolet ได้เปิดตัว Colorado U.S. Version ที่มีหน้าตาหล่อเรียบแตกต่างจากบ้านเรากันไปแล้ว
คราวนี้ก็น่าจะถึงเวลาของฝาแฝดออกมาอาละวาดในงาน Detroit Autoshow 2014 กับเขาบ้าง ถ้าใครคิดว่า
Colorado ใหม่หล่อแล้ว ต้องลองมาเจอคันนี้ดีกว่ากับ GMC Canyon โฉมใหม่
GMC Canyon โฉมใหม่ถือเป็นการพลิกโฉม Canyon ไปในทิศทางที่น่าสนใจมากขึ้นคือ มันมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้น, มีดีไซน์
ภายนอกที่หล่อเท่ห์ราวกับถอดแบบมาจากรถกระบะ Full Size และการพยายามสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า
Colorado อันเป็นคู่แฝดร่วมกัน
GMC Canyon โฉมใหม่ถูกออกแบบให้ถอดแบบมาจาก GMC Sierra เกือบทุกกระเบียดนิ้วโดยเฉพาะด้านหน้าที่ย่อส่วน
มาจาก Sierra แบบเป๊ะ ๆ แต่ปรับปรุงรายละเอียดบางส่วนให้รู้สึกเหมาะกับคนรุ่นใหม่มากกว่า และแน่นอนว่า GMC ได้
ลงทุนขึ้นรูปโป่งล้อรอบคันให้เหมือนกับ GMC Sierra อีกด้วย
ในเบื้องต้นจะเปิดตัว 2 เครื่องยนต์ก่อนได้แก่ เครื่องดีเซล 2.5 ลิตร 193 แรงม้า แรงบิด 253 นิวตันเมตร และ V6 3.2 ลิตร
302 แรงม้า แรงบิด 366 นิวตันเมตรหลังจากนั้นไม่นานนักก็จะแนะนำเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร
Honda
ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า คนที่ได้ใช้ Honda Fit/Jazz โฉมใหม่เป็นประเทศที่ 2 ของโลกคือตลาดสหรัฐอเมริกาเสียอย่างนั้น
แต่เมื่อดูข้อมูลโดยรวมก็พอจะเดาได้ว่า Honda ตั้งความหวังกับตระกูลรถคอมแพคท์เล็กทั้ง 3 ตัวถังในตลาด
สหรัฐอเมริกาไว้สูงพอสมควร เพราะ Honda ตั้งใจจะขยายฐานยอดขายคอมแพคท์เล็กให้เติบโตและมีความสำคัญใน
ระดับเดียวกับ Civic และ Accord ให้ได้
ความแตกต่างระหว่าง Honda Fit โฉมญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาจะต่างกันในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทิ มุมไฟเลี้ยวสี
ส้ม, ลายล้ออัลลอย เป็นต้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าชาวไทยคงต้องอิจฉาเพราะ Honda ได้ติดตั้งเครื่องยนต์เทคโนโลยี EarthDreams 1.5 ลิตร ฉีด
เชื้อเพลิงตรง ให้กำลัง 130 แรงม้า มากกว่ารุ่นเดิม 13 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 114 ปอนด์-ฟุต จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
และเกียร์ CVT ที่มีอัตราสิ้นเปลืองดีลำดับต้น ๆ ของกลุ่ม ในเมืองประหยัด 33 MPG นอกเมืองประหยัด 41 MPG เฉลี่ย
แล้วได้ 36 MPG
จุดขาย Honda Fit โฉมใหม่ก็ยังคือความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มากที่สุดในตลาด, ห้องโดยสารโปร่งโล่ง และยังมี
การปรับปรุงประสิทธิภาพช่วงล่างเพื่อเน้นการขับขี่เป็นสำคัญ
Honda Fit รุ่นใหม่จะผลิตในโรงงานเม็กซิโกในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 สำหรับเมืองไทยก็จะได้เห็นในเดือนมีนาคม 2014
นี้
Hyundai
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Hyundai ในปีนี้คือการพยายามยกระดับแบรนด์เนม Genesis ของตนเองให้สูงค่ามากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่า Hyundai ยังไม่ใจกล้าใช้ชื่อ Genesis แบบเพียว ๆ แต่คุณภาพตัวรถก็กล้ายืนยันได้เลยว่ามันจะมาต่อกรกับค่าย
รถเยอรมันได้สบาย ๆ
งานออกแบบของ All New Hyundai Genesis ก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดที่จะเรียกว่า Form ของตัวรถไม่ได้มี
ความอ้างอิงอะไรกับตัวเก่าเลยแม้แต่น้อย มองเผิน ๆ นึกว่าค่ายรถเยอรมันมากห่วง ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะพบกับ
ความสุขุมลุ่มลึกแบบยุโรป
สำหรับตลาดอเมริกันจะติดตั้งเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร Tau 420 แรงม้า แรงบิด 383 ปอนด์-ฟุตที่ 5,000 รอบต่อนาที มี
กำลังอัดสูงถึง 11.8 ต่อ 1 แต่ถ้าหากรู้สึกว่าเครื่องใหญ่ไปก็จงเลือกเครื่อง 3.8 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงตรง 311 แรงม้าที่ 6,000
รอบต่อนาที แรงบิด 293 ปอนด์-ฟุตที่ 5,000 รอบต่อนาที
Kia
Kia เร่งเดินหน้าปฏิวัติภาพลักษณ์แบรนด์ให้เป็นแบรนด์ที่เน้นความสปอร์ตอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความแตกต่างจาก
Hyundai ให้มากที่สุด Kia ก็เลยเปิดตัวรถสปอร์ตต้นแบบ Kia GT4 Stinger Concept มาในมาดสปอร์ต 2+2 ที่นั่ง
ทำนองว่าซิ่งได้แต่ก็แอบพกเพื่อนติดรถได้ด้วย
Kia GT4 Stinger Concept ถูกออกแบบในสตูดิโอแคลิฟอร์เนียอันเป็นสถานที่กำเนิดรถต้นแบบ Track’ster concept
ซึ่ง Tom Kearns : Chief Design เปิดเผยว่าจุดมุ่งหมายของการออกแบบรถสปอร์ตคันนี้จะต้องเป็นรถที่ใช้งานได้ทุกวัน
จากบ้านจนไปถึงสนามแข่ง ตัวรถจะต้องบริสุทธิ์, เรียบง่ายและไร้กาลเวลา ให้ประสบการณ์เหมือนกลับไปย้อนสมัยที่ไม่มี
ระบบอิเล็กทรอนิคส์เข้ามาช่วยมากมายขนาดนี้
จากความสำเร็จของการส่ง Kia Optima เข้าไปลงแข่งในกลุ่ม Grand Touring Sport (GTS) ในการแข่งขัน Pirelli
World Challenge จนได้ที่ 2 ของการแข่งทำให้ทีมออกแบบสามารถประยุกต์ความรู้ในด้านการลดน้ำหนักตัวถัง, ฟังก์ชัน
และความสนุกในการขับขี่เข้ากับการออกแบบตัวรถให้มีบุคลิคแบบเดียวกับรถแนว GTS ได้ นั่นจึงทำให้ Kia ภาคภูมิใจได้
ว่าพวกเขาก็สามารถสร้างรถที่ให้โลกจดจำได้เช่นกัน
Kia GT4 Stinger Concept จะติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ฉีดเชื้อเพลิงตรง ให้กำลัง 315 แรงม้า แต่ทว่า
เครื่องตัวนี้ก็น่าจะมีแนวโน้มทำให้แรงขึ้นได้อีกเพราะ Kia Optima ที่ลงแข่งในกลุ่ม GTS ก็ใช้เครื่องตัวเดียวกันนี้แต่ทำให้
แรงขึ้นถึง 400 แรงม้ากันเลยทีเดียว
ล้อหน้าใช้ยาง 235/35R-20 Pirelli P-Zeros และล้อหลังใช้ยาง 275/35R-20 Pirelli P-Zero พร้อมล้ออัลลอยขนาด
20 นิ้วที่แทรกวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ตรงกลางเพื่อช่วยลดน้ำหนัก
งานออกแบบในคราวนี้มาแปลกมาก แทนที่ Kia จะออกแบบให้หวือหวาได้มากกว่านี้กลับกลายมาแนวเรียบง่ายเสียอย่าง
นั้นซึ่ง Peter Schreyer : Chied Design Officer เปิดเผยว่างานออกแบบจะมาในลักษณะเหมือนเนื้อหุ้มกับแชสซีส์
แทนที่จะออกแบบกระดองแล้วมาครอบทับอีกที สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดคือกระจังหน้าที่จะแนบชิดกับพื้นถนนพร้อมกับแนว
ไฟ LED และที่เก๋ไก๋มากที่สุดคือเสา A แบบทะลุโปร่งตาได้พร้อมกับออกแบบมุมมองของกระจกบังลมหน้าให้สามารถมอง
ได้รอบ 270 องศาจากฝั่งผู้ขับขี่ได้
แนวโน้มที่ Kia จะคลอดรถต้นแบบคันนี้ให้กลายเป็นจริงก็น่าจะมีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
Lexus
Lexus ขออวดโฉม RC F เวอร์ชันแรงที่ Lexus เคลมว่านี่แหล่ะคือรถเครื่อง V8 ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยทำมาเชียว
หากใครที่คิดว่า Lexus RC รุ่นมาตรฐานดุดันแล้ว มาเจอหน้าตาแบบ Lexus RC F กันเสียทีเถอะรับรองว่ามันดุกว่า
ของเดิมอย่างแน่นอนด้วยลายกระจังหน้ารังผึ้งที่ยาวไปถึงจรดขอบกันชนหน้า อีกทั้งยังขนาบด้วยช่องดักลมคู่ซ้าย-ขวา
ขนาดยักษ์ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนรายละเอียดกันชนท้ายใหม่พอสมควร, เปลี่ยนวัสดุตัวถังบางชิ้นเป็นคาร์บอนไฟ
เบอร์, ติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายที่กางออกเมื่อวิ่งความเร็วมากกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและจะพับเก็บเมื่อความเร็วต่ำกว่า
40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ไฮไลต์สำคัญคือเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร 460 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.5 วินาที ทำ
ความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Mercedes-Benz
ใครที่รักความแรง คิดถูกแล้วครับที่เดินผ่านมาบูธนี้เพราะมีทั้งรถรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กแบบแรง ๆ มาอวดโฉมกันทั้งคู่ เริ่มจาก
Mercedes-Benz S600 งานนี้คงจะชูจุดขายความเป็นป๋า ทั้งขนาดใหญ่หรูหราสง่างามและความแรงที่มอบให้แก่นักขับ
มหาเศรษฐีทั้งหลายได้ในตัว เมื่อสังเกตตัวรถภายนอกรอบคันก็พบว่ามีการตกแต่งรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติม ได้แก่
ท่อไอเสีย 4 ท่อเพื่อให้เครื่อง V12 ได้ระบายไอเสียอย่างทันท่วงที
เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz S600 จะติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 530 แรงม้า แรงบิด 830 นิวตัน
เมตร จับคู่เกียร์ 7G-Tronic Plus ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คันต่อมาคือ Mercedes-Benz GLA 45 AMG ที่ปรับลุคให้หล่อล่ำสันขึ้นด้วยชุดกระจังหน้าแบบ AMG ที่สปอร์ตกว่าเดิม
, ติดตั้ง Diffuser และสเกิร์ตรอบคัน, ล้ออัลลอยที่ใหญ่ขึ้นและท่อไอเสีย 4 ท่อ แต่ไฮไลต์สำคัญคงจะอยู่ที่ขุมพลังแรง
เครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังมากกว่า 360 แรงม้า (HP) แรงบิด 450 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน
4Matic เกียร์ SpeedShift 7 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250
กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลือง 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 175 กรัมต่อกิโลเมตร
ภายในห้องโดยสารก็ต้องมีการปรับปรุงให้รู้สึกสปอร์ตด้วยการเปลี่ยนชุดเบาะหนังใหม่หมด, เปลี่ยนสายเข็มขัดนิรภัยเป็น
สีแดง, ตกแต่งบางส่วนด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
Mini
เพื่อเป็นการตอกย้ำกระแส Mini โฉมใหม่เป็นที่เลื่องลือไปไกล Mini จึงเปิดตัว Mini John Cooper Works Concept
เวอร์ชันแรงกว่าปกติก่อนที่จะเปิดตัวเวอร์ชันขายจริงในอีกไม่นานนัก ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือชุดกระจังหน้าและชุด
กันชนหน้าที่ดูสปอร์ตกว่าปกติ, ลายล้ออัลลอยที่ดูพิเศษกว่าปกติ ส่วนด้านขุมพลังนั้นยังไม่มีการเปิดเผย
Nissan
หลายคนคงกำลังสงสัยว่า Nissan กำลังทำอะไรกันอยู่ถึงได้ออกรถต้นแบบ Resonance Concept, Friend-Me
Concept ในปีก่อน และล่าสุดก็เผยโฉม Sport Sedan Concept ที่มีด้านหน้าและเส้นสายตัวถังด้านข้างเหมือนกันไป
หมด แต่เมื่ออ่านข้อมูลรวม ๆ ก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อสำเร็จกันแล้วว่า Nissan จะออกแบบรถเก๋งจนไปถึงครอสโอเวอร์ใหม่
ให้มีด้านหน้าเอกลักษณ์และเส้นสายด้านข้างให้มีความสอดคล้องหรือเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพราะรถเก๋งและครอสโอเวอร์
ทั้งหมดในปัจจุบันแทบไม่มีเอกภาพในภาพรวมจนมีสำนักวิเคราะห์ตลาดมองว่า Nissan ออกแบบรถแต่ละรุ่น
สะเปะสะปะเกินไปจนไม่สร้างภาพจำของแบรนด์ได้
Nissan Sport Sedan Concept เป็นสิ่งยืนยันว่ารถยนต์นั่งไปจนถึงรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ทุกรุ่นจะต้องมีวิวัฒนาการใน
การออกแบบ ด้านหน้า V-Motion กระจังหน้าตัว V ที่มีช่องดักลมซ้อนกันอยู่, บุคลิคเส้นสายจะต้องดึงดูดทางอารมณ์
และดูมีพลังงานสูง, จะต้องมีการออกแบบแนวเส้นหลังคาที่ “ดูลอยได้”, ไฟบูมเมอร์แรงรอบคัน ส่วนภายในรถต้นแบบก็
จะเน้นความพรีเมี่ยมของวัสดุ
Mamoru Aoki ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบยืนยันว่ารถ Nissan จะต้องออกแบบให้แตกต่างจาก Infiniti ชัดเจนที่สุด รถ
Infiniti ก็จะมีเส้นสายที่อ้างอิงกับธรรมชาติที่ได้แรงบันดาลใจจากสวนสไตล์ Zen แต่ Nissan จะกล้าหาญกว่า, มีมุมมอง
และได้แรงบันดาลจากความล้ำอนาคต, เครื่องจักรกลและรูปร่างในสไตล์ญี่ปุ่นสมัยใหม่
หมายความว่ารถยนต์ Nissan รุ่นต่อไปทั้งหมดจะมีใบหน้าแบบนี้ เส้นแบบนี้นั่นเอง
Porsche
อย่าบังอาจเรียกเจ้า Porsche 911 Targa ว่าเป็นรถสปอร์ตตะกร้าผลไม้เป็นอันขาด! ถ้าหากไม่เคยคุ้นชินกับรถประเภท
Targa รถแนว Targa คืออะไร? มันก็คือตัวถังแบบเปิดประทุนที่เห็นโครงสร้างเสา B และมีโครงสร้างกระจกบังลมครอบ
ทับอีกทีซึ่งบางรุ่นก็อาจจะถอดกระจกหลังออกได้ คนที่กำเนิดตัวถังลักษณะแบบนี้ต้องยกให้ Porsche เท่านั้น เพียงแต่ว่า
Porsche ยุติการทำตลาดตัวถัง Targa มาตั้งแต่ปี 1995 แล้วจึงอาจทำให้บางคนหรือคนรุ่นใหม่ยังโหยหาตัวถังแบบนี้กัน
อยู่
ความเจ๋งของ Porsche 911 Targa รุ่นทศวรรษใหม่นี้จะมีฟีเจอร์ถอดเก็บหลังคาผ้าใบแบบพับซ่อนไฟฟ้าอัตโนมัติมาให้
ส่วนขุมพลังก็ยกมาจาก 911 รุ่นมาตรฐานได้แก่ เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง 3.4 ลิตร 350 แรงม้า จับคู่เกียร์ PDK และ
เกียร์ธรรมดา ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.6 วินาทีในรุ่น 911 Targa4 ส่วนรุ่น 911 Targa 4S จะติดตั้ง
เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 400 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.2 วินาที
Subaru
Subaru WRX STI มาอวดโฉมเพื่อแสดงศักยภาพของความแรงเต็มพิกัด ภายนอกสิ่งที่แตกต่างจาก WRX แบบปกติก็คือ
ลายล้ออัลลอย, สปอยเลอร์ราวตากผ้าด้านหลัง, โลโก้ WRX STi แต่ที่ต้องมองเข้าไปลึก ๆ ก็ต้องเป็นขุมพลังจากภายใน
ด้วยเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรสูบนอน 305 แรงม้าจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเท่านั้น แรงกว่า WRX รุ่นมาตรฐานถึง 40
แรงม้า นอกจากนี้ยังมีการปรับจูนช่วงล่างให้รองรับการขับขี่ที่ดุดันมากกว่านี้
ฟีเจอร์พิเศษสำหรับ Subaru WRX STI นั่นก็คือระบบ Multi-Mode Driver Controlled Center Differential
(DCCD) ที่ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีอัตราทดเกียร์ Differential ที่แตกต่างกันตามสภาพการขับขี่และความ
ต้องการของผู้ขับขี่ เอกสิทธิ์เดียวสำหรับ WRX STI
หากใครที่ยังลังเลกับ Subaru WRX STi ขอได้โปรดให้รีบสั่งจองเพราะมีจำนวนจำกัดแค่เพียง 1,000 คันเท่านั้น
Toyota
1 ในไฮไลต์สำคัญของงาน Detroit Autoshow 2014 นี้คงจะอยู่ที่ Toyota FT-1 Concept คันนี้ เพราะหลายคน
คาดคิดว่ารถต้นแบบคันนี้แหล่ะจะต้องมากลายร่างเป็น Supra ตัวต่อไปเพื่อมาต่อกรกับ Honda NSX ตัวต่อไปและ
Nissan GT-R โฉมใหม่โดยตรง
Toyota FT-1 Concept มีชื่อย่อมาจาก “Future Toyota” ตามมาด้วยหมายเลข 1 ซึ่งถือเป็นรถคันแรกที่ถูกวิจัยและ
ออกแบบโดย Calty Design Research แรงบันดาลใจในการออกแบบก็ต้องเป็นรถ Toyota ทรงคูเป้ในอดีตนับตั้งแต่
สมัยรุ่น 2000GT, Celica, Supra, MR2 และยังนับรวมรถรุ่นใหม่อย่าง Toyota 86 อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำแรงบันดาล
ใจจากเส้นสายจากรถต้นแบบ Toyota FT-HS (2007) และ Lexus LF-LC (2012).
Alex Shen : Chief Engineer แห่ง Calty Studio เปิดเผยว่าโครงนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วซึ่งรถคันนี้จะแสดงให้
ถึงความหลงใหลในรถยนต์ของทีมงานคนรุ่นใหม่ที่ต่างระดมความใฝ่ฝันในความชื่นชอบของตนเอง และทีมงานก็มีแรง
บันดาลใจอย่างมากมาจาก Celica และ Supra
จุดเด่นของงานออกแบบ Toyota FT-1 Concept จะอยู่ที่นำสัดส่วนของรถสปอร์ตคลาสสิคมาใช้ด้วย อาทิ เสา A ถูกจับ
ร่นไปด้านหลังเหมือนกับรถยุคเก่าอย่าง 2000GT ทำให้มีทัศนวิสัยที่ดีและช่วยทำให้เข้าโค้งเสถียรขึ้น , ติดตั้งเครื่องยนต์
วางหน้า ขับหลัง ที่ออกแบบตำแหน่งห้องผู้ขับขี่ใกล้กับมุมล้อด้านหลัง เพื่อช่วยการกระจายน้ำหนักได้สมดุล, เส้นสายตัว
รถรอบคันจะยึดหลัก “Function-sculpting” ที่มีเส้นโค้ง, แนวมัดกล้าม ปีกท้ายสามารถขยับตัวได้เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว
สูงขึ้น
ภายในห้องโดยสารได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง F1 มีความตื่นเต้นและมีความเรียบง่าย พร้อมหน้าจอแสดงผลทรง 3
เหลี่ยมและมี Head Up Display ขนาดเขื่องเพื่อให้ผู้ขับขี่มองบนพื้นถนนตลอดเวลา การตกแต่งภายในห้องโดยสารจะมา
แนว minimalist ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา
Toyota ไม่ได้เปิดเผยว่ารถคันนี้จะใช้ขุมพลังแบบใด แต่ Toyota ระบุใน Press Release ว่ารถคันนี้มันทั้งไฮเทคและมี
เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ให้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ส่วน Toyota จะต่อยอดรถต้นแบบนี้ให้กลายเป็นรถคันจริงได้
เมื่อไร? คงต้องติดตามกันต่อไป
Volkswagen
Volkswagen Beetle Dune Concept มันคือ Beetle รุ่นปัจจุบันที่จับนำมาดัดแปลงและยกตัวถังให้สูงขึ้น รายละเอียด
ที่เปลี่ยนไปก็คือ โคมไฟหน้า LED เต็มรูปแบบ, เปลี่ยนกันชนหน้าใหม่หมดที่ติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าทรงแปลก, ติดชุดกาบ
ล้อรอบคันและชายล่างอลูมิเนียม ส่วนบั้นท้ายก็ดูแปลกตาไปด้วยไฟท้าย LED เต็มรูปแบบ, กันชนท้ายใหม่, สปอยเลอร์
บนฝากระโปรงท้าย และสปอยเลอร์บริเวณกระจกบังลมท้าย
Volkswagen ถึงขั้นให้นิยามเจ้า Beetle Dune Concept คันนี้ว่ามันเป็น Baja Bug แห่งศตวรรษที่ 21 กันเลยทีเดียว
พร้อมกันนี้ยังได้นำเครื่องยนต์จาก Beetle-R 2.0 ลิตร 210 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ มาสวมเพื่อความแรง
สะใจ
หลายคนคิดว่า Volkswagen จะไม่เคยใช้มุขนี้มาก่อน แต่หารู้ไม่ Volkswagen ก็เคยจับนำ Beetle ตัวถังที่แล้วมายกสูง
อวดโฉมกันในปี 2000 สมัยนั้นกระแสครอสโอเวอร์ไม่ได้มาแรงมากเหมือนในปัจจุบันทำให้ตัวรถในสมัยนั้นมีระยะ gap
จากล้อถึงขอบซุ้มล้อสูงมากตามกระแสรถยกสูงในสมัยนั้นที่จะต้องใช้ลุยได้ด้วยนั่นเอง
Volvo
Volvo Concept XC Coupe มาพร้อมกับเอกลักษณ์ด้านหน้าใหม่ด้วยโคมไฟหน้า DRL รูปตัว T รวมทั้งเส้นสายของ
กระจังหน้า, ช่องดักลมกันชนหน้าที่มีการออกแบบที่สอดรับกันอย่างพอดี จุดเด่นของการออกแบบตัวถังที่มีความสูงตัวรถ
ไม่มากนัก, มีสัดส่วนที่ดูโฉบเฉี่ยว ถึงแม้ขนาดของมันจะพอ ๆ กับ XC60 แต่ทว่างานออกแบบโดยรวมจะบ่งบอกถึงดีไซน์
XC90 ตัวต่อไป
Thomas Ingenlath รองประธานฝ่ายงานออกแบบเปิดเผยว่า รถต้นแบบคันนี้จะมีความใกล้เคียงกับ Volvo XC90 โฉม
ต่อไป แต่จะมีขนาดใหญ่กว่ารถต้นแบบแน่นอน Volvo Concept XC Coupe มันเหมือนกับจับนำ Volvo Concept
Coupe มาต่อยอดกลายเป็นรถแนวสปอร์ตครอสโอเวอร์เสียมากกว่า
Thomas Ingenlath ยังใบ้ว่าภายในห้องโดยสารของ XC90 ใหม่จะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดเท่ากับ iPad พร้อม
ระบบปฏิบัติการ Android พร้อมอินเตอร์เฟซ Sensus นอกจากนี้มันก็ยังเอสยูวีที่มีความปลอดภัยสูงสุด
Volvo Concept XC Coupe ถูกสร้างขึ้นบนชุดโครงสร้างพื้นตัวถังและงานวิศวกรรมร่วม SPA ใหม่ล่าสุด ดังนั้นจึงมี
ความเป็นไปได้ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ทั้งเบนซินและดีเซล โดยเฉพาะเครื่องเบนซินจะมีติดตั้งซูเปอร์ชาร์จ
และเทอร์โบชาร์จให้กำลัง 302 แรงม้า (BHP) ส่วนระบบ Hybrid จะมีกำลัง 400 แรงม้า (BHP) แรงบิด 600 นิวตันเมตร
ทั้งหมดคือบทสรุปของงาน Detroit Autoshow 2014 ที่คุณผู้อ่านต้องเชื่อเหลือเกินว่ามีแต่รถสปอร์ตและรถแรงมาอวดโฉมทั้งนั้นจริง ๆ
————————————————————–
ที่มาของภาพ : Autoblog.com