เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา บริษัท Automobili Lamborghini ได้เปิดตัว Lamborghini URUS ซึ่งเป็น Super SUV คันแรกของโลก ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดการผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่าง DNA ของ Lamborghini กับ รถยนต์อเนกประสงค์ SUV เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ และ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์สมรรถนะสูง ระดับเดียวกับ Supercar และ สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากลองย้อนกลับไปในอดีต ช่วงปลายยุค 1980 จะพบว่า พวกเขาเคยสร้างรถยนต์ Off-road SUV สมรรถนะสูงออกจำหน่ายกันมาแล้ว ในชื่อ Lamborghini LM002 หรือ ฉายา “Rambo Lambo”
สำหรับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ URUS นั้นได้มาจาก วัวป่า Aurochs ซึ่งเป็นต้นตระกูลของวัวบ้านพันธุ์ต่างๆ และ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับวัวกระทิงสเปนพันธุ์แท้ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน
Dimension มิติตัวรถ
- ยาว x กว้าง x สูง : 5,112 x 2,016 x 1,638 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ (wheelbase) : 3,003 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดถึงพื้น (ground clearance) : 158 – 248 มิลลิเมตร (ช่วงล่างถุงลมปรับความหนืดได้- Air Suspension)
- ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย : 616 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง เพิ่มเป็น 1,596 ลิตร)
- น้ำหนักตัวรถประมาณ 2,200 กิโลกรัม
Engine เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร 3,996 ซีซี. Bi-Turbo Twin-scroll กำลังสูงสุด 659 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 4,500 รอบ/นาที (Redline ที่ 6,800 รอบ/นาที) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (with front differential, center differential แบบ Torsen และ active torque vectoring rear differential) ความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร ปล่อย CO2 : 290 g./km.
ด้วยขุมพลังบล็อกนี้เอง ทำให้ Lamborghini URUS กลายเป็นรถยนต์ SUV ที่เร็วและแรง ที่สุดโลก โค่น Bentley Bentayga ที่เคยครองตำแหน่งนี้มาก่อน
Lamborghi URUS สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 3.6 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 12.8 วินาที และ ทำความเร็วสูงสุด Top Speed 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ภายนอก Exterior
รูปลักษณ์ภายนอกของ URUS ถูกถ่ายทอดมาจากรถต้นแบบชนิดที่เรียกว่าถอดรูปกันมาเลยทีเดียว เน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ หากสังเกตบริเวณด้านหน้าจะพบกับ ช่องดักลมขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ป้อนอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของขุมพลังที่ซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรง แนวเส้นหลังคาออกแบบมาให้มีความลาดเอียง และกระจกแบบไร้กรอบ ส่วนด้านท้าย มาพร้อมกับชุดดิฟฟิวเซอร์ และท่อไอเสียคู่ ทั้ง 2 ฝั่ง
ไฟหน้า และ ไฟท้าย เป็นแบบ LED แนวนอน ในรูปแบบ Lamborghini Y ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นอกจากนี้ช่องระบายอากาศด้านข้าง เหนือซุ้มล้อคู่หน้า ยังมีการประดับสัญลักษณ์ที่มีสีธงชาติอิตาลี เพื่อบ่งบอกถึงต้นกำเนิดรุ่นนี้ด้วย
ภายใน Interior
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาราวกับห้องควบคุมของนักบิน เน้นการใช้รูปทรง 6 เหลี่ยม ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ทั้งมาตรวัด ช่องแอร์ จอแสดงผล รวมถึงพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน มัลติฟังก์ชั่น ที่ติดตั้งระบบลดแรงสั่นสะเทือนมาให้ด้วย
การตกแต่งภายใน บุด้วยหนัง Unicolor สีดำ Nero Ade และ สีเทา Grigio Octans เบาะนั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต ปรับด้วยไฟฟ้า 12 ทิศทาง เป็นมาตรฐาน และสามารถเลือกติดตั้งเบาะนั่งแบบพิเศษ ปรับด้วยไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศ และระบบนวดด้วยไฟฟ้าได้ ส่วนเบาะหลังสามารถพับเก็บได้ และมีจุดยึด ISOFIX ให้ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้จะมีการจัดวางตำแหน่งเบาะนั่งที่ค่อนข้างต่ำ ตามแบบฉบับรถ Supercar แต่ด้วยฐานล้อที่มีความยาวถึง 3,003 มิลลิเมตร ผู้โดยสารจะยังคงสัมผัสได้ถึงความสบายอยู่ไม่น้อย
การเชื่อมต่อ และระบบ Lamborghini Infotainment System III (LIS)
การเชื่อต่อ และ ระบบ Lamborghini Infotainment System ประกอบไปด้วยหน้าจอ Toucscreen จำนวน 2 จอ บริเวณกึ่งกลางแดชบอร์ดหน้า ซึ่งในส่วนของจอด้านบน ใช้สำหรับระบบความบันเทิง เช่น ระบบความบันเทิง, ระบบนำทาง, โทรศัพท์ และ ข้อมูลเกี่ยวตัวรถ
ส่วนจอด้านล่าง ใช้สำหรับป้อนข้อมูล และ ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ รวมถึงระบบอุ่นเบาะนั่ง ส่วนการเล่นเพลง ต่อสายโทรศัพท์ หรือส่งข้อความ สามารถสั่งงานได้ด้วย ระบบสั่งงานด้วยเสียง
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นๆ ให้เลือกใช้ ทั้งช่องวางโทรศัพท์พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย Wireless Charging, หน่วยความจำส่วนบุคคล, การเชื่อมต่อ USB, การเชื่อมต่อ Bluetooth, เครื่องเล่น DVD และระบบเสียง รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์, เครื่องอ่านการ์ด DAB และ CI, หน้าจอ head-up display, Lamborghini Smartphone Interface, หน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และ ระบบเชื่อมต่อ Lamborghini Connect รองรับการเชื่อมต่อกับ smartphone ทั้ง Apple CarPlay TM และ Android Auto
ชุดเครื่องเสียงแบบมาตรฐาน ประกอบด้วยลำโพง 8 ตัว แต่หากไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็มีชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ กำลังขับ 1,700 วัตต์ ประกอบด้วยลำโพงถึง 21 ตัว ซึ่งผลิตโดย Lamborghini, Fraunhofer IIS และ HARMAN มาให้เลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษได้อีกด้วย
โครงสร้างแชสซีส์
Lamborghini URUS ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม MLB Evo Platform เช่นเดียวกันกับ Audi Q7 และด้วยความตั้งใจความทีมวิศวกรออกแบบและพัฒนา ที่มุ่งหวังการลดน้ำหนักทั่วทั้งโครงสร้างตัวรถ เพื่อให้มีสมรรถนะการขับขี่โดยรวมที่ดี จึงมีการออกแบบ และเลือกใช้วัสดุโลหะผสม และเหล็กกล้า ทำให้มีน้ำหนักตัวรถต่ำกว่า 2,200 กิโลกรัม
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ torque vectoring
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถกระจายกำลังสู่ล้อคู่หน้า และ คู่หลัง 40/60 ในการขับขี่แบบปกติ นอกจากนั้น หากต้องการแรงเสียดทานที่เพลา Differential Lock ก็ยังสามารถกระจายกำลังไปยังล้อคู่หน้า ได้สูงสุด 70% และล้อคู่หลัง ได้สูงสุด 87%
ระบบ Active Torque Vectoring ที่ช่วยกระจายแรงบิดสู่ล้อแต่ละล้อ เพื่อให้สามารถเข้าโค้งได้แม่นยำขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่แต่ละรูปแบบด้วย เช่น ในโหมด STRADA, TERRA และ NERVE ระบบจะกระจายแรงบิดไปยังล้อด้านนอกมากกว่าด้านใน เพื่อลดอาการ understeer และในโหมด SPORT และ CORSA ระบบจะกระจายแรงบิดไปยังล้อแต่ล้อ เพื่อยอมให้รถมีอาการ oversteer เพิ่มความสนุกสนาน เร้าใจให้ผู้ขับขี่
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ที่เคยใช้กับ Aventador S ก็ถูกนำมาติดตั้ง URUS ด้วยเช่นกัน โดยจะมีการทำงานแตกต่างกันในช่วงความเร็วต่ำ และ ความเร็วสูง ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ ในช่วงความเร็วต่ำ องศาการเลี้ยวของล้อคู่หลังจะแปรผกผัน กับล้อคู่หน้า สูงสุด 3 องศา เพื่อช่วยให้รัศมีวงเลี้ยงแคบลง และในช่วงความเร็วสูง องศาการเลี้ยวของล้อคู่หลังจะแปรผันตรง กับล้อคู่หน้า สูงสุด 3 องศา เพื่อช่วยให้การเข้าโค้งมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
Tamburo โหมดการขับขี่ 6 รูปแบบ
โหมดการขับขี่ ANIMA สามารถเลือกใช้ตามลักษณะพื้นผิวถนน หรือ รูปแบบการขับขี่ ดังนี้
- STRADA ใช้ขับแบบปกติ หรือเทียบเท่า Normal-Comfort ของค่ายอื่น ความสูงของตัวรถจะถูกปรับโดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับความเร็ว เพื่อเพิ่มความนุ่มสบาย
- SPORT ความสูงของตัวรถจะถูกปรับลงมาในระดับต่ำสุด เพื่อให้มีเสถียรภาพ และความแม่นยำ ในการบังคับควบคุม
- CORSA โหมดเล่นแรง สับเกียร์กระชาก ช่วงล่างแข็ง เสียงท่อดัง ระบบควบคุมการทรงตัวจะยอมให้รถเสียอาการเล็กน้อย
- TERRA (off-road)
- NEVE (snow)
- SABBIA (sand)
ในส่วนของโหมดการขับขี่แบบ off-road ทั้ง 3 แบบ (TERRA, NERVE, SABBIA) ตัวรถจะถูกยกสูงขึ้น เพื่อเพิ่มระยะ ground clearance และเพิ่มการทำงานของ anti-roll bar และ เพื่อเอาใจลูกค้าที่ชอบปรับแต่งการตอบสนองของส่วนต่างๆ ในรถตัวเอง ตามแบบที่ตัวเองชอบ ก็สามารถทำได้ในโหมด EGO ระบบกันสะเทือนถูกปรับตั้งมา ให้ damper valve สามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการขับขี่ ทั้งแบบ ANIMA และโหมด EGO
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS)
ระบบ ADAS จะทำหน้าที่อย่างครอบคลุมทั้งในส่วนของการป้องกันอุบัติเหตุ รักษาความปลอดภัย และช่วยเหลือผู้ขับขี่ ประกอบไปด้วย ระบบไฟสูงอัตโนมัติ, เซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบชะลอความเร็ว, ระบบรายงานสภาพการจราจร, กล้องมองภาพมุมสูง และการใช้งานโหมดลากจูง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีกุญแจแบบ Keyless start ที่ไม่เพียงแค่อนุญาตให้ผู้ขับขี่สตาร์ทเครื่องยนต์โดยการกดปุ่ม หรือ การล็อคและปลดล็อคประตูได้เท่านั้น แต่ยังสามารถตั้งค่าโปรแกรมการทำงานของเบาะนั่ง โหมดการขับขี่แบบ EGO หรือแม้กระทั่งระบบ infotainment ได้ล่วงหน้า สำหรับผู้ขับขี่แต่ละคนได้อีกด้วย
เพื่อให้ง่ายต่อการบรรทุกสัมภาระ บานประตูหลังนั้นก็สามารถทำได้ โดยการกดปุ่มที่บานประตูฝั่งคนขับ และบานประตูหลัง หรือการใช้เท้าเตะไปที่บริเวณใต้ท้อง
ระบบเบรก และ ล้อ
ระบบเบรกมาตรฐาน สำหรับ Lamborghini URUS มาพร้อมกับจานเบรกแบบคาร์บอนเซรามิค (CCB) คู่หน้า ขนาด 440 x 40 มิลลิเมตร และ คู่หลัง ขนาด 370 x 30 มิลลิเมตร เพื่อรองรับการเบรกอย่างต่อเนื่อง และ รุนแรง ทั้งในย่านความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งในสนามแข่ง
- ล้อคู่หน้า ขนาด 21 นิ้ว 9.5J x 21” ถึงขนาด 23 นิ้ว 10J x 23” พร้อมยาง Pirelli P Zero ขนาด 285/45 R21 ถึงขนาด 285/35 R23
- ล้อคู่หลัง ขนาด 21 นิ้ว 10.5J x 21″ ถึงขนาด 23 นิ้ว 11.5J x 23″ พร้อมยาง Pirelli P Zero ขนาด 315/40 R21 ถึงขนาด 325/30 R23
ราคาจำหน่ายเริ่มต้นของ Lamborghini URUS ในประเทศต่างๆมีดังนี้
- ยุโรป ราคาเริ่มต้น EUR 171,429 (ประมาณ 6,632,000 บาท)
- อิตาลี ราคาเริ่มต้น EUR 168,852 (ประมาณ 6,532,000 บาท)
- อังกฤษ ราคาเริ่มต้น GBP 131,500 (ประมาณ 5,771,000 บาท)
- สหรัฐอเมริกา ราคาเริ่มต้น USD 200,000 (ประมาณ 6,516,000 บาท)
- จีน ราคาเริ่มต้น RMB 3,130,000 (ประมาณ 15,416,000 บาท)
- ญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้น YEN 25,740,000 (ประมาณ 7,456,000 บาท)
สำหรับราคาจำหน่ายในประเทศ ที่รวมภาษีของบ้านเราแล้ว คาดว่าคงจะอยู่ในช่วงใกล้เคียงกับ Bentley Bentayga ที่เปิดตัวในไทยช่วงเดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา กับราคาเริ่มต้น 24,500,000 บาท
ที่มา : Lamborghini