ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ปี 2017 ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จากสถานการณ์ของประเทศที่เริ่มนิ่งขึ้นบ้าง และ ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ก็เริ่มดีขึ้น แม้ในบางภาคธุรกิจ อาจยังซบเซาอยู่ แต่หลายๆภาคส่วนก็มองเห็นถึงการเจริญเติบโต เพิ่มขึ้นจากปี 2016

แนวโน้มที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีนี้ นั่นคือ ความนิยมในรถยนต์นั่งกลุ่ม SUV ทั้งขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ การเติบโต ของกลุ่ม Sub-Compact (B-Segment) Crossover SUV ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ต่อเนื่องจากปี 2015 – 2016 เฉพาะแค่ในยุโรป ยอดขายปีก่อนนั้น ทำได้มากถึง 1.1 ล้านคันต่อปี มีสัดส่วนมากถึง 7% เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ประเภทอื่น ๆ และมีแนวโน้มว่าตลาด B-SUV จะมียอดขายพุ่งสูงถึง 2 ล้านคัน/ปี ภายในปี 2020

อีกกระแสสำคัญ ก็คือ การที่ประชาคมสื่อมวลชน และ ผู้นำความคิด หรือผู้นำธุรกิจจากทั่วโลก ต่างมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้ง Hybrid , Plug-in Hybrid หรือ EV (อีเวร..เอ้ย Electric Vehicle) จะเริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมให้กับผู้บริโภค เพื่อเตรียมนำเทคโนโลยี รถยนต์ขับขี่เองอัตโนมัติ Autonomous Drive พร้อมกับระบบ Ai (Artificial Intelligence) เข้ามาใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป

หลายๆคนมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า Pure EV (Electric Vehicles) จะเป็นกระแสที่กลายเป็นความจริง เร็วกว่าคาดคิด ทว่า เราคนไทยยังไม่ได้ถามตัวเองกันมากพอเลยว่า เราพร้อมแล้วจริงๆเหรอ? ที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า

สิ่งที่เราอยากเห็นภาครัฐ ดำเนินงานควบคู่ไปกับภาคเอกชน ในช่วงที่เรากำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์พลังงาน Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วน เต็มรูปแบบ นอกเหนือจากการให้ความรู้กับประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ถึงคุณประโยชน์ และข้อควรระวังในการใช้งานรถยนต์เหล่านี้แล้ว เราควรเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จไฟแบบเร่งด่วน (Quick Charge) ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการที่จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น อาจต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน ในการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จไฟ หรือ ตู้ชาร์จตามบ้าน มาผลิต/ประกอบในประเทศไทย เป็นกรณีพิเศษในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งเพื่อการจำหน่ายในประเทศ และ การส่งออกไปยังต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ องค์ความรู้ ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ เพื่อผลิตบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และ เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง การดูแลรักษา ไปจนึงการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องคิดและวางแผนเรื่องการกำจัดของเสีย แบตเตอรี่ชำรุดหมดอายุการใช้งาน และ ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นระบบ เข้มงวด รัดกุม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้น้อยที่สุดอีกด้วย

สำหรับแนวโน้มของตลาดรถยนต์ในปีนี้ น่าจะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น จากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรุ่นหลังสำคัญๆ ของปีนี้ ในกลุ่ม B-Segment Crossover SUV ซึ่งจะเป็นการห้ำหั่นกัน ระหว่างแชมเป์เก่า Honda HR-V ซึ่งจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange เพื่อรับมือกับน้องใหม่ Toyota C-HR ที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ด้วยกันทั้งคู่

ขณะเดียวกัน ตลาดรถกระบะจะยังไม่โดดเด่นนัก มีเพียงแค่การปรับโฉม เพิ่มอุปกรณ์ เพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ กันแทบทุกค่าย เพื่อประวิงเวลา รอความตื่นเต้นครั้งใหม่ที่จะไปเกิดขึ้นอีกที ในปี 2020

อีกแนวโน้มหนึ่งที่เราจะได้เห็นกันในปีนี้ คือ ตลาดรถยนต์ SUV/PPV ที่จะได้เวลาปรับโฉม Minorchange พร้อมเพรียงกันทุกค่าย รวมทั้งการมาถึงของน้องใหม่ อย่าง Nissan Terra ที่จะเข้ามาขอร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดกับเขาด้วย หลังจากที่ปลอ่ยให้ชาวบ้านชาวช่องเขาอิ่มหนำสำราญมานานเป็นสิบปีเข้าไปแล้ว

ส่วนตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก จะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงจริงจังในปี 2019 เมื่อรถยนต์ B-Segment แบบปกติ อาจถูกรวมเข้ากับ ECO-Car ด้วยเหตุจากแรงจูงใจด้านภาษีสรรพสามิต จึงทำให้ผู้ผลิตทั้งหลาย พากันลดความจุกระบอกสูบ Downsizing แล้วเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้น ผู้ผลิตที่ล้าหลัง ปรับตัวช้ากว่าชาวบ้าน อาจอยู่ไม่รอดในระยะยาว กระนั้น บรรดารถยนต์ขนาดเล็กทั้งหลาย จะเริ่มทะยอยเปิดตัวในบ้านเรา นับจากปี 2018 นี้ ต่อเนื่องไปจนสิ้นปี 2019

———————————-

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีก่อน และ สรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมทั้ง Update ข้อมูลการพัฒนา รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา Headlightmag.com เป็นประจำในช่วงเดือนมกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ของผู้คนที่ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา

ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากปี 2018 นี้ จนถึงปี 2021 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่างทุกข้อสงสัย มีคำตอบให้คุณได้อ่านกันแล้ว…ข้างล่างนี้…!

—————————————–

***หมายเหตุ***

1. ปีนี้ บางค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด อาจมีเพียงแค่รุ่นกระตุ้นตลาดเท่านั้น แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ในบทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2019 แต่ละค่ายเหล่านั้น จะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง

2. ปีนี้ เรายังคงขอถอด Alfa Romeo, Citroen , Fiat, Lotus, McLaren, Peugeot, Proton ,Skoda รวมทั้ง Volkswagen ออกจากบทความ เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้เลยจริงๆ และตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา แทบทุกแบรนด์ที่เอ่ยนามมาข้างต้น ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในตลาดบ้านเราเลย Alfa Romeo กับ Fiat ทางพระนครยนตรการ ยังคงมีศูนย์บริการอยู่ แต่เริ่มโละขายอะไหล่ทิ้งไปเยอะแล้ว ทางฝั่ง Peugeot อาจมีรถยนต์รุ่นใหม่ ออกขายอยู่ แต่ยากเกินจะสืบหาแนวทางว่าจะนำรถยนต์รุ่นใดเข้ามาจำหน่ายในอนาคต ขณะเดียวกัน Proton ก็ดูเงียบไป และ Citroen กับ Skoda ได้ยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2017 ที่ผ่านมา อย่างน่าเสียดายยิ่ง เหตุผลที่เราพอบอกได้ก็คือ ” มีปัญหาภายในองค์กรหลายประการ ”

ขณะเดียวกัน Volkswagen ก็ยังคงนิ่งเงียบ แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆมาให้โลกภายนอกได้รับรู้กันบ้างเลยว่า ตกลงแล้ว จะยังคงวางแผนบุกตลาดเมืองไทยเองอยู่ตามเดิมหรือเปล่า ? มีเพียงแค่ ปล่อยให้ตัวแทนจำหน่าย ในบ้านเรา (ไทยยานยนตร์) ขายแต่รถตู้ Caravelle รุ่นล่าสุดกันต่อไป เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น เท่ากับว่า ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดนอกเหนือจากนี้

ส่วนค่ายรถยนต์จากประเทศจีน ซึ่งเพิ่งตื่นนอน กำลังเตรียมอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเริ่มทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจัง ทั้ง BYD, Geely, Foton ฯลฯ ขอยังไม่นำมารวมในครั้งนี้ เนื่องจากนโยบายต่างๆของบริษัทเหล่านี้ ไม่ค่อยจะนิ่งพอ

อย่างไรก็ตาม เราขอนำ Tata Motors กลับเข้ามาอยู่ในรายชื่อของบริษัทรถยนต์ที่จะมีความเคลื่อนไหวในบ้านเราต่อไปอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขากำลังพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ ที่มีกำหนดจะเปิดตัวทั่วโลก ราวๆ ปี 2019 ขึ้นไป

3. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูลที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบ และ/หรือ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใดรายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม

คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจากอคติ ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว

4. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2018 ถึง 31 ธันวาคม 2018 เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2019 – 2022 ในเดือน มกราคม 2019

5. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ [email protected] เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ในทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์ Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า หรือนำบทความนี้ไปดัดแปลงเป็นบทความของตนเอง ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปทั้งดุ้น หรือ Copy ไปดัดแปลง ตกแต่งแก้ไข เพื่อโพสต์ใน Website หรือ Facebook ของตนเองกันโครมๆ เรารู้นะ ว่าคุณชอบลอก ชอบก๊อปไปฟรีๆ ! ปีก่อนๆ ก็จัดการกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย ! มักง่าย ! แค่ส่งอีเมลล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ เราก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่ ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ !

แต่สำหรับพวกที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อมวลชน บางจำพวก ถ้าจะให้ดี ก็หัดหาข้อมูลเอง เขียนบทความเอง กันเสียบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะลอกงานคนอื่นเขาไปเรียกยอดเพจยอด Like บ้าบอคอแตกกันอย่างหน้าด้านๆ ตามกมลสันดานที่มีมาแต่กำเนิดของคุณ!!)

ASTON MARTIN / LAGONDA

  • 2018 : All New Vantage / DB11 Volante (For Thailand)
    : Next Vanquish
  • 2019 : DBX Crossover / Rapide E “Pure EV”
  • 2020 : DBS Volante / LAGONDA Saloon
  • 2021 : LAGONDA SUV

ออกจะเป็นเรื่องประหลาดอยู่สักหน่อย ที่ Aston Martin เปิดตัวรถสปอร์ต GT ของตน ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน เริ่มต้นด้วยวันที่ 15 ตุลาคม 2017 กับ DB11 Volante (เวอร์ชันเปิดปะทุน ของ DB11 ซึ่งเพิ่งบินมาเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงงาน Bangkok Interntaional Motor Show มีนาคม 2017) จากนั้นก็ตามด้วยรุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของน้องเล็กรุ่นทำเงินประจำตระกูล อย่าง All New Vantage ที่คลอดตามมาติดๆ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา จนชวนให้แอบคิดเล่นๆว่า ตกลงนี่ Aston Martin หรือ Toyota Yaris กันแน่? (Yaris ATIV เปิดตัว 15 กรกฎาคม 2017 ก่อนตามด้วย Yaris ปกติ ในอีก 1 เดือนถัดมาพอดี)

DB11 Volante วางขุมพลังเดียวกัน ร่วมกันกับ DB11 รุ่นหลังคาแข็ง กับเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 3,982 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo 510 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 675 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมแป้น Paddle Shift เสริมด้วย Limited Slip Differential, ระบบควบคุมแรงบิด Dynamic Torque Vectoring, พวงมาลัยไฟฟ้า EPS และ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ ส่วนโครงสร้างแข็งแรงกว่ารุ่นก่อนหน้า 5% แต่กลับมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม 26 กิโลกรัม

New Vantage ใหม่ เป็นน้องเล็กในตระกูลที่ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานความร่วมมือระหว่าง Aston Martin กับ Mercedes-AMG วางเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว ขนาด 4.0 ลิตร กำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo พร้อม Intercooler ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราทดเฟืองท้าย 2.93 ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 313 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แชสซีส์ของ All NEW Aston Martin Vantage เป็นแบบอะลูมิเนียม ซึ่งพัฒนาต่อมาจาก DB11 แต่ 70% ของแชสซีส์ที่ใช้รถยนต์คันนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ทำให้มีน้ำหนักเบา และ แข็งแรง โดยมีน้ำหนักตัวถัง 1,530 กิโลกรัม (หากเลือก Lightweight Option) ส่วนอัตราการกระจายน้ำหนักหน้า : หลัง อยู่ในสัดส่วน 50 : 50

DB11 Volante จะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2018 และ ถ้าโชคดี เราอาจได้เห็นรถคันนี้ มาจอดอยู่ในบูธของ Aston Martin กลางงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018

ส่วน All New Vantage จะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าชาวยุโรป ได้ในช่วง ไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 นั่นหมายความว่า กว่าที่คนไทยจะได้ยลโฉมคันจริง ก็คงต้องรอจนถึงงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ล่วงเข้าสู่ปี 2019 จะถึงเวลาของ Aston Martin DBX Coupe Crossover คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่า SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา จะนำพาให้บริษัทรถยนต์ขนาดเล็กที่มีอายุ 104 ปี ซึ่งผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่ามาอย่างโชกโชน พลิกฟื้นพุ่งขึ้นสู่ความสำเร็จกันเสียที

ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็คือ งานออกแบบเวอร์ชันจำหน่ายจริง ทั้งภายนอก และ ภายใน ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ตัวรถคันจริงจะถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจากรถต้นแบบ Aston Martin DBX Concept ที่เผยโฉมในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2015 ทว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง ก็จะมีหลายสิ่งที่แตกต่างไป

Andy Palmer CEO ของ Aston Martin (อดีต ผู้ดูแลการตลาดรถกระบะ Nissan Navara ช่วงปี 2013 ก่อนย้ายไปอยู่กับ Aston Martin ในเดือนตุลาคม 2014) กล่าวว่า DBX จะมาในรูปแบบตัวถัง Crossover SUV 5 ประตู ที่มีแนวหลังคา สูงกว่าเวอร์ชันต้นแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง จะติดตั้ง ขุมพลังเบนซิน V8 เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 4 ล้อ แต่ถ้าปฏิกิริยาจากลูกค้า เรียกร้องเพิ่มเติมละก็ เราอาจได้เห็น เครื่องยนต์ V12 แบบแรงๆ เพื่อเอาใจลูกค้าที่ไม่แคร์เรื่องค่า CO2 ทันที

ด้านบุคลิกการขับขี่ Palmer มองและเทียบกับ Porsche Macan โดยยืนยันว่า DBX จะเป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดา SUV ทุกรุ่นในตลาดโลก

แน่นอนว่า โรงงาน St Athan ในแคว้น Wales จะถูกปรับปรุงขนานใหญ่ รวมทั้งมีการจ้างงานเพิ่มอีก 750 ตำแหน่ง เพื่อรองรับกับงานเตรียมสายการผลิตของ DBX ให้ทันต่อการเปิดตัวในปี 2019

พอย่างเข้าปี 2020 Andy Palmer ยืนยันแล้วว่า Aston Martin จะมีรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว ออกมาให้ชาวโลกได้น้ำลายหกกัน โดยจะถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีขนาดเล็กกว่ารถสปอร์ต Aston Martin Valkyrie (รหัสโครงการ AM-RB 001) ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017

อย่างไรก็ตาม หลังจาก เปิดตัว Rapide-E เวอร์ชันไฟฟ้า แล้ว ดูเหมือนว่า Aston Martin ก็ไม่มีแผนจะทำอะไรกับ Sport Saloon 4 ประตู รุ่นนี้กันอีก เพราะดูเหมือนว่า พวกเขาอยากจะผลักดันแบรนด์เก่าที่เตรียมชุบชีวิตให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งอย่าง Lagonda มากกว่า ถึงขั้นระบุเอาไว้ในแผนงานเลยว่า Lagonda จะเริ่มต้นด้วย รถยนต์ Saloon 4 ประตู ระดับ ไฮโซ ในปี 2020 หลังจากนั้น จึงจะเป็นคิวของ SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Platform เดียวกันกับ รุ่น Saloon ในปี 2021

ทั้งหมดนี้ เชื่อแน่ว่า MGC ในกลุ่ม Millennium เขาคงเตรียมพร้อมจะ สั่งเข้ามาเอาใจเศรษฐีเมืองไทยกันเรียงลำดับตามปีที่เปิดตัว เพียงแต่ว่า อาจต้องรอคิวจากลูกค้าฝั่งยุโรปกันนานสักหน่อย แต่มาช้า ก็ยังดีกว่า ไม่มาเลย


Audi

  • 2018 : A6 / A7 Sportback / A8 / e-tron SUV
  • 2019 : Q8 / A3

การเปลี่ยนตัวผู้จำหน่ายหลัก จากกลุ่มยนตรกิจ เดิม มาเป็น บริษัท Meister Technik จำกัด เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นชัดเจน จากนโยบายที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด รับประกัน 5 ปี 150,000 กิโลเมตร และจะรับซ่อม Audi ทุกคันในประเทศไทย ไม่ว่าจะซื้อจากที่ไหนมาก่อน (ถ้าซื้อจากผู้จำหน่ายรายเดิม เข้าซ่อมได้เลย แต่ถ้าซื้อจากพ่อค้ารายย่อย หรือ Grey Market อาจมีค่าแรกเข้าบ้างตามแต่ละรุ่นย่อย) ปริมาณรถยนต์ 4 ห่วง บนถนนเมืองไทย เริ่มกลับมาหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันอาจจะต้องใช้เวลาพอๆกับ การปลูกผมบนศีรษะของคนหัวล้าน แต่ด้วยฝีมือหมอที่เคยผ่านยุทธภพการทำตลาด Mercedes-Benz ในบ้านเรามาก่อน ก็น่าจะช่วยให้ ประชากร Audi ในเมืองไทย ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ มั่นคง พอๆกับเส้นผมเกิดใหม่ที่ถูกฝังรากหยั่งลึกลงไปใต้หนังศีรษะ

ปีที่แล้ว เราได้เห็นกองทัพ Audi รุ่นต่างๆ ทะยอยกันขนส่งมาเปิดตัวในบ้านเรากันหูดับตับไหม้ เริ่มจากช่วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อ 22 มีนาคม 2017 ขนกันมารวดเดียว 13 รุ่น กับ TT, A4 Saloon, A5 Coupe, A6, R8 , Q2 , Q3 , Q5 , Q7  โดยระหว่างปี ก็มีการปรับราคา และ สเป็ก ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอยู่เรื่อยๆ ในบางรุ่น บางโมเดล

(รายละเอียดของรุ่นรถยนต์ และแผนบริการหลังการขาย รวมทั้งการขยายโชว์รูม คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE)

จากนั้น พอถึง Motor Expo ทาง Meister Technik ก็ยังส่ง TTS , A5 Sportback และ A4 Avant Black Edition มาให้พ่อบ้านสายโหดได้น้ำลายหกกันเป็นแถว

สำหรับปี 2018 นั้น ทุกรุ่นที่ยังไม่ได้นำมาเปิดตัวในบ้านเรา จะถูกทะยอยสั่งนำเข้ามาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็น A6 Avant , A7 Sportback รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป รวมทั้งพี่ใหญ่สุดหรูอย่าง A8 โดยช่วงแรกจะยังเป็นเครื่องยนต์เบนซินปกติก่อน และ เป็นไปได้ว่า เราอาจได้เห็นรุ่น A8 Plug-in Hybrid ให้เลือกด้วยในภายหลัง

ขณะที่เมืองนอก จะมีการเปิดตัว e-tron SUV พลังไฟฟ้าล้วน ในปีนี้ แต่สำหรับบ้านเรา ยังไม่แน่ว่า Audi AG จะพร้อมส่งรถมาให้เมืองไทย หรือไม่

และ เมื่อถึงปี 2019 ที่สุดแห่ง SUV อย่าง Q8 จะพร้อมเปิดตัวสู่ตลาดโลก โดยวางตำแหน่งให้เหนือชั้นกว่า Q7 เพื่อมาท้าชนกับ BMW X7 ,Mercedes-Benz GLS และ Range Rover รุ่นมาตรฐาน ไม่เพียงเท่านั้น ตระกูล Compact อย่าง A3 ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในช่วงปลายปี 2019 อีกด้วย เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลตัวรถ คงต้องรอให้เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งก่อน


BENTLEY

  • 2018 : New Continental GT Coupe / Convertible
  •            : Bentayga Plug-in Hybrid

ปีที่แล้ว AAS Auto Service ผู้นำเข้า และ จำหน่าย Bentley อย่างเป็นทางการในบ้านเรา สั่งนำเข้า Bentley Bentayga SUV ที่ได้ชื่อว่า เร็ว แรง และ แพงที่สุดในโลก (ก่อนที่จะถูก Lamborghini URUS ชิงตำแหน่งแทนในขณะนี้) เข้ามาอวดโฉม และ เปิดให้อภิมหาเศรษฐีเมืองไทยได้จับจองกันอย่างเป็นทางการ เมื่อ 21 มิถุนายน 2017 ที่ผ่านมา ด้วยป้ายราคา เริ่มต้น 24.5 ล้านบาท แน่นอนว่า ขายดีในระดับที่สามารถพบเห็นบนถนนทองหล่อได้หลายคันไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว !

ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 AAS ประกาศ เปิดรับจอง Bentley Continental GT ใหม่ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดายว่า ตัวรถคันจริง ยังไม่มาโผล่ให้เห็นกันในงาน

Bentley Continental GT ใหม่ เป็นรุ่นที่ 2 เผยโฉมครั้งแรกในโลก Online เมื่อ 29 สิงหาคม 2017 ก่อนจะถูกนำไปเปิดผ้าคลุม ณ งาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 Wolfgang Durheimer ประธานบริหารของ Bentley กล่าวว่า ” Continental GT รุ่นล่าสุดนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพ ความหรูหรา และ เทคโนโลยี ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ”

เครื่องยนต์ เป็นแบบเบนซิน W12 สูบ DOHC  5,950 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 89.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 Direct Injection TSI (Twin Turbo) 635 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ ของ ZF ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ส่งกำลังแบบ 40 : 60 ปล่อย CO2 ที่ 278g./km.

จุดเด่นอยู่ที่แผงหน้าปัดแบบ Driver-focused instrument panel และ Bentley Rotating Display หน้าจอ Touch Screen 12.3 นิ้ว ที่สามารถสั่ง ให้หมุนปิดหน้าจอด้วยแผงลายไม้แท้กลมกลืนเรียบเนียน หรือหมุนเปลี่ยนเป็นมาตรวัดทรงกลมแบบเข็มสามช่องสไตล์คลาสสิก

รายละเอียดตัวรถเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ที่นี่ / CLICK HERE 

เศรษฐีชาวไทย น่าจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Continental GT ใหม่ อย่างเร็วที่สุด คือไตรมาสแรกของปี 2018 ก่อนงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ส่วนรุ่นเปิดประทุน อาจจะตามมาในปลายปี 2018

หลังจากนั้น Bentley มีแผนจะส่ง Bentayga ขุมพลัง Plug-in Hybrid ออกสู่ตลาดโลกภายในช่วงต้นปี 2018 เพื่อตอบรับกระแสความนิยมรถยนต์พลังไฟฟ้า ทั้ง EV / Plug-in Hybrid ในหมู่ชนชั้นสูง ที่เพิ่มมากขึ้น ทั่วโลก และแน่นอนว่า เราอาจได้เห็น Bentayga Plug-in Hybrid มาเปิดตัวในเมืองไทย ตามเกาะติดตลาดโลก ภายในปี 2018 หรืออย่างช้าสุด ต้นปี 2019

BMW / MINI

  • 2018 : X2 / 3 Series Full Model Change / MINI LCi
  • 2019 : X7 / X5 / 4 Series Full Model Change / MINI-e

5-Series G30 คือพระเอกของ BMW (Thailand) ในปีที่แล้ว เปิดตัวกันตั้งแต่งาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2017 ซึ่งมีรถยนต์เปิดตัว ทั้ง 320d M Performance, 320d GT LCI, 740Le Luxury Pure Excellence Plug-in Hybrid , M760Li xDrive และ i8 Protonic Dark Silver Edition

นอกจาก 5-Series ใหม่ จะสร้างยอดขาย จนคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz E-Class แอบมองค้อน เข้าให้แล้ว ค่ายใบพัดสีฟ้าเอง ก็ดูเหมือนจะทำนายตลาดผิดพลาด สั่งนำเข้า 520d Luxury มาตุนไว้เยอะมาก แต่พอเอาเข้าจริง 530i ที่สั่งเข้ามาน้อยกว่า กลับขายดีกว่า หมดเร็วกว่า เล่นเอาตาเหลือกกันพักใหญ่ ก่อนจะมีรุ่น 520d M Sport ประกอบในไทย เมื่อ 1 สิงหาคม 2017 ตามด้วย 530e Plug-in Hybrid ทั้ง Luxury และ M Sport ที่โผล่มาจ้ะเอ๋ ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ร่วมกับทั้ง X3 ใหม่ G01 Generation ที่ 3 (xDrive20d), 630d GT M Sport , M2 LCI , M4 LCi , 320d GT M Sport , 330e Iconic , i8 Protonic Frozen Yellow Edition ถ้านับรวมกับงานก่อนหน้านี้ ถือว่า BMW (Thailand) ขยันเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่มากสุดในตลาด จนแทบจะตีคู่มากับ ค่ายรถยนต์ตราดาว เพื่อนร่วมชาติ กันเลยทีเดียว ต่างกันแค่ จัดงานเปิดตัวไม่บ่อยเท่า แค่นั้นเอง

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปี 2017 เกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และ ภาษีนำเข้า ที่จัดเก็บโดยศุลกากร ทำให้ BMW (Thailand) จำเป็นต้องออกมาตรการใหม่ ปรับลดกลไกการคิดราคาโปรแกรมบำรุงรักษา BSI (BMW Service Inclusive) แบบใหม่ จาก 5 ปี 100,000 กิโลเมตร เหลือ 3 ปี 60,000 กิโลเมตร และถ้าลูกค้าอยากซื้อโปรแกรมเพิ่ม ก็ทำได้ตามแต่ละเงื่อนไขที่ต่างกันไป

รายละเอียดของ โปรแกรมบำรุงรักษา BSI แบบใหม่ อ่านได้ที่นี่ CLICK HERE

สำหรับปี 2018 BMW (Thailand) เตรียมเสริมทัพตระกูล SUV สายพันธุ์ X ของตน อย่างฉับไว ด้วยการเตรียมเปิดตัว BMW X2 Premium Small Crossover Coupe SUV ที่ตั้งใจจะชน Mercedes-Benz GLA โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น นี่คือ X1 ในตัวถังที่ลาดลงกว่าเดิม ดูวัยรุ่นกว่าเดิม และ แน่นอนว่า ภายในรถอาจชวนให้อึดอัดคับแคบ และ เหมาะกับคนโสดมากกว่า X1 (ซึ่งโปร่งสบายตากว่ากันเยอะ) เพราะภายในห้องโดยสารนั้น ตั้งแต่แผงหน้าปัด แผงประตู ยันเบาะนั่ง ก็ยกชุดกันมาจาก X1 ทั้งยวง!

X2 เพิ่งเผยโฉมไปสดๆร้อนๆ เมื่อ 28 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา หลังงาน Frankfurt Motor Show เพียง 1 เดือนเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกไปสักหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะในงานดังกล่าว ค่ายใบพัดสีฟ้า ปล่อยของใหม่ ออกไปหลายรุ่น จนจำกันแทบไม่หวาดไหวแล้ว จึงต้องยอมเลื่อนให้ น้องเล็ก X2 เผยโฉมตามออกมาภายหลัง เพื่อให้มีพื้นที่ข่าวในสื่อทั่วโลก เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าจะไปแย่งชิงความเด่นจากบรรดารถยนต์ต้นแบบอีก 5 คัน กับรถยนต์รุ่นใหม่พร้อมขายจริงอีกนับไม่ถ้วน ที่กรีฑาทัพเปิดผ้าคลุมกันในงานดังกล่าวไปจนหมดสิ้น

ช่วงแรกที่เปิดตัว X2 ในตลาดโลกจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด ดังนี้

sDrive20i : เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.6 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่ 1,350 – 4,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic DCT (Dual Clutch) 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง

xDrive20d : เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 221 กิโลเมตร/ชั่วโมง

xDrive25d เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 231 แรงม้า (HP) ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (48.55 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตร/ชั่วโมง

เวอร์ชันไทย ยืนยันแล้วว่า เจอกันแน่ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 โดยรุ่นที่คาดว่าน่าจะเปิดตัวก่อนอาจเป็นรุ่น sDrive20i หรือ xDrive20d

รายละเอียดเบื้องต้นของ BMW X2 ใหม่ คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICH HERE!

อีกรุ่นหนึ่งที่จะต้องมาตามลุ้นกัน นั่นคือ BMW 3-Series ใหม่ Full ModelChange ที่มีรหัสโครงการ/รหัสรุ่น G20 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบเพื่อแก้ไขและ ปรับปรุงในประเด็นต่างๆ โดยภาพรวมแล้ว แทบจะเรียกว่า เป็นการย่อส่วน 5-Series รุ่นปัจจุบัน ลงมาอยู่ในตัวถังของ 3-Series กันเลยทีเดียว!

3-Series G20 จะถูกสร้างขึ้นบน โครงสร้างพื้นตัวถัง (Platform) และ งานวิศวกรรมร่วมแบบขับเคลื่อนล้อหลัง CLAR ร่วมกับ 5-Series รุ่นใหม่ล่าสุด โดยจะมีตัวรถใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย อันเป็นผลจากการขยายระยะฐานล้อ (Wheelbase) ระยะความกว้างของฐานล้อ (Front & Rear Thread) นอกจากนี้ การใช้วัสดุอะลูมิเนียม และ คาร์บอนไฟเบอร์ผสมในชิ้นส่วนโครงสร้างตัวถัง โดยเฉพาะในบางรุ่นย่อย สมรรถนะสูงๆ อาจมีการนำวัสดุดังกล่าว ไปใช้กับแผ่นหลังคา จะช่วยลดน้ำหนักตัวลงไปถึง 40 กิโลกรัมเลยทีเดียว

งานออกแบบภายในห้องโดยสาร ดูคล้ายคลึงกับ BMW Z4 Concept (Frankfurt Motor Show 2017) อยู่มาก โดยเฉพาะช่องแอร์คู่กลาง แน่นอนว่า จะมีการปรับปรุง ระบบ iDrive รวมทั้งเพิ่มมาตรวัดหน้าจอสี TFT และ จอมอนิเตอร์ Infotainment เข้ามาให้

ด้านขุมพลัง คาดว่า 3-Series ใหม่ G20 จะมีให้เลือกทั้ง เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 1.5 ลิตร Turbo , เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo, Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo , เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้เลือกในบางรุ่นย่อยอีกด้วย

กำหนดการเปิดตัว 3-Series ใหม่ อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2018 แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า BMW อาจเร่งเผยโฉมให้เร็วขึ้นอีกนิดก็เป็นไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เวอร์ชันแรงทะลุพิกัดอย่าง M3 รวมทั้ง ตระกูล Coupe กับ Convertible เปิดประทุน อย่าง 4-Series ก็จะทะยอยคลอดตามออกมาในระยะเวลาไม่ห่างกันนานนักอีกด้วย คงต้องมาลุ้นกันว่า ลูกค้าชาวไทย จะได้เป็นเจ้าของ 3-Series ใหม่ กัน ทันช่วงปลายปี 2018 หรืออาจต้องลากยาวไปถึงต้นปี 2019 กันแน่ ?

ส่วนใครที่เคยถามถึง SUV รุ่นกลางอย่าง X5 รหัสโครงการ G05 ก็ยังอยู่ในช่วงทดสอบขั้นสุดท้าย ก่อนปล่อยออกสู่ตลาดจริง โดยเส้นสายตัวถัง จะยังคงยึดแนวโครงหลังคา และ เสากรอบประตูดั้งเดิม ดูแล้วเป็นการเปลี่ยนโฉมแบบทั่วไป เน้นหนักไปที่ด้านหน้า – ด้านหลัง (ชุดไฟหน้า กระจังห้าแบบใหม่ เปลือกกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้าแบบใหม่ และ บั้นท้ายทั้งยวง) มากกว่าจะยกเปลือกกระดองใหม่ทั้งคัน เส้นสายจะคล้ายกับการนำ X7 กับ X3 รุ่นล่าสุด มาผสมผสานเข้าด้วยกัน กำหนดการเปิดตัวจะเกิดขึ้นภายในปี 2018

ขณะเดียวกัน พี่ใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง X7 นั้น BMW เพิ่งปล่อยภาพถ่ายจากภายในโรงงาน Spartanburg มลรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา ขณะกำลังอยู่บนสายพานการทดลองผลิต (ภาพชุดข้างบนนี้) เพื่อนำรถยนต์ต้นแบบ Pre-Production ทั้งหมดที่เห็นในรูปข้างบนนี้ เข้าสู่กระบวนการ Homologation เพื่อขออนุญาต ผลิต และ ออกจำหน่าย ในแต่ละประเทศ ที่จำเป็น รวมทั้งส่งไปทดสอบระยะยาว ภายใต้สภาพภูมิประเทศ และ ภูมิอากาศอันทรหดหลายรูปแบบ เช่น ทะเลทรายที่ Death Valley หรือ สภาวะเยือกแข็งที่ประเทศในแถบ Scandinavia

X7 มีกำหนดเปิดตัวออกสู่ตลาดจริง ในเดือนธันวาคม 2018 โดยก่อนหน้านั้น เราอาจจะเห็นเวอร์ชันพร้อมจำหน่ายจริง เปิดผ้าคลุมในงานแสดงรถยนต์สักแห่งตลอดช่วงปี 2018 แต่ถ้าถามว่า จะมาถึงเมืองไทยเมื่อใด คำตอบก็คือ เร็วสุด คาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี 2019 โดยจะถูกผลิต และ นำเข้าจากโรงงาน Spartanburg ล้วนๆ และยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเวอร์ชันประกอบในเมืองไทยหรือไม่

ข้ามฝั่งมาดูแบรนด์น้องเล็กในเครืออย่าง MINI กันบ้าง ปี 2018 จะถึงเวลาที่ โรงงานใน Cambridge จะต้องปรับโฉม Minorchange (หรือ LCI : Life Cycle Impulse) ให้กับ MINI รุ่นมาตรฐานทั้งแบบ Hatchback 3 และ 5 ประตู พอดี

รูปลักษณ์ภายนอก ไม่แตกต่างจากเดิม มีเพียงแค่การปรับเปลี่ยนโคมไฟหน้า ให้มีโคมไฟหน้า และเปลือกกันชนทั้งหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ เราอาจได้เห็นชุดไฟท้ายลายลูกศร จากรถต้นแบบ MINI JCW GP Concept อีกด้วย

ด้านขุมพลัง จะเน้นการปรับปรุงเครื่องยนต์ชุดเดิมทั้งหมด ให้มีมลพิษต่ำลง ประหยัดน้ำมันขึ้น แต่พละกำลังทั้งแรงม้า หรือ แรงบิด ต้องเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะทำให้ไอเดียนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ นอกจากจะอยู่ที่ Software สมองกลเครื่องยนต์ชุดใหม่แล้ว ยังอยู่ที่การตัดสินใจ เปลี่ยนมาใช้ เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะต้นทุนเกียร์ประเภทนี้ สูงกว่า เกียร์อัตโนมัติแบบปกติที่ใช้กันอยู่ คาดว่า น่าจะผลิตโดย Getrag (ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ผลิตเกียร์เจ้าเดียวกับ Ford Fiesta ที่คนไทยคุ้นชินกันดีนั่นเอง!)

กำหนดเปิดตัว เดิมอยู่ในช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาจะลากเวลาออกไปอีกหน่อย เพราะในอังกฤษเอง ก็มีรุ่นพิเศษ MINI 1499 GT ออกมาเป็นรุ่นพิเศษ Special Edition จำกัดจำนวน 1,499 คัน เท่านั้น คาดว่าต้องรอจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ขึ้นไป เราถึงจะมีโอกาสได้เห็นการปรับโฉมของ MINI LCI กัน และกว่าจะมาถึงเมืองไทยนั้น คาดว่าต้องรอครึ่งหลังของปี 2018

หลังจากนั้น ปี 2019 MINI จะส่งเวอร์ชันขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า MINI-e ที่เคยเป็นรถยนต์ต้นแบบในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 ออกสู่ตลาดเป็นลำดับถัดไป ตามด้วยการทะยอยปรับโฉม Minorchange (LCI) ให้กับญาติพี่น้องร่วมตระกูล อย่าง รุ่นเปิดประทุน MINI Convertible และ Clubman ในช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก


CHEVROLET

  • 2018 : Colorado / Trailblazer Model Year 2018
  • 2019 : Colorado / Trailblazer Model Year 2019
  • 2020 – 2021 : Colorado / Trailblazer Full ModelChange

หลังจากปรับโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ Downsizing ลดพนักงาน ลดทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งลดจำนวนรุ่นรถยนต์ ให้เหลือเพียงแค่ Colorado กับ Trailblazer เป็นหัวหอกหลัก โดยยังผลิต Captiva และ Cruze Minorchange ขายต่อไปจนกว่าชิ้นส่วนจะหมดโรงงาน และ จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่แบบเปลี่ยนโฉม Full ModelChange จนกว่าจะถึงปี 2020 – 2021

กระนั้น GM/Chevrolet ก็ยังไม่ท้อ การเปิดตัวรุ่นพิเศษ Chevrolet Colorado High Country Storm ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2017 ตามด้วยการดึง ศิลปินชื่อดัง ผู้มีแนวคิดเป็นตัวของตนเองอย่าง ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ มาเป็น Brand Ambassador พร้อมกับการเปิดตัว Trailblazer รุ่นพิเศษ Z71 4×4 เมื่อ 18 สิงหาคม 2017 รวมทั้ง Chevrlet Colorado Centennial Edition 2018 รุ่นพิเศษ ฉลองครบ 100 ปี เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2017 ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการกระตุ้นตลาดของยักษ์จาก Detroit สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาเลือกเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแบรนด์ Chevy ในเมืองไทย ให้ลูกค้าได้รู้ว่า ” เรายังมีชีวิตอยู่นะ ” (แม้ว่าชื่อของ Chevy จะถูกลูกค้าหมางเมินใส่ เวลาเลือกซื้อรถใหม่กันเลยก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านบริการหลังการขาย ที่พวกเขาพยายามแก้ไขกันอยู่)

สำหรับปี 2018 GM / Chevrolet จะยังคงต้องพยายามประคับประคอง ยอดขายของ Colorado และ Trailblazer โฉมปัจจุบันกันต่อไป โดยปีนี้ ทั้ง 2 รุ่น น่าจะมีการปรับรายละเอียดการตกแต่งตัวรถภายนอกเพียงเล็กน้อย..น้อยมาก…น้อยจริงๆ น้อยจนแทบอยากจะบอกว่า ” ถ้าจะน้อยขนาดนี้ ผมว่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนก็ได้มั้งพี่ ” เพื่อให้ออกมาเป็นรถรุ่นปี Model Year 2018 ก่อนส่งขึ้นอวดโฉมในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ และเดาได้ว่า น่าจะมีรุ่นพิเศษ ออกมากระตุ้นตลาดช่วงก่อนงาน Motor Expo  ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 กันอีกระลอกอย่างแน่นอน

ส่วนใครก็ตาม ที่ติดอกติดใจกับความอเนกประสงค์ และ พื้นที่เบาะแถว 3 ซึ่งดีที่สุดในตลาดของ Chevrolet Captiva ต้องขอแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่า ปี 2018 อาจเป็นปีสุดท้ายที่ C-Segment SUV รุ่นนี้ จะถูกผลิตจากโรงงานของ GM ที่ระยอง ดังนั้น คุณมีเวลาเหลือไม่มากนักที่จะอุดหนุน Captiva มือหนึ่ง ป้ายแดง ด้วยส่วนลดสูงถึงกว่า 200,000 บาท !! เช่นเดียวกันกับ Chevrolet Cruze Minorchange รุ่นสุดท้าย ที่ยังหลงเหลือในสต็อกอีกเพียงแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากนี้ละ ? อนาคตของ GM / Chevrolet ในเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ? สิ่งที่ผมพอจะบอกได้ในตอนนี้ก็คือ พวกเขาจะยังคงยืนหยัดอยู่กับตลาด รถกระบะ และ SUV / PPV กันเพียง 2 รุ่น แบบนี้ อีกยาวๆ โดยแทบไม่เหลือความเป็นไปได้ ในการกลับมาผลิตรถเก๋งขายกันอีกครั้ง

ข่าวดีก็คือ GM เพิ่งเปิดไฟเขียวให้ มีการพัฒนารถกระบะ Colorado และ Trailblazer รุ่นต่อไป โดยจะยังคงให้ศูนย์การผลิตที่จังหวัดระยอง ยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญที่จะส่งออกทั้งรถกระบะ / SUV/PPV สำเร็จรูป และช้นส่วน CKD ไปยังตลาดโลก เหมือนเช่นรุ่นแรก และ รุ่นปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากแยกทางกับ Isuzu แล้ว GM ตั้งใจจะลงทุนพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ ด้วยตนเองต่อไปตามลำพัง โดยไม่ง้อใครทั้งสิ้น เหตุผล ที่ผู้บริหารของ GM แถลงไว้ในการ แยกทางกับ Isuzu ก็คือ “ เนื่องด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ทำให้ GM ต้องการสร้างรถกระบะ ให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง มากขึ้น พวกเราต้องการจะฉีกหนี แนวทางการทำธุรกิจให้ต่างจากค่ายญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Isuzu, Toyota, Mitsubishi ดังนั้นแนวทางการพัฒนาตัวรถ จึงต้องต่างออกไปด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ในครั้งนี้ลง ”

ขณะนี้ ทุกอย่างยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึง เนื่องจากยังเพิ่งเริ่มต้นการพัฒนา คาดว่า มีกำหนดออกสู่ตลาดเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก เหมือนเช่นเคย ภายใน ช่วงปี 2020 – 2021 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ตลาดรถกระบะจะกลับมาร้อนแรงอย่างหนักในบ้านเรากันอีกครั้งพอดี !

ส่วน Chevrolet Equinox ที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงไว้ในบทความ สรุปรถใหม่เปิดตัวในเมืองไทย 2017 – 2020 ช่วงปีที่แล้ว ว่า GM กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่นั้น คงต้องบอกว่า ทำใจ เนื่องจากตัวรถถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก ทำให้ฐานผลิตจึงถูกกำหนดให้มีเพียงโรงงานเดียว คือในทวีปอเมริกาเหนือ นั่นเอง ดังนั้น ภาษีนำเข้าจึงต้องคิดอัตราเต็มพิกัด ไม่ได้มีส่วนลดด้านภาษีจากเขตการค้าเสรี AFTA มาช่วยเลยแม้แต่น้อย แผนจึงต้องพับไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือว่า GM กำลังคิดอยากจะสั่งนำเข้า Chevrolet Camaro รถยนต์ Sport Coupe 2 ประตู แนว Muscle Cars อันโด่งดัง เข้ามาชิมลางตลาดเมืองไทย หลังจากปล่อยให้ พ่อค้ารายย่อย สั่ง Camaro รุ่นก่อนๆ เข้ามาขายกันเองนานแล้ว กระนั้น เราอาจยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ข่าวนี้ จะพลิกผันกลายเป็นความจริงได้หรือไม่


 

Ferrari

  • 2018 : Portofino (California Replacement) Start export.
  • 2019 : Project F173 (488GTB Replacement)
  • 2020 : GTC4 Lusso Replacement
  • 2021 : Ferrari First SUV / Dino V6 (?)

เป้าหมายของ Ferrari คือต้องการขายรถให้ได้ปีละ 10,000 คัน ภายในปี 2025 ซึ่งถ้าต้องการจะทำเช่นนั้น ค่ายม้าลำพองก็ต้องยอมพลีชีพ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ขายรถได้จำนวนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถระดับ Entry level ที่ใหม่สด, ซูเปอร์คาร์ตัวเด็ดที่ได้รับความนิยม รวมถึงการยอมกลืนน้ำลายกับคำพูดที่ตัวเองเคยให้ไว้ไม่ว่าจะเป็น ” Ferrari จะไม่เน้นยอดขายเพราะต้องการความเป็น Exclusive car ” หรือ ” ถ้าให้ทำ SUV ขายแล้วล่ะก็ เอาปืนมายิงหัว CEO Sergio Marchionne เลยดีกว่า ”

เรื่องที่สำคัญก็คือการก้าวเข้าสู่ยุค ” ม้าแบกถ่าน ” ซึ่ง Marchionne เองก็ได้กล่าวไว้ว่า เนื่องจาก Ferrari จะมียอดขายต่อปีแตะระดับหมื่นคัน ทำให้ไม่สามารถขอสิทธิพิเศษในด้านมาตรฐานมลภาวะแบบที่ใช้สำหรับรถยนต์ผลิตจำนวนน้อย (Niche Market) ได้อีกต่อไป ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป Ferrari ทุกรุ่นจะต้องมีระบบ Hybrid ! (-_-‘)

งานสำคัญของค่ายม้าลำพองในปี 2018 คือการนำ Portofino (รถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นใหม่ ที่มาแทน California T) ซึ่งเพิ่งจะเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Frankfurt Motorshow เมื่อ 11 กันยายน 2017 ไปเปิดตัวในตลาดต่างๆจนครบภายในปี 2018 รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้า (HP) มีโครงสร้างหลักที่เบาลงกว่าเดิม และเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน ทันสมัยด้วยระบบ Multimedia ในรถซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่

จากนั้นในปี 2019 ก็จะเป็นคิวของ ” Project F173 ” รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว รุ่นใหม่ที่จะมาแทน 488 GTB ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่หมดจด 100% ใช้โครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาลง ใช้ขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo จาก Portofino แต่พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับระบบส่งกำลัง ให้กำลังสูงสุด 723 แรงม้า (HP) เพิ่มจาก 488GTB เดิมที่มีอยู่ 661 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุดจะพุ่งทะลุมากกว่า 1,000 นิวตัน-เมตร (101.9 กก.-ม.) เพิ่มจาก 488 GTB ที่มีเยอะอยู่แล้วถึง 760 นิวตัน-เมตร ( 77.44 กก.-ม.)

ที่สำคัญก็คือ แพลทฟอร์มใหม่ที่จะใช้กับ F173 นั้น มีการออกแบบเผื่อที่ส่วนหน้ารถให้สามารถติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อแต่ละข้างได้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ Ferrari จะสร้างซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางกลางลำขับเคลื่อน 4 ล้อออกมา หรืออาจเป็น F173 รุ่นย่อยพิเศษก็เป็นได้

ภาพ render จาก supercarblog

นอกจาก F173 แล้ว Ferrari ยังได้นำโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันนี้ ไปพัฒนาต่อเป็นซูเปอร์คาร์ขนาดเล็ก โดยขุดเอาแบรนด์ ” Dino ” ซึ่งตั้งตามชื่อลูกชายของ Enzo Ferrari กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง มันเป็นรถเครื่องยนต์วางกลางลำที่มีขนาดลำตัวและระยะฐานล้อสั้นกว่า F173 และ ใช้เครื่องยนต์ V6 (วี-หก พิมพ์ไม่ผิด) ขนาด 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบบวกมอเตอร์ไฟฟ้า ที่น่าจะสร้างพละกำลังได้ 610 แรงม้า (HP) ทำตลาดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับ Portofino และ มีราคาถูกกว่า F173

ปัญหาของ Project Dino ก็คือ มันต้องช่วงชิงความสำคัญในองค์กร กับรถอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่ารถรุ่นไหนจะได้ไฟเขียวให้เป็นโครงการที่มีความสำคัญมากกว่ากัน ถ้าโชคดี Dino อาจจะออกมาดูโลกได้ตั้งแต่ปี 2021 แต่ถ้าทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราก็อาจจะต้องรอจนถึงปี 2023

ภาพ render จาก Carmagazine.co.uk

และรุ่นที่มีผลกับอนาคตของ Dino ก็คือเจ้า SUV รุ่นหักปาก CEO คันนี้ ซึ่งมีรหัสโครงการว่า F16X งานนี้ Ferrari จะอาศัยความรู้ที่ได้จากการผลิตรถอย่าง GTC4 Lusso มาเป็นจุดเริ่มต้น เพราะต้องอาศัยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อชุดเดียวกัน โดยที่ Ferrari เองก็กำลังพัฒนาเจนเนอเรชั่นถัดไปของ GTC4 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี 2020 ดังนั้น F16X ก็น่าจะต้องเปิดตัวปี 2021 หรือช้ากว่านั้น

F16X อาจใช้เครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ที่พัฒนาต่อจาก Portofino และ Lusso T แต่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 161 แรงม้า (HP) ช่วยเพิ่มพลัง และลดมลภาวะให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลใดๆเปิดเผยออกมามากกว่านี้ รวมถึงการที่จะยอมให้ SUV คันแรกของค่ายใช้เครื่องยนต์ V12 แบบรถรุ่นเรือธงหรือไม่ เนื่องจากการที่เป็นเครื่องยนต์วางหน้า ใช้แพลทฟอร์มเดียวกับ Lusso ซึ่งสามารถรองรับได้ทั้ง V8 และ V12 ทำให้ยังมีความเป็นไปได้ที่ Ferrari จะกล้าทำเช่นนั้น


FORD

  • 2018 : Ranger RAPTOR / Ranger & Everest Minorchange / Mustang

ปี 2017 เป็นปีที่ Ford ไม่มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทยเลย แถมยังเป็นปีที่ท้าทายทีมงานทุกคนบนตึกสูงย่านสาทร อย่างมาก เนื่องจากต้องเร่งทำยอดขายรถกระบะ Ranger ให้ถึงเป้าหมายที่บริษัทแม่ใน Detroit ตั้งไว้ ควบคู่ไปกับการเร่งเคลียร์ปัญหา Defect ของรถเก๋ง ทั้ง Fiesta และ Focus และ เท่าที่ ผู้บริหารของ Ford เคยให้สัมภาษณ์ไว้ เมื่อไม่นานมานี้ มีการออกมาแจ้งว่า Ford ได้ดูแลลูกค้า Fiesta ในกลุ่มที่ต้องขึ้นศาล โดยเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จนครบเรียบร้อยทุกรายแล้ว จะเหลือก็แค่ ลูกค้า Focus เพียงรายเดียว ที่ยังต้องดำเนินการกันต่อไป เท่ากับว่า มหากาพย์ เกียร์ Dual Clutch เวรตะไล ที่ก่อเรื่องให้ ford แทบบรรลัย ก็น่าจะถึงจุดสิ้นสุดกันเสียที (ตามคำบอกเล่าของผู้บริหาร Ford ?!)

ทว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่า จะทำให้ยอดขายของ Fiesta และ Focus ดำดิ่งลงก้นอ่าวไทยไปจนแทบมิด เพราะปัญหา Defect ในระบบเกียร์ ระบบไฟฟ้า ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับ Fiesta และ Focus ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด ต้องเสียเวลา และ เสียอารมณ์ในการนำรถเข้าแก้ไข ณ ศูนย์บริการต่างๆ เป็นอย่างมาก หลายๆคน ตัดสินใจ ขายรถทิ้ง และ บอกว่า จะไม่ขอเผาผีกับ รถเก๋ง Ford อีกต่อไป สถานการณ์เลื่องลือ ปากต่อปาก กันไปจนกระทั่งชื่อเสียงด้านลบ ขจรกระจายไปทั่ว ทำให้ลูกค้าใหม่ ที่พอจะศึกษาหาข้อมูลบน Internet จำนวนมาก เกิดความหวาดกลัว และ พากันเลิกอุดหนุนรถเก๋งของ Ford นั่นคือที่มาของตัวเลขยอดขาย ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพอเจอกับ Fiesta EcoBoost ที่ตั้งราคาไว้แพงลิ่วเกินชาวบ้านเขาไปพอสมควร ยิ่งทำให้ขายไม่ออกหนักเข้าไปอีก

Ford เองก็รู้ตัวดีว่า ปัญหาเหล่านี้ กระทบต่อรายได้ ผลกำไร และการทำธุรกิจในเมืองไทย อย่างมาก ช่วงปลายปี 2017 Ford จึงตัดสินใจ ขอถอนตัวจากการเข้าร่วมโครงการ ECO Car ทุก Phase ดังนั้น เราจึงอาจจะไม่ได้เห็นหน้า Fiesta ใหม่ กันอีกต่อไป เช่นเดียวกับ Focus ใหม่ ซึ่ง Ford Global ตัดสินใจ ย้ายฐานการผลิตทั้งหมด ไปไว้ที่ โรงงานในประเทศจีน ทำให้โอกาสที่จะมาผลิตขายในไทย เพื่อแข่งขันกันในตลาด C-Segment ซึ่งเข้มข้นดุเดือด และ ถูกยึดครองโดยชาวญี่ปุ่นไปจนหมดแล้วนั้น ยากเต็มที

เท่ากับว่า นับแต่นี้ Ford จะพักบทบาทการทำตลาดรถเก๋งของตนในประเทศไทย ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ จึงต้องทำตัวเหมือนเพื่อนร่วมประเทศ อย่าง Chevrolet ในการเน้นขายแต่รถกระบะ กับ SUV/PPV ไปก่อนอีกสักระยะใหญ่ๆ

ดังนั้น Ford จะเริ่มประเดิมปี 2018 กันด้วย การเปิดผ้าคลุม Ranger RAPTOR รุ่นใหม่ถอดด้าม ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 นี้ ได้ยินว่า ทางบริษัทแม่ Ford Global ที่ Detroit ถึงขั้น บินมาจัดงานเปิดตัว ด้วยทีมงานของพวกเขาเองเลยทีเดียว

Ranger RAPTOR เป็นรถกระบะรุ่นย่อยใหม่ ที่เสริมเข้ามา เพื่อให้เป็นตัวแรงระดับ Top of the Line คราวนี้ จึงไม่ใช่แค่การตกแต่งภายนอก ให้เป็นรุ่นพิเศษเท่านั้น หากแต่จะเป็นการอัพเกรดทั้งดีไซน์ และ สมรรถนะให้มีความแข็งแกร่ง ทรหด ยิ่งกว่าเดิม โดยหน่วยงานรถยนต์สมรรถนะพิเศษ ” FORD PERFORMANCE ” ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ หน่วยงานนี้ ก็เป็นเหมือนกับ BMW M Power, Mercedes-AMG, NISMO ของ Nissan และ ล่าสุด GR (Gazoo Racing) และ TRD ของ Toyota นั่นเอง

จุดเด่นในการปรับปรุงครั้งนี้ อยู่ที่การวาง เครื่องยนต์ Diesel ใหม่ 2.0 EcoBlue Turbo เดี่ยว 190 แรงม้า และ Twin Turbo 215 แรงม้า (PS) พ่วงเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ลูกใหม่ ปรับปรุงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ ช่วงล่างใหม่ ที่รองรับการลุยมากกว่าเดิม ตัวรถจะมีมัดกล้ามมากขึ้น ความกว้างช่วงล้อคู่หน้าและ หลังเพิ่มขึ้น งานออกแบบด้านหน้าและด้านหลังใหม่ ให้คล้ายกับ Ford F-150 RAPTOR เวอร์ชันอเมริกาเหนือมากขึ้น

การเปิดตัวจะมีขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ นี้ โดย ประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่ เปิดตัว Ranger RAPTOR เป็นแห่งแรกในโลก จัดกันที่ ลานกิจกรรมริมทะเลสาบ เมืองทองธานี (งานปิด และ เป็นงานสำหรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกเท่านั้น ลูกค้าหมดสิทธิ์) อย่างไรก็ตาม ราคาขายสำหรับประเทศไทย จะประกาศตามออกมาอีกครั้งหนึ่ง

อ่านรายละเอียดเบื้องต้นของ Ranger RAPTOR ได้ ที่นี่ CLICK HERE

ภาพจากคุณ สันติ สันติ via Ford Ranger Club

ใช่ว่า Ranger ใหม่จะมีแค่รุ่น RAPTOR ออกมาอาละวาด เพราะ รุ่นมาตรฐานของ Ranger ก็จ่อคิวเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange เช่นเดียวกัน และคราวนี้ เป็นไปได้ที่ Ford Ranger ใหม่ จะถูกส่งกลับไปเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา และ Canada อีกครั้ง หลังจากหายตัวไปจากตลาดหลายปี

ล่าสุด คุณ สันติ สันติ via Ford Ranger Club ได้บันทึกภาพ Ranger Minorchange ขณะกำลังแล่นอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Eastern Seaboard อ.ปลวกแดง จ.ระยอง อันเป็นที่ตั้งของทั้งโรงงาน AAT (Auto Alliance Thailand) และ FTM (Ford Thailand Manufacturing) ซึ่งเป็นฐานผลิตของ รถยนต์ Ford ทุกรุ่นในบ้านเรา โดยภาพนี้ ถูกบันทึกได้ช่วงหน้าโรงงาน Hori Glass (โฮริกลาส)

คาดว่าการปรับโฉมครั้งนี้ จะเกิดขึ้นโดยเน้นไปที่การเสริมหล่อ ด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ ชุดไฟหน้าโคมโปรเจกเตอร์ LED ในหลายรุ่นย่อย แถมด้วยปุ่ม Push Start และ เพิ่มอุปกรณ์ต่างๆเข้า ไป ดังรายละเอียดในบทความนี้ CLICK HERE

Ranger Minorchange อาจถูกส่งไปอวดโฉมบนบูธของ Ford ในงาน Bangkok International Motor Show ก่อนจะมีกำหนดส่งขึ้นโชว์รูมในบ้านเราช่วง กลางปี 2018

ไม่เพียงแค่นั้น ใครที่เคยถามถึง Ford Mustang ใหม่ ว่าจะมาขายเมืองไทย หรือไม่ จะสมหวังดังใจปองเสียที เพราะ Ford Sales (Thailand) พร้อมแล้วสำหรับการสั่งนำเข้า Mustang Minorchange รุ่นปี 2018 เข้ามาเอาใจลูกค้าตีนหนักที่อยากสัมผัสบุคลิกตัวแรงสายพันธ์อเมริกันดูสักที หลังจากปล่อยให้พ่อค้า Grey Market สั่งรถรุ่นปีก่อนๆ เข้ามากวาดลูกค้าไปแทบจะเกลี้ยงแล้ว

Mustang รุ่นล่าสุด ถือเป็นรุ่นที่ 6 เปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2013 พร้อมกันทั้ง 6 เมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นการประกาศว่า Mustang รุ่นนี้ จะถูกส่งออกไปจำหน่ายถึง 140 ประเทศ ใน 6 ทวีป ทั่วโลก และกลายเป็น 1 ใน Global Model ของ Ford อย่างแท้จริง ร่วมกับพี่น้องอย่าง Fiesta,Focus, Mondeo, Ranger และ Everest

ส่วนรุ่นที่จะเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา เป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange รอบ 2 เป็นรุ่นปี 2018 เผยโฉมครั้งแรก เมื่อ 20 มกราคม 2017 มีตัวถังยาว 4,782 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/
หลัง อยู่ที่ 1,584 และ 1,653 มิลลิเมตร

Mustang ใหม่ มีขุมพลังให้เลือกลดลงเหลือเพียง 3 ระดับความแรง เป็นแบบเบนซิน ทั้งหมด โดยเครื่องยนต์ V6 3.7 ลิตร 300 แรงม้า (HP) ถูกตัดออกไป เหลือเพียงดังนี้

– บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,253 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.5 x 94 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 พร้อมเทคโนโลยี EcoBoost Turbocharger Direct Injection (GTDi) 310 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 ฟุต-ปอนด์ (48.3 กก.-ม.) ที่ 3,000 รอบ/นาที

– บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,948 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 93.7 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT เพิ่มกำลังอัดจากเดิม 11.0 เป็น 12.0:1 แรงเพิ่มขึ้นเป็น 460 แรงม้า (HP) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 ฟุต-ปอนด์ (57.96 กก.-ม.) ที่ 4,600 รอบ/นาที

– รุ่นแรงสุด Shelby GT350 มาพร้อมขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 5,161 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 93.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.0:1 Flat Plane Crank แรงขึ้นเป็น 526 แรงม้า (HP) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 581 นิวตัน-เมตร (59.2 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที

ทุกรุ่นเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ Select Shift 10 จังหวะ ลูกใหม่ ที่มาแทนเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะลูกเดิม พร้อมแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย ยกเว้น GT350 และ GT350R ที่จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แบบมาตรฐาน และแบบ TREMEC

ยืนยันว่า เวอร์ชันไทย จะมีให้เลือก ทั้งรุ่น 2.3 ลิตร EcoBoost และ V8 5.0 ลิตร อย่างแน่นอน ส่วนรุ่น V8 5.2 ลิตร ไม่ต้องไปเสียดายมากนัก เพราะค่าตัวคงแพงระห่ำจากภาษีนำเข้ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้ Ford กำลังพยายามหาทาง นำ Mustang เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างเร็วที่สุดก็คงงาน Bangkok International Motor Show 2018 นี้ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบในม้าป่าคันนี้

จากนั้น ในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2018 เราอาจได้เห็น รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Ford Everest ใหม่ เพื่อจะออกมาสู้รบกับเหล่า SUV/PPV ที่พร้อมใจกันปรับโฉม Minorchange กันแทบทุกรุ่น รวมทั้งรับมือกับการเปิดตัวน้องใหม่อย่าง Nissan Terra ด้วย โดยรายละเอียดอุปกรณ์ต่างๆ น่าจะถูก Upgrade เช่นเดียวกับ Ranger Minorchange เป็นหลัก


HONDA

  • 2018 : Civic 5 Door “RED” / HR-V Minorchange / Accord Full Model Change
  • 2019 : City & Jazz Full Model Change (Downsizing to ECO Car) / Civic Minorchange

หลังจากถล่ม เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ต่อเนื่องมาตลอดปี 2017 ทั้ง City Minorchange ในเดือนมกราคม Civic Hatchback ในเดือนกุมภาพันธ์ CR-V ใหม่ เดือนมีนาคม Jazz Minorchange เดือนพฤษภาคม และ Mobilio ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะตบท้ายด้วย Civic RED สีแดง Sedan ในงาน Motor Expo แทบจะทำให้ Honda คว้าแชมป์ตลาดรถเก๋งในประเทศไทยกันไปเลยทีเดียว

ดังนั้น ปี 2018 Honda จะเหลือรถยนต์รุ่นใหม่ ให้เปิดตัวกันเพียงแค่ 3 รุ่น โดยจะเริ่มจาก Civic RED Hatchback 5 ประตู สีแดง ซึ่งเป็นภาคต่อเนื่อง จาก Civic RED Sedan ที่เพิ่งออกจำหน่าย ในงาน Motor Expo ไปหมาดๆ โดยเป็นเพียงแค่การเพิ่มสีตัวถังใหม่เข้ามา ไม่มีความเปลี่ยนแปลงด้านงานวิศวกรรมใดๆทั้งสิ้น กำหนดขึ้นโชว์รูม ภายในไตรมาสแรกของปี 2018 นี้

ส่วนรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Civic ใหม่ จะยังไม่มีการเปิดตัวใดๆ อีกจนกว่าจะถึงปี 2019 ดังนั้น ถ้าใครจะรีบใช้รถ ก็ไม่จำเป็นต้องรอ แต่ถ้าไม่รีบร้อน จะรอถึงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 ก็ไม่มีใครว่า…

Photo : Syazwan Ali / Paultan.org

จากนั้น จะถึงคิวของ Honda HR-V Minorchange ซึ่งจะออกมาดักความร้อนแรงของคู่แข่งตัวฉกาจ อย่าง Toyota C-HR โดยการปรับโฉมครั้งนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ การปรับอุปกรณ์ต่างๆ และเปลี่ยนงานออกแบบกระจังหน้า ชุดไฟหน้า เปลือกกันชนหน้าทั้งหมด รวมทั้งงานออกแบบชุดไฟท้าย และฝากระโปรงท้าย และถึงแม้ว่า เวอร์ชันมาเลเซีย อาจจะได้ใช้ขุมพลัง Hybrid แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ค่อนข้างแน่นอนว่า จะยังยืนหยัดกับ เครื่องยนต์ เบนซิน 1.8 ลิตร และ ระบบส่งกำลัง CVT ตามเดิม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

กำหนดการเปิดตัวของ HR-V Minorchange ในเมืองไทย จะเกิดขึ้น พร้อมๆกับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2018 นี้ ต้องคอยดูกันว่า Honda จะจัดการกับ Defect ในการประกอบและชิ้นส่วนต่างๆ ของ HR-V ได้เรียบร้อยแล้วหรือยัง ไปพร้อมๆกับการเฝ้าดูอยู่ห่างๆว่า กรณีที่ Honda ต้องแจ้งความดำเนินคดีกับลูกค้า HR-V ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ จะลงเอยกันได้ด้วยดีหรือไม่

สำหรับใครที่รอคอการมาถึงของ Honda Accord รุ่นที่ 10 คงต้องบอกว่า อาจจะต้องรอกันยาวนานต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ขึ้นไป และ อาจต้องรอให้ Toyota เปิดตัว Camry ใหม่ ออกมาก่อน ในช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2018 กันด้วยซ้ำ

เหตุผลที่ต้องรอคอกันนานขนาดนี้ มีหลายปัจจัย ทั้งจากเรื่องแผนการตลาด ความคุ้มทุนของการผลิต Accord G9 รุ่นปัจจุบัน ในภาพรวม โดยเฉพาะรุ่น Hybrid ซึ่งทำยอดขายได้ไม่มากเท่ารุ่น เบนซิน 2.0 ลิตร อันเป็นรุ่นขายดีสุดของ Accord อีกทั้งยังต้องมีการติดต่องาน สื่อสารแลกเปลี่ยนด้านต่างๆ กับทาง Honda R&D และ American Honda ซึ่งเป็นแม่งานในการพัฒนา Accord G10 รุ่นนี้อีกพอสมควร จะได้ไม่ต้องรีบปล่อยรถออกมาขาย แล้วเจอ Defect หลายรายการในช่วงแรกๆ เหมือนกรณีของ Civic FC รุ่นปัจจุบัน ที่กว่าจะแก้ไขไปได้จนเกือบหมด ก็เล่นเอาตาเหลือกตาถลนกันไปทั้ง Honda ทั้ง Supplier เลยทีเดียว !

Accord G10 ในสหรัฐอเมริกา มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT หรือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า (โดยเครื่องยนต์นี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตรเดิม)

เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 252 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร (37.7 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ หรือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า (ขุมพลังบล็อกใหม่นี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตรเดิม)

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ จะมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 2 รูปแบบ คือ Normal และ Sport

เบนซิน 2.0 Hybrid i-MMD (3rd Generation)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี หัวฉีด PGM-FI จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle ทำงานคู่กับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 มีการย้ายชุดแบตเตอรี่จากท้ายรถ มาไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง (ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขสมรรถนะออกมา เพราะยังไม่ออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา จนกว่าจะถึงช่วงกลางปี 2018 ไปแล้ว) 

ยืนยันได้เลยว่า ภายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เราอาจจะยังไม่ได้เห็นโฉมหน้าใหม่แบบ Full Modelchange ของ Honda Accord G10 ในเมืองไทย อย่างแน่นอน พูดกันตรงๆก็คือ ถ้าคุณคิดว่า โฉมปัจจุบัน สวยกว่ารุ่นใหม่แล้วละก็ รีบซื้อไปได้เลย ก่อนที่รถจะตกรุ่น

หลังจากนั้น ในปี 2019 เราจะพบกับ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange ของ Honda City Sedan และ Honda Jazz Hatchback ซึ่งอาจมีแนวโน้มว่า น่าจะถูกจับลดขนาดเครื่องยนต์ ให้เหลือแค่ เบนซิน 1.3 ลิตร แล้วถูกจับเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 เพื่อเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลุ่ม B-Segment ECO-Car เต็มตัว และเป็นการแก้มือจากโปรเจกต์ Honda Brio ที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย กันเสียที

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรายละเอียดเบื้องลึก เนื่องจากโครงการยังไม่นิ่ง ดังนั้นได้แต่ฝากทาง Honda ไปด้วยว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง กำลังเครื่องยนต์ เบนซิน 1.3 ลิตร จะต้องสูงกว่า 100 – 105 แรงม้า และ ต้องผ่านมาตรฐานมลพิษ ต่ำกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากๆ เพราะลูกค้าในกลุ่มที่ซื้อ City / Jazz ในปัจจุบัน ยังคาดหวังความแรงในการเดินทางไกลอยู่ อีกทั้งหากมองย้อนกลับไป Honda เอง ก็เคยมีบทเรียนมาล้วกับการลดความแรงของ City รุ่นปี 2002 – 2003 ลงจาก 120 เหลือ 88 แรงม้า (PS) ว่ามันส่งผลต่อยอดขายตอนนั้นอย่างไร ดังนั้น ถ้าอยากรักษา Momentum ด้านยอดขาย และส่วนแบ่งตลาด ในช่วงปี 2019 – 2022 ต้อง ” คิดให้ดีๆ ”

เว้นเสียแต่ว่า Honda จะทุ่มทุนสร้าง ในการนำเครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 78.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VTEC และ Dual VTC พ่วง Turbocharger แบบ Single Scroll ของ Borg Warner กำลังสูงสุด 129.2 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,250 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 6 (c) มาวางลงในทั้ง City และ Jazz ใหม่ สมรรถนะน่าจะเป็นที่ยอมรับของลูกค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน

ท้ายสุดนี้ ใครก็ตามที่ถามไถ่ว่า Honda Freed จะกลับมาขายในบ้านเราหรือไม่ ? ขอตอกย้ำค้ำยันให้มั่นเหมาะตรงนี้เลยว่า เลิกรอไปได้เลย เพราะจนถึงวันนี้ (มกราคม 2018) ทาง Honda Automobile (Thailand) ยังไม่มีแผนการนำเข้า Freed รุ่นใหม่ล่าสุด มาทำลาดในเมืองไทย ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาในรูปรถนำเข้าทั้งคันจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือ นำมาขึ้นสายการประกอบที่บ้านเราก็ตาม เหตุผลที่อธิบายได้ง่ายสุด ก็คือ ยังไม่มีการผลิตใน Indonesia และ ต่อให้มี ก็อาจจะ ” ทำราคาขายให้ถูกพอจะแข่งขันกับชาวบ้านเขา ไม่ได้ ”

เช่นเดียวกัน ใครที่เคยถามว่า Honda จะทำ CR-V เครื่องยนต์ Hybrid ออกมาหรือไม่ คำตอบในตอนนี้ ก็คือ ” ยังก่อน ” เพราะแค่ 2 เครื่องยนต์ ทั้งเบนซิน และ Diesel ก็ดูจะเหมาะกับความต้องการของลูกค้าจำนวนมากในเมืองไทยพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีรุ่น Hybrid ให้เปลืองต้นทุนการพัฒนา และ การผลิต แถมยังไม่รู้ว่าจะขายได้มากพอจะคุ้มทุน ไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเมื่อครั้ง Civic Hybrid กับ Jazz Hybrid ได้หรือเปล่า ?


HYUNDAI

  • 2018 : H-1 / Grand Starex Big Minorchange
  • 2021 : H-1 / Grand Starex Full Modelchange

ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ในการดูแลการทำตลาดในไทย ของบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Sojitsu ยังคงไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงไปของ Hyundai ในตลาดโลกมากนัก เดินหน้าขายแต่รถตู้ H-1 กับ Grand Starex ต่อไป ท่ามกลางความฉงนสงสัยของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา ว่า เขาทำได้อย่างไร ขายรถตู้อย่างเดียว หล่อเลี้ยงบริษัทอยู่กันมาได้หลายปีขนาดนี้

อันที่จริง ต้องยกความดีให้กับ คุณเบิร์ต วิกรานต์ อมาตยกุล และ ทีมงานในยุคที่มานั่งเป็นผู้บริหาร ช่วงปี 2007 – 2008 ที่ได้พยายามต่อสู้จนประเทศไทย สามารถเปิดตลาด แบรนด์ Hyundai กลับมาอีกครั้ง ด้วยรถตู้คันใหญ่เท่าบ้าน แต่ตั้งราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท (ในช่วงแรกๆ) เป็นผลสำเร็จ และต่อยอดให้ คุณอุ๋ย สฤษฎร์พร สกลรักษ์ ผู้บริหารยุคต่อมา (ผู้ล่วงลับ) พา Hyundai ลงหลักปักฐานในตลาดรถตู้โดยสารของบ้านเราได้แข็งแกร่งขนาดนี้

จริงๆแล้ว Hyundai ไม่ได้อยากจะขายรถตู้กันเพียงอย่างเดียวหรอก แต่ด้วยปัญหาสำคัญก็คือ ” บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ ยังไม่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มากเกินไปกว่า การเป็นตลาดใหญ่สำหรับรถตู้ ” จึงทำให้การทำเรื่องขอรถยนต์รุ่นใหม่มาจำหน่าย เป็นเรื่องยากลำบากมากๆ เพราะภาษีศุลกากร และ สรรพสามิต ของประเทศไทย ทำให้รถยนต์นำเข้ามีราคาแพงมากเกินจริง (เนื่องจากรัฐไทย คิดได้แค่เพียงว่า รถยนต์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย มีราคาแพง ต้องขูดรีดภาษีให้เยอะๆ) ทำให้ไม่สามารถตั้งราคาขาย สู้กับคู่แข่งได้ อีกทั้งเมืองไทย ไม่ได้ทำข้อตกลงทางการค้าเรื่องรถยนต์กับ เกาหลีใต้ จึงทำให้ต้องเสียภาษีเต็มอัตรา เหมือนรถยนต์ประกอบจากยุโรป อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่น

ตัวอย่างเช่น สมัยที่ Hyundai Sonata เข้ามาขาย เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ต้องตั้งราคาคันละ 1.8 ล้านบาท ขณะที่ Toyota Camry ประกอบในประเทศไทยตอนนั้น ราคารุ่น Top ยังอยู่แถวๆ 1.6 ล้านบาท (ในตอนนั้น) เป็นต้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ สารพัดรุ่นรถยนต์ Hyundai ในเมืองนอก ทั้ง SUV อย่าง Tucson (ที่เคยวางแผนจะนำเข้ามา แต่ราคาก็แพงกระโดดกว่าชาวบ้าน) จึงไม่อาจเข้ามาขายในเมืองไทย ได้ง่ายดายนัก เพราะมันไม่คุ้มที่จะทำตลาดต่อนั่นเอง

ส่วนรถตู้ ที่ขายกันอยู่ในปัจจุบัน ยังคงทำราคากันได้ เพราะรุ่นถูกสุด H-1 นำเข้าจากเกาหลีใต้ บริษัทแม่ตั้งราคาไม่สูงนัก เมื่อรวมภาษีจึงยังพอตั้งราคาขายไม่แพงมากได้ ส่วนรุ่น Grand Starex ขึ้นไป นำเข้าจากโรงงาน Hyundai ใน Indonesia ซึ่งเป็นประเทศที่ทำข้อตกลงทางการค้า AFTA ภาษีนำเข้า 0% กับไทย จึงทำให้ Hyundai นำเข้าตัวรถมาขายในราคาปัจจุบันได้

กระนั้น ถ้าจะขายรถตู้กันต่อไป โดยไม่กระตุ้นตลาดกันเลย ยอดขายก็คงจะเหี่ยวเฉาๆไปเรื่อยๆ การนำ คุณเปิ้ล นาคร ศิลาชัย และ ครอบครัว มาเป็น Presenter ภาพยนตร์โฆษณา ในช่วงฉลองการกลับมาทำตลาดครบรอบ 10 ปี ในประเทศไทยของ Hyundai ก็ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ายังคงจดจำแบรนด์ได้ ว่ายังอยู่ในตลาด ไม่หนีกลับไปซัดกิมจิที่บ้าน

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องถามหา รถตู้รุ่นใหม่ ยังคงมีเข้ามาให้ได้ยินเรื่อยๆ ทำให้ Hyundai ตัดสินใจ ปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่แบบสายฟ้าแลบ ให้กับรถตู้ H-1 และ Grand Starex ของตน ชนิดไม่ทันให้ใครตั้งตัวกันมาก่อน เผยโฉมแล้วในเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา สดๆร้อน ก่อนปีใหม่ เพียงแค่ 11 วันเท่านั้น !!

การปรับโฉมครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า (ไฟหน้า กระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้า แผ่นตัวถังสำหรับซุ้มล้อคู่หน้า) ด้านข้างลำตัว (บานประตูข้าง และแผ่นตัวถังเหนือซุ้มล้อคู่หลัง) ฝาท้าย และแผงหน้าปัด ชุดมาตรวัด รวมทั้งเบาะนั่ง ให้สดใหม่ขึ้น ดูร่วมสมัย และคล้ายคลึงกับคู่แข่งตัวหลักในยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle / Multivan มากขึ้น ยกเว้นรุ่นเริ่มต้น และรุ่น 11 ที่นั่ง จะยังใช้แผงหน้าปัดแบบดั้งเดิมกันต่อไป

ด้านขุมพลัง ยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม รหัส D4CB Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,497 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 91.0 x 96.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.4 : 1 Common-Rail Direct Injection VG-Turbo with Intercooler 175 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อม Sequential Shift ตามเคย ไม่เปลี่ยนแปลง

Grand Starex (H-1) ใหม่ เปิดตัว และออกสู่ตลาดเกาหลีใต้เรียบร้อยแล้ว แต่จะมาเมืองไทยเมื่อไหร่นั้น คาดว่า เร็วสุดน่าจะเจอกันช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ขึ้นไป ในรูปแบบรถตู้นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันเหมือนเช่นเคย กระนั้น โอกาสที่จะถูกลากออกไปไกลถึงปี 2019 ก็มีสูง ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับทางโรงงานใน Indonesia ว่าจะพร้อมปรับโฉมรถตู้รุ่นใหม่ ตามติดตลาดเกาหลีใต้ด้วยเลยหรือไม่ (ซึ่งตามปกติ เป็นไปได้ยาก)

แล้วหลังจากนี้ละ เมื่อไหร่ รถตู้ Hyundai จะเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange ทั้งคัน ? คำตอบก็คือ ปี 2021 เป็นอย่างเร็วสุด !


ISUZU

  • 2018 : MU-X Minorchange / D-Max 2.4 Ddi
  • 2019 : D-Max / MU-X MY 2019
  • 2020 : D-Max Full ModelChange (Include Hybrid ?)
  • 2021 : MU-X Full ModelChange (Include Hybrid ?)

ปี 2017 ถือว่าเป็นอีก ปีทอง ของเจ้าตลาดรถกระบะอย่าง Isuzu เพราะ เป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 60 ปี ในการทำตลาดเมืองไทย แน่นอนว่าพวกเขายังคงรักษาแชมป์ยอดขายอันดับ 1 เอาไว้ได้อย่าง สบายๆ กระนั้น Tripetch Isuzu (ตรีเพชร อีซูซุ) ก็ยังคงกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่ง MU-X 1.9 Ddi Minorchange แท็คทีมคู่กับ รถกระบะ D-Max Hi-Lander Limited จำนวนจำกัด 2,000 คัน ออกสู่ตลาด ในเดือนมีนาคม 2017 จากนั้น ทิ้งช่วง มาจนถึง เดือนพฤศจิกายน จึงปล่อย D-Max Minorchange ออกมา คราวนี้ นอกจากจะปรับปรุงหน้าตากันอีกรอบด้วย ไฟหน้าใหม่ เพิ่มคิ้วโครเมียมคาดแล้วชี้หางคิ้วขึ้นบน แล้ว ยังย้ายตำแหน่งปั๊มเพาเวอร์เพื่อลดเสียงรบกวนในการทำงาน  แถมยังปรับปรุงภายใน ด้วยการเพิ่มวัสดุนุ่มบุเพิ่มในหลายจุด จนดูน่าใช้ขึ้นมาทันที !

อย่างไรก็ตาม ปี 2018 น่าจะเป็นปีที่ Isuzu จะต้องเตรียมปล่อย MU-X รุ่นปรับโฉม เปลี่ยนแผงแดชบอร์ดหน้าใหม่ ให้เหมือนกับเวอร์ชันจีน ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ เมื่อ 26 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องรอดูว่า D-Max จะมีขุมพลัง 2.4 ลิตร Ddi Blue Power ออกมาแทนเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เดิม ได้เมื่อไหร่ คาดว่า ภายในปี 2018 เราน่าจะได้เห็นกัน

พอถึงปี 2019 Isuzu อาจมีแค่เพียงการปรับปรุงอุปกรณ์ให้กับทั้ง D-Max และ MU-X อีกครั้งหนึ่ง พร้อมเพิ่มรุ่นพิเศษ กระตุ้นยอดขายอีกสักนิด ก่อนที่เราจะได้พบกับ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange ของ D-Max ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เป็นอย่างเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนา รถกระบะรุ่นใหม่ของ Isuzu นับจากนี้ จะไม่มีเงาของพันธมิตรเก่าแก่อย่าง General Motors (GM) / Chevrolet ที่เคยจับมือกันพัฒนารถกระบะ มาตั้งแต่ปี 1970 อีกต่อไป เพราะทั้งคู่ ประกาศขอยุติความสัมพันธ์ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม 2016 เป็นต้นไป ถือเป็นจุดสิ้นสุดการทำธุรกิจรถกระบะร่วมกัน ตลอด 45 ปี

เป็นเรื่องธรรมดาโลก ในเมื่อ GM ต้องการสร้างรถกระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง และพวกเขา ” เชื่อว่า ” สามารถลงทุนทำเองได้ตามลำพัง Isuzu จึงจำเป็นต้องมี พาร์ทเนอร์รายใหม่ มาร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา มากขึ้น

ขณะเดียวกัน Mazda เอง ก็ทุ่มงประมาณ ร่วมพัฒนารถกระบะกับ Ford มาตลอด หลายสิบปีเช่นเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจเลือกจะแยกทางกับ Ford โดยจะไม่พัฒนารถกระบะรุ่นต่อไปร่วมกันอีก จึงต้องหาใครสักคน ที่อยากจะทำรถกระบะด้วย แต่ต้องมีคนช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา จึงจะอยู่ด้วยกันได้โดยรอดปลอดภัย และ Isuzu คือทางออกที่ดีสุดของ Mazda นั่นเอง

เราจะยังไม่ได้เห็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ D-Max ใหม่ ในช่วงปี 2018 – 2019 อย่างแน่นอน เพราะการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ อาจต้องใช้เวลานาน 3 – 4 ปี และ โครงการดังกล่าว น่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบภายนอก และ ภายในอยู่ โดยขุมพลัง จะยังคงเป็น เครื่องยนต์ 1.9 ลิตร และ 2.4 Ddi Bluepower เหมือนเช่น D-Max รุ่นปี 2018 – 2019 และมีความเป็นไปได้สูงว่า Isuzu อาจกำลังซุ่มพัฒนารถกระบะ ขุมพลัง Diesel Hybrid เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งให้เลือกกันอีกด้วย! ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากการประกาศอัตราภาษีสรรพสามิต แบบใหม่ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อรถกระบะและ SUV/PPV ขุมพลัง Hybrid มากขึ้น

D-Max ใหม่ Full ModelChange มีกำหนดเปิดตัวที่ยังไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปี 2020 และ MU-X ใหม่ Full ModelChange ในปี 2021


JAGUAR

  • 2018 : E-Pace (Thailand Premier) / i-Pace

ปีที่แล้ว Jaguar ผู้ผลิตรถยนต์ชาวอังกฤษ ในกลุ่ม JLR ในเครือ Tata Motors จากอินเดีย เจ้าของเดียวกับ Land Rover มีของใหม่ในตลาดต่างประเทศ 2 รุ่น นั่นคือ XF Sportbreak (ซึ่งดูเหมือนว่า คงจะไม่ข้ามาเมืองไทยแล้วละ) กับ Premium Small Crossover SUV รุ่นล่าสุด Jaguar E-Pace ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 14 กรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา แถมยังสร้างสถิติโลก ลง Guiness Book World Records ด้วยการขับรถยนต์ ควงสว่านหมุน 270 องศา ได้ไกลที่สุดในโลก (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE)

E-Pace เป็นรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกบกับ Audi Q3 ,BMW X1 (และ X2) กับ Mercedes-Benz GLA โดยมีตัวถังยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,984 มิลลิเมตร สูง 1,649 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,681 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 5 แบบ ดังนี้

Gasoline 2.0 (P250)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 พ่วง Turbocharger 249 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร (37.19 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Gasoline 2.0 (P300)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger 300 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 TD4 (D150)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger 150 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร (38.72 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 9 จังหวะ มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า FWD และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 TD4 (D180)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว  1,999 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger  180 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร (43.81 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 SD4 (D240) 

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี.  กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Comon-Rail พ่วง Turbocharger 240 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

ถ้า Inchcape ผู้นำเข้าและจำหน่าย Jaguar กับ Land Rover ในบ้านเรา รายล่าสุด อยากจะเร่งทำตลาดจริง เราคงได้เห็น E-Pace คันจริง ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 นี้ เป็นอย่างเร็วที่สุด หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจะขยับไปเป็นช่วง ครึ่งหลังของปีนี้

(รายละเอียดเพิ่มเติมของ E-Pace คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE)

อีกรุ่นหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าทาง Inchcape จะสั่งเข้ามา สร้างสีสันในตลาดรถยนต์บ้านเรา นั่นคือ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Jaguar i-Pace ซึ่งในตอนนี้ มีเพียงแค่เวอร์ชันต้นแบบ ที่เปิดผ้าคลุมกันในงาน L.A. Auto Show เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2016

I-Pace เป็น SUV-Crossover สไตล์สปอร์ต แบบ 5 ที่นั่ง มิติตัวรถ ยาว 4, 680 มิลลิเมตร, กว้าง 1,890 มิลลิเมตร และ สูง 1,560 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ล้อคู่หน้า และหลัง ตำแหน่งละ 1 ลูก ให้กำลังสูงสุดรวม 406 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.38 กก-ม.) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 90 kWh คาดว่าสามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จไฟจาก 0-80% ทำได้ภายในเวลา 90 นาที (1 ชั่วโมงครึ่ง) โดยที่ชาร์จ 50 kW แบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.0 วินาที ความจุที่เก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 530 ลิตร และ เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์จึงมีที่เก็บสัมภาระด้านหน้ารถอีก 36 ลิตร

ขณะนี้ Jaguar ถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาเสร็จไปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 แล้ว ดังนั้น คาดว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ i-Pace จะออกสู่ตลาดโลก ภายในปี 2018 ได้ทันตามกำหนดการเดิมแน่ๆ สำหรับเมืองไทย ก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นคันจริง ภายในสิ้นปี 2018 หรือไม่ก็ต้นปี 2019


KIA MOTORS

  • 2018 : Stinger / Sportage ? / Stonic…?

ผู้ผลิตรถยนต์ระดับยักษ์รองจากแดนโสม ร่วมเครือเดียวกันกับ Hyundai-Kia ทำตลาดในบ้านเรา ภายใต้การ ดูแล ของบริษัท Yontrakit Kia Motors  มานานหลายปีแล้ว และ ปีนี้ ในเมื่อบริษัทแม่ในเครือ เริ่มว่างขึ้นจากการหมดอายุสิทธิ์ทำตลาดรถยนต์ Audi พวกเขาก็เริ่มกลับมาดูแบรนด์ Kia อย่างจริงจังมากขึ้น

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Kia ยังคงยืนหยัดฮึดสู้อยู่ได้ ด้วย New Grand Cranival รถตู้ MPV 11 ที่นั่ง ซึ่งน่าอัศจรรย์ว่า มีสมรรถนะการขับขี่ ดีที่สุด และ ใกล้เคียงกับรถเก๋งมากสุด ในบรรดารถตู้ทุกรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในบ้านเรา โดยยังมี Kia Soul รุ่น Minorchange ขายอยู่แบบเรื่อยๆเปื่อยๆ อาจมีความพยายามเปิดตลาดใหม่ ด้วยการนำเข้า Kia Soul EV มาเปิดตัวในงาน BIG Motor Sales ช่วงเดือนสิงหาคม 2017 แต่กว่าจะประกาศราคา ก็ต้องรอถึงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 2,279,000 บาท

กระนั้น สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ ความกล้าหาญ ของ Yontrakit Kia Motors ในการสั่งนำเข้า Stinger รถยนต์ Sport Saloon 5 ประตู สุดโฉบเฉี่ยว เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าชมงาน ประเภทที่ชอบศึกษาเรื่องรถยนต์ ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าค่าตัวจะแพงไปหน่อยถึง 2,990,000 บาท จากผลของภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต ก็ตาม แต่นับเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับการสร้าง Brand Image ว่า Kia ไม่ได้มีแค่รถตู้ขายในโชว์รูมเท่านั้น

ช่วงก่อนปีใหม่ ทีมผู้บริหารมีโอกาสเดินทางไปประชุม Global Dealer Conference ที่จัดขึ้นในต่างประเทศ แน่นอนว่า พวกเขาได้ไปเห็น Kia Stronic รถยนต์ Sub-Compact Crossover SUV ที่เพิ่งเปิดตัว เมื่อ 20 มิถุนายน 2017 ก่อนส่งไปอวดโฉมครั้งแรก ในงาน Frankfurt Motor Show ต้นเดือนกันยายน 2017

Kia Stonic มีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 แบบ ทั้เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร T-GDI 120 แรงม้า (PS) , เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.25 ลิตร 84 แรงม้า (PS) เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร 99 แรงม้า (PS) และ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จาก Kia C’eed เวอร์ชันยุโรป 110 แรงม้า (PS)

รายละเอียดของ Kia Stronic อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE

อีกรุ่นหนึ่งที่ต้องรอลุ้นกันต่อ นั่นคือ Kia Sportage ซึ่งจำใจ จำเป็นต้องหายหน้าหายตาไปนานหลายปี เพราะทำราคาไม่ได้ มันจะแพงกว่าคู่แข่งไปไกล เนื่องจากภาษีนำเข้า (อีกแล้ว) คาดว่า เวอร์ชันที่อาจเป็นไปได้ว่าควรจะมาจำหน่ายในบ้านเรา น่าจะเป็นแบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วง Common-rail Turbocahrger 185 แรงม้า (PS) มากกว่า

แน่นอนว่า ทั้ง บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ และ Yontrakit ก็สนใจจะสั่งรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้เข้ามาขาย ปัญหาติดอยู่เพียงแค่ว่า จะทำราคา รวมภาษี ให้สามารถต่อสู่กับคู่แข่งซึ่งมีโรงงานประกอบในประเทศ ซึ่งก็เป็นปัญหาเดียวกับ Compact SUV รุ่น Sportage และ City Car รุ่นเคยขายดีของ Kia อย่าง Picanto Generation ใหม่ เช่นกัน

ดังนั้น เราจึงได้แต่รอดูท่าทีว่า พวกเขาจะนำรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นใด เข้ามาสร้างสีสันกันในเมืองไทยอีก


LAND ROVER

  • 2018 : Range Rover & Range Rover Sport Plug-in Hybrid
  • 2019 : New Evoque / All New Defender

ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์หรูขาลุย ในร่มเงาของเครือ JLR ร่วมกับ Jaguar ภายใต้เจ้าของเดียวกันคือ Tata Motors ภายใต้การทำตลาดของ Inchcape ทะยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Discovery ใหม่ เมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 จากนั้น ทิ้งช่วงไปเพียงเดือนเดียว พวกเขาก็เปิดผ้าคลุม Range Rover Velar เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2017 ถือเป็น Land Rover ที่เปิดตัวในเมืองไทย ตามหลังตลาดโลก เพียง 6 เดือน สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์บ้านเรา เพราะ Velar เพิ่งจะเผยโฉมในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2017 ไปหมาดๆ

ไม่เพียงเท่านั้น Land Rover เริ่มพาแบรนด์ตัวเองไปสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า กับเขาเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว Range Rover Sport Plug-in Hybrid เมื่อ 7 ตุลาคม 2017 ตามมาติดๆด้วย Range Rover Minorchange + รุ่น Plug-in Hybrid เมื่อ 12 ตุลาคม 2017 โดยทั้งคู่ เผยโฉมในตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก และยังไม่มาถึงเมืองไทย

รุ่นปกติ ของทั้ง Range Rover และ Range Rover Sport ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน และ Diesel เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่รุ่น Plug-in Hybrid ที่เพิ่มเข้ามาของทั้งคู่ ใช้ขุมพลังเดียวกัน เป็นเครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดรวมกัน 404 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร (61.54 กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ full-time ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง และชาร์จไฟให้เต็มในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง 45 นาที แต่ ปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แค่ 64 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น!!

Range Rover Sport Plug-in Hybrid มีรูปแบบการขับขี่สามารถปรับได้ 2 แบบหลักคือ Parallel Hybrid (แบ่งเป็น SAVE function ซึ่งจะรักษาระดับแบตเตอรี่เอาไว้ให้อยู่ที่เท่าเดิม กับ Predictive Energy Optimisation (PEO) ที่ปรับการทำงานตามสภาพการจราจรใน GPS ) และแบบ EV ซึ่งสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว เป็นระยะทางสูงสุด 51 กิโลเมตร

มีความเป็นไปได้ว่า Inchcape Thailand จะสั่งนำเข้า พาหนะพลังเบนซิน +ไฟฟ้า เสียบปลั๊กชาร์จไฟบ้านได้ เข้ามาให้มหาเศรษฐีเมืองไทย ได้เป็นเจ้าของกัน ในปี 2018 นี้ ส่วนจะเป็นช่วงใดนั้น เดาได้ไม่ยากครับ ถ้าไม่ใช่ Bangkok Interntaional Motor Show ปลายเดือนมีนาคม ก็อาจเป็นช่วง ครึ่งหลังของปี 2018 หรืออาจเลยเถิดไปถึง Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 นั่นแหละ

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)

ต่อจากนั้น ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ให้กับ Range Rover Evoque Premium Compact SUV รุ่นโฉบเฉี่ยวและขายดีที่สุดของพวกเขา เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 จนถึงตอนนี้ ยอดขายทั่วโลก ก็ยังคงอยู่ในระดับ 100,000 คัน/ปี มาโดยตลอด ลูกค้าส่วนใหญ่ ตกหลุมรักในเส้นสายที่ลงตัวมาก จนกระทั่งแทบไม่กล้านึกต่อเลยว่า รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ จะสวยเท่าเดิมหรือเปล่า

รถต้นแบบที่กำลังแล่นทดสอบอยู่ในอังกฤษที่เพิ่งถูกบันทึกภาพได้ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2017 สดๆร้อนๆ แสดงให้เห็นว่า Evoque รุ่นต่อไป จะยังคงยึดเส้นสายของรุ่นปัจจุบัน แต่จะปรับปรุงให้เฉียบคม และดูหรูหรายิ่งขึ้นไปอีก รถรุ่นใหม่จะยังคงใช้ platform ร่วมกับรุ่นปัจจุบัน แต่จะมีน้ำหนักเบาลง, ขับขี่และนั่งสบายกว่าเดิม แถมยังถูกพัฒนาให้รองรับขุมพลังทางเลือกต่างๆ ทั้ง Hybrid และ Plug-In Hybrid ตามมาในภายหลัง ส่วนเครื่องยนต์ธรรมดาจะมีให้เลือกทั้งเบนซิน และ Diesel Turbo ตามเคย

Land Rover มีกำหนดจะเปิดตัว Range Rover Evoque ใหม่ ในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2018 จากนั้น จึงจะทะยอยส่งไปเปิดตัวในตลาดโลกตามลำดับต่อไป คาดว่า ลูกค้าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสคันจริง อย่างเร็วที่สุดคือ ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2019

นอกจากนี้ ข่าวใหญ่ของ Land Rover ในปี 2018 คือ โครงการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในรอบ 70 ปี ของ Off-Road ตัวลุย อย่าง Land Rover Defender ที่ยังคงมีข่าวทะยอยออกมาเป็นระยะๆ หลังจากที่รถคันสุดท้าย (คันที่ 2,016,933) คลอดจากสายการผลิตในโรงงาน Solihull ที่ปรเทศอังกฤษ ไปแล้ว เมื่อ 29 มกราคม 2016

Defender คือ รถยนต์ ที่มีอายุตลาดยาวนานมากสุดในโลก คือ 68 ปี นับตั้งแต่ Series-1 รุ่นแรก ถูกผลิตขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1948 จุดเด่นที่ทำให้บรรดามือโปร ที่ทำงานในสาขาวิชาชีพที่แตกต่างไปจากมนุษย์โลกทั่วไป ตั้งแต่นักถ่ายภาพสารคดี นักอนุรักษ์วิทยา นักโบราณวัตถุ นักผจญภัย แพทย์ พยาบาล รวมทั้งบรรดานกเลง Off-Road ต่างพากันชื่นชอบใน Defender คือ ความทนถึกทรหด และพร้อมพาคุณลุยเข้าไปในทุกอุปสรรค อย่างไม่สะทกสะท้าน แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้า Queen Elizabeth ที่ 2 ก็ทรงมีไว้ขับใช้งานส่วนพระองค์เอง 1 คัน!! และเรืองที่โคตรฮาของพวกเรา แต่เจ้าของรถน่าจะขำไม่ออก คือ หลังจากที่ Land Rover ประกาศเลิกผลิตรถรุ่นนี้ไป ยอดการถูกโจรกรรม ของ Defender ในอังกฤษก็พุ่งสูงขึ้นถึง 75% ทันที!!

Gerry McGovern Chief Designer ผู้บริหารฝ่ายออกแบบ Jaguar Land Rover ยังนำทีมออกแบบด้วยตัวเองเหมือนเช่นเคย ใครที่คิดว่าเส้นสายจะออกมาเหมือนกับรถยนต์ต้นแบบ DC100 ที่เผยโฉมออกมาตั้งแต่ปี 2011 Garry ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า “เลิกคิดเถอะครับ” เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีเส้นสายภายนอก แตกต่างจากรถต้นแบบ DC100 คันที่คุณเห็นอยู่ข้างบนนี้ แน่นอน

Defender ใหม่จะเป็นรถที่แหกเหล่าแหกคอกด้านการออกแบบมากที่สุด ต่างจากตระกูล Discovery และไม่เหมือน Land Rover รุ่นใดๆมาก่อน Defender ใหม่จะมีความใกล้เคียงกับ Land Rover ยุคแรกๆ มากที่สุด คือเน้นการใช้งานจริง ลุยโหดจริงๆ กระแทกกระทั้นโหดๆ ได้จริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แฟนพันธ์แท้ของแบรนด์นี้ รักและชื่นชอบ แต่จะมีงานออกแบบ ที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าของ Defender รุ่นปัจจุบัน และจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ไปพร้อมๆกันอีกด้วย

ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมของรุ่น Discovery แต่จะมีชิ้นส่วนจำนวนมาก ที่แตกต่างกันออกไป และใช้ร่วมกันไม่ได้ ที่แน่ๆตัวรถจะยังคงรักษาคุณสมบัติความถึกทรหดเอาไว้เช่นเดิม

ล่าสุด รถต้นแบบ Test Mule เริ่มออกวิ่งบนถนนสาธารณะในอังกฤษแล้ว คาดว่ากำหนดการเปิดตัว จะเกิดขึ้นในปี 2018 อย่างแน่นอน


Lamborghini

  • 2018 : URUS

ปีที่ผ่านมา ถือเป็นมรสุมลูกใหญ่ของ Niche Car ผู้นำเข้าและจำหน่าย Lamborghini อย่างเป็นทางการ จากผลของคดียาเสพติดของเศรษฐีฝั่งลาว อันโด่งดัง ที่เลยเถิดต่อเนื่องมาถึงการปราบปรามรถ Super Car เลี่ยงภาษี ที่ทำเอาทั้งการสั่นสะเทือนกันไปหมด ทุกคน ถึงกับตะลึงในข่าว สำนักงานคดีพิเศษ DSI บุกเข้าตรวจสอบโชว์รูมรถหรู 9 แห่ง เมื่อ 18 พฤษภาคม 2017 ซึ่ง 1 ใน 9 แห่งนั้น มี Niche Car ริมมอเตอร์เวย์ ย่านศรีนครินทร์ พระราม 9 รวมอยู่ด้วย

คดีความจะเป็นอย่างไร เราไม่ทราบ และขอไม่พูดถึง เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะดำเนินการกันไป แต่ความเคลื่อนไหวของ Lamborghini ในต่างประเทศนั้น ยังคงมีอยู่ ล่าสุด ค่ายกระทิงพยศ จากอิตาลี เพิ่งเปิดผ้าคลุม URUS (อ่านว่า “อุรุส”) ไปสดๆร้อน เมื่อ 4 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา

URUS ถูกสร้างขึ้นบน พื้นตัวถัง MLB Evo Platform ร่วมกับ Audi Q7 , Bentley Benteyga และ Volkswagen Touareg โดยมุ่งเน้นการลดน้ำหนักตัวรถให้ได้เบาที่สุด เลือกใช้วัสดุโลหะผสม และเหล็กกล้า ทำให้มีน้ำหนักตัวรถต่ำกว่า 2,200 กิโลกรัม

ขุมพลัง เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 3,996 ซีซี. Bi-Turbo Twin-scroll กำลังสูงสุด 659 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 4,500 รอบ/นาที (Redline ที่ 6,800 รอบ/นาที) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (with front differential, center differential แบบ Torsen และ active torque vectoring rear differential) ความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร ปล่อย CO2 : 290 g./km. พร้อมสารพัดเทคโนโลยีใหม่ๆ อัดแน่นเต็มคันรถ

URUS สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 3.6 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 12.8 วินาที และ ทำความเร็วสูงสุด Top Speed 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ฉีกแซงขึ้นหน้า Bentley Bentayga กลายเป็นรถยนต์ SUV ที่เร็วและแรง ที่สุดโลก ไปเรียบร้อย

หากไม่มีอะไรผิดพลาด URUS ควรจะถูกส่งมาเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเร็วที่สุด ภายในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 ด้วยค่าตัว (รวมภาษีต่างๆแล้ว) ในระดับไม่น่าต่างจาก Bentley Bentayga คือราวๆ 25 ล้านบาท

รายละเอียดต่างๆของ Urus สามารถคลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE

————————————————————————————

Mazda

  • 2018 : No New Models / Full ModelChange just Model Year 2018
  • 2019 : CX-8 (Thailand Premier) / Mazda 3 SKYACTIV-X
  • 2020 : All New BT-50 Pro

หลังการเปิดตัว ไฮไลต์ สำคัญประจำปี 2017 อย่าง CX-5 ใหม่ ผ่านพ้นไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจต่อเนื่อง ของผู้ผลิตรถยนต์สายเลือดนักสู้จาก Hiroshima ที่โหมกระหน่ำถล่มตลาดเมืองไทย ด้วยกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ใช้พื้นฐานเทคโนโลยี SKYACTIV ร่วมกัน มาตั้งแต่ปี 2013 กันเสียที จนทุกวันนี้ ลูกค้าวัยรุ่นส่วนใหญ่ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วไทยเริ่มปันใจจาก Toyota และ Honda ไปถอย Mazda 2 และ Mazda 3 กันจนเกร่อ ทิ้งให้ 2 เจ้าตลาดรถยนต์นั่ง หาวเรอ รอรับแต่ลูกค้ากลุ่มคณาจารย์ และพนักงานในสถานศึกษาต่างๆไปพลางๆ

ดังนั้น ปี 2018 จะเป็นปีที่ ชาว Hiroshima เขาจะขอนั่งพักเหนื่อย หายใจแป๊บนึง อาจมีแค่เพียงการปรับอุปกรณ์ให้กับรถยนต์ที่ทำตลาดอยู่แล้ว แทบทุกรุ่น ทั้ง Mazda 2 , Mazda 3 ,CX-3 และ BT-50 PRO เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ถึงเป้า ตลอดทั้งปี ก็เท่านั้น รุ่นแรกที่ปรับอุปกรณ์ก่อนใครเพื่อนคือ Mazda 2 เบนซิน 1.3 Skyactiv-G ในเดือน กุมภาพันธ์ อ่านรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่นี่ นอกจากนี้สีแดง Soul Red Metallic ในทุกรุ่นที่มีสีนี้ ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น Soul Red Crystal ทั้งหมดเช่นเดียวกับ CX-5

ระหว่างนี้ Mazda ก็ต้องหันไปทุ่มเทปรับปรุงคุณภาพบริการหลังการขาย ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งหาทางแก้ไขปัญหาของลูกค้าที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel Skyactiv-D ใน Mazda 2 ให้เสร็จเสียที หลังจากเคลียร์ปัญหาให้ลูกค้า Mazda CX-5 รุ่นเดิม ไปเรียบร้อยแล้วในระดับหนึ่ง แต่บางส่วนก็ถึงขั้นต้องฟ้องร้องกันเลยทีเดียว จนเป็นกระแสหนักหน่วงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ คดีนี้ ดูท่าน่าจะใช้เวลานานแน่ๆ

แต่ทันทีที่ปี 2019 ย่างกรายมาถึง ใครที่ยังรอ SUV 7 ที่นั่งจาก Mazda กันไหวถึงตอนนั้น น่าจะยิ้มออกเสียที เพราะ Mazda Sales (Thaland) มีแผนจะนำ CX-8 เข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราอย่างจริงจัง กันในช่วงไตรมาสแรก ปี 2019

CX-8 เผยโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อ 20 กันยายน 2017 เป็นการนำ CX-5 มาเพิ่มความยาวตัวรถ เพื่อเพิมเบาะนั่งแถวที่ 3 เข้าไป ซึ่งเมื่อผู้เขียนลองนั่งจริง ที่ญี่ปุ่น ในงาน Tokyo Motor Show พบว่า หากคุณตัวสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร และต้องเข้าไปนั่งบนเาะแถว 3 ศีรษะของคุณจะไม่เฉี่ยวชนกับเพดานหลังคา

เครื่องยนต์ มีเพียงแบบเดียว เป็นขุมพลัง SKYACTIV-D Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,188 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.0 x 94.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.4 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Common-rail Direct Injection พ่วง Turbocharger  กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-time AWD

รายละเอียดตัวรถเพิ่มเติม คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE

จากนั้น ในปี 2019 เราจะได้สัมผัสกับ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ Mazda 3 / Axela ใหม่ ซึ่งจะมีเส้นสาย ถอดแบบเค้าโครงมาจาก รถยนต์ต้นแบบ Mazda KAI Concept ที่เพิ่งเปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลก ณ งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2017

Mazda 3 รุ่นต่อไป จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ รถรุ่นปัจจุบัน แต่จะมีการนำเทคโนโลยี SKYACTIV Generation 2 มาประยุกต์ใช้กับตัวรถทั้งคัน รวมทั้งจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์ ใหม่ SKYACTIV-X (SPCCI : Spark Controlled Compression Ignition) แบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร เป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการผลิตเครื่องยนต์แบบกำลังอัดแปรผัน ออกจำหน่ายจริง (แม้จะมีหัวเทียนช่วยก็ตาม)

คาดว่า Mazda 3 ใหม่ SKYACTIV-X น่าจะพร้อมเผยโฉมได้ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2019 และจะส่งถึงมือลูกค้าชาวไทยได้ ภายในช่วงปลายปี 2019 เป็นอย่างเร็วที่สุด

อ่านรายละเอียดเทคโนโลยีเครื่องยนต์ SKYACTV-X (SPCCI) ต่อได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนารถกระบะ BT-50 PRO รุ่นต่อไป ที่ Mazda ตัดสินใจเซ็นใบหย่า กับ Ford แล้วหันไปสวมแหวนหมั้นกับเจ้าบ่าวคนเก่าที่คุ้นเคยอย่าง Isuzu นั้น

ความจริงแล้ว ทั้ง Mazda และ Isuzu เคยจับมือเข้าสู่ประตูสมรสกันมาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อปี 1989 – 1990 ในช่วงที่ Mazda ยุคผู้จำหน่ายรายเก่าอย่าง “กิจกมลสุโกศล” สั่งซื้อเครื่องยนต์ 4JA1 Diesel 2.5 ลิตร Direct Injection อันดังกระหึ่มทั้งยอดขายและเสียงเครื่องยนต์เอง จาก Isuzu ไปวางในรถกระบะ Magnum B2500 Thunder มาแล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อ Ford เข้ามาบอกกับ Mazda ว่า “มาร่วมกันตั้งโรงงาน AAT ที่ระยอง เพื่อทำรถกระบะร่วมกันออกขายในปี 1997 เถอะ” Mazda ก็เลยต้องจำใจผละทิ้งจาก Isuzu ไปเสียแต่โดยดี

คราวนี้ เมื่ออยู่กินกันมานาน ร่วมกันทำรถกระบะ Fighter/BT-50 รุ่นแรก และ BT50 PRO รวม 2 รุ่น นานวันเข้า ทั้งคู่ก็เริ่มแหนงหน่าย ประลองยุทธกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง ประท้วงขอขึ้นค่าแรงกับโบนัสกันบ้างตามธรรมเนียมทุกปลายปี (2017 นี่ก็เอาอีกแล้ว)

สุดท้าย Ford ก็บอกว่า เอาละ ฉันจะตั้งโรงงานของตัวเองละ และต่อจากนี้ จะทะยอยย้ายสายการผลิต รถกระบะ Ranger กับ SUV/PPV รุ่น Everest ไปไว้ที่นั่น จนจบ ในช่วงปี 2020 – 2021 เพื่อปล่อยให้ Mazda เป็นเจ้าของโรงงาน AAT ไปตามลำพังก็แล้วกัน

Mazda เลยยิ้มหวาน “เสร็จกูแล้ว ฮ่าๆๆ” ไปเจรจากับ Isuzu ว่า จะขอกลับมาคืนดีอีกครั้ง ผู้บ่าวคนเดิม ก็ดีใจและแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง “เอาละวุ้ย มีคนมาช่วยแชร์ต้นทุนการทำ D-Max รุ่นต่อไปแล้ว สุดท้าย ก็กลับมาตายรัง หลังจากหลงไปอยู่กินกับฝรั่ง Ford ไปตั้ง 20 กว่าปี”

ข้อมูลของรถกระบะรุ่นต่อไปที่สามารถยืนยันได้แน่นอนแล้ว ในขณะนี้คือ

  1. ไม่ปิดโรงงาน AAT อย่างแน่นอน เพราะยังผลิตรถเก๋ง Mazda ขายทั่ว Asia/Oceania
  2. แต่จะโยกสายการผลิตรถกระบะรุ่นต่อไป จ้างให้ Isuzu ไปประกอบแทน
  3. เครื่องยนต์กลไก Frame Chassis ทั้งหมด ใช้ร่วมกับ D-Max รุ่นต่อไป !! (นั่นหมายถึง จะถ่ายทอดความประหยัด ตามมาด้วยครบถ้วน!)
  4. อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอก Mazda จะขอออกแบบ BT-50 ใหม่เองทั้งคัน
  5. ยืนยันว่า ไม่ใช่แค่ D-Max ใหม่ เปลี่ยนโลโก้ที่กระจังหน้า แน่นอน!
  6. เพื่อประหยัดต้นทุน เสาและโครงหลังคา กระจกหน้า และโครงประตู จะใช้ร่วมกัน
  7. ไม่ใช่แค่นั้น Mazda จะขอเซ็ตช่วงล่างรถกระบะของตนเองอย่างหนักหน่วงเหมือนรุ่นเดิม

คาดว่า Mazda น่าจะร่วมกันพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่กับ Isuzu แล้วเสร็จ จนสามารถกำหนดวันออกเรือน ส่งตัว และ จัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรส ได้ อย่างช้าที่สุด ปลายปี 2020 ไม่เกิน 2021


MASERATI

  • 2018 : Ghibli Grand Lusso / Alferi (World Premier)
  • 2019 : Alferti (Thailand Premier) / Gran Turismo (World Premier)
  • 2020 : Gran Turismo (Thailand Premier)

หลังการเปลี่ยนผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ จาก บริษัท Empire Motorsport จำกัด (เครือของกลุ่ม บริษัท Firma อดีตผู้จำหน่าย Ferrari ในไทยเดิม) มาเป็น กลุ่มบริษัท Master Group Corporation จำกัด หรือกลุ่ม Millennium (MGC Asia) แบรนด์ตรีศูลจากเมือง Modena ประเทศอิตาลี ก็เริ่มกลับมามีสีสันขึ้นอีกครั้ง

การนำสื่อมวลชน 13 ชีวิต และ คณะ VIP อีก 25 คน เดินทางไปชมโรงงาน และ ทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ถึงเมือง Modena ตามด้วยการพาไปดูบูธ Maserati ในงาน Geneva Motor Show ช่วงเดือนมีนาคม 2017 ก่อนจะเปิดตัวแบรนด์ แบบ (Re-Launch) อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนเดียวกัน พร้อมกับประกาศนำเข้า LeVante Diesel Turbo มาเปิดตลาดเป็นครั้งแรก ร่วมกับบรรดาพี่น้องในตระกูล ทั้ง Ghibli Quattroporte และ Gran Turismo ก่อนที่จะเสริมทัพด้วย LeVante เครื่องยนต์เบนซิน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ สำคัญ ในปีนี้ แน่นอนว่า LeVante มียอดขายในระดับ ดีใช้ได้ เมื่อเทียบกับบรรดา Premium Luxury Brand ด้วยกัน

ปี 2018 นี้ MGC-Asia เตรียม สั่งนำเข้า Maserati Ghibli Grand Lusso ซึ่งเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Sedan รุ่นเล็กสุดในตระกูล แต่มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเองมากพอ และ มีขนาดตัวถังใหญ่พอที่จะเทียบรัศมี บรรดา Mercedes-Benz E-Class , BMW 5-Series , Audi A6 ได้อย่างถึงพริกถึงขิง

ตัวรถเพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 28 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ณ งาน Chengdu Motor Show ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน มีเครื่องยนต์เป็นแบบ V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร ทั้งหมด แต่ให้เลือก 2 ประเภทเชื้อเพลิง 4 ระดับความแรง ทั้ง เบนซิน 350 แรงม้า (HP) กับ 410 แรงม้า (HP) และ Diesel Common-Rail Turbo 250 แรงม้า (HP) กับ 275 แรงม้า (HP)

การปรับโฉม เน้นไปที่การเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้า Adaptive full LED พร้อม Matrix High-Beam ปรับดีไซน์กระจังหน้าให้มีขนาดกว้างขึ้น ตะแกรงกระจังหน้ามีความหนาเพิ่มขึ้น ปรับปรุงดีไซน์ช่องดักลมกันชนหน้าใหม่ เน้นแนวนอนมากขึ้น เปลี่ยนกันชนท้ายใหม่ และ เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) เต็มพิกัด ทั้งระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Path ระบบช่วยเตือนในจุดอับสายตา Blind Spot Alert ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องจราจร Lane Departure Warning ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control กล้องด้านหลัง Rear View Camera ฯลฯ

คาดว่า เราจะได้เห็น Ghibli Grand Lusso ตัวเป็นๆ กันในงาน ฺBangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้

รายละเอียดของ Ghibli Grand Lusso คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วน รถสปอร์ตขนาดเล็กกว่า Gran Turismo ในชื่อ Maserati Alfieri ซึ่งเคยมีการเปิดผ้าคลุมเวอร์ชันต้นแบบ ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2014 มาแล้วนั้น ดูเหมือนจะเงียบหายไปเลย กระนั้น เราได้รับการยืนยันว่า โครงการนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อให้เสร็จตามกำหนดเปิดตัว ที่ถูกเลื่อนมาเป็นช่วงปี 2018 นี้

Alfieri ได้รับแรงบันดาลใจ จากรถสปอร์ต Maserati A6 GCS/53 ซึ่งเป็นผลงานในปี 1954 ของ PininFarina ถือเป็น รถสปอร์ต Maserati ที่โด่งดังมากสุดในอดีต โดยชื่อรุ่นนำมาจาก Alfieri Maserati 1 ใน 5 พี่น้องตระกูล Maserati ผู้ก่อตั้งบริษัท เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ Maserati เมื่อปี 2015

รูปลักษณ์ภายนอกมาในแบบ Coupe 2+2 ที่นั่ง วางขุมพลังบล็อก V8 4.7 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 460 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันผลิตออกขายจริง จะวางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ในตอนแรก ค่ายตรีศูล ตั้งใจว่าจะมีเฉพาะรุ่น Coupe 2 ประตูเท่านั้น แต่ไปๆมาๆ มีแนวโน้มว่า อาจมีตัวถังเปิดประทุน พ่วงเข้ามาในแผนการพัฒนาด้วย

Maserati ประกาศว่า Alfieri จะพร้อมขึ้นสายการผลิตออกสู่ตลาดจริง ในปี 2018 แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยได้ อาจต้องรอกันจนถึงปี 2019 ซึ่งจะเป็นปีที่ ทีมวิศวกรในเมือง Modena จะเข็น Gran Turismo รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาด ในช่วงเดียวกันพอดี แต่อาจจะเลื่อนไปถึงปี 2020 ได้ เพราะดูเหมือนว่า พวกเขายังไม่ค่อยรีบร้อนเท่าไหร่


Mercedes-Benz

  • 2018 : New CLS Full ModelChange /
  •           : C-Class Diesel + Minorchange
  •            : A-Class Sedan  / G-Class / S560e

2017 เป็นอีกหนึ่งปีที่ต้องจดจำไว้ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์เมืองไทยว่า ค่ายรถยนต์ตราดาวจากเมือง Stuttgart สหพันรัฐเยอรมนี กลายเป็นบริษัทที่ทำสถิติจัดงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ บ่อยที่สุดในปีที่แล้ว กันไปเลย เยอะกันจนจำแทบจะไม่หวาดไหวอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่ปริมาณรถยนต์รุ่นใหม่ ก็มีทั้งหมด 11 รุ่น ได้แก่ E220d CKD ประกอบไทย, C350e ปรับสเป็ก 2 รอบ ช่วงต้นและกลางปี , E350e , E300 Coupe , GLA Facelift ประกอบไทย, AMG GLA 45 Facelift, E300 Cabriolet, S350d Facelift, Maybach S560 Facelift , AMG GT-C เปิดประทุน และ AMG GT-R

ไม่เพียงเท่านั้น ความกล้าหาญในการตัดรุ่นย่อย เครื่องยนต์สันดาปปกติ ออกไปจาก C-Class และ E-Class จนหมดสิ้น ส่งผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลียงไม่ได้ ทั้งปัญหาจากตัวรถ จนถึงปัญหาของระบบขับเคลื่อน Hybrid ที่เกิด Defect ขึ้นกับลูกค้าจำนวนมาก ทำให้เสียงร่ำลือปากต่อปากกระจายกันไปไกล ทำให้ในที่สุด Mercedes-Benz (Thailand) ต้องกลับมาทบทวนนโยบายดังกล่าวอีกครั้ง และ พยายามหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการเตรียมเสริมทางเลือกเครื่องยนต์สันดาปกลับเข้าไปในตระกูลกันอีกครั้ง

ย่างเข้าปี 2018 Mercedes-Benz (Thailand) จะประเดิมกันด้วย  The New CLS ใหม่ Generation ที่ 3 ซึ่งเพิ่งเผยโฉมไปสดๆร้อนๆ ในงาน LA.Auto Show ที่ Los Angeles เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา โดยยังคงแนวทางในการเป็น รถยนต์ Coupe 4 ประตู ที่คั่นกลางระหว่าง E-Class และ S-Class เอาไว้เช่นเดิม เพียงแต่ว่า CLS ใหม่ จะเป็น Mercedes-Benz รุ่นแรก ที่ปรับเปลี่ยนงานออกแบบชุดไฟหน้า มาเป็นแบบเดียวกับรถต้นแบบ Vision EQA ซึ่งเราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ในรถยนต์ตราดาวรุ่นต่อๆไป หลังจากนี้

ช่วงแรกที่เปิดตัว CLS ใหม่ ในตลาดโลกจะมีให้เลือก 2 ขุมพลัง 3 ระดับความแรง เริ่มจากเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ ดังนี้

  • CLS350d 4MATIC

เครื่องยนต์รหัส OM656 Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,927 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 พ่วง Turbocharger 286 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (61.14 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

  • CLS400d 4MATIC

เครื่องยนต์ เหมือนกันกับ CLS350d ทุกประการ แต่ปรับแต่ง จนแรงขึ้นถึง 340 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

  • CLS450 4MATIC (EQ Boost Assist Hybrid)

รายละเอียดเบื้องต้น อย่างไม่เป็นทางการ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,999 ซีซี. 372 แรงม้า (PS) แรงบิด สูงสุด 500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) พร้อมระบบ EQ Boost Assist ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 22 แรงม้า 250 นิวตันเมตร 48V Onboard เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ทาง Mercedes-Benz Thailand เตรียมสั่งนำเข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ โดยคาดว่า รุ่น CLS350d น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานของลูกค้า และ การทำราคาของบริษัทแม่ ไม่ให้แพงเกินไปนัก

รายละเอียดอื่นๆ ของ CLS ใหม่ คลิกอ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE!

ตามกันมาติดๆด้วย การปรับโฉมครั้งใหญ่ ในรอบหลายปี ของพี่เบิ้มจอมลุย อย่าง G-Class ซึ่งจะเกิดขึ้นในงาน Detroit Auto Show 15 มกราคม 2018 นี้

G-Class เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1979 และ ได้รับความนิยมในหมู่ ผู้มีอันจะกิน แต่มีรสนิยมชอบลุย รักสันโดษ อีกทั้งยังกลายร่างเป็น รถยนต์อเนกประสงค์ สำหรับกิจการพิเศษต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ รถพยาบาลสำหรับทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปจนถึง รถยนต์ของทีมสำรวจวิจัยโบราณคดี แม้กระทั่งเคยเป็นรถยนต์พระที่นั่งของ สมเด็จพระสันตปาปา Pope John Paul ที่ 2 G-Class ก็ผ่านมือมาหมดแล้ว แทบทุกรูปแบบภาระกิจ ครั้งสุดท้ายที่มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ก็คือ ปี 2016

แม้ว่า G-Class ใหม่ จะถูกพัฒนาขึ้นพื้นฐานโครงสร้างงานวิศวกรรมของ รถรุ่นเดิมแทบทั้งหมด ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ Platform MHA สำหรับ SUV ท่ามกลางความโล่งอกของลูกค้าสายลุยระดับบู๊ ทว่า การปรับโฉมคราวนี้ แม้ รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้เหมือนรุ่นเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับห้องโดยสารมากกว่า โดยเฉพาะแผงแดชบอร์ด ซึ่งออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้ดูร่วมยุคสมัยไปกับ พี่น้องร่วมตระกูลตราดาวรุ่นอื่นๆ กระนั้น พวกเขายังคงรักษาเอกลักษณ์ต่างๆของ G-Class ไว้ เช่น มือจับประตูแบบ Grip Type ที่ให้สัมผัสการกดปลดกลอน หรือเสียงปิดประตู ที่แน่นหนาตามสไตล์ชาวเยอรมัน หรือแม้กระทั่ง ระยะห่างจากขอบล่างของกระจกบังลมหน้า จนถึงผู้ขับ ให้สั้นเข้าไว้ ตามสไตล์ของ SUV ตัวลุย ยุค 1980 การตกแต่งภายใน เปลี่ยนไป เพื่อเพิ่มความสบายขณะขับลุยไปตามเส้นทางหฤโหด

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิศวกรยังติดตั้งหน้าจอมอนิเตอร์สี TFT ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ COMAND เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งประจำการอยู่แล้วใน E-Class และ S-Class ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะเดียวกัน ในรุ่นล่างๆ ตระกูล Professional ก็จะมีมาตรวัดความเร็ว กับหน้าจอมอนิเตอร์สี แยกชิ้นกัน แต่ฝังร่วมกันกับแผงพลาสติก Piano Black เหมือน E-Class Elegance เวอร์ชันไทย อีกด้วย

มีแนวโน้มว่า Mercedes-Benz (Thaland) อาจจะสั่งนำเข้า G-Class ใหม่ มาเปิดตัว เอาใจเศรษฐีขาลุย อย่างเร็วที่สุด ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าที่สุด ก็คงต้องเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2018 โดยอาจนำเข้ามาในจำนวนไม่มากนัก เพราะรุ่นปัจจุบัน ก็ทำยอดขายในบ้านเราน้อยมาก เนื่องจาก ราคาแพงโหดเอาเรื่อง นั่นเอง



ภาพ Spyshot C-Class Facelift สีขาว จาก Paultan.org

รายการต่อไปที่น่าจับตามองคือ C-Class Facelift ที่จะมีขุมพลัง Diesel กลับมาให้เลือกกันอีกครั้ง แม้จะมีจำนวนไม่น่าจะมากนักก็ตามที

เหตุผลของการนำ C-Class Diesel Turbo กลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง หลังจากหายน้าหายตาไปนาน ก็ต้องพูดกันตรงๆว่า ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ Mercedes-Benz (Thailand) ตัดสินใจ ถอดขุมพลังเบนซินล้วนๆ ออกจาก ตระกูล C-Class สำหรับตลาดเมืองไทย ไปจนหมด คงเหลือไว้แค่ C350e Plug-in Hybrid ปัญหาก็คือ มีลูกค้าจำนวนไม่น้อย ที่ซื้อไปใช้ แล้วพบกับปัญหา Defect จากตัวรถมากมายหลายอาการ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆเช่นคุณภาพชิ้นส่วน หรือการประกอบ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดจากระบบขับเคลื่อน Hybrid จนถึงขั้น ดับกลางอากาศ ก็มีให้เห็นเป็นประจำ จนทำให้ลูกค้ารายใหม่ เริ่มขยาด และพากันหนีไปหาคู่แข่ง อย่าง BMW 3-Series มากขึ้น

ชณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้า C-Class นั้น นอกจาก เศรษฐี ทั่วไป ที่มักซื้อรถไว้ให้บุตรหลานขับขี่ หรือเจ้าของกิจการ ไปจนถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย แล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณ ที่เก็บเงินออมมาทั้งชีวิต เพื่อหวังเป็นเจ้าของ Mercedes-Benz สักคัน สักครั้ง ก่อนลาจากโลกไป ซึ่งกลุ่มหลังนี้ เป็นกลุ่มที่ Mercedes-Benz (Thailand) ไม่ควรทิ้งไปเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เรายังไม่แน่ใจว่า เมืองไทย จะได้ใช้เครื่องยนต์รุ่นใด เวอร์ชันใด เพราะต้องรอให้ C-Class ถูกปรับโฉม Facelift หรือ Minorchange กันในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม นี้เสียก่อน จึงจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น กำหนดเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือน มีนาคม 2018 นี้

ไม่เพียงเท่านั้น Mercedes-Benz (Thailand) ยังเตรียมจะเอาใจลูกค้าไฮโซ ด้วย รุ่นย่อยใหม่ของ S-Class อย่าง S560e Plug-in Hybrid เพื่อจะมาเสริมทัพรุ่น S350d ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา

S560e เปิดตัวออกมา ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 11 กันยายน 2017 เพื่อทำตลาดแทน S500e Plug-in Hybrid เดิม ซึ่งถือเป็นรุ่นย่อยที่มีสมรรถนะแรงสุดของ S-Class เวอร์ชันปกติ (ไม่นับรวมตระกูล S-Class AMG)

S560e จะมาพร้อม เครื่องยนต์เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,996 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 88.0 x 82.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo 367 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 – 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) แรงบิด 440 นิวตันเมตร (44.83 กก.-ม.)

เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน จะได้พละกำลัง 489 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic Plus

S560e เฉพาะเครื่องยนต์พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า S500e 34 แรงม้า 20 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังเพิ่มขึ้น 6 แรงม้า 100 นิวตันเมตร เปลี่ยนเกียร์จาก 7 จังหวะ 7G-Tronic เป็น 9 จังหวะ 9G-Tronic เมื่อรวมการทำงานทั้งเครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฟฟ้า จะแรงกว่าเดิม 47 แรงม้า นอกจากนี้แบตเตอรี่จากเดิมความจุ 8.7 kWh ก็จะเพิ่มเป็น 13.5 kWh อีกด้วย

ส่วน Option ต่างๆ น่าจะเพิ่มเติมจาก S350d รุ่นปัจจุบัน ไม่มากนัก และคาดว่า ราคาค่าตัวก็น่าจะไม่หนีไปจาก S500e เดิมเท่าไหร่

ช่วงปลายปี มีเรื่องใหญ่ให้รอลุ้นกับการมาถึงของ Mercedes-Benz A-Class Generation ที่ 4 ซึ่งทาง Daimler AG. เพิ่งจะเผยภาพถ่าย Spyshot ขณะทดสอบอยู่ในเขตอากาศหนาว เมื่อ 28 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา เพื่อหวังจุดกระแสความสนใจของลูกค้าทั่วโลก

งานออกแบบภายนอก จะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง A-Class รุ่นปัจจุบัน กับรถยนต์ต้นแบบ Mercedes-Benz Concept EQA ที่เพิ่งเผยโฉมในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 11 กันยายน 2017 ที่ผ่านมา โดยปรับปรุงให้เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar แคบลงกว่ารุ่นเดิม (ในแง่การมองเห็นจากตำแหน่งคนขับ) เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้น หลังจากโดนด่ามาเยอะจากลูกค้าและสื่อมวลชนทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มระยะฐานล้อ (Wheelbase) อีก 30 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาของผู้โดยสารตอนหลังให้มากขึ้น

ภายในห้องโดยสาร จะมาพร้อมหน้าจอแสดงผลและหน้าจอสัมผัส Touch Screen ขนาด 10.3 นิ้ววางต่อเนื่องกันแบบเดียวกับพี่ใหญ่ ทั้ง C E และ S-Class รุ่นปัจจุบัน ซึ่งก็จะให้มุมมองห้องโดยสารดูกว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงสารพัดระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เช่น ระบบเตือนมุมอับสายตา Exit Assist, ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะทำงานพร้อมกล้อง 360 องศา เป็นต้น

Jochen Eck ผู้ควบคุมการทดสอบรถยนต์ขนาด Compact ของ Mercedes-Benz เปิดเผยว่า A-Class ใหม่ จะมีโครงสร้างตัวถังที่ทนต่อการบิดตัวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาด้าน NVH (Noise,Vibration & Harsahness หรือ เสียง การสั่นสะเทือน และความกระด้างในการขับขี่) ลงไปได้อีกมาก

ระบบช่วงล่างให้เลือก 2 แบบ ระบบกันสะเทือนหน้าจะยังคงใช้แบบแมคเฟอสันสตรัท แต่สำหรับระบบกันสะเทือนหลังจะแบบออกเป็น 2 เวอร์ชัน ได้แก่ ช่วงล่างแบบทอร์ชันบีมแบบพัฒนาใหม่ สำหรับรุ่นพื้นฐาน และช่วงล่าง Multi-Link แบบปรับปรุงใหม่สำหรับรุ่นที่สมรรถนะสูง ขณะเดียวกัน พวงมาลัย ก็จะมีให้เลือกทั้งแบบ อัตราทดตายตัว และแบบ อัตราทดแปรผัน (Variable Gear Ratio) โดยทีมวิศวกรได้ขยับตำแหน่ของชุดแร็คพวงมาลัย ถอยหลังลงไปจากเดิมอีกเล็กน้อย

ถึงแม้ว่า กำหนดการเปิดตัวของ รุ่น Hatchback 5 ประตู จะเกิดขึ้นในงาน Geneva Motor Show ต้นเดือน มีนาคม 2018 นี้ ทว่า สำหรับประเทศไทย เราอาจได้สัมผัสกับรุ่นตัวถัง Sedan 4 ประตู เพียงอย่างเดียว เนื่องจากรุ่น Hatchback 5 ประตู นั้น ทำราคาค่อนข้างยาก และ กว่าที่รุ่น Sedan จะเผยโฉมออกมา อาจต้องรอกันจนถึงกลางปี 2018 ก่อนจะพร้อมส่งมาเปิดตัวในเมืองไทย ช่วงปลายปี 2018


MG

  • 2018 : MG 3 Minorchange / GV / RX5
  • 2019 : Maxus T60
  • 2020 : RX5 EV / Smart Car / Autonomous Drive!

จริงอยู่ว่า SAIC / MG ชาวอังกฤษจากแดนมังกร จะมีรถยนต์เปิดตัวในบ้านเรา เพียงรุ่นเดียวในปีที่ผ่านมา นั่นคือ MG ZS ในเดือนพฤศจิกายน 2017 แต่ต้องยอมรับว่า MG พยายามอย่างหนักที่จะชูจุดขายของรถคันนี้ นั่นคือระบบ Infotainment และสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยเป็นรายแลกในโลก อย่าง i-Smart เพื่อกลบจุดด้อยด้านอัตราเร่ง และ ความประหยัดน้ำมันของตัวรถ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทั้งที่อุตส่าห์ออกแบบตัวถังมาจนสวยจบ พวงมาลัยปรับได้ 3 ระดับความหนืดตามต้องการ และ ช่วงล่างที่เซ็ตมาดีใช้ได้ หากนำเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 1.0 ลิตร Turbo เข้ามาขาย แม้จะตั้งราคาแพงกว่านี้อีกหน่อย แต่เชื่อแน่ว่า MG ZS จะกลายเป็น MG คันแรก ที่ ผู้เขียนชื่นชอบ และ แนะนำให้ซื้อมาใช้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจทันที !

แต่ถึงจะวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แบบไม่มีระบบอัดอากาศ 114 แรงม้า (PS) กระนั้น ตอนนี้ โรงงาน MG ก็กำลังปวดหัวอยู่กับการทะยอยผลิต และ ส่งมอบ ZS ให้ครบ จากจำนวนยอดสั่งจองที่หลั่งไหลเข้ามาอีกกว่า 3,000 คัน ! ดังนั้น ปี 2018 จึงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ MG ในการทำตัวเลขยอดขายให้บรรลุถึงเป้าหมาย ตามที่ตั้งใจไว้ ในการนี้ ก็ต้องมีการยกเครื่อง โละผู้จำหน่ายรายเก่าที่ทำตลาด ไม่โดนใจผู้บริหารชาวจีน ทิ้งไป แล้วเปิดรับดีลเลอร์ใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดรถยนต์บ้านเราระดับเก๋าเกม จำนวนมาก เข้ามาร่วมงานด้วย เพื่อช่วยผลักดันยอดขายกันอีกแรง

อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญอีกประเด็นหนึ่งของ MG ในประเทศไทย นั่นคือ การประกาศเปิดโรงงานแห่งใหม่ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ด้วยงบลงทุนสูงกว่า 10,000 ล้านบาท เนรมิต พื้นที่กว่า 437.5 ไร่ (700,000 ตารางเมตร) ให้กลายเป็นโรงงานขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ MG พวงมาลัยขวา สำหรับจำหน่ายทั้งในประเทศไทย และภูมิภาค ASEAN ตลอดจนส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก รองรับกำลังการผลิตได้สูงถึง 100,000 คัน/ปี โรงงานแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการผลิตทั้งรถยนต์ Smart Car อย่าง ZS รถยนต์ไฟฟ้า EV รวมทั้งรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Drive อีกด้วย อ่านข้อมูลได้ที่นี่

สำหรับปี 2018 ใครที่กำลังจะเซ็นใบจอง MG 3 ให้ระงับยับยั้งไว้ก่อน เพราะ MG กำลังเตรียมผลิต MG3 รุ่น Minorchange กำลังจะเปิดตัวในบ้านเรา การเปลี่ยนแปงที่สำคัญ นอกเหนือจากจะเกิดขึ้นกับงานออกแบบชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าทั้งหมด และ แผงแดชบอร์ดใหม่แล้ว ทีมวิศวกร MG ยังตัดสินใจว่า จะเลิกใช้เกียร์อัตโนมัติ AMT กันเสียที เพื่อหันกลับมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แบบ Torque Converter ดั้งเดิมแทน แต่จะยังใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ลูกเดิม แต่ปรับปรุงสมรรถนะเพิ่มเติมเหมือนใน ZS กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ แน่นอน

รุ่นต่อมา ที่คาดว่าน่าจะพร้อมสำหรับการเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย คือรถตู้ Maxus G10 ซึ่งจะถูกเปลี่ยนชื่อสำหรับตลาดเมืองไทย เป็น MG GV จัดวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นรถตู้ Minivan 11 ที่นั่ง ตั้งใจดับเครื่องชน Hyundai H-1 กันจังๆ!

แรกเริ่มเดิมที MG ตั้งใจจะเปิดตัว GV กันตั้งแต่ ช่วงก่อนงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2017 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวต้องสะดุดกลางคัน และต้องเลื่อนเพราะติดปัญหาด้านภาษีนำเข้า และสรรพสามิต เพราะตัวรถดั้งเดิมเป็นแบบ 9 ที่นั่ง ทว่า ระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต บ้านเรา เอื้ออำนวยให้กับรถตู้ 11 ที่นั่ง มากกว่า

MG GV มีตัวถังยาว 5,168 มิลลิเมตร กว้าง 1,980 มิลลิเมตร สูง 1,928 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-Rail Turbo

จนถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่า MG จะมีโอกาส เคลียร์ปัญหาต่างๆให้จบ แล้วนำ MG GV เข้ามาเปิดตลาดรถตู้ครั้งแรก เพื่องัดข้อกับทั้ง Hyundai H-1 / Grand Starex กับ Kia Carnival ได้ทันปี 2018 นี้หรือไม่

อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ การเปิดตลาดรถกระบะ MG ในบ้านเรา เป็นครั้งแรกในโลก โดยนำรถกระบะ Maxus T60 จากบริษัท Maxus ในเครือของ SAIC ซึ่งเปิดตัว และ ออกจำหน่ายในแดนมังกร มาตั้งแต่ 6 พฤศจิกายน 2016 เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย โดยเปลี่ยนมาพะโลโก้ MG แทน

งานนี้ SAIC ไม่ได้มองแค่เล่นๆ เพราะมีการเตรียมงานกันมายาวนานหลายปีแล้ว คาดว่า โรงงานแห่งใหม่ของ MG ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปสดๆร้อนๆ เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา จะกลายเป็นฐานการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่นี้ เพื่อส่งออกไปยังทั่วโลก

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722 มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หากเป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้นยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อมาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกดูร่วมสมัย ไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก เสริมความโดดเด่นด้วย ไฟหน้า LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS ส่วนภายในห้องโดยสาร ก็จะติดตั้ง ระบบ i-Smart เข้ามาด้วย

ขุมพลังในตลาดเมืองจีนตอนนี้ มีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วย Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และแบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จาก BorgWarner

ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและสามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลน Lane Departure กับ ถุงลมนิรภัยมากถึง 6 ใบ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดในตอนนี้ ทาง MG อยากจะประวิงเวลา รอให้ทางจีนกับอังกฤษ พัฒนาเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.9 ลิตร Common-rail Turbocharger ให้เสร็จเรียบรอยก่อน อีกทั้งยังต้องเตรียมยกระดับเครือข่ายผู้จำน่ายทั่วประเทศรองรับเอาไว้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ให้เรียบร้อยเสียก่อน

ดังนั้น กว่าที่ SAIC / MG จะพร้อมบุกตลาดรถกระบะในบ้านเราอย่างจริงจัง น่าจะต้องรอกันจนถึงปี 2019 เลยทีเดียว

ไม่เพียงแค่นั้น SAIC ยังมองไกลไปถึงอนาคต ด้วยการสั่งนำเข้า Roewe RX5 รถยนต์ Compact SUV ที่ได้ชื่อว่า เป็น Internet Car สุด Hi-Tech คันแรกของโลก มาแล่นทดสอบอยู่แถวๆจังหวัดระยองในตอนนี้

RX5 เผยโฉมครั้งแรกในงาน Beijing Motor Show เมื่อ 10 พฤษภาคม 2016 แต่ออกสู่ตลาดจริงเมื่อ 6 กรกฎาคม 2016 โดยมีตัวถังยาว 4545 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,719 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร เครื่องยนต์มีให้เลือก 3 แบบ ทั้งรหัส 15E4E เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,490 ซีซี พ่วง Turbocharger 169 แรงม้า (HP) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน – เมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 4,400 รอบ/นาที และ เครื่องยนต์ MGE 2.0 TGi เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. พ่วง Turbocharger 220 แรงม้า (HP) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน – เมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 2,500 – 4,000 รอบ/นาที นอกจากนี้ ยังมีรุ่น Hybrid ในชื่อ eRX5 นำเครื่องยนต์ 15E4E Turbocharger 169 แรงม้า (HP) มาพ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 30 กิโลวัตต์ แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร อีกด้วย

คาดว่า RX5 จะถูกเปลี่ยนชื่อรุ่น ให้สอดคล้องกับแบรนด์ MG แต่ เวอร์ชันไทย อาจเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ล้วนๆ รวมทั้งจะเชื่อมต่อกับระบบ Internet เต็มรูปแบบ รวมทั้งอาจมีระบบ Autonomous Drive พ่วงมาด้วย โดยจะผลิตออกจำหน่าย ในประเทศไทย ประมาณปี 2020

รายละเอียดเบื้องต้นของ RX5 คลิดอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE


MITSUBISHI MOTORS

  • 2018 : Xpander / Triton & Pajero Sport Minorchange
  • 2019 : New Mirage / New Attrage (with 1.0 L Turbo Engine?)

2017 ถือเป็นปีที่ มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของ Mitsubishi Motors (Thailand) มากที่สุด ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้านั้น ทั้งจากการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเข้ามาของ Partner รายใหม่ภายหลังจากกลุ่ม Renault – Nissan Alliance เข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการ บริษัทผลิตรถยนต์ Mitsubishi Motors จากกลุ่ม Mitsubishi Corporation บริษัท Trading Company ขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการทำงานร่วมกัน ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะ งานด้าน Logistic และ Purchasing

รวมทั้งการสั่งปลดผู้บริหารหญิง คนหนึ่งแบบ “สายฟ้าแลบ” ชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว และแทบไม่มีเวลาเก็บข้าวของขนกลับบ้าน จากเรื่องอื้อฉาวต่างๆภายในองค์กร จนลูกน้องทนทำงานด้วยไม่ไหว ลาออกไปมากถึง 15 คน ในรอบ 15 เดือน ที่นางดำรงอยู่ในตำแหน่ง โดยผู้มาแทน ก็เป็นนักการตลาดที่มีประสบการณ์ทำงานในค่ายรถยนต์อื่นๆมาแล้วถึง 2 แบรนด์ด้วยกัน และนั่นก็นำมาซึ่งการหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่งคนทำงานในออฟฟิศย่านคลองเตย ทั้งคนไทย และ คนญี่ปุ่น จนบรรยากาศที่เคยเป็นครอบครัวกันมาตั้งแต่สมัยทุ่งรังสิต ไม่หลงเหลืออีกต่อไป

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งญี่ปุ่นเอง ก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการโปรโมท B-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ อย่าง Mitsubishi Eclipse Sport ทว่า กระแสทั้งในยุโรป หรือญี่ปุ่นเอง กับเงียบสนิท จากรูปลักษณ์ภายนอก ที่ดู “เชย”กว่าคู่แข่งอย่าง Toyota C-HR หรือ Honda HR-V รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อรถคันนี้ น่าจะเป็นกลุ่มที่ ใช้เหตุผล มากกว่าสนใจเรื่องรูปลักษณ์เส้นสาย ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า Eclipse Cross จะไม่มาเมืองไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่ต้องรอ เลิกเถียงกันได้

ทว่า ความเคลื่อนไหวสำคัญในต่างประเทศของค่ายสามเพชร ที่จะเกี่ยวข้องกับประเทศไทยจริงจังอีกเรื่อง นั่นคือ การเปิดตัว Mitsubishi Xpander Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง สไตล์ Crossover สำหรับตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ 10 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ณ งาน Gaiikindo Internaiotnal Motor Show ประเทศ Indonesia

Xpander มีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็น รหัส 4A91 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,499 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 78.4 x 77.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ MIVEC 104 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า

ต้องย้ำเตือนกันเลยว่า อย่าคาดหวังเรื่องสมรรถนะกับ Xpander มากนัก เพราะตัวรถถูกสร้างขึ้นตามโจทย์ความต้องการของลูกค้าแดนอิเหนาเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อคนไทย จุดขายสำคัญของตัวรถ อยู่ที่งานออกแบบ ล้ำสมัย ขนาดตัวถังใหญ่โตสุดในกลุ่ม และ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสาร รวมทั้งช่องเก็บของต่างๆ มากสุดในกลุ่ม และการเซ็ตช่วงล่างในสไตล์ Mitsubishi Motors ที่หลายๆคนคุ้นเคยกับความ แน่น หนึบ ที่แตกต่างจากคู่แข่ง

ล่าสุด หลังเจอโรคเลื่อนไปรอบแรก ทำให้ไม่สามารถนำมาเปิดตัวทันงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ได้ทันตามกำหนดเดิมแล้ว ได้ยินว่า โรงงานที่ Indonesia น่าจะยังเคลียร์ยอดสั่งจองของลูกค้าในบ้านตัวเองยังไม่หมด จึงตัดสินใจส่ง E-Mail มาบอกทีมงาน ย่านคลองเคย พระราม 4 ว่า ” ขอเลื่อนอีกรอบนะจ้ะ Thailand ! ”

นั่นแปลว่า เราอาจจะยังไม่ได้เห็น Xpander ใหม่ ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 และคาดว่า อาจต้องรอจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ลูกค้าชาวไทย จึงจะได้จับจองเป็นเจ้าของ XPander กันเสียที

รายละเอียดตัวรถ คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE!

สำหรับรถกระบะ Triton และ SUV/PPV รุ่นขายดีอย่าง Pajero Sport คาดว่าจะมีการปรับโฉม Minorchange ภายในปี 2018 นี้ เราคงต้องมารอลุ้นกันว่า Triton จะเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่กับเขาด้วยหรือไม่ และ Pajero Sport จะมีอุปกรณ์ใหม่ใดๆเพิ่มเข้ามา รวมทั้ง ทางโรงงาน จะแก้ปัญหา Defect ประจำรุ่น ทั้งแร็คพวงมาลัย และการกินน้ำมันเครื่อง รวมทั้ง เกียร์ธรรมดาชอบหลุด ได้หรือยัง ?

ข้ามไปปี 2019 จะถึงเวลาที่ สองศรี พี่น้อง ตระกูล ECO-Car ทั้ง Mirage (Hatchback 5 ประตู) และ Attrage (Sedan 4 ประตู) จะได้ฤกษ์เปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange กันเสียที แม้ว่า จะเร็วเกินไปที่จะถามไถ่ถึงรายละเอียดทางเทคนิค แต่มีแนวโน้มความเป็นไปได้อยู่ว่า อาจได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbo ลูกใหม่ ร่วมกับ Nissan Almera รุ่นต่อไป ที่มีกำหนดเปิดตัวในปี 2019 เช่นเดียวกัน หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะยืนหยัดกับการนำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร บล็อกเดิม มาปรับปรุงสมรรถนะ คาดว่า น่าจะเปิดตัวอย่างเร็วที่สุด ภายในช่วงเดือนมีนาคม 2019 ก่อนงาน Bangkok International Motor Show ในปีนั้นจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย


NISSAN

  • 2018 : Navara 4×4 & SWB / GT-R!! / X-Trail Minorchange /
  •            : LEAF / Note E-Power Hybrid / TERRA PPV
  • 2019 : KICKS / MARCH / ALMERA (1.0 Turbo or E-POWER)
  •            : TEANA Minorchange

ตั้งแต่ Mr. Antoine Barthes (อองตวน บาร์เตส) เข้ามารับตำแหน่งประธาน  Nissan ในเมืองไทย คนใหม่ ช่วงปลายปี 2016  ปีที่ผ่านมา ทำให้ Nissan อยู่ในช่วงปัดกวาดเช็ดถูกขจัดปัญหาต่างๆ ออกไป ได้ประมาณหนึ่ง สิ่งที่ ประธานคนใหม่ พยายามทำอยู่ มีหลายสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในองค์กรขนาดใหญ่อย่างนี้ ตั้งแต่การจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันในองค์กร ถึงขั้นดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง การปรับเปลี่ยนนโยบาย ผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด ซึ่งทำให้มีปัญหาการกระทบกระทั่งกับบรรดา ดีลเลอร์ อยู่บ้าง หรือแม้กระทั่ง การเปิดโอกาสให้พนักงานระดับล่าง ได้เข้าพูดคุยและรับประทานอาหารเที่ยง กับคุณอองตวน ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีเยี่ยม ในการเรียนรู้ว่าพนักงานต้องการอะไร และจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร

ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ Nissan อกหักจากการเปิดตัว Note เมื่อ 16 มกราคม 2017 ไปมาก เนื่องจากการตัดสินใจ วางเครื่องยนต์ HR12DE เบรซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร บล็อกเดิม แถมไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือก ส่งผลให้อัตราเร่ง อืดอาดยิ่งกว่า March และ Almera (เพราะตัวรถหนักกว่า) ทำให้ลูกค้าหลายคน เมินหน้าหนีจาก Note ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ตัวรถก็เซ็ตมาดี และมีจุดเด่นเรื่องภายในห้องโดยสาร ที่กว้างใหญ่มากสุดในกลุ่ม และนั่นเป็นเพียงรถยนต์รุ่นเดียวที่ถูกเปิดตัวในปีที่ผ่านมา หากไม่รับการปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อย ทั้งการเปลี่ยนพนักศีรษะกับอุปกรณ์ ให้กับ Sylphy และ Navara ในช่วงกลางปี ตามด้วยการเพิ่มกล้อง 360 องศา รอบคัน ให้กับ Navara ตามมาในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 และปิดท้ายด้วยเซอร์ไพรส์ ที่มาอย่างเงียบๆ น่างุนงงๆ นั่นคือ NV350 Urvan รุ่นปรับโฉม Minorchange เมื่อวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ที่มีแต่เครื่องยนต์ Diesel ให้เลือกอย่างเดียว รวมทั้ง การยกเลิกผลิต Sylphy Turbo ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงสิ้นปี 2017

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 Nissan จะแทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย อาจมีแค่เพียงการปรับทัพให้กับ รถกระบะ Navara โดยเพิ่มรุ่น 4×4 ช่วงยาว ออกมางัดข้อกับคู่แข่ง และอาจมีการปรับอุปกรณ์เพิ่มอีกเพียงนิดเดียว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนของใหม่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น อาจต้องรอหลัง กลางปี 2018 ขึ้นไป

เรื่องเซอร์ไพรส์ สำหรับ Nissan ในปีนี้ คือการเตรียมสั่งนำเข้า สุดยอดรถสปอร์ตแบบ Hi-Performance Grand Touring อย่าง Nissan GT-R มาเปิดตลาดในบ้านเรา ” อย่างเป็นทางการ ” กันเสียที หลังจากปล่อยให้บรรดาเศรษฐีเมืองไทย รอเหงือกบาน กระทั่งพากันไปอุดหนุนรถนำเข้าจากพ่อค้า Grey Market ขับกันเบื่อจนขายทิ้ง เกือบจะหมดแล้ว

GT-R รุุ่นปัจจุบัน เปิดตัวมาตั้งแต่งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2007 และ ทำตลาดจนมีอายุครบ 10 ปีพอดีในปีที่ผ่านมา ทว่า เส้นสายภายนอกก็ยังไม่ดูเก่าเลยแม้แต่น้อย การปรับโฉมครั้งล่าสุด มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนเปลือกกันชนหน้า รวมทั้งแผงหน้าปัดใหม่ยกชุด และ Upgrade เครื่องยนต์ รหัส VR38DETT เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร  Twin-Turbo ให้แรงขึ้นอีก 20 แรงม้า (PS) และแรงบิด อีก 5 นิวตันเมตร (0.5 กก.-ม.) เมื่อเทียบกับรุ่นปี 2016 เป็น 565 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิด 633 นิวตันเมตร (ุ64.5 กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 6 จังหวะ มากับท่อไอเสียไทเทเนียมแบบใหม่ 4 ท่อ พร้อม Active Sound Enhancement

กระนั้น ด้วยภาษีนำเข้ามหาโหด และภาษีสรรพสามิต ที่ยิ่งโขกหนัก หากปล่อยมลพิษเยอะ ก็ยิ่งทำให้ค่าตัวของ GT-R ใหม่ พุ่งไปไกลโขจนเกินเอื้อม ดังนั้น ถ้าสามารถทำยอดขายได้ตามเป้า (แค่ 10 คัน) จนถึง ปีหน้า ผู้เกี่ยวข้องก็คงจะปิดร้านอาหารเลี้ยงฉลองกันเลยทีเดียว

รายละเอียดของ Nissan GT-R รุ่นปี 2017 – 2018 อ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE
บทความทดลองขับ Nissan GT-R Nismo ของ Pan & J!MMY CLICK HERE

ลำดับถัดไป ใครที่เคยถามไถ่กันว่า เมื่อไหร่ Nissan X-Trail Minorchange จะเปิดตัวสักที คงได้สมหวังดังใจกันก็คราวนี้ เพราะการปรับโฉมของ Compact SUV รุ่นขายดีที่สุดทั่วโลกของ Nissan จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2018 อย่างแน่นอน

ความเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้นที่ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าของรถ อันได้แก่เปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้า แบบใหม่ ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่น ชุดไฟหน้าแบบใหม่ รวมทั้งจะมีการปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ ให้สวยงาม ร่วมสมัยขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังจะเพิ่มสารพัดอุปกรณ์ตัวช่วยด้านความปลอดภัย ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาดได้มากกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกขุมพลัง  อาจมีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร ออกไป เนื่องจากในรุ่นปัจจุบัน ยอดขายไม่ดีเลย (เช่นเดียวกับ CX-5 ไม่มีผิด) คงเหลือไว้แค่เครื่องยนต์ MR20DD เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ทั้งแบบมาตรฐาน และรุ่น Hybrid ซึ่งใช้ขุมพลังเดียวกัน พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า เท่ากับว่า จะลดลง จาก 3 เหลือเพียง 2 แบบ

ส่วนคำประกาศ การนำรถไฟฟ้าล้วนๆ 100% อย่าง Nissan LEAF มาเปิดตัวออกสู่ตลาดที่เมืองไทยนั้น แน่นอนว่า ทุกอย่างจะยังเป็นไปตามที่คุณอองตวน ประกาศไว้ ในงานเปิดตัว LEAF ที่ญี่ปุ่น เดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมา ทุกประการ เพียงแต่ว่า ยังต้องใช้เวลาในการเตรียมงานหลังบ้าน ทั้งการส่งพนักงานที่เกี่ยวข้องไปฝึกอบรมกันถึงญี่ปุ่น การเตรียมความพร้อมด้านงานบริการหลังการขาย รวมทั้งการจัดการด้านต่างๆ อีกหลายเรื่อง

ในช่วงแรก LEAF จะถูกสั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน มาขายในเมืองไทยกันก่อน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่า ราคาจะถูกโดยเด็ดขาด ต่อให้มีภาษีสรรพสามิตมาช่วย แต่ภาษีนำเข้าเองก็ยังสูงพอสมควร ดังนั้น LEAF Made in Japan ในช่วงแรก อาจมีค่าตัวถึง 2 ล้านบาท แต่ถ้า มียอดขาย พอไปวัดไปวา จนสามารถ นำมาขึ้นสายการประกอบ ณ โรงงาน ย่านบางนา-ตราด กม.22 ได้แล้ว ค่าตัวของ LEAF ก็จะถูกลงมาเหลือแถวๆ 1.1 – 1.5 ล้านบาท ก็เป็นไปได้สูง

กำหนดเปิดตัวของ LEAF ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ถูกวางไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 เราอาจต้องรอต่อคิวให้ประเทศอื่นๆ เขาทะยอยเปิดตัว และทะยอยพบเจอปัญหาประจำรุ่น รวมทั้งการแก้ไข Defect ต่างๆ (ที่อาจพบเจอตามปกติ) กันไปก่อน

ข้อมูลเบื้องต้น และการประกาศนำ LEAF เข้ามาจำหน่ายในไทย CLICK HERE

จากนั้น Nissan จะส่งท้ายปี 2018 ด้วยการเปิดตัว SUV/PPV บนพื้นฐานจากรถกระบะ Navara ที่หลายๆคนเฝ้าถามไถ่กันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในชื่อ Nissan TERRA ซึ่งล่าสุด มีภาพหลุดมาจากประเทศจีน เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า รูปร่างหน้าตาจะเป็นไปตามที่คุณได้เห็นในภาพข้างบนนี้ ทุกประการ!

ถึงแม้ว่า รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร จะถูกออกแบบขึ้นใหม่แทบทั้งคัน ยกเว้นบริเวณเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar กระจกบั.ลมหน้า และโครงประตูคู่หน้า ทว่า แผงหน้าปัด จะยังคงยกชุดมาจาก Navara ทั้งดุ้น

ด้านรายละเอียดทางวิศวกรรมนั้น แน่นอนว่า เวอร์ชันตลาดโลกจะยืนพื้นด้วยเครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 184 แรงม้า (PS) และเครื่องยนต์ YD25DDTi Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 190 แรงม้า (PS) แต่เราอาจจะได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ Diesel จาก Renault รหัส YS23DDT (M9T) 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร Turbo เดี่ยว 163 แรงม้า (PS) และ YS23DDTT 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร Twin Turbo 190 แรงม้า (PS) กันด้วยก็คราวนี้แหละ

กำหนดเปิดตัวครั้งแรกในโลก น่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ช่วงเดือนเมษายน 2018 ก่อนจะทะยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ส่วนลูกค้าชาวไทย รอเจอกันได้เลย ช่วงปลายปี 2018

รายละเอียด เบื้องต้นของ Terra คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE

แต่ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก Nissan จะส่ง รถกระบะ Navara รุ่นฐานล้อสั้น Short Wheelbase ออกมาเสริมทัพ ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้ Terra สามารถ ใช้สิทธิ์การส่งเสริมการลงทุน ในฐานรถกระบะดัดแปลง (PPV) ได้เต็มรูปแบบ จึงต้องนำ Navara ช่วงสั้น มาประกอบขายด้วย เหมือน Toyota Hilux Revo โดยยังคงใช้เครื่องยนต์ และรายละเอียดการตกแต่งภายใน เหมือนกับ Navara Single Cab รุ่นปัจจุบัน เพียงแต่ยังน่าสงสัยว่า บันไดด้านข้าง จะถูกตัดทอนออกไปด้วยหรือเปล่า?

ล่วงเข้าปี 2019 ในขณะที่ ตลาดโลก จะได้สัมผัสกับ Nissan Altima และ Teana รุ่นที่ 4 แบบเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange กันไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี 2018 ทว่า เมืองไทย กลับมีเรื่องพิลึกพิลั่นเกิดขึ่น เพราะ Nissan ตั้งใจจะลากให้ Teana รุ่นปัจจุบัน มีอายุตลาดนานขึ้นกว่าเดิม เนื่องจาก ผลิตออกมาขายได้น้อย ไม่คุ้มค่าต่อการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน จึงใช้วิธีปรับโฉม Minorchange โดยนำเอาหน้าตาของ Altima รุ่นปี 2016 เวอร์ชันอเมริกาเหนือ หรือ Teana เวอร์ชันจีน ปี 2017 มาประกอบขายในโรงงานที่บางนา – ตราด กันต่อไปอีกระยะหนึ่ง

เรื่องที่น่าหัวร่องอหายก่ายหน้าผากเป็นที่สุดคือ นอกจากขุมพลัง จะยังเป็นแบบเดิม ทั้ง MR20DE และ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 และ 2.5 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แล้ว กำหนดเผยโฉม Teana Minorchange ในบ้านเรา ยังจะถูกลากยาวไปจนถึงช่วงต้นปี 2019 !!! (–___–‘)

อีกรุ่นหนึ่งที่จะตามเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย ก็คือ Note E-Power ซึ่งยังต้องรอความชัดเจนเรื่องการตีความประเภทในการจัดเก็บภาษี ของตัวรถ ว่าควรจะอยู่ในกลุ่มใด เพราะนั่นจะมีผลต่อการตั้งราคาขายปลีกเต็มๆ

Note E-Power เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 และได้รับความนิยมในญี่ปุ่นสูงมาก สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 100,000 คัน โดยใช้เวลาแค่ 11 เดือน เท่านั้น! Nissan เริ่มคิดที่จะนำ Note E-Power ไปบุกตลาดนอกญี่ปุ่นแล้ว และแน่นอนว่า ประเทศไทย คือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ เพราะต้องยอมรับว่า การเปิดตัว Note รุ่นมาตรฐาน ที่แป๊ก ทำให้ Nissan จำเป็นต้องกระตุ้นให้ Note สามารถทำยอดขายต่อเนื่องไปได้จนกว่าจะหมดอายุตลาด

Note E-Power ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส HR12 DE เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ยกมาจาก March , Almera และ Note รุ่นมาตรฐาน

ทว่า เครื่องยนต์ไม่ได้ขับเคลื่อนส่งกำลังลงสู่ล้อ แต่ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บยังแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานให้มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 High Power ที่ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 3,008 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 254 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,008 รอบ/นาที ทำงานควบคู่กันเป็นแบบ Hybrid

หากไม่มีอะไรผิดพลาด Nissan น่าจะพร้อมต่อการนำ Note E-Power มาประกอบขายในประเทศไทย ก่อนเปิดตัวภายในช่วงปลายปี 2018 ถึง กลางปี 2019 ซึ่งต้องพูดกันตรงๆว่า เมื่อถึงตอนนั้น ตลาดอาจจะวาย ความต้องการของลูกค้าอาจหายไปแล้วก็เป็นได้

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2019 Nissan จะมี รถยนต์ 2 รุ่นสำคัญ ซึ่งแม้จะยังดูห่างไกลจากความจริงในตอนนี้ แต่จะมีค่าตัวชวนให้จับต้องได้ง่าย เมื่อออกขายจริง นั่นคือ Sub-Compact Crossover SUV รุ่น KICKS ที่จะเปิดตัวออกมาก่อน จากนั้นจะตามด้วย รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ Nissan March และ Nissan ALMERA ใหม่ ซึ่งยังไม่มีภาพถ่ายใดๆยืนยันความเคลื่อนไหวในการัฒนาออกมาให้เห็นกันเลยในตอนนี้

KICKS เปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note และ Almera จุดเด่นอยู่ที่ การติดตั้งระบบ Around View Monitor และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบ Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้งระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้างเสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke ได้สำเร็จ

ช่วงแรกที่เปิดตัว KICKS วางเครื่องยนต์ HR16DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 109 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

ทว่าตอนนี้ Nissan กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะหาขุมพลังแบบอื่นๆมาวางให้กับ KICKS ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร TurboCharger หรือแม้กระทั่ง ขุมพลัง HYBRID e-POWER (เครื่องยนต์ HR12DE จาก March Almera และ Note เชื่อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) และนี่เป็น อีกเหตุผลที่ KICKS มาถึงเมืองไทยช้ากว่าปี 2016 นอกเหนือจากเหตุผลซ่อนเร้น ด้านเกมการเมืองในองค์กร Nissan ระหว่างประเทศ บางประการ จนทำให้กำหนดออกขายในเมืองไทย เลื่อนออกไปไกลจนถึงปี 2019

ในปีเดียวกันนั้นเอง Nissan จะต้องเตรียมเปิดตัว ทั้ง March และ Almera Full ModelChange เพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย

ความเคลื่อนไหวล่าสุด ในตอนนี้ก็คือ มีผู้พบเห็น Nissan Micra จากยุโรป พรางตัว แล่นทดสอบ โดยสวมป้ายทะเบียน TC 191 ของทาง NMAP ไว้ โดย Micra หรือ March รุ่นนี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ Almera โฉมต่อไป และมีแนวโน้มว่า ลูกค้าชาวไทย อาจได้ใช้เครื่องยนต์ลูกใหม่ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร พ่วง Turbocharger จากเวอร์ชันยุโรป ก็เป็นไปได้ ชมภาพ Spyshot ได้ที่นี่

ขณะนี้ Nissan Thailand กำลังพัฒนา ทั้ง March และ Almera ใหม่ เพื่อให้ทันการเปิดตัว ในปี 2019 ซึ่งจะเป็นปีที่ดูเหมือนว่าตลาดรถยนต์ของบ้านเราจะกลับมาคึกคักเต็มรูปแบบกันอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้น เราก็ต้องมาลุ่นกันต่อไป ว่า Nissan จะทำอย่างไรกับตลาดกลุ่ม Compact Class (C-Segment Sedan) ในเมืองไทย เราจะยังได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Sylphy รุ่นต่อไปกันหรือไม่ ตอนนี้ยังไกลเกินไปกว่าที่ Nissan จะมีคำตอบให้กับพวกเรา


Photo : roadandtrack.com (All Porsche pictures)

PORSCHE

  • 2018 : Cayman GT-4/Boxster Spyder / Macan Minorchange
  • 2019 : Porsche 911 (992)/ Mission-E

ปี 2018 น่าจะมีการเปิดตัวเวอร์ชั่นสูงสุดของฝาแฝด Cayman GT4 และ Boxster Spyder ซึ่งล่าสุดปลายปี 2017 มีช่างภาพสามารถถ่าย Spyshot ของ Cayman GT4 ซึ่งจอดไว้ริมทางโดยไม่มีการพรางตัวใดๆ และ รูปของ Boxster Spyder ซึ่งอยู่ในระหว่างการวิ่งทดสอบ

สิ่งที่เรายังต้องลุ้นกันอยู่คือเรื่องขุมพลังขับเคลื่อน ข่าวลือจากวงใน ระบุว่าฝาแฝดคู่นี้อาจได้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ Boxer ไร้เทอร์โบ ความจุเพิ่มจาก 3.8 เป็น 4.0 ลิตร ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์จาก 911 GT3 ที่นำมาลดทอนแรงม้าลง และในเวอร์ชั่นใหม่นี้จะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและคลัตช์คู่ PDK

กระนั้น หลายฝ่ายยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่ Porsche จะนำเครื่อง 4 สูบ 2.5 ลิตรจากรุ่น GTS มาปรับพลังเพิ่ม เพราะเครื่องยนต์ 4 สูบเหล่านี้สามารถทำพลังสูงกว่า 400 แรงม้าได้ไม่ยาก แต่อาจติดปัญหาเรื่อง Turbo Lag และการตอบสนองอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าเครื่อง NA บล็อคโต

นี่คือเรื่องที่เรายังต้องมาลุ้นกันต่อไป

ในปี 2018 นั้น ก็ยังมี Macan ไมเนอร์เชนจ์รอคิวขึ้นอีกรุ่น โดยจะมีการปรับส่วนกันชนหน้าของรถเล็กน้อย แต่เปลี่ยนลักษณะของไฟท้ายใหม่ให้เป็นสีสันใกล้เคียงกับ Panamera และ Cayenne มากขึ้น ขุมพลังขับเคลื่อนอาจยังมีทั้งแบบ 4 สูบ และ V6 เทอร์โบอยู่ แต่อาจมีความเป็นไปได้ที่เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร Bi-turbo บล็อคใหม่จาก Panamera และ Cayenne อาจได้มาอยู่ใน Macan ด้วย เพราะสามารถให้พละกำลังแรงม้าและแรงบิดเท่ากับเครื่องยนต์ 3.6 ลิตร ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2014 แต่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า และมลภาวะน้อยลง

ที่สำคัญคือ การใช้เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร ก็เท่ากับว่าสามารถนำระบบขับเคลื่อน E-Hybrid 462 แรงม้ามาใช้ได้ด้วย ซึ่งจะเปิดโอกาสในการขยายตลาดให้กับ Macan ซึ่งก็เป็นรถขายดีของทางค่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะตลาดที่กฎภาษีเอื้อเฟื้อแก่รถไฮบริดอย่างชัดเจนเช่นประเทศไทย

จากนั้นในช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 เจ้าชายกบ 911 บอดี้ใหม่รหัส 992 ก็จะเปิดตัว รถรุ่นนี้จะใช้แพลทฟอร์ม MSB รุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดตัวรถสั้นเท่ากับคันเดิม แต่มีความกว้างเพิ่มขึ้น และทำสัดส่วนรถให้ดูเหมือนหน้ายาวขึ้น (รถคันในภาพยังเป็น Test Mule ซึ่งตัวถังหลายส่วนยังเป็น 991) รุ่นแรกที่เปิดตัว จะเป็น Carrera และ Carrera S ซึ่งอาจได้เครื่องยนต์ที่ปรับจูนให้แรงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย

ส่วนเรื่องการใช้ขุมพลังไฮบริดใน 911 นั้น Oliver Blume CEO ของ Porsche บอกว่า อาจต้องดูกันในระยะยาว โดย Porsche จะพิจารณาจากเรื่องความต้องการของลูกค้า ว่าพวกเขาอยากได้รถไฮบริด/EV กันหรือไม่ และประการที่สองก็คือเรื่องการขับขี่ เพราะในขณะที่โมเดลอื่นๆไม่ได้เน้นเรื่อง Driving Purity มาก แต่ 911 นั้นยึดถือจนเป็นประเพณี ที่ผ่านมา Porsche ก็แอบลองทดสอบเรื่องการติดตั้งแบตเตอรี่ใน 911 และพบว่ายังไม่สามารถปรับจูนให้รถมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีอย่างที่พวกเขาต้องการ

ถ้า 911 ไฮบริดจะมา มันก็คงต้องเป็นหลังปี 2023 เป็นต้นไป หรือเมื่อเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ 992 เปิดตัวไปแล้วเท่านั้น

Porsche จะเปิดตัว Mission E ซาลูนพลังไฟฟ้าเวอร์ชั่นขายจริงภายในปี 2019 และอาจเป็นที่งาน Frankfurt Motorshow เดือนกันยายนในปีนั้น Oliver Blume (CEO ของ Porsche) กล่าวว่า Mission E รุ่นขายจริงจะมีหน้าตาต่างจากรถ Concept ที่โชว์โฉมในปี 2015 ไม่มาก และมันจะมาพร้อมกับแพลทฟอร์มใหม่ที่สร้างขึ้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Porsche, Audi และอาจรวมถึง Lamborghini

เวอร์ชั่นขายจริง จะวางแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนไว้ที่พื้นรถ ระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยมอเตอร์ 2 ตัว และอาจมาพร้อมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อที่ประยุกต์มาจาก 911 มาพร้อมกับระบบชาร์จไฟที่ 800V ที่ Porsche พัฒนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะสามารถประจุไฟเข้าแบตเตอรี่ให้มากพอจน Mission E วิ่งได้ 400 กิโลเมตร ภายในเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพียงแต่ว่าระบบดังกล่าวจะต้องอาศัยแท่นชาร์จเฉพาะของ Porsche

Mission E จะมีขายหลายรุ่น อาจมีพละกำลังไล่ตั้งแต่ 402, 536 และ 670 แรงม้า โดยจะวางตำแหน่งทางการตลาดสอดตรงกลางระหว่าง 911 และ Panamera แต่ราคาในรุ่นเริ่มต้นจะใกล้เคียง Panamera รุ่นล่างสุด และแพงกว่า Tesla เล็กน้อย (ประมาณ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับรถที่ขายในอเมริกา)


Rolls Royce

  • 2018 : Phantom / Cullinan SUV (World Premier)
  • 2019 : Cullinan (Thailand Debut) / Ghost New Variation
  • 2021 : Ghost Full ModelChange / Dawn MinorChange

ปี 2017 ที่ผ่านมา หากไม่นับการเผยโฉมรุ่นตกแต่งพิเศษ หลังคาผ้าใบ 3 สี 3 สไตล์ ของรถเปิดประทุน Dawn ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017 และการสั่งนำเข้ารุ่น Coupe อย่าง Wraith Black badge เข้ามาเอาใจลูกค้าชาวไทย 2 คัน แล้ว Hi-Light สำคัญของ ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรู จอม Slow Life ชาวอังกฤษ แห่งเมือง Goodwood คือการเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของรถยนต์รุ่นแพงสุดระดับ Flagship ของตน อย่าง Rolls Royce Phantom VIII (Generation ที่ 8) เมื่อ 27 กรกฎาคม 2017 ในกรุง London โดยยังคงมีให้เลือกทั้งรุ่นมาตรฐาน และรุ่นช่วงล้อยาว Long Wheelbase เช่นเคย

จุดเด่นของ Phantom ใหม่ นอกจากจะเน้นการตกแต่งภายในให้หรูหรา Ultra Luxury ยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ภายในห้องโดยสารแบบ The Gallery  รวมทั้งการเปิดกว้างให้ลูกค้าได้เลือกประดับตกแต่งตามต้องการในระดับขีดสุด รวมทั้งสีตัวถังที่พร้อมจะส่งทีมงานไปเก็บตัวอย่างสีที่คุณต้องการเพื่อมาแปลงโฉมลงบนตัวรถให้คุณ อันเป็นมาตรฐานตามแบบฉบับของ Rolls Royce แล้ว รุ่นที่ 8 ของ Phantom ใหม่นี้ จะยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกพัฒนาข้น บนพื้นตัวถัง (Platform) ใหม่ ที่เรียกว่า “Architecture of Luxury” ซึ่งขึ้นรูปเป็นแบบ Aluminium Space Frame แทบทั้งหมด ทนต่อการบิดตัวได้ดีขึ้นถึง 30% สะดวกต่อการผลิตมากขึ้น ทั้งในมุมของ Rolls Royce เอง หรือ Supplier แน่นอนว่า Platform ใหม่นี้ จะถูกนำไปใช้กับ SUV ใหม่รุ่น Cullinan รวมทั้ง ตระกูลน้องเล็กขายดี ทั้ง Ghost , Wrath และ Dawn ใน Generation ต่อไป อีกด้วย!

ขุมพลัง เป็น เครื่องยนต์รหัส N73 เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว 6,745 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 84.6 มิลลิเมตร Twin Turbo ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า (BHP) ไม่ระบุรอบฯ แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร (91.71 กก.-ม.) ที่ 1,700 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วย เกียร์อัตโนมัติจาก ZF 8 จังหวะ พร้อมระบบ Satellite Aided Transmission ที่ช่วยเหลือการเปลี่ยนเกียร์จากการรับข้อมูลสภาพท้องถนนล่วงหน้า

Phantom รุ่นที่ 8 มีกำหนดจะเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเร็วที่สุด ภายในงาน ฺBangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 นี้ คาดว่า ราคาในรุ่นเริ่มต้น อาจจะทะลุ 31 ล้านบาท ขึ้นไป เนื่องจากกลไกทางภาษีของบ้านเรา รายละเอียดเพิ่มเติมของตัวรถอันแสนจะอลังการงานสร้างกว่า Phantom ในอดีตทั้ง 7 รุ่น สามารถ คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ / CLICK HERE

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)

ส่วนความเคลื่อนไหวของ SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ 110 ปี ของพวกเขาอย่าง Rolls Royce Cullinan ที่จะใช้ Platform ” Architecture of Luxury ” ร่วมกับ Phantom ใหม่ นั้น ตอนนี้ ยังคงอยู่ในช่วงการส่งรถยนต์ Prototype ไปทดสอบตามสภาพถนนและภูมิอากาศในเขตต่างๆทั่วโลกกันอยู่ ล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา มีภาพถ่าย Spyshot ขณะกำลังทดสอบอยู่บนสนาม Nurburgring ในเยอรมนี มาให้ได้รับรู้ว่า ยังคงทดสอบกันอยู่นะ ไม่ได้เงียบหายไปไหน

ในช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด คาดว่า Cullinan น่าจะมีให้เลือกเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว เทอร์โบชาร์จคู่ ขนาด 6.75 ลิตร ความจุกระบอกสูบ 6,745 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 84.6 มิลลิเมตรให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า (BHP) จาก Phantom และคาดว่า อาจมีระบบช่วงล่างแบบถุงลม Air Suspension มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่หลังจากนั้น เราอาจได้เห็นขุมพลัง Plug-in Hybrid ตามออกมาในภายหลัง เพื่อให้มีทางเลือกสอดรับกับยุคสมัยแห่งรถยนต์พลังไฟฟ้าซึ่งกำลังจะมาถึง

Cullinan มีกำหนดชิงตำแหน่ง “ รถยนต์ SUV ที่ดีที่สุดในโลก ” คืนจาก Bentley Bentayga ซึ่งเคลมตัวเองว่าครองตำแหน่งนี้อยู่ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 โดยจะเผยโฉมได้ เป็นอย่างเร็วที่สุด ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2018 แต่กว่าที่ทาง MGC-Asia (กลุ่ม Millennium) ผู้จำหน่าย Rolls Royce อย่างเป็นทางการในบ้านเราตอนนี้ จะพร้อมสั่งนำเข้า มาเอาใจมหาเศรษฐีในบ้านเราได้ คงต้องรอกันจนถึงปี 2019 ด้วยค่าตัวที่คาดกันว่าน่าจะแพงสูงลิ่วไปถึงระดับ 30 ล้านบาท ในรุ่นพื้นฐาน !!

หลังจากนั่น Rolls Royce จะขอทุ่มเวลาทั้งหมดที่มี ไปกับการผลิตรถยนต์ทุกรุ่น ให้สามารถส่งมอบลูกค้าได้ตามกำหนด อย่างน้อยๆ จนถึงปี 2019 จึงจะมี Ghost รุ่นพิเศษ เป็นการสั่งลา ออกมาให้ได้อุดหนุนกัน ก่อนที่เราจะได้พบกับ Ghost รุ่นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นบน Platform “Architecture of Luxury” ตามออกมาในปี 2020 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Ghost ตัวถัง Coupe ในชื่อรุ่น Wraith และ รุ่นเปิดประทุนอย่าง Dawn จะต้องมีการปรับโฉม Minorchange อีกสักรอบหนึ่ง


SSANGYONG

  • 2018 : New Rexton

ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ SUV จากแดนกิมจิ ในเครือของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย
แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในประเทศไทยเราเลย เพราะหลังจากการทดลองนำ Sub-Compact Crossover ใหม่รุ่น Tivoli เข้ามาทดลองตลาด 2 คัน ก็แทบไม่มีลูกค้ามาเหลียวมอง เพราะค่าตัวที่แพงถึง 1,500,000 บาท อันเป็นผลมาจากภาษีนำเข้า และสารพัดภาษีที่ต้องจัดเก็บบวกเข้าไปในราคาขายปลีก จึงต้องยุติแผนการทำตลาดไปอย่างช่วยไม่ได้

ถึงในบ้านเราจะเงียบ แต่ในเมืองนอก Ssangyong เพิ่งจะเปิดผ้าคลุม รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ครั้งแรกในรอบ 16 ปี ของ รถยนต์ SUV รุ่นขายดีของตน ภายใต้ชื่อ G4 Rexton ในงาน Seoul Motorshow เมื่อ 30 มีนาคม 2017 Johng-sik Cho : CEO ของ Ssangyong กล่าวว่า นับจากนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนโฉม SUV ในตระกูลของตน ทุกปี จนกว่าจะครบทุกรุ่น !”

Rexton ใหม่ เป็น SUV ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ (D-SUV) ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ Y400 บนเฟรมแชสซีส์แบบ Quad Frame (Body on Frame) มิติตัวถัง 4,850 มิลลิเมตร กว้าง 1,960 มิลลิเมตร สูง 1,825 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,865 มิลลิเมตร

มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบคือ e-XGDi 200T เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86 x 86 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.6 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 225 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ (ขับล้อหลัง 4×2 เท่านั้น) และอัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก AISIN (4×2 กับ 4×4 Part Time)

อีกรุ่นเป็นรหัส e-XDi 220 เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,157 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.2 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail Turbo 181 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ขึ้นอยู่กับระบบขับเคลื่อน หากเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ จะอยู่ที่ 40.7 กก.-ม.ที่ 1,400 – 2,800 รอบ/นาที แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (Mercedes-Benz Sources) จะอยู่ที่ 42.8 กก.-ม.ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที เชื่อมกันได้ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลัง 4×2 และ Part Time 4×4 ทั้ง 2 ขุมพลังผ่านมาตรฐาน Euro 6

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเอร์ผ่อนแรงแบบ ” ไฮโดรลิค ” ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ ปีกนกคู่ ด้านหลังแบบ 5-Link หรือ อิสระ ตามแต่ละประเทศต้องการ ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยทั้ง ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP พร้อม Traction Control และระบบช่วยลงเนิน Hill Descent Control(HDC) ระบบ Autonomous emergency braking (AEB) ระบบ Forward collision warning (FCW) ระบบแจ้งเตือนเบี่ยงเลน Lane departure warning (LDW) ไฟหน้า High beam assist (HBA) ระบบ Traffic sign recognition (TSR) ระบบแจ้งเตือนจุดบอด Blind spot detection (BSD) ระบบแจ้งเตือนรถตัดท้าย Rear cross traffic Alert (RCTA) และระบบ Lane change assist (LCA)

ได้แต่คาดว่า Ssangyong Thailand จะสั่งนำเข้า Rexton ใหม่ มาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุดในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมนี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจะต้องรอกันนานกว่านั้น แต่คาดว่า ไม่น่าจะเกินกว่าปี 2018 เพราะลำพังตอนนี้ จะให้ Ssangyong ทำตลาดแต่ รถตู้ Starvic เพียงอย่างเดียว ก็คงเหนื่อยยากลำบากสาหัส


SUBARU

  • 2018 : Outback Minorchange / Forester (World Premier)
  • 2019 : New Forester Made in Thailand !!

สำหรับ ค่ายดาวลูกไก่แล้ว 2017 เป็นปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหวือหวาใช่เล่น หากไม่นับและการประกาศความร่วมมือระหว่าง FHI – Fuji Heavy Industries (หรือเปลี่ยนชื่อเป็น Subaru Corporation เมื่อ 1 เมษายน 2018) กับ กลุ่ม Tan Chong จากสิงค์โปร์ ก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของตนในเมืองไทยในชื่อ T.C.Manufacturing & Assembly (Thailand) หรือ TCMA TH เพื่อจะขึ้นสายการผลิตรถยนต์ Subaru ในประเทศไทย โดยกลุ่มตันจง จะถือหุ้น 74.9% ส่วน FHI จะถือหุ้น 25.1% เมื่อ 18 มกราคม 2018 และการกระตุ้นตลาด ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Subaru Forester 2.0 i-P เมื่อ 29 มิถุนายน 2017 แล้ว

ข่าวใหญ่สำหรับ ค่ายดาวลูกไก่ ในเมืองไทย ภายใต้การทำตลาดโดยกลุ่ม Tan Chong  ในปี 2017 คงหนีไม่พ้น การลาออกของแม่ทัพการตลาดคนสำคัญ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการทะยอยลาออกตามมาของอดีตคนทำงานจำนวนมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา จะตั้งคำถามถึงอนาคตของ Subaru ในเมืองไทย ว่า บรรดาผู้มารับหน้าที่แทนคนเก่า ในแทบทุกหน่วยงานเหล่านั้น จะมีศักยภาพดีพอในการประคับประคองตลาดของ Subaru ในแดนสยาม ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับปรุงบริการหลังการขาย และความรวดเร็วในการสั่งอะไหล่จากต่างประเทศ

เพราะในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2017 กลุ่มตันจง ที่เคยรับปากว่าจะเข้าร่วมงาน Motor Expo ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็กลับถอนตัวออกเสียดื้อๆ ทั้งที่ตนเองจะมีรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง XV Generation 2 เตรียมเปิดผ้าคลุมกันในงานด้วยซ้ำ ร้อนถึงบรรดาดีลเลอร์ รายใหญ่ๆ ต้องนัดมารวมตัวพูดคุย เตรียมลงขันออกบูธกันเอง แต่แล้วจู่ๆ กลุ่มตันจง ก็กลับลำ ขอเข้าร่วมงาน Motor Expo และ ส่ง XV ใหม่ มาเปิดตัวในงานแบบเงียบๆ ได้ในท้ายที่สุด แถมยังกล้านำ XV รุ่นเดิมมาจอดเทียบข้างๆ ให้ลูกค้าเห็น และ สัมผัสความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น กันไปเลย ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมืองไทยก็ว่าได้ ทำเอาทุกคน งงไปหมด

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำงานในแบบ “สิงคโปเรียน” ที่ไม่พยายามเข้าใจตลาดรถยนต์เมืองไทยเลยว่า ” จำเป็นต้องวางแผน และ เดินหน้าตามแผนอย่างต่อเนื่อง ” ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ นึกจะปรับราคาขึ้นๆ ลงๆ ตามใจตน ราวกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หนะ มันจะทำให้ลูกค้าใหม่ รู้แกว และ ลูกค้าเก่าเข็ดขยาด ซึ่งจะทำให้พวกเขาค่อยๆถอยห่างจากแบรนด์ Subaru ที่หลายๆคนอุตส่าห์ปลุกปั้นให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง จนพังทะลายไปได้อย่างไม่ควรเป็น

ถึงแม้ว่า XV ใหม่ จะถูกเปิดตัวไปแล้วในงาน Motor Expo แต่เนื่องจาก ปริมาณของ XV รุ่นเดิมในสต็อก ยังพอมีเหลืออยู่อีกนิดหน่อย T.C.Subaru จึงยังไม่เดินหน้าลุยโปรโมท เปิดตัว XV ใหม่มากนัก แต่ในวันที่ 19 มกราคมนี้ พวกเขาจะจัดกิจกรรมทดลองขับ ครั้งใหญ่ Mega Test Drive ในกรุงเทพหานคร ที่ห้างสรรพสินค้า SHOW DC ย่านพระราม 9 RCA หลังจากนั้น อาจมีการกระตุ้นตลาดเล็กน้อย ช่วงปลายปี 2018 ด้วยสีตัวถังพิเศษ พร้อมกับ Option ใหม่บางรายการ

รายละเอียดของตัวรถ และบทความทดลองขับ Full Review Subaru XV ใหม่ ใน Headlightmag.com ของเรา เสร็จเรียบร้อยแล้ว คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE!

ขณะเดียวกัน 18 มกราคม 2018 Subaru จะจัดงานเปิดตัว Legacy และ Outback รุ่นปรับโฉม Minorchange ที่สิงค์โปร์ ซึ่งมีการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ และปรับรายละเอียดการตกแต่งภายนอกและภายในอีกนิดหน่อย ก่อนที่ Outback จะถูกสั่งเข้ามาจำหน่าย ในบ้านเรา ในปริมาณไม่มากนัก เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้รถยนต์ Station Wagon ยกสูง ไว้เดินทางไกล ซึ่งมีจำนวนไม่เยอะ คาดว่า น่าจะเปิดตัวในงาน ฺBangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 เป็นอย่างเร็วทีสุด เนื่องจากรายละเอียดวิศวกรรม คล้ายคลึงกับรถรุ่นเดิม ดังนั้น คุณจึงสามารถอ่านรายละเอียดของ Outback ได้จาก Full Review ของเว็บเรา คลิกที่นี่ CLICK HERE

Photo : AutoGuide.com by KGP Spy Photography

อย่างไรก็ตาม ปี 2018 นอกจากจะเป็นปีที่ Subaru ต้องโหมทำตลาด XV ใหม่แล้ว พวกเขายังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อม ร่วมกับกลุ่ม Tan Chong ในการตั้งโรงงาน ขึ้นสายการผลิตรถยนต์ Subaru ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก หลังจากที่ยกเลิกไปกว่า 30 ปี โดย รถยนต์รุ่นที่จะถูกนำมาประกอบขายในบ้านเราเป็นรุ่นแรกคือ Forester Generation ที่ 5 ซึ่งในขณะปิดต้นฉบับบทความนี้ ตัวรถยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ขั้นสุดท้าย โดยทีมวิศวกร Subaru เลือกใช้ Honda CR-V รุ่นปัจจุบัน และ Volkswagen Tiguan เป็น Benchmark ในการพัฒนา

Forester จะถูกสร้างขึ้น บนพื้นตัวถัง Platform ใหม่ Subaru Global Platform (SGP) เช่นเดียวกับ Impreza และ XV ใหม่ โดยจะมีเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบนอน Boxer DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร จาก XV เป็นขุมพลังมาตรฐาน ส่วนเวอร์ชันที่ร้อนแรงกว่านั้น มีทั้งกระแสข่าวว่า จะมี และไม่มีขุมพลัง Turbocharger 250 แรงม้า (PS) มาให้เลือก ด้านรูปลักษณ์ ก็ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นหวือหวา เป็นเพียงการนำเส้นสายของ SUV 7 ที่นั่งไซส์ใหญ่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนืออย่าง Subaru Ascent มาย่อส่วน ลดบุคลิกความเป็น ” ป้าขายข้าวแกง ” ในรถรุ่นปัจจุบัน ลงไป ก็เท่านั้นเอง

Subaru มีกำหนดเตรียมเปิดตัว Forester รุ่นใหม่ Generation ที่ 5 สู่สายตาชาวโลก ต้นปี 2018 นี้ ส่วนเวอร์ชัน Made in Thailand จะเริ่มผลิตออกสู่ตลาดได้จริง จากโรงงานแห่งใหม่ ย่านลาดกระบัง ประมาณเดือน มกราคม 2019 และยังอาจมีลุ้นได้ใช้ระบบ EyeSight ครั้งแรกในไทยกับรถรุ่นนี้อีกด้วย

เมื่อถึงตอนนั้น ลูกค้าชาวไทย น่าจะแยกความแตกต่างระหว่าง ตำแหน่งการตลาดของทั้ง Forester และ XV ได้เสียที โดย Forester จะเจาะตลาดกลุ่ม C-SUV แข่งกับ Honda CR-V , Mazda CX-5 , Nissan X-Trail ขณะที่ XV นั้น แม้ว่ามีขนาดตัวถังจัดอยู่ในกลุ่ม C-Segment Crossover แต่ด้วยราคา จึงทำให้ถูกจัดไปแข่งกับ Honda HR-V , Mazda CX-3 และ Toyota C-HR แทน

ดังนั้น ในปี 2018 นี้ สิ่งที่ T.C.Subaru จะต้องทำก็คือ พยายามแก้ไขปัญหาด้านบริการหลังการขายในภาพรวมของตนให้ดีขึ้นเสียที ควบคู่ไปกับการโหมทำตลาด XV ใหม่ และเตรียมความพร้อมในการทำตลาด Subaru Forester Made in Thailand ในช่วงต้นปี 2019 ให้ดีๆ ยังมีงานอีกมากมาย รอคอยชาวทุ่งเสรีไทย ย่านบางกะปิกันอยู่!

 


SUZUKI

  • 2018 : SWIFT & ERTIGA Full ModelChange
  • 2019 : Ciaz MinorChange / Jimny ?

การประคับประคองยอดขายของ ผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่น จากเมือง Hamamatsu ในบ้านเรา ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา ถือว่า เหนื่อยหนักอยู่ไม่น้อย เพราะการไม่มีรถยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉม หรือปรับโฉมใหม่ เปิดตัวออกมาเลย ในขณะที่เจ้าตลาด พยายามโหมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Toyota Yaris ATIV เข้าตลาด ยิ่งทำให้ลูกค้ามองเมินจาก Suzuki Ciaz ไปมากอยู่ กระนั้น ด้วยจุดเด่นด้านขนาดตัวถังที่ใหญ่กว่า ภายในนั่งสบายกว่า และเครื่องยนต์ที่แรงกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า นิดนึง รวมทั้งเพิ่งจะเพิ่มช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารบนเบาะหลัง ในรุ่น RS ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมาหมาดๆ ก็ยังพอช่วยให้ Ciaz สามารถรักษายอดขายไว้ที่ระดับเฉลี่ย 1,000 คัน/เดือนไว้ได้

ขณะเดียวกัน หัวโจกประจำค่ายอย่าง Swift Hatchback 5 ประตู เริ่มมียอดแผ่วลงไป อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 500 – 700 คัน/เดือน เพราะลูกค้าเริ่มรอคอยการมาถึงของ Swift รุ่นใหม่ นอกนั้น ก็ยังพอจะมียอดขายจากกลุ่มลูกค้า SME ที่อุดหนุน รถกระบะ Carry นำเข้าจาก Indonesia ไปทำ Food Truck กันพอสมควร ตามด้วย ส่วน Ertiga กับ Celerio แทบไม่ต้องพูดถึงกันอีก เพราะยอดขายตายสนิท แข่งกันครองถ้วย ” บ๊วย Award ” ในตารางยอดขาย ECO Car กับ Honda Brio 5 ประตู กันอย่างเหงาๆ อยู่ 2 หน่อ

ต้นปี 2018 นี้ ใครที่รอ Swift ใหม่ ก็คงจะดีใจร้องลั่นบ้านกันเสียที เพราะ หลังจากที่แอบเอารถยนต์ต้นแบบพวงมาลัยซ้าย มาวิ่งทดสอบกันทั้งวันทั้งคืน (แม้จะดึกดื่น ช่วงเที่ยงคืน ยันตี 4 พี่ชายร่างสูงหน้าเหี้ยมๆ คนขับรถทดสอบก็ยังพา Swift น้อย ไปวิ่งเก็บข้อมูล แถวๆ บางนา-ตราด ยาวถึงระยอง กันอย่างต่อเนื่อง) ในที่สุด Suzuki Motor Thailand ก็ได้ฤกษ์ ขึ้นสายการประกอบ Swift ใหม่ รุ่นที่ 3 (นับจากปี 2004) อย่างเป็นทางการ ในบ้านเรา เสียที! หลังจากเปิดตัวในญี่ปุ่นกันตั้งแต่วัน Christmas ปี 2016 และทะยอยเปิดตัวในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุโรป ตั้งแต่ Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017 และ Swift Sport ในงาน Frankfurt Motor Show กันยายน 2017

จุดเด่นของ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย คือเทคโนโลยีที่อัดแน่นมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน 1.2 ลิตร DualJet ที่อาจจะมีตัวเลขแรงม้า ลดลงจากเดิม 91 เหลือ 89 แรงม้า (PS) อันเป็นผลจากการปรับจูนให้ผ่านมาตรฐานไอเสียตามมาตรฐาน ECO Car Phase 2 แต่ด้วยการพัฒนาโครงสร้าง Platform ใหม่ ” HEARTECH ” จะช่วยลดน้ำหนักตัวรถลง ขณะที่ความแข็งแกร่ง จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยที่มากถึง 6 ลูก ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist พร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist และในรุ่น Top จะมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Touch Screen Navigation System ติดตั้งมาให้จากโรงงานอีกด้วย

กระนั้น น่าเสียดายว่า Swift ใหม่ จะยังไม่มีเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร BoosterJet หรือขุมพลัง 1.4 ลิตร Turbo จาก Swift Sport มาประกอบขายในบ้านเราอย่างแน่นอน ส่วนกำหนดการเปิดตัวของ Swift ใหม่ จะเกิดขึ้น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 นี้ โดยคาดว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่มากนัก

ลำดับถัดไป จะเป็นคิวของ B-Segment Minivan 7 ที่นั่ง สำหรับตลาด ASEAN อย่าง Suzuki Ertiga Full Modelchange ซึ่งหวังจะดับความร้อนแรงของ Mitsubishi Xpander และ Toyota Rush ที่เพิ่งเปิดตัวใน Indonesia ให้ได้

Suzuki พยายามเจาะตลาด Minivan ขนาดเล็ก 7 ที่นั่ง ใน Indonesia และ India มานานแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า คู่แข่งสายโหดเจ้าตลาดอย่าง Toyota Avanza / Daihatsu Xenia ยังครองแชมป์เหนียวแน่น จนกระทั่งบรรลังค์เพิ่งสั่นคลอน เมื่อ Mitsubishi Motors เปิดตัว Xpander ออกมาในช่วงเดือนสิงหาคม 2017 และทำยอดจองสูงถล่มทะลาย มากถึง 6,000 คัน ทำเอา Suzuki เองก็ตกที่นั่งลำบาก จากยอดขาย Ertiga ที่ลดลงไปพอสมควร กระนั้น ผู้บริหาร Suzuki ที่ Indonesia ก็มั่นใจว่า Ertiga ใหม่ จะมีคุณงามความดีมากพอที่จะดึงลูกค้ากลับมาจากคู่แข่งได้

รายละเอียดด้านวิศวกรรมของ Ertiga ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบน Platform ใหม่ HEARTECH เช่นเดียวกับ Swift ใหม่ โดยจะยังคงมีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นจากบล็อกปัจจุบัน และ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร รุ่นใหม่ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาขั้นสุดท้าย ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ แบบ AMT อย่างไรก็ตาม คาดว่า เวอร์ชันไทย อาจจะยังคงได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 หรือ 5 จังหวะ เหมือนเวอร์ชัน Indonesia

Suzuki ตั้งใจจะส่ง Ertiga เวอร์ชัน Prototype ขึ้นอวดโฉมในงาน Auto Expo ที่ India ต้นปี 2018 นี้ ก่อนที่จะเริ่มส่งเวอร์ชันจำหน่ายจริง ขึ้นโชว์รูม Indonesia ก่อนใครเพื่อน ราวๆ เดือนมีนาคม เป็นอย่างเร็วที่สุด จากนั้น ลูกค้าชาวไทยน่าจะได้จับจองเป็นเจ้าของกันภายในช่วงปลายปีนี้ ก่อนงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 จะเริ่มขึ้นไม่นานนัก

ภาพจาก Motor1.com

อีกรุ่นหนึ่งที่ต้องจับตามองกันเลยว่า จะมีการปรับโฉม Minorchange ในปี 2018 นี้ด้วยหรือไม่ นั่นคือ Suzuki Ciaz ECO-Car Sedan ที่มีขนาดตัวถังใหญ่สุด และห้องโดยสารนั่งสบายมากสุดในตลาด

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มสูงมากว่า หน้าตาของ Ciaz Minotchange อาจแตกต่างจาก เวอร์ชันจีน ในชื่อ Alivio Pro ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ในงาน Cheng-tu Auto Show เมื่อ 27 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่า Ciaz จะมีกเปลือกกันชนหน้า และกระจังหน้าใหม่ ที่เล็กกว่า Alivio Pro รวมทั้งมีเปลือกกันชนท้าย ออกแบบขึ้นใหม่ ให้เรียบหรูและดูสปอร์ตไปพร้อมๆกัน ด้านขุมพลัง จะยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ ทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า Suzuki เกิดคิดพิลึก นำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร DualJet จาก Swift ใหม่ มาใส่ให้กับ Ciaz ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

กำหนดเปิดตัว ของ Ciaz Minorchange จะเกิดขึ้นในตลาดโลก ภายในปี 2018 นี้ แต่สำหรับลูกค้าชาวไทย คงต้องรอลุ้นกันว่า Suzuki Motor Thailand จะยอมเปิดตัว Sedan รุ่นปรับโฉมใหม่คันนี้ ทันช่วงงาน Motor Expo ปลายปี 2018 หรือว่าจะลากยาวไปเปิดตัวในช่วงต้นปี 2019 กันไปเลย

 


TATA MOTORS

  • 2018 : XENON MY 2018
  • 2019 : XENON Full ModelChange
  • 2020 : SUV / PPV ?

เหมือนจะหายหน้าหายตาไป แต่ความจริงแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือบริษัทอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จากเมือง Mumbi เขามัวแต่หันไปบุกเบิกตลาดรถบรรทุก TATA-DAEWOO จนคนไทยจำนวนมากแทบจะลืมไปแล้วว่า ตัวทำเงินเข้ากระเป๋าของพวกเขา อย่าง TATA XENON ก็ยังขายกันได้เรื่อยๆอยู่ ในกลุ่มลูกค้าที่นำไปใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นหลัก

เพราะหลังจากเปิดตัว รถกระบะ XENON 4 ประตู รุ่นปรับโฉม Minorchange ทั้ง NXplorer และ NXTreme ในปี 2016 ตามด้วยการ เสริมทัพรุ่นย่อยใหม่ TATA XENON SC150NX-PERT 4X2 รถกระบะแบบ หัวเก๋งเดี่ยว Cab Chassis สำหรับให้ผู้ประกอบการ นำไปต่อเติมพื้นที่้ด้านหลังตามความต้องการ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2017 และการเปิดตัวรถบรรทุก 6 ล้อ TATA ULTRA ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2017 แล้ว พวกเขาก็ไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดชวนให้สนใจอีกเลย และนั่นเป็นเพียง 2 ความเคลื่อนไหวหลักของ TATA MOTORS ในเมืองไทย ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

เห็นเงียบๆอย่างนี้ ใช่ว่าหนีหน้า หายไปทำโรตี เพียงแต่ TATA กำลังซุ่มเงียบ พัฒนารถกระบะรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ โดยตัวรถจะมีงานออกแบบบางส่วน รวมทั้งรายละเอียดทางวิศวกรรม และชิ้นส่วนอะไหล่บางรายการ ร่วมกับ TATA HEXA SUV Crossover-Minivan-SUV คันใหญ่ รุ่นใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในตลาดอินเดีย เมื่อ 18 มกราคม 2017

จุดเด่น ของ HEXA อยู่ที่ การยกระดับงานออกแบบ ความปลอดภัย และคุณภาพตัวรถให้เข้าสู่ระดับ Premium มากขึ้น เพิ่มระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสวิตช์หมุนไฟฟ้า พร้อมโปรแกรมการขับขี่ Drive Mode ให้เลือก เหมือน Land Rover (บริษัทในเครือ TATA) และ ชุดเครื่องเสียง Infotainment เต็มพิกัด จาก Harman และลำโพง JBL รอบคัน

คาดว่า รถกระบะรุ่นใหม่ อาจได้ใช้เครื่องยนต์ Diesel ตระกูลใหม่ Varicor บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,179 ซีซี พ่วง Turbo จาก Hexa มีทั้งรุ่น Varicor 320 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร (32.60 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และรุ่น Varicor 400 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 2,700 รอบ/นาที  เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อน ล้อหลัง 4×2 หรือแบบ 4 ล้อ 4×4 (มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เท่านั้น)

กำหนดการเปิดตัวของ รถกระบะ TATA รุ่นต่อไป แบบ Full Model Change จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ช่วงปี 2019 ซึ่งถือว่า เร็วกว่าคู่แข่งระดับเจ้าตลาดไปถึง 1 ปีเต็ม แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คาดว่า ในปี 2018 เราอาจได้เห็น การปรับปรุง XENON รุ่นปัจจุบันเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการขัดตาทัพและชิมลางไปพลางๆ คราวนี้ มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาจะถอดชุดพวงมาลัยลูกปืนหมุนวนแบบเดิม แล้วติดตั้ง พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนเข้าไปให้แทน (เสียที)

แต่ถ้าถามว่า HEXA มีสิทธิ์จะส่งมาขายเมืองไทยหรือไม่ คำตอบก็คือ…อาจจะไม่ เพราะดูเหมือนว่า พวกเขากำลังเตรียมเวอร์ชัน SUV / PPV บนพื้นฐานร่วมกับ HEXA ออกมาลุยตลาดบ้านเรา และในอินเดียแทน แต่กว่าจะได้เห็น คงต้องรอกันจนถึงช่วงปี 2020 – 2021


TOYOTA / LEXUS

  • 2018 : C-HR / New Camry / Rush / Hi-Ace / Commuter / Lexus UX
  • 2019 : Corolla ALTIS / Hilux Revo Minorchange / Next Vios?

2017 ถือเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ ยักษ์อันดับ 1 จากแดนอาทิตย์อุทัย ในบ้านเรา อย่างมาก แ้ม้ว่ายอดขายภาพรวมจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่เมื่อแยกลงไปยัง Segment ต่างๆ จะพบว่า การแข่งขันรุนแรงขึ้นมาก จน Toyota แต่ละรุ่น เริ่มขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่โตวันโตคืน การเปิดตัว ECO-Car รุ่นใหม่ ทั้ง Yaris ATIV เมื่อ 15 กรกฎาคม 2017 และ Yaris Hatchback Minorchange ในอีก 1 เดือนให้หลัง คือ 2 รถยนต์รุ่นสำคัญที่ช่วยสร้างยอดขายให้ค่ายสามห่วงในปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน Hilux Revo เอง ก็พบกับความเหนื่อยยากในการเข็นยอดขายขึ้นภูเขา จากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งคู่แข่งอย่าง Isuzu ที่มีรูปลักษณ์ เครื่องยนต์ใหม่ และศูนย์บริการที่ถูกใจลูกค้ามากกว่า หรือ รถกระบะจาก Ford ซึ่งมาแรงแซงทางโค้ง ขึ้นทะยานมาอยู่อันดับ 3 ในตลาดได้เพียงเพราะความสวยของตัวรถ รวมทั้งปัจจัยด้านงานออกแบบ ของ Revo ที่ยังไม่โดนใจลูกค้าชาวไทย อีกทั้งการซื้อรถกระบะ Toyota ในต่างจังหวัด เริ่มยากขึ้น เพราะไฟแนนซ์เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากปริมาณรถหาย มีบ่อยมาก

นอกจากนี้ อีกข่าวสำคัญที่จะเกี่ยวพันไปถึงรถยนต์รุ่นใหม่ๆในอนาคต ก็คือ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2017 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมติเห็นชอบให้ Toyota ขยายกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid กำลังการผลิตปีละ 70,000 คัน การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ปีละประมาณ 70,000 ชิ้น และชิ้นส่วนยานพาหนะ ปีละประมาณ 9,100,000 ชิ้น เงินลงทุนรวม 19,016 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม Gateway City จังหวัดฉะเชิงเทรา นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ รุ่นรถยนต์ Hybrid ของ Toyota ในบ้านเราจะเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันอย่างแน่นอน

สำหรับปี 2018 การบ้านสำคัญของ Toyota มี 3 ประการ คือ ทำอย่างไรที่จะให้ Hilux Revo มียอดขายสูงกว่านี้ ตามด้วย การแก้ไขปัญหาหลังบ้านในด้านต่างๆ รวมทั้งเรื่องบริการหลังการขาย แม้จะแกร่งในอันดับต้นๆ แต่เสียงเรียกร้องของลูกค้า ก็ยังมีมาเรื่อยๆ และประเด็นสำคัญสุดนั่นคือ จะทำอย่างไร ให้แบรนด์ Toyota เข้าไปนั่งในหัวใจลูกค้าวัยรุ่นยุคใหม่ ที่กำลังผละหนีจากพวกเขาไป เพราะเบื่อกับภาพลักษณ์ความเป็นรถยนต์สำหรับคนแก่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนกระทั่งหันกลับมาเลือกซื้อ หรือมีแบรนด์ Toyota อยู่ในตัวเลือก

งาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา Toyota เริ่มปล่อยแคมเปญโฆษณา ชุดใหม่ LIVE ALIVE เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ Toyota ให้เ้าถึงการรับรู้ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยชูเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาเปิดตัลาด พร้อมกันนี้ Toyota ยังนำ C-HR มาจัดแสดงอวดโฉมเป็นครั้งแรก ก่อนเปิดให้จองสิทธิ์ในการสั่งจองรถ (หวังว่าไม่งงนะ) ก่อนที่จะออกสู่ตลาดจริงในปีนี้กัเสียที หลังจากที่ปล่อยให้ลูกค้าชาวไทยรอคอยมานานเป็นปี พร้อมกับเผยรายละเอียดอุปกรณ์เบื้องต้นคร่าวๆ ออกมาแล้ว

C-HR เป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรกที่จะเปิดตัวในประเทศไทย ปี 2018 นี้ และเป็น Toyota รุ่นที่ 2 ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด TNGA-C (Toyota New Global Architecture – Compact Class)  เช่นเดียวกับ Prius ใหม่ รุ่นล่าสุด และ Corolla Altis สำหรับตลาดโลก โฉมต่อไป ในปี 2018 – 2019 โดยถูกพัฒนาขึ้นเพื่อประกบกับ Honda HR-V , Mazda CX-3 และ Nissan Juke

C-HR เวอร์ชันไทย จะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย บนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 2 แบบ ดังนี้

เบนซิน 1.8 ลิตร :

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตร (18.03 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า

เบนซิน 1.8 Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. จุดระเบิดแบบ Atkinson cycle พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร (14.46 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า (PS) แรงบิด 163 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ Ni-MH

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าให้ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ แบบ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

Toyota มีกำหนดเปิดตัว C-HR ใหม่ ในประเทศไทย วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2018 นี้ โดยรุ่นเริ่มต้นของ C-HR 1.8 เบนซิน Base มีค่าตัวประมาณ 9xx,xxx บาท กับ 1.8 เบนซิน Top 1,0xx,xxx บาท ส่วนรุ่น 1.8 Hybrid ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,0xx,xxx บาท และรุ่น Top สุด 1,1xx,xxx บาท

รายละเอียดตัวรถ เวอร์ชันไทย (เบื้องต้น) คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE
บทความ ทดลองขับ C-HR Hybrid เวอร์ชันญี่ปุ่น CLICK HERE

จากนั้น ในช่วงไตรมาส 3 เราจะได้พบกับรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ Toyota Camry ใหม่ ที่เผยโฉมครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่งาน Detroit Auto Show เมื่อเดือนมกราคม 2017 หรือ 1 ปีมาแล้วพอดีๆ

Camry ใหม่ เป็นรถยนต์คันที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA โดยเป็นแบบ TNGA-D สำหรับรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด
ใหญ่ โดยคาดว่าจะชูจุดเด่นด้านความสนุกในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นจากบุคลิกของรถเก๋งสำหรับผู้ใหญ่แบบเดิมๆที่เคยเป็นมา รวมทั้งด้านความปลอดภัย เพราะ Camry ใหม่ จะมาพร้อมชุดระบบ Toyota Safety Sense P เต็ม Packageชนิดใกล้เคียงกับเวอร์ชันญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ด้านรายละเอียดทางเทคนิคของเวอร์ชันไทย ยังไม่มีหลุดเล็ดรอดออกมา แต่เชื่อแน่ว่า รุ่น 2.5 Hybrid น่าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ ใหม่ล่าสุด Dynamic Force Hybrid THS II รหัส A25A-FXS เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,487 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 87.5 x 103.4 มิลลิเมตร จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 178 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร (22.51 กก.-ม.) ที่ 3,600 – 5,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังสูงสุดรวม 211 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion (แบตเตอรี่ย้ายจากท้ายรถ ไปอยู่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง)

Camry ใหม่ มีกำหนดเผยโฉมในบ้านเรา ต้นไตรมาส 3 ปี 2018 นี้อย่างแน่นอน และคาดว่า ราคาน่าจะแพงขึ้นกว่าเดิมอีกพอสมควร เนื่องจากตัวรถถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่หมด และใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถรุ่นปัจจุบันได้น้อยลง

พาไปชม Camry ใหม่ คันจริง ที่ญี่ปุ่น CLICK HERE

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความอเนกประสงค์ แบบ 7 ที่นั่ง แต่งบมีอยู่จำกัด มีข่าวว่า Toyota อาจสั่งนำเข้า Toyota Rush จาก Indonesia เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แทน Toyota Avanza

Rush เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ Sub-Compact SUV ขนาดเล็ก ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Daihatsu สำหรับตลาด ASEAN ดัดแปลงต่อเนื่องมาจาก Daihatsu Be:go สำหรับคลาดญี่ปุ่น รุ่นเดิมของ Rush เป็นรถยนต์ 5 ที่นั่ง แต่รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2017 ตัวรถถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ 7 ที่นั่ง โดยยังคงแนวคิด รถยกสูงราคาประหยัด เป็นฝาแฝดกับ Daihatsu Terios และจะแท็กทีมกันต่อกรกับ Honda BR-V และ Mitsubishi Xpander

ตัวรถมีความยาว 4,435 มิลลิเมตร  กว้าง 1,695 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,685 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 220 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ เบนซิน รหัส 2NR แบบ 4 สูบ DOHC 1.5 ลิตร Dual VVT-i 104 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 136 นิวตันเมตร (13.85 กก.-ม.) ที่ 4,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง

หาก Toyota Motor (Thailand) ตั้งใจจะสั่งนำเข้า Rush มาเปิดตลาดในเมืองไทยจริงๆ เราอาจต้องรอกันจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 โดยยังไม่แน่ชัดว่า Avanza จะถูกลดบทบาท ก่อนจะหายไปจากตลาดบ้านเราหรือไม่

รายละเอียด Toyota Rush คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วนความเคลื่อนไหวของรถตู้ยอดฮิตติดลมบนตลอดกาลในบ้านเราทั้ง Toyota HiACE / Commuter รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change นั้น บัดนี้ เวลาผ่านไปแล้ว 1 ปี แต่ดูเหมือนไม่มีข่าวคราวใดๆเพิ่มเติมไปจากปลายปี 2016 เลย

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ HiACE / Commuter ใหม่ รุ่นที่ 6 คือ การย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยมมาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่นออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือกับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของตัวรถ รวมทั้งการขยายระยะฐานล้อของรุ่นมาตรฐาน ให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ตามรูปแบบการวางเครื่องยนต์และตำแหน่งล้อคู่หน้าที่จำเป็นต้องยื่นไปใกล้มุมหน้ารถมากขึ้น ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์ Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัวชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก

กำหนดการเปิดตัว ของ HiACE / Commuter ใหม่ จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ไปแล้ว และกว่าจะมาถึงเมืองไทย ก็อาจต้องรอไปจนกระทั่งต้นปี 2019 เป็นอย่างเร็วที่สุด

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)

อีกโครงการหนึ่งที่น่าจับตามองของ Toyota สำหรับตลาดเมืองไทย คือ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ Corolla ALTIS Sedan ใหม่ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และใกล้จะเปิดตัวในตลาดโลกเข้าไปทุกทีแล้ว

Corolla Altis ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C เช่นเดียวกับ C-HR ดังนั้น คาดหวังถึงความคล่องแคล่วและมั่นใจในการบังคับควบคุมที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมได้เลย รวมทั้งการเซ็ตช่วงล่าง ซึ่งน่าจะยังมีทั้งเวอร์ชันธรรมดา กับแบบสปอร์ต ให้ได้เลือกกันเหมือนรุ่นปัจจุบัน

ด้านขุมพลัง สำหรับประเทศไทยแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า Corolla Altis อาจได้ใช้ขุมพลัง เบนซิน 1.8 ลิตร จาก C-HR และอาจมี Corolla Altis Hybrid ขุมพัง 1.8 ลิตร THS-II ตามมาให้เลือก และเชื่อว่า Toyota น่าจะยังเก็บเครื่องยนต์ เบนซิน 1.6 ลิตร ไว้ให้สำหรับกลุ่มลูกค้า Fleet และผู้ประกอบการ Taxi อีกตามเคย

Corolla ใหม่จะเริ่มเผยโฉมในตลาดอเมริกาเหนือก่อนเป็นแห่งแรก จากนั้นจะตามด้วยตลาดญี่ปุ่น และยุโรป ทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึั้นในปี 2018 สำหรับเวอร์ชันไทย กว่าจะพร้อมออกส่ตลาดจริง อาจต้องรอกันจนถึงต้นปี 2019

ส่วนตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก B-Segment นั้น หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อ Toyota ตัดสินใจ นำ Vios เดิม มาเปลี่ยนเปลือกตัวถังใหม่ จับวางเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แล้วออกขายในชื่อ Yaris ATIV จนขายดีชนิดที่ Vios เดิม ถึงขั้นขายไม่ออก คำถามก็คือ แล้ว Toyota จะทำอย่างไรกับ Vios?

เชื่อว่า Toyota น่าจะไม่ทอดทิ้งตลาดกลุ่มนี้ไปได้ง่ายนัก เพราะชื่อ Vios ก็ถูกปั้นขึ้นมาจนติดหูคนไทยไปแล้ว ทั้งในด้านความทนทาน ไว้ใจได้ และกลายเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่เคยสร้างรายได้ให้กับ Toyota อย่างมหาศาล

หลังการประกาศเพิ่มการลงทุนใน TMAP-EM (Toyota Motor Asia-Pacific – Engineering & Manufacturing) จนกลายเป็น TDEM (Toyota – Daihatsu Engineering & Manufacturing) ไปเมื่อเดือนมกราคม 2017 พวกเขาก็เริ่มภาระกิจพัฒนารถยนต์นั่งสำหรับตลาดในภูมิภาค ASEAN รวมทั้งประเทศไทยทันที

หนึ่งในรถยนต์ต้นแบบที่มีแนวโน้มว่าอาจเปิดตัวในประเทศไทย ถูกส่งไปเปิดผ้าคลุมในงาน Gaiikindo International Motor Show ที่ Indonesia ในชื่อ Daihatsu DN-F Sedan ซึ่งถ้าพิจารณาจากเส้นสายตัวถังที่ไม่เหมือน Daihatsu ทุกรุ่นที่เคยมีมา รวมทั้งขนาดตัวรถที่ยาว 4,200 มิลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาว 2,510 มิลลิเมตร และการติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 3NR-VE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 72.5 x 72.5 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i 88 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กิโลกรัมเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที แล้ว จะพบว่า รถคันนี้ มีเค้าลางที่ดูเป็นไปได้มากสุด หากจะนำมาพัฒนาต่อเนื่องเป็น Toyota Vios รุ่นต่อไป

หากเป็นไปตามการคาดเดาของผู้เขียน เชื่อว่า Toyota และ Daihatsu จะเปิดตัว Coupe-Like Sub-Compact Sedan คันนี้ ทั่ว ASEAN ในปี 2019 ภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกันของตน ในลักษณะรถยนต์ฝาแฝด

สำหรับแบรนด์หรู ของ Toyota อย่าง Lexus หลังจากที่ปล่อยเวอร์ชันจำหน่ายจริงของ LS Generation ที่ 5 ออกสู่ตลาดทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย เรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงก่อนงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วัน ความเคลื่อนไหวต่อไปที่น่าจับตามองของ Lexus คือ Premium Sub-Compact Crossover ในชื่อ Lexus UX รหัสโครงการพัฒนา 100B  ซึ่งเคยเผยโฉมในฐานะรถยนต์ต้นแบบ ในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2016

Lexus UX จะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C ร่วมกับ Toyota C-HR โดยคาดว่า จะมีขุมพลังให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้ง UX200 และ UX250 เพื่อทำตลาดแทน Lexus CT200h Compact Hatchback ที่ทำยอดขายไม่ดีเลยตลอดอายุตลาดของมัน และเตรียมจะถูกปลดระวาง ภายในปี 2018 นี้

จุดเด่นสำคัญของ UX ไม่ใช่แค่เป็นเพียงเป็น Premium Small Crossover ขนาดเล็กสุด รุ่นแรกของ Lexus ที่จะต่อกรกับ BMW X1, Mercedes-Benz GLA, Audi Q3, Jaguar E-Pace หากแต่ตัวรถยังถูกกำหนดทิศทางการพัฒนาโดย หัวหน้าทีมวิศวกร (Chief Engineer) ผู้หญิง คนแรกในประวัติศาสตร์ของ Toyota !! ดังนั้น ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า ด้วยแนวคิดของสตรียุคใหม่ จะนำพาให้ตัวรถ เวอร์ชันจำหน่ายจริง ที่จะออกสู่ตลาดในต่างประเทศ ช่วงกลาง ปี 2018 นี้ ให้โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อันได้แก่ เศรษฐีวัยรุ่นยุคใหม่ ที่ใช้ชีวิตในเมืองเป็นหลัก ได้อย่างไร


VOLVO

  • 2018 : New XC40 (Thailand Premier) / All New S40 (World Premier)
  • 2019 : All New S40 (Thailand Premier) / V40 (World Premier)
  • 2020 : All New S60 / V60

การประกาศว่า “รถยนต์ Volvo ทุกรุ่นทุกคัน ที่เปิดตัวหลังจากปี 2019 เป็นต้นไป จะต้องใช้ขุมพลัง Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วน โดยจะไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพียวๆ เพียงอย่างเดียว อีกต่อไป” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ Hakan Samuelsson CEO ของ ผู้ผลิตรถยนต์ชาวสวิดิช จากเมือง Gothenberg ได้สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา

หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องหาญกล้าและบ้าบิ่นมากที่ทำเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลเบื้องหลังการประกาศเช่นนี้ นั่นคือ ความเข้มงวดของมาตรฐานมลพิษ Euro 6 ที่กำลังจะเริ่มบังคับใช้ในยุโรป ยิ่งทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน ให้ปล่อยไอเสียน้อยเทียบเท่ามาตรฐานดังกล่าว ต้องใช้งบประมาณสูงมาก หรือถ้าทำได้ ก็ใกล้จะถึงทางตันเต็มที การนำระบบมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาช่วย สามารถลดมลพิษลงไปได้มาก รวมทั้งลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลงได้ ไม่เพียงเท่านั้น แนวโน้มการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า ทั้ง EV และ Plug-in Hybrid เริ่มกลายเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะของชนชั้นสูง ทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการรถยนต์ประเภทนี้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยให้ Volvo กล้าประกาศออกมาอย่างที่เห็น

แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงตรงนั้น แผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ Volvo นับจากปี 2015 จนถึง 2021 ยังไม่จบ และเพิ่งเดินมาถึงเพียงครึ่งทางเท่านั้น รุ่นต่อไปที่คนไทยจะได้สัมผัสกันต่อจาก XC90 (2015)  , S90 D4 (Motor Expo 2016) , V90D4 (Bangkok International Motor Show มีนาคม 2017) , S90 T8 (ปลายปี 2017) และ XC60 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในบ้านเราในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 นั่นคือ Volvo XC40 รุ่นใหม่ล่าสุดนั่นเอง

XC40 เป็นรถ SUV น้องเล็กสุดของค่าย ถูกพัฒนาขึ้นเนื่องจาก Volvo ทนเห็นความเย้ายวนใจของยอดขายรถยนต์กลุ่ม Premium Sub Compact SUV ทั้ง BMW X1, Mercedes-Benz GLA, Audi Q3, Jaguar E-Pace ที่โตวันโตคืน และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 ดังนั้น Volvo จึงเร่งพัฒนา XC40 ขึ้นมาให้เป็น SUV รุ่นเล็กสุดในตระกูล เพื่อมาเสริมทัพให้กับ รุ่นพี่ทะั้ง XC60 และ XC90 ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดย XC40 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง Modular Platform ใหม่ล่าสุด CMA (Compact Modular Architecture) โดยยังคงอัดแน่นไปด้วยสารพัดอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยสุดไฮเทคเหมือนเช่นญาติพี่น้องร่วมตระกูลแดนไวกิ้งทุกประการ

ในช่วงแรกที่เปิดตัว XC40 มีทางเลือกขุมพลังแค่ 2 แบบ ดังนี้

D4 AWD : เครื่องยนต์ รหัส รหัส D4204T12 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.8 : 1 Twin Turbo กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร (ตัวเลขโรงงาน : อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

T5 AWD : เครื่องยนต์ รหัส B4204T14 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.8 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 247 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร (ตัวเลขโรงงาน : อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

คาดว่า XC40 เวอร์ชันไทย จะเปิดตัวได้อย่างเร็วที่สุดในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 โดยน่าจะมาพร้อมกันทั้งรุ่น D4 และ T5 ประกอบในมาเลเซีย ตามเดิม

รายละเอียดเบื้องต้นของ XC40 ใหม่ คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE!

ขณะที่ลูกค้าบางส่วนในเมืองไทย กำลังรอคอยการมาถึงของ XC40 ใหม่ ชาวสวิดิช ที่ Gotenberg เขาก็กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมงานเปิดตัว Volvo S40 / V40 Premium Compact Sedan รุ่นใหม่ ที่จะมีรูปโฉม ถอดแบบมาจาก Volvo 40.2 รถยนตต้นแบบ ซึ่งเผยโฉมออกมา ในเวลาเดียวกับ XC40 คันต้นแบบ (Volvo 40.1) เมื่อ 2 ปีก่อน

S40 / V40 ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA (Compact Modular Architecture) เช่นเดียวกัน กับ XC40 นั่นหมายความว่า โอกาสที่ ทั้ง XC40 และ S40 / V40 จะมีขุมพลังให้เลือก เหมือนๆกัน นั้น เป็นไปได้สูงมากๆ

กำหนดการออกสู่ตลาดของ S40 / V40 ใหม่ ในตลาดโลก น่าจะเกิดขึ้น ณ งาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2018 และคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในประเทศไทย เร็วสุดคือ ต้นปี 2019

—————///—————

ขอขอบคุณ / Special Thanks

  • แหล่งข่าว ผู้ขอสงวนนาม ทุกท่าน
  • Pan Paitoonpong สำหรับการช่วยเตรียมข้อมูลของ แบรนด์ Super Cars

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์รุ่นที่เปิดตัวแล้ว
เป็นของ แต่ละบริษัทผู้ผลิต

ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย Spyshot เป็นของ Automedia และสื่ออืนๆตามใต้ภาพ

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
10 มกราคม 2018

Copyright (c) 2018 Text by : J!MMY

Copyright (c) 2018 Photo by : All Manufacturer

Copyright (c) Illustration by : KNK

Copyright (c) 2017 Spyshot by : Automedia

Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
January 10th,2018

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE !