BMW และ MINI เตรียมอวดโฉม รถยนต์ต้นแบบ 2 รุ่นใหม่ล่าสุดของตน ทั้ง BMW Vision EfficientDynamics
และ MINI Coupe Concept ในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ รถยนต์ต้นแบบทั้ง 2 รุ่น
จะเป็นเครื่องบ่งชี้ทิศทางและวิสัยทัศน์ของ BMW สำหรับรถยนต์ของตนในอนาคต ซึ่งจะมุ่งเน้นทั้งในด้าน
ความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่ยังคงให้สมรรถนะและสุนทรีย์ในการขับขี่อันสูงส่ง
เช่นเดิม รวมทั้ง ยังมีรถยนต์รุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวในงานดังกล่าวด้วย นั่นก็คือ 320d EfficientDynamics Edition
หรือเวอร์ชันปรับปรุงเครื่องยนต์ ของ 320d รุ่นที่คนไทยคุ้นเคยกันแล้ว ให้แรงขึ้น ประหยัดขึ้น ผ่านมาตรฐาน
Euro 5 นั่นเอง
BMW Vision EfficientDynamics
The Future of Sheer Driving Pleasure
รถยนต์ต้นแบบคันใหม่ล่าสุดนี้ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาภายใต้รูปแบบของ BMW M (หรือแนวทางเดียวกับ M3 M5)
คือเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง รูปลักษณ์ดุดัน เร้าใจ และสปอร์ตโฉบเฉี่ยว แถมยังผนวกรวมถึงความล้ำหน้าด้าน
เทคโนโลยี EfficientDynamics ที่มุ้งเน้นด้านความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
งานออกแบบภายนอก และภายใน ของ BMW Vision EfficientDynamics มุ่งเน้นที่จะแสดงออกถึง
ความสปอร์ต ดุดันตามแบบฉบับ BMW M แต่แฝงด้วยเทคโนโลยีแอร์โรไดนามิกส์ ระดับรถแข่งฟอร์มูล่า 1
ด้วยค่าสัมประสิทธ์ แรงต้านอากาศ Cd ต่ำมาก เพียง 0.22 ซึ่งการออกแบบนี้นอกจากเน้นให้มีแรงกด
ที่ยอดเยี่ยมที่ความเร็วสูงเพื่อการเกาะถนน ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีความลู่ลมที่ยังให้ประหยัดน้ำมัน
ได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งส้นสายตัวถังยังเล่นกับ แสงเงาสะท้อนแฝงบุคลิกของรถสปอร์ตแบบ
GT Gran Turismo ผสมผสานกับความลื่นไหลอย่างต่อเนื่องของลายเส้นบนพื้นผิวโค้งและเว้า
ให้ความรู้สึกเข้าถึงอารมณ์สปอร์ตร้อนแรงและดุดันอย่างเต็มขั้น
ในเงาสะท้อนที่ปราดเปรียวของ BMW Vision EfficientDynamics นั้นแฝงไว้ด้วยเทคโนโลยีที่ลึกล้ำ
ทั้งในส่วนของช่องทางเดินลมและวัสดุที่ใช้ เพื่อให้การไหลของลมสามารถเป็นไปได้อย่างเป็นระเบียบ
อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์ในแง่ของการระบายความร้อนของระบบต่าง เช่น ระบบเครื่องยนต์หรือระบบเบรก
BMW Vision EfficientDynamics มี ขนาดตัวถังยาว 4.60 เมตร ความกว้าง 1.90 เมตร และความสูง 1.24 เมตร
มีน้ำหนักเพียง 1,395 กิโลกรัม ซึ่งจัดอยู่ในระดับรถสปอร์ตขนาดกลางแบบ 2+2 สามารถมีที่กว้างขวางนั่งได้อย่างสบายๆ
สำหรับการเดินทางในเมืองทุกวันหรือการเดินทางไกลในสไตล์ GT Gran Turismo พร้อมทั้งยังมีที่เก็บสัมภาระขนาด
150 ลิตร สามารถจุถุงกอล์ฟได้ 2 ใบ ประตูทั้งสองบานได้รับการออกแบบให้เปิดแบบ ‘Gull Wing’ พร้อมทั้งระบบผ่อน
น้ำหนักประตู ทำให้การเปิดปิดหรือเข้าออกเป็นได้อย่างสะดวกสบายแม้สำหรับที่นั่งด้านหลัง ที่นั่งด้านในเป็นลักษณะ
แบบ ‘เข้ารูป’ เพื่อรับกับสรีระทุกแบบเพื่อการเดินทางที่สบายและกระชับตัวเมื่อต้องการใช้ความเร็ว หลังคาและกระจก
รอบคันผลิตจากกระจกโพลีคาร์บอเนตที่สามารถปรับความเข้มของแสงได้
BMW Vision EfficientDynamics เป็นรถยนต์สปอร์ตแบบ 2+2 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์แบบ Plug-in Full Hybrid
ผสมผสานสุดยอดเทคโนโลยี BMW Advanced Diesel ด้วยเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 3 สูบ ขนาดแค่ 1.5 ลิตร
เท่านั้น มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด BMW Advanced Diesel ซึ่งอัดอากาศด้วยระบบเทอร์โบแปรผันครีบ
และฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด Piezo แบบคอมมอนเรลเจนเนอเรชั่นล่าสุด วางเครื่อง ‘กลางลำ’
กล่าวคือ เครื่องยนต์อยู่ในตำแหน่งหน้าเพลาขับด้านหลัง และด้วยขนาดกะทัดรัดของเครื่องยนต์ทำให้
สามารถออกแบบ ที่นั่งด้านหลัง ได้อย่างสบายๆ
เครื่องยนต์ดังกล่าวจะเชื่อมการทำงานควบคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขนาด 38 กิโลวัตต์ และผสมผสาน
การทำงานกับเครื่องยนต์แบบ Full Hybrid กล่าวคือ BMW Vision EfficientDynamics สามารถวิ่งได้ด้วย
พลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์เพียงอย่างเดียว
พลังงานสามารถเกิดได้จาก 2 ทาง คือ
(1) ได้จากการกำเนิดไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีระบบ Recuperation ซึ่งเป็นการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยการนำ
พลังงานส่วนเกินกลับมาใช้ใหม่โดยไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเลยแม้แต่น้อย หลักการของระบบ Recuperation
ตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการเดียวกับระบบ Brake Energy Regeneration กล่าวคือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่
เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยการทำพลังงานส่วนเกินจากการเบรกมา ‘ปั่นไฟ’ แล้วเก็บไว้ในแบตเตอรี่
เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่เมื่อต้องการ
(2) โหมด Plug-in สำหรับชาร์จไฟจากไฟฟ้าบ้านทั่วไปแบบ 220 โวลต์ 16 แอมแปร์ ซึ่งจะสามารถชาร์จตรง
เข้าแบตเตอรี่โดยการใช้เวลาชาร์จ 2.5 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถชาร์จผ่านระบบหม้อแปลง 380 โวลต์
ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 44 นาทีในการชาร์จเต็มที่
เมื่อทำงานเข้าด้วยกันแล้ว รถคันนี้ สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ถึง 356 แรงม้า (BHP) และแรงบิดมหาศาลถึง
800 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง
4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (จำกัดความเร็วสูงสุดด้วยระบบอิเลคทรอนิค) และ
มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยเพียง 26.6 กิโลเมตร/ลิตร รวมทั้งยังมีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
แค่ 99 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EU) เท่านั้น!
BMW Vision EfficientDynamics ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ (ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นก้าวหน้าของ
เทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนในปัจจุบัน) จำนวน 98 เซลล์ต่อแบบอนุกรมซึ่งสามารถให้กำลังไฟฟ้า
10.8 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 364 โวลต์ แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์นี้นอกจากจะมีความจุไฟฟ้าสูงและสามารถ
ชาร์จได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีจุดเด่นอีกประการคือ น้ำหนักเบา ชุดแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ทั้ง 98 เซลล์นี้
มีน้ำหนักรวม 85 กิโลกรัม (ใช้คน 3-4 คนช่วยกันยก) ซึ่งถูกจัดวางตรงกลางลำตัวตามแนวยาวของตัวรถเพื่อการ
ถ่ายน้ำหนักที่ดี เพื่อความปราดเปรียวสูงสุดในการขับขี่
————————————————————–
MINI Coupe Concept
Concentrated Driving Pleasure
ถ้าคิดว่า มินิ น่าจะมีโอกาส ถึงทางตันในการพัฒนาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คงต้องบอกว่า คุณอาจจะคิดผิด
เพราะ รถคันสีฟ้าที่เห็นอยู่นี้ คือ 1 ใน 2 ตัวถังใหม่ ที่ BMW เตรียมจะสร้างความหลากหลาย ให้กับมินิ
แบรนด์รถยนต์ ที่ตนถือครองไว้ ตั้งแต่ เมื่อครั้งเข้าซื้อกิจการของ Rover Grup เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 1994
(และก็เลือกเก็บไว้ หลังการแยกขายในปี 2000 เมื่อถึงวันที่ ทนการขาดทุนจากโรเวอร์ ไม่ไหวอีกต่อไป)
BMW มีความคิดที่จะสร้าง มินิ ตัวถังคูเป้ มาค่อนข้างนานแล้ว แต่ยังไม่เป็นทางการนัก เพราะนี่คือหนึ่งใน
ช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ จากโครงสร้างพื้นฐานของตัวรถที่ตนทำขึ้นมา ให้แตกไลน์ออกไปได้มากขึ้น
และ พวกเขา พึ่งจะสบโอกาส กันในช่วงนี้ นั่นเอง
BMW ถือเอาฤกษ์ งามยามดี ในวาระฉลองครบรอบ 50 ปี ของการถือกำเนิด มินิในโลก (26 สิงหาคม 1959)
มาใช้ในการเผยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการชุดแรกของ มินิ คูเป้ คอนเซพท์ ด้วยเหตุผล ที่ว่าอยากจะร่วมฉลอง
วาระดังกล่าว ให้พิเศษ ยิ่งขึ้นกว่าการฉลองทุกปีที่ผ่านมา นั่นเอง
ตัวถังมีความยาว 3,714 มิลลิเมตร กว้าง 1,683 มิลลิเมตร สูง 1,356 มิลลิเมตร เส้นสายหลักของตัวถัง ยังคงมาใน
รูปแบบ ดั้งเดิม ของมินิยุคใหม่ คือ เล็ก กระทัดรัด ระยะห่างจากล้อหน้าและหลัง ถึงมุมรถแต่ละฝั่ง ไม่มากนัก
(Short Front & Rear Overhang)
แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกคนสะดุดตา จนต้องเหลียวหลัง คือการเล่นแนวเส้นตัวถัง บริเวณหลังคา ให้มีความโค้งมน
และ หนา ภายใต้แนวทาง Forms Follow Function อันเป็นแนวทางการออกแบบสไตล์เยอรมัน อีกทั้งยังมีการ
เล่นกับแนวเส้นขอบกระจกที่แปลกตาไปกว่ารถยนต์ทั่วไป อยู่ไม่เบา และกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
ของรถรุ่นคูเป้ ที่ใกล้จะทำตลาดในอนาคตข้างหน้า ไปโดยปริยาย นอกเหนือจาก กระจังหน้า แบบ Hexagon
และไฟหน้าทรงกลมรี อันเป็นเกลักษณ์ ดั้งเดิม ของมินิยุคใหม่ หลังปี 2001 เป็นต้นมา
หลังคา ถูกออกแบบขึ้นโดย ฝีมือของ Gert Hildebrand นักออกแบบของ BMW
ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก ลูกชายของตน ใส่หมวกเบสบอล กลับหลัง
การใช้หลังคาใหม่แบบนี้จะช่วยทำให้ลดจุดศูนย์ถ่วงของรถลงไป
ส่งผลให้ลดการแกว่งของตัวรถและทำให้เกิดทรงตัวในขณะขับขี่ที่ดีขึ้น
ขณะที่ โครงสร้างตัวถัง ออกแบบขึ้น โดยอิงกับพื้นฐานงานออกแบบของรถรุ่นเดิม
ฝากระโปรงหลัง เปิดได้ในแนวสูง เผยให้เห็นห้องเก็บสัมภาระ มีขนาด 250 ลิตร (ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน)
แม้จะเป็นรถยนต์ 2 ที่นั่ง และใช้ชุดแผงหน้าปัด รวมทั้งชุดมาตรวัดต่างๆ และชิ้นส่วนระบบไฟฟ้า กลไก
ร่วมกับ มินิรุ่นปัจจุบันมากมายอยู่ แต่ถ้าคุณนั่งโดยสารอยู่ แล้วอยากเอื้อมมือไปหยิบข้าวของ เช่น กระเป๋า
หรือกล่อง CD ทีวางไว้ ในห้องเก็บของด้านหลัง มินิ คูเป้ คอนเซพท์ ก็มีการเปิดช่องให้ทะลุถึงกันได้
ในรถคันต้นแบบ ติดตั้งเครื่องยนต์ จากรุ่น John Cooper Works ซึ่งให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า (BHP)
แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร แต่สามารถเข้าสู่โหมด Overboost เรียกแรงบิดออกมาได้เพิ่มอีก
เป็น 280 นิวตันเมตรได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ
คาดกันว่า เมื่อถึงกำหนดทำตลาดจริง ในช่วงปีหน้า ขุมพลังของมินิคูเป้ ก็น่าจะมีให้เลือก ไม่แตกต่างไปจาก
มินิ วัน คูเปอร์ และ คูเปอร์ เอส รุ่นปัจจุบันไปมากนัก คือ มีเครื่องยนต์เบนซินจาก กลุ่ม PSA Peugeot/Citroen
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 120 แรงม้า (BHP) และ เวอร์ชัน เพิ่ม SuperCharge ให้แรงขึ้นเป็น 175 แรงม้า (BHP)
แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเครื่องยนต์ดีเซลมาให้เลือก ได้เร็วทันใจผู้บริโภคชาวยุโรปกันแค่ไหน ซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไป
————————————————————–
BMW 320d EfficientDynamics Edition
Yet Another Step Ahead
อีกรุ่นหนึ่ง ที่ BMW จะนำเสนอ บนพื้นที่บูธของตน ก็คือ เวอร์ชันปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์
ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ ของ ซีรีส์ 3 รหัสรุ่น E90 โดยจะเปิดตัวในชื่อ BMW 320d EfficientDynamics Edition
ซึ่งได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าอีกขั้นด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยเพียง 24.4 กิโลเมตร/ลิตร และมี
อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำจนกลายเป็นสถิติใหม่ของรถยนต์ กลุ่ม พรีเมียมคอมแพกต์
BMW 320d EfficientDynamics Edition ยังคงใช้เครื่องยนต์ ดีเซล บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด
2.0 ลิตร พร้อมด้วยระบบอัดอากาศเทอร์โบแปรผันและเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมัน Piezo เหมือนใน
BMW 320d รุ่นปัจจุบัน นั่นละ แต่ได้รับการปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และตัวรถได้รับการ
ปรับแต่งให้ลู่ลมยิ่งขึ้น นอกจากนั้นระบบคลัทช์พัฒนาเพิ่มเติมด้วยนวัตกรรม Two-mass flywheel
และ Centrifugal-force pendulum พร้อมด้วยการปรับอัตราทดเกียร์ให้มี Final ratio อัตราทดต่ำพิเศษ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับปรุงดังกล่าวคือ BMW 320d EfficientDynamics Edition มีแรงบิดเพิ่มมากขึ้น
จากเดิมอีก 10 นิวตัน-เมตรเป็น 360 นิวตัน-เมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750-3,000 รอบ/นาที
โดยคงตัวเลขแรงม้าเอาไว้ที่ 163 แรงม้า และคราวนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ภายในเวลาเพียง 8.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ล็อกเอาไว้ตามกฎหมายเยอรมัน)
และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยถึง 24.4 กิโลเมตรต่อลิตรและอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
แค่ 109 กรัมต่อกิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EU)
และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบีเอ็มดับเบิลยูที่ว่า “นวัตกรรมเทคโนโลยี EfficientDynamics
ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมได้รับสิ่งที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม” BMW 320d
EfficientDynamics Edition จะมีราคาเท่ากับ BMW 320d ในรุ่นปกติ เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค
อย่างแท้จริง ส่วนในด้านของการทำตลาด บีเอ็มดับเบิลยูตั้งเป้าหมายการขายในตลาดโซนยุโรป
เช่นเยอรมันนี อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งใช้มาตรฐานน้ำมันระดับ Euro 5 (ดังนั้น อย่าหวังว่า
เวอร์ชันนี้จะมาเปิดตัวที่บ้านเรา ถ้าตราบใดที่น้ำมันดีเซลในบ้านเรา ยังน่าสงสัยในความสะอาด
เช่นทุกวันนี้
ในหลายประเทศในยุโรปซึ่งคิดอัตราภาษีโดยใช้ค่าไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เป็นบรรทัดฐาน
BMW 320d EfficientDynamics Edition ซึ่งมีค่าอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง
109 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งต่ำกว่าค่าเกณฑ์ 110 กรัม/กิโลเมตรที่ใช้เกณฑ์ต่ำที่สุดในอัตราภาษีในปัจจุบัน
ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าภาษีประจำปีสำหรับเจ้าของด้วย
ทั้ง 3 รุ่น ดังกล่าวข้างต้น มีกำหนดจะเปิดตัว บนแท่นหมุน ในบูธ BMW ณ งานแฟรงค์เฟิร์ท
มอเตอร์โชว์ ตั้งแต่ 17 กันยายนนี้ เป็นต้นไป
———————————————–///———————————————-