นับตั้งแต่ PSA Group จรดปลายปากกาเพื่อดูแลธุรกิจรถยนต์ Opel/Vauxhall จากอ้อมอก GM Europe อย่างสมบูรณ์แบบในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 และดูเหมือนว่าบริษัทรถยนต์ฝรั่งเศสกลุ่มนี้กระตือรือร้นที่จะพลิกฟื้นผลกำไรของ Opel/Vauxhall ให้ประสบผลสำเร็จโดยด่วน เหมือนอย่างที่ PSA Group เคยปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นอย่างมาก

ไม่รอช้า PSA Group ก็ได้แถลงแผนปฏิบัติการพลิกฟื้นผลกำไรของ Opel/Vauxhall ให้กลับมาสดใสอย่างรวดเร็วอีกครั้งในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017 โดยเมื่อสรุปรายละเอียดแผนปฏิบัติงานคร่าว ๆ ก็พบว่า PSA Group วางกลยุทธ์การพลิกฟื้นที่พลิกแพลงกว่าแผนการณ์ของบางบริษัทเสียอีก

หัวใจหลักในการพลิกฟื้น Opel/Vauxhall ของ PSA Group คือการอาศัยความรวดเร็วในการพัฒนารถยนต์ Opel/Vauxhall รุ่นใหม่ใหม่โดยใช้พื้นตัวถังร่วมกับ Peugeot, Citroen และ DS และพร้อมเปิดตัวเข้าสู่ตลาดโดยไม่รีรอใครทั้งนั้น

Carlos Tavares ซีอีโอมือดีที่ชุบชีวิต PSA Group ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำงานกับ Renault-Nissan Alliance มาก่อน ได้อธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องพลิกฟื้นผลกำไร Opel/Vauxhall อย่างเร่งด่วนว่า เพราะปัญหาการขาดทุนนั้นมันส่งผลร้ายจนลุกลามไปยังปัญหาพนักงาน, สหภาพแรงงานและบรรดาซัพพลายเออร์ โดยทั้งหมดได้ร่วมกันหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงของ Opel/Vauxhall ที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือการแต่งตั้ง Michael Lohscheller ให้เป็นซีอีโอ Opel Automobile GmbH คนใหม่ซึ่งเขาจะต้องรับหน้าที่สำคัญดังต่อไปนี้

  • ต้องพลิกฟื้นผลกำไรของ Opel/Vauxhall ให้กลับมาได้ภายในปี 2020
  • บรรลุเป้าหมายผลกำไร margin 2% ภายในปี 2020 ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีผลกำไร margin ตามหลัง Volkswagen Group ที่กวาดไปถึง 4% และ PSA Group ที่กวาดกำไร margin สูงถึง 7.3% ภายในปีนี้ แต่ Lohscheller ก็ตั้งเป้าหมายไปไกลกว่านั้นคือจะต้องมีกำไร margin ถึง 6% ภายในปี 2026
  • มีการประเมินจุดคุ้มทุนจากอัตราส่วนยอดขาย 8 แสนคันต่อปี ในปัจจุบัน Opel/Vauxhall มียอดขายมากถึง 984,000 คันแต่ก็ยังขาดทุนอยู่ และปีที่เลวร้ายที่สุดก็คือปี 2013 ที่มียอดขาย 824,000 คัน
  • นำเสนอทางเลือกรถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าภายในปี 2024 ที่รวมไปถึง Opel Corsa EV และ Grandland X Hybrid
  • ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฎิรูปโรงงาน โดยยอมเปิดกว้างเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย ในระหว่างนี้อาจจะมีลดปลดพนักงานออก โดยใช้วิธีการลาออกโดยสมัครใจพร้อมได้รับเงินชดเชย
  • เปิดตัวรถยนต์ Opel/Vauxhall โฉม All NEW บนพื้นตัวถัง CMP สำหรับรถ B-Segment และ EMP2 สำหรับรถ C และ D-Segment ร่วมกับ PSA Group โดยเริ่มจาก All NEW Opel Corsa F ภายในปี 2019 พร้อมทั้งลดจำนวน Platform ลงจาก 10 แบบเหลือมาเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้น ลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 10 แบบเหลือแค่เพียง 4 แบบ แต่ตัวรถยังคงผลิตจากโรงงานเยอรมนี
  • ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเปิดตัวรถยนต์ใหม่รุ่นสำคัญ 1 รุ่น/ปี เมื่อนับจำนวนตามแบบตัวถังก็สรุปได้ว่าจะมีรถใหม่ถึง 9 รุ่นในปี 2020
  • Opel จะรับผิดชอบส่งออกรถยนต์ไปยังกว่า 20 ประเทศภายในปี 2022 รวมถึงประเทศจีนและตะวันออกกลาง

(Opel Grandland X)

ผลลัพธ์จากการดำเนินงานก็จะทำให้ Opel/Vauxhall สามารถประหยัดเงินไปได้ถึง 1,100 ล้านยูโรหรือ 42,000 ล้านบาท จนถึงปี 2020 และจะประหยัดเงินไปได้ถึง 1,700 ล้านยูโรหรือ 65,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าให้ Opel/Vauxhall ลดต้นทุนการผลิตลงฝ่ายละ 700 ล้านยูโรหรือ 27,000 ล้านบาท ภายในปี 2020

การวางสายการผลิตในเบื้องต้นดูเหมือนว่าจะเน้นสายการผลิตจากประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหลัก เพราะฐานการผลิต Vauxhall ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่ายังดำเนินการต่อไปหรือไม่?

โรงงาน Eisenach จะรับผิดชอบขึ้นสายการผลิต SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง EMP2 ภายในปี 2019 และในอนาคตก็จะเตรียมผลิตรถ D-Segment พื้นฐาน EMP2 ที่โรงงานเยอรมนี

ทั้งหมดนี้คือแผนการพลิกฟื้นผลกำไร Opel/Vauxhall อย่างเร่งด่วนชนิดที่คาดไม่ถึง

ที่มา : Autocar