Aston Martin Vanquish Zagato มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีก 2 แบบ หลังเปิดตัวตัวถัง Coupe และ Volante ไปในปีก่อน ในคราวนี้มีสมาชิกใหม่เป็นตัวถัง Shooting Brake และ Speedster เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลาย และยังคงคอนเซปต์ผลิตจำนวนน้อยนิดเช่นเคย
เริ่มต้นกับ Aston Martin Vanquish Zagato Shooting Brake กันก่อน ที่ได้รับการนิยามว่าเป็นรถยนต์ GT ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากกว่าเดิม เนื่องจากยังคงรองรับผู้โดยสารเพียง 2 คน แต่มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระมากขึ้น ด้านหลังได้รับการตกแต่งอย่างประณีต พร้อมกระเป๋าบรรทุกสัมภาระที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ทั้งยังมาพร้อมกับฝาท้ายไฟฟ้า และหลังคาแก้วในส่วนท้ายรถยาวตลอดแนว
ส่วน Aston Martin Vanquish Zagato Speedster มาพร้อมกับหลังคาแบบ Double Bubble ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งของ Aston Martin เองในยุค 1950 ที่ใช้หลังคาในลักษณะนี้เพื่อให้คนขับใส่หมวกกันน็อกได้ ตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เช่นเดียวกับ Vanquish Zagato ตัวถังแบบอื่น ทั้งยังออกแบบกระจังหน้าและช่องดักลมหลังให้ซี่ต่างๆ มีลักษณะเหมือนตัวอักษร Z ที่ซ้อนกันอยู่
ขุมพลังของ Aston Martin Vanquish Zagato ทุกตัวถัง หยิบยืมมาจาก Vanquish S กับเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V12 ขนาด 6.0 ลิตร 5,935 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 11 : 1 ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ Touchtroniclll 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง โดย Vanquish S ตัวถัง Coupe ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 323 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ Zagato Shooting Brake และ Speedsters ล้วนมีตัวถังที่หนักกว่า จึงอาจส่งผลต่อตัวเลขสมรรถนะบ้าง
Aston Martin Vanquish Zagato ในแต่ละตัวถังจะมาพร้อมกับช่วงล่างแบบ Adaptive Damping ที่ปรับแต่งมาแตกต่างกัน โดย Marek Reichman ผู้ดำรงตำแหน่ง chief creative officer ของบริษัทให้เหตุผลที่เพิ่มสมาชิกตัวถังใหม่ในตระกูล Zagato ว่าบริษัทต้องการตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสิ่งที่แตกต่างกันไป ทั้งยังมีลูกค้าบางรายที่ซื้อ Aston Martin Vanquish Zagato ตัวถังละ 1 คันเสียด้วย
Aston Martin Vanquish Zagato ทั้ง 4 ตัวถังผลิตจำนวนจำกัดรวมกันทั้งสิ้น 325 คัน โดยแบ่งเป็นตัวถัง Coupe, Volante และ Shooting Brake ออกเป็นตัวถังละ 99 คัน ส่วนรุ่นที่หายากที่สุดคือ Speedster เพราะผลิตเพียงแค่ 28 คันเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว แม้ว่าราคาค่าตัวจะสูงในระดับ 500,000 – 1,000,000 ปอนด์ (ราว 21,000,000 – 43,927,000 บาท) ก็ตามที
ที่มา: motortrend, autocar