หากใครรักในการขับรถและได้เป็นเจ้าของ Mazda สักครั้งก็คงไม่มีใครจะผิดหวังในด้านสมรรถนะการขับขี่อย่างแน่นอน
(เพียงแต่อย่าไปเทียบกับรถราคาแพงระดับ Lexus) และยิ่งนานวันคุณค่าในด้านงานวิศวกรรมของ Mazda ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น
ด้วยเทคโนโลยี SkyActiv ที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการรถประหยัดน้ำมัน, มีกำลังพอเหมาะ

สำหรับการเปิดตัว Mazda 3 โฉมใหม่งานนี้ Mazda ได้เปลี่ยน Benchmark การขับขี่จาก BMW มาเป็น MX-5 โฉม
แรกรถในสังกัดเดียวกันเพราะมันเป็นรถที่ขับสนุกที่แท้จริงโดยไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้ามาช่วยมากมายเหมือนในวันนี้

alt

David Coleman ผู้จัดการทั่วไป Mazda อเมริกาเหนือได้กล่าวตอนเปิดตัว All New Mazda 3 ในสหรัฐอเมริกาว่า
Mazda ต้องการทำรถให้เป็นรถที่ดีที่สุดโดยใช้ MX-5 เป็น Benchmark ทั้งที่แต่ก่อน Mazda มักจะใช้รถ BMW เป็น
มาตรฐานในการพัฒนาแต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกทาง จึงต้องหันกลับมามอง MX-5

Mazda MX-5 เจเนเรชั่นแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1989 จะถูกใช้เป็น Benchmark ในการปรับจูนสมรรถนะการขับขี่
โดยเฉพาะการบังคับควบคุมและการตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ (เพราะแทบจะไร้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ รวมไปถึง
พวงมาลัยพาวเวอร์ด้วย) เพื่อให้แน่ใจว่าการขับขี่ของ Mazda 3 โฉมใหม่จะมีการตอบสนองแบบกลไกมิใช่ความรู้สึกที่
เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ไฟฟ้า

การปรับแต่งจะทำตั้งแต่พวงมาลัยจนไปถึงช่วงล่างหลังจนมีมุมคาสเตอร์ 6.5 องศาเท่ากับรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลัง
อย่าง Mazda RX-8 และ MX-5 ถือว่าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีมุมคาสเตอร์สูงที่สุด เพื่อหวังให้มีแรงกดจากพื้นถนนส่ง
มาถึงพวงมาลัย เป็นการเน้นหนักทางด้านเทคนิคมากกว่าระบบไฟฟ้าซึ่งจะให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม

อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Mazda 3 สองรุ่นที่ผ่านมาไม่สามารถปรับจูนการขับขี่ได้ดั่งใจนั่นก็คือการใช้พื้นตัวถังร่วมกับ
Ford Focus และ Volvo S40/V50 จึงทำให้ประสิทธิภาพด้านวิศวกรรมช่วงล่างต้องถูกจำกัด

คุณค่างานวิศวกรรมของ All New Mazda 3 ก็มีหลายอย่างที่ถูกพัฒนาขึ้น เริ่มจากน้ำหนักตัวถังที่เบากว่าเดิมถึง 70
กิโลกรัม, ปรับจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง, เพิ่มความแข็งแกร่งต่อการบิดตัวของตัวถัง 30%, ลดระยะโอเวอร์รอบคัน, เนื้อที่ตัวถัง
60% ใช้เหล็กความแข็งแกร่งสูง หรือเพิ่มขึ้น 10% , เสา B และบริเวณกันชนจะใช้เหล็กความแข็งแกร่งสูงพิเศษ

All New Mazda 3 จะมีการปรับจูนช่วงล่างและยางให้เหมาะสมสำหรับพฤติกรรมการขับขี่เป็น 4 โซนด้วยกันได้แก่
อเมริกาเหนือจะเน้นการขับขี่ทุกฤดู, ยุโรปจะเน้นการขับขี่ความเร็วสูง, ญี่ปุ่นจะเน้นการขับขี่ที่สบายในความเร็วต่ำและ
ประหยัด และตลาดอื่นๆ จะเน้นความเฉียบคมของสมรรถนะพร้อมใช้ยางต้านทานการหมุนต่ำ

ที่มา : http://www.goauto.com.au/mellor/mellor.nsf/story2/F752194B4591E269CA257BA900291DA0