BMW เริ่มปูพรมแบรนด์ตนเองให้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตมานานหลายปีแล้ว จุดเริ่มต้นแรกก็คือการกำเนิด BMW i-Series ทั้ง i3 รถยนต์ไฟฟ้าขนาด City Car ที่ในภายหลังได้มีการแนะนำรุ่นขยายระยะทางวิ่งได้ (Range Extended Anxiety) ภายในปี 2013 และ i8 รถสปอร์ตขุมพลัง Plug-in Hybrid ภายในปี 2014 ซึ่งในช่วงแรกของการแนะนำ BMW i-Series นั้น ยังเป็นการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ในภาพรวมไม่ได้เจาะลึกลงไปยังขุมพลังหรือเทคโนโลยีการเชื่อมต่อใหม่ ๆ มากนัก
ลำดับต่อมา BMW ได้เผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ BMW Vision NEXT 100 ที่จะเป็นการบ่งบอกแนวทางการพัฒนารถยนต์ในยุคไม่เกิน 100 ปีข้างหน้า ดีไซน์ตัวรถจะไร้ข้อจำกัดจากงานวิศวกรรมแบบเดิม ๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องเห็นรถ Sedan ที่มีทรงกล่อง 3 เหลี่ยมแบบเดิม ๆ อีกต่อไป พร้อมกันนี้ยังเป็นการบ่งบอกอีกด้วยว่านับจากนี้เป็นต้นไป BMW จะโฟกัสเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยีการเชื่อมต่อซึ่งเป็นหัวใจหลักของรถยนต์ยุคอนาคตพอสมควร
ล่าสุด BMW ก็ได้เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ BMW i Vision Dynamics Concept ที่มาในรูปแบบรถยนต์ Gran Coupe 4 ประตู สุดล้ำสมัยที่มีระยะทางวิ่งไกลสุด 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุไฟฟ้าให้เต็มเพียงครั้งเดียว และที่สำคัญมันยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะการขับขี่ความเร็วสูงสุดมากกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และยังสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 4 วินาทีเท่านั้น
BMW i Vision Dynamics Concept จะเป็นรถยนต์ต้นแบบส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า NUMBER ONE > NEXT ที่จะต้องเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าให้ครบ 25 รุ่นภายในปี 2025
BMW i Vision Dynamics Concept จะเป็นตัวกำหนดความก้าวหน้าแห่งนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในยุคหน้า ซึ่ง Klaus Fröhlich สมาชิกกรรมการบริหาร BMW AG กล้ายืนยันว่า BMW จะแสดงวิสัยทัศน์และพร้อมนำเสนอรถยนต์ต้นแบบแห่งอนาคตที่จะกลายมาเป็นรถยนต์แห่งความจริงเป็นครั้งแรก BMW i Vision Dynamics Concept จะแสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้า BMW ในอนาคตควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
Adrian van Hooydonk รองประธานอาวุโสฝ่ายงานออกแบบ BMW Group Design ระบุว่า BMW i Vision Dynamics Concept จะเป็นการผสมผสานงานดีไซน์ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าให้เข้ากับ แนวคิดค่านิยมหลัก (Core Value) ของ BMW ที่มีทั้งความคล่องแคล่วและความสง่างาม ที่จะสะท้อนไปสู่รถยนต์รุ่นอื่น ๆ รวมถึง BMW i นับต่อจากนี้
การออกแบบของ BMW i Vision Dynamics จะแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการการออกแบบสัดส่วนตัวถังของ BMW อันคลาสสิค ได้แก่ การออกแบบระยะฐานล้อที่ยาว, แนวเส้นสายหลังคาที่ดูลื่นไหลและมีระยะโอเวอร์แฮงค์สั้น มีรายละเอียดการออกแบบที่ดูเสมือนมีพื้นผิวตัวถังและชิ้นส่วนราบเรียบเสมอกัน อาทิ การออกแบบกระจังบังลมหน้าที่มีขอบเสมอกับฝากระโปรงหน้า
จุดเด่นการออกแบบใหม่คือการออกแบบกรอบกระจกประตูที่ดูแหวกและแปลกใหม่ ซึ่งเป็นการนำเอกลักษณ์การออกแบบกรอบกระจกเช่นนี้มาจาก BMW I มาประยุกต์ใหม่ การออกแบบกรอบกระจกประตูหลังให้มีมิติความลาดเอียงเท่ากับกรอบกระจกประตูหน้า ก็ช่วยทำให้เพิ่มทัศนวิสัยให้แก่ผู้โดยสารทุกที่นั่ง โดยที่ยังคงความปราดเปรียวของดีไซน์ภายนอกได้
ในเมื่อ BMW i Vision Dynamics เป็นรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบที่ติดตั้งเทคโนโลยีขับขี่กึ่งอัตโนมัติมาให้ด้วย ดังนั้น BMW จึงจำเป็นต้องออกแบบภายในห้องโดยสารให้มีความปลอดโปร่งมากที่สุดเพื่อเพิ่มความสบายขณะเดินทาง ด้วยการขยายความสูงของห้องโดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงความเป็นอิสระ
ไฮไลต์ของการออกแบบใหม่ในครั้งนี้คือการตีความดีไซน์ด้านหน้า BMW ให้เป็นแบบใหม่ ที่ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องมีกระจังหน้าแล้วก็ตาม แต่ BMW i Vision Dynamics ก็ไม่อาจทอดทิ้งเอกลักษณ์แห่งความเป็น BMW จากอดีตสู่ปัจจุบัน ด้วยการออกแบบชิ้นส่วนสัญลักษณ์ “ไตคู่” ให้กลมกลืนไปกับกันชนหน้าและฝากระโปรงหน้า ภายใต้ชิ้นส่วนสัญลักษณ์ “ไตคู่” ติดตั้งเซนเซอร์ช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยที่จำเป็นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการตีความดีไซน์ไฟหน้า LED ใหม่ที่ลดขนาดลงมา ส่วนดีไซน์บั้นท้ายยังคงออกแบบให้มีเส้นสายแบบแนวนอน แต่มีการออกแบบไฟท้าย L-Shape ใหม่ ขนาดเพรียวบางยิ่งขึ้น
การนำเสนอ BMW i Vision Dynamics ในครั้งนี้ ไม่ได้เน้นรายละเอียดทางเทคนิคอะไรมากนัก แต่กลับเน้นหนักที่รายละเอียดการออกแบบเสียมากกว่า จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านี่คือการพลิกโฉมการออกแบบครั้งสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า BMW ที่จะเป็นการตีความใหม่ไปสู่สิ่งใหม่ โดยที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ BMW ดั้งเดิมเอาไว้ได้
มีความเป็นไปได้สูงมากว่ารถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบคันนี้อาจจะกลายร่างเป็นรถยนต์ในโครงการ iNEXT ที่จะเกิดขึ้นในปี 2021 เป็นต้นไป
ที่มา : Motor1