อาหารญี่ปุ่นในมุมมองของคนไทยถูกจดจำแต่รูปแบบเดิม ๆ ผ่านละครซีรีส์ญี่ปุ่นที่เห็นแต่ชุดเบนโตะ หรือปิ่นโตญี่ปุ่น มีมิโซะซุปแก้ฝืดคอ หันมองทีวี มองหนังสือพิมพ์ก็เจอคำเชิญชวนของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังล้วนแต่นำเสนอข้าว ปั้น ปลาดิบ แม้การ์ตูนพวกมังงะ อนิเมะทั้งหลายมีหลายฉากกินราเม็งเป็นอาจิณ บางเล่มยังรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปกันจนเบื่อเลย หรือถ้าใครสะตุ้งสตางค์น้อยหันไปหาบุฟเฟต์ ชาบู ชาบู กันดีกว่า
แต่ไฉนเลยอาหารญี่ปุ่นแบบกระทะเทปันจึงไม่ค่อยถูกจดจำในแกน สมองคนไทยนัก ทั้ง ๆ ที่น่าจะได้แพร่หลายมากกว่านี้ วิธีการทำก็ไม่ยากเย็นอะไร ลองคิด ๆ ดูก็น่าจะเป็นเพราะยังไม่นายทุนคนไหนบุกเบิกตลาดนี้อย่างจริงจัง ขนาดเจ้าพ่ออาหารญี่ปุ่นเมืองไทย Oishi ยังทำรูปแบบเทปันเป็นแค่ซุ้มอยู่เลยไม่ขยายตัวเหมือนร้าน Oishi Ramen หรือ Buffet
ถ้าอยากลิ้มรสอะไรแปลกใหม่วันนี้เราขอนำเสนอร้านอาหารญี่ปุ่นกระทะร้อนที่คุณจะสนุกกับการทำอาหารไปพร้อม ๆ กัน
พูดแบบนี้แล้ว หลายคนคงจะกลัวว่าไหนจะเสียเงินแล้วยังต้องมานั่งทำเองอีกหรือไร
ความจริงคือมีแค่บางเมนูเท่านั้นที่เราต้องทำเองครับ ไม่ยากเลย ถ้าทำไม่เป็นก็มีบริกรคอยรับใช้คุณครับ
ร้านนี้ชื่อว่า Nanjya Monjya ชั้น 1 โรงแรม The Ascott สาทรใต้เลยอาคารเอ็มไพร์สเตทเล็กน้อยก่อนถึงโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ ไม่ต้องกลัวว่าจะหายากแค่เดินหรือขับรถเข้ามาก็เห็นเลยครับ
ร้านนี้แบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อยตกแต่งสไตล์ Japanese Contemporary เฟอร์นิเจอร์ล้วนทำจากไม้เกือบทั้งหมด บางจุดตกแต่งให้ดูขัดแย้งอย่างจงใจ เช่น บาร์น้ำสีแดงที่ทันสมัย โต๊ะอาหารสีแดง และติดภาพนักร้องชาติตะวันตก เช่น The Beetle ,Elvis ที่ฝาพนังชั้น 2 ผมก็ไม่ทราบสาเหตุถึงต้องตกแต่งแบบนี้นะครับ
เนื่องจากเราพิสูจน์ ความอร่อยราว 1 ทุ่มเศษทำให้บรรยากาศในร้านดูอึมครึมไปเสียหน่อย
หากรับประทานช่วงเย็น ๆ แสงสว่างธรรมชาติจะส่องกระทบในร้านดูปลอดโปร่งกว่าครับ
ผมสอดส่ายสำรวจภายในร้านพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นที่ติดใจรสชาติและราคาที่ คุ้มค่า (สำหรับพวกเขานะ) ทำเลดีที่ตั้งก็ดีหาไม่ยากเลย
โต๊ะชั้นล่างคนเยอะจริงเลยต้องนั่งชั้นบนมีให้เลือกโต๊ะ 2 แบบคือ โต๊ะทรงมาตรฐานและโต๊ะแบบญี่ปุ่นต้องนั่งขัดสมาธิหรือนั่งพับเพียบกิน วันนี้เราเลือกโต๊ะมาตรฐานพร้อมเตาเทปันที่ใหญ่และยาวมากพร้อมช่องกวาดเศษ อาหารและน้ำมันลงไปได้ด้วย เรื่องนี้ถือว่าน่าชมเชยเล็กน้อยเพราะกระทะเทปันบางร้านเป็นแบบปิดตายทำให้ ต้องกองเศษอาหารทิ้งไว้ตามขอบซึ่งทำความสะอาดยากและน่าจะเป็นแหล่งหมักหมมได้ด้วย
หยิบสมุดเมนูมารายการอาหารเยอะแยะไปหมด จะกินอันไหนก่อนดี
ไม่เป็นไรเราจะกินเมนูเด็ดที่สุดที่ทางร้านเคลมว่าเป็น Top of Menu ทีเดียว
เริ่มจาก
เต้าหูอบชีสและไข่ปลาทาระกระทะร้อน
นี่คืออาหารติดดาวประจำมื้อเย็นของเรา ทางร้านเคลมว่าเมนูนี้ลูกค้าชื่นชอบมากและผู้หญิงจะสั่งทานมากที่สุด อาหารหนักแบบนี้นึกว่าผู้ชายจะสั่งแกล้มเบียร์ซะอีก
คุยไปคุยมากลิ่นเตะจมูกพวกเราด้วยชีสร้อนคลุกเคล้าไข่ปลาทาระน่าลิ้มลอง สีสันหน้าตาอย่างที่เห็นครับสีเหลืองแซมสีเข้ม ๆ ผลจากการอบชีสนั่นเอง
ตักชิมคำแรกไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นเต็งหนึ่งของร้าน ความหอมหวานมันเค็มของชีสไข่ปลาทาระคือรสชาติแรกที่คุณจะต้องชอบ ผสมผสานกับชั้นเต้าหู้คุกกรุ่นก็พร้อมจะละลายฟุ้งในปากคุณไม่รู้ลืม
เมนูนี้มันปลุกจิตสำนึกคุณว่าเคยกินแบบนี้ที่ไหนในชีวิตหรือเปล่า
คำตอบของผมไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนนอกจากร้านนี้ครับ
ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านไหนทำเมนูนี้บ้าง
หากอยากลิ้มลองครั้งแรกในชีวิตก็ต้องแลกกับเงิน 280 บาทครับ
ไก่กระเทียมกระทะร้อน
ขึ้นชื่อว่าไก่ทำอะไรมักจะอร่อยครับ เมนูนี้ก็เช่นกันเนื้อไก่ขนาดพอดีคำคลุกเคล้าซอสญี่ปุ่นคลุกกระเทียมซึมเข้า เนื้อพอควร ความอร่อยจัดว่าใช้ได้เลยครับแม้ดูไม่ตื่นตาเท่าเมนูแรกนัก พอผมถามสูตรว่าปรุงอะไรบ้างทางร้านก็ต้องขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พูดครับเพราะ เป็นสูตรเฉพาะสำหรับร้านของเขานั่นเอง คิดค่าเสียหายที่ 200 บาทถ้วน
ภาพนี้คือไก่หมักรสชาติอมเปรี้ยวครับกินกับผักและเครื่องเคียงต่าง ๆ ทางร้านบอกว่าเปรียบเสมือนไส้กรอกอีสานของบ้านเราเชียว ย่างบนกระทะให้ร้อนเสียหน่อยก็ทานได้แล้วครับ รสชาติไม่เลวร้ายเปรี้ยวใช้ได้แต่ไม่เปรี้ยวเท่าไส้กรอกอีสานหรือแหนมเนื้อ ค่อนข้างแข็งไปหน่อยครับ
คุณ ฮิเดกิ คาเนะโกะ กรรมการผู้จัดการร้านนันจา มนจา สาธิตวิธีการกินให้พวกเราดูโดยมีแขกกิตติมศักดิ์มาช่วยกันดู นึกถึงเมี่ยงคำไม่น้อยเลยนะครับ
นี่ก็เป็นเมนูข้างเคียงไว้แกล้ม เหล้าสาเกและเบียร์ ปลาหมึกและหนวดปลาหมึกผัดเนย ผัด ๆ บนกระทะหากต้องการรสเค็มก็ราดซอสญี่ปุ่นที่จัดไว้ให้เลย สนนราคาปลาหมึกจานละ 200 บาท หนวดปลาหมึกจานละ 180 บาทครับ
ถึงเวลาไฮไลต์เด็ดแล้ว
พิซซ่าญี่ปุ่นหรือโอโคโนมิยากินั่นเอง
หน้าตาจะเหมือนพวกพิซซ่าฝรั่งแป้งหนานุ่มขอบชีสขอบไส้กรอกหรือเปล่านะ?
[โอโคโนมิยากิน เสร็จแล้วหน้าตาแบบนี้ครับ]
ขอบอกว่าไม่เหมือนกันครับ โอโคโนมิยากิมีต้นกำเนิดจากโอซาก้า 150 ปีมาแล้วนำรากศัพท์คำว่า โคโนมิที่แปลว่าตามใจชอบเป็นอาหารยอดนิยมกระทันร้อนสไตล์คันไซ ใช้แป้งสาลีละลายน้ำผสมมันบดแล้วใส่เครื่องต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลี ไข่ไก่ หรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ตามชอบคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปวางบนกระทะร้อนให้เป็นรูปวงกลม (หรือจะเป็นรูปทรงอื่นแล้วแต่จะสร้างสรรค์ครับ)
วิธีทำไม่ยากเลย ครับ แค่คลุกส่วนผสมในชามให้เข้ากัน เทลงบนกระทะทำเป็นวงกลมทิ้งไว้ให้สุกด้านละ 10 นาทีนานใช้ได้ทีเดียว คุณฮิเดกิ คาเนโกะ บอกว่าไม่อยากเร่งความร้อนของเตาเดี๋ยวข้างนอกจะไหม้เสียก่อนข้างในจะสุก อีกทั้งให้ลูกค้าสนุกสนานกับการทำพิซซ่าด้วยตนเองเปิดประสบการณ์ให้แก่คนไทย ครับ
เราสั่งพิซซ่าญี่ปุ่นหน้าหมู 2 ชุด ชุดละ 280 บาท และเพิ่มท้อปปิ้งเส้นอุด้ง 60 บาท อยากสั่งท้อปปิ้งอื่น ๆ ก็มีให้เลือกราคาตั้งแต่ 20-120 บาท
งานนี้บริกรต้องสาธิตให้เราดู เพราะไม่มีหน่วยกล้าตายเสี่ยงทำให้กินกลัวหน้าพิซซ่าจะเละเสียก่อน (ฮา) เขาปั้นก้อนพิซซ่าหนาพอสมควรครับหรือใครจะเกลี่ยให้บางลงกว่านี้ก็ได้ครับ ยิ่งบางยิ่งสุกเร็วขึ้นแต่ไม่รับประกันว่าเวลาพลิกกลับจะเละเป็นชิ้นนะครับ
เคล็ดลับให้ได้หน้าพิซซ่าสวยงามคือนำเนื้อหรือท้อปปิ้งลงกระทะให้พอสุกเสียก่อน แล้วค่อยโปะลงบนหน้าพิซซ่า จากนั้นจึงพลิกกลับอีกด้านให้ท้อปปิ้งติดหน้าได้เต็มที่ครับ
ส่วนเส้นอุด้งที่ไม่สามารถแต่งบนหน้าพิซซ่าได้ถนัดถนี่ ก็แค่แทรกกลางระหว่างชั้นเลยครับแบ่งพิซซ่าประกอบสองก้อนดังภาพครับ
พอสุกแล้วจัดการราดซอสโอโคโนมิยากิตามด้วยมายองเนสแก้เลี่ยน โรยปลาแห้งตัวใหญ่ ๆ เมื่อโดนความร้อนก็ค่อย ๆ หดตัวลงและสาหร่ายตามใจชอบ
กัดคำแรกรู้ซึ้งเลยว่าไม่เหมือนพิซซ่าฝรั่งจริง ๆ เนื้อแป้งสาลีผสมมันบดและอุดมด้วยผักนานาชนิดเนื้อแน่นเคี้ยวเพลิน เด็ก ๆ ที่ไม่กินผักน่าจะชอบนะครับเพราะรสชาติไม่น่าเบื่อด้วยหน้าท้อปปิ้งต่าง ๆ ได้สารอาหารครบถ้วน รสชาติถือว่าใช้ได้อร่อยกว่าร้านคิซาฮาชิ ย่านพระราม 4 พอสมควร ผลมาจากการใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าครับ
เมนูกระทะร้อนอีกจานที่ต้องลิ้มลองคือ
มนจะยากิวัตถุดิบคล้ายกับโอโคโนมิยากิน แต่ใช้น้ำละลายแป้งสาลีมากกว่า ไม่มีมันบด เด่นที่การผสมเครื่องปรุงรส เช่น เทซอสลงในน้ำซุป(ทาเนะ)เลย เนื่องจากทาเนะจะมีน้ำผสมอยู่มาก เวลารับประทานจึงรู้สึกกรอบนอกนุ่มใน วิธีทานจะใช้พายเล็ก ๆ ตักลากจากกระทะเลย
ประวัติสั้น ๆ ที่เล่าสืบกันมา คือที่เทราโกยะ (เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนหนังสือที่บ้านในสมัยเอโดะ) จะทอดแป้งสาลีทำเป็นรูปตัวอักษร (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โมะจิ) ให้เด็ก ๆ รับประทานเพื่อให้จำตัวอักษรได้ จึงเป็นที่มาของมนจายากินี่เอง
เราสั่งมนจะยากิหน้าไข่ปลาทาระกับโมจิราคา 360 บาทอยากเพิ่มท้อปปิ้งต่าง ๆ ราคาตั้งแต่ 20-120 บาท วิธีทำไม่ยากครับแค่นำส่วนผสมในชามยกเว้นน้ำซุปผัดลงกระทะให้พอสุกจนแห้ง จากนั้นใช้พายเกลี่ยเป็นหลุมวงกลมแล้วจึงเทน้ำซุปไว้ตรงกลางผัดให้เข้ากัน แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ จะโรยปลาป่นหรือสาหร่ายก็ตามใจท่านครับ
รสชาติน้ำซุปที่ใช้ผัดถือว่าอร่อยมีรสเค็มอมเปรี้ยวหวานเล็กน้อย ส่วนผสมที่ให้ก็หั่นละเอียดเหลือชิ้นนิดเดียวทำให้เคี้ยวง่ายย่อยง่าย ความหอมของไข่ปลาทาระเมื่อโดนความร้อนฟุ้งเตะจมูกและหอมในปากอีกด้วย เมนูนี้เหมาะสำหรับเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่ชอบทานผักแน่นอน
หากไม่อยู่ท้องก็ต้องสั่งข้าวญี่ปุ่นผัดผักดองรสชาติแปลกจากข้าวผัดกระเทียมแบบเดิม ๆ พอสมควรอยากให้ลองมาสั่งกินควบคู่ครับน่าจะทำให้เจริญอาหารยิ่งกว่าเดิม
หรืออยากสั่งข้าวปั้นรับประทานทางร้านก็จัดให้ครับด้วยข้าวปั้นหน้าปลาไหลแข็งนอกนุ่มใน
อีกอันหนึ่งหน้าตาธรรมดา ๆ แต่ถือเป็นไฮไลต์ข้าวปั้นเด็ดมันมีชื่อว่า นันจะโรล แซมเนื้อมะม่วงเอาไว้ด้วย คุณคาเนโกะเปิดเผยว่าได้แรงบันดาลใจจากอาหารฟิลิปปินส์ที่ผสมมะม่วงเพื่อให้ รสหวานที่เข้ากับของคาวเป็นอย่างดี สิบคำพูดไม่เท่าหนึ่งคำชิมว่าแล้วต้องลองซะหน่อย รสชาติฉีกแนวอาหารญี่ปุ่นมาในสไตล์อาเซียนเลยนะครับ ทั้งรสหวานสุด ๆ จากมะม่วงผสมกับสาหร่าย ไข่ปลา กุ้ง วาซาบิรสจัดจ้าน เข้ากันดีกว่าที่คิดมากครับ
อิ่มปากอิ่มท้องมากพอแล้วต้องหาของหวานมาเคลียร์ปากก่อนกลับบ้าน
นั่นคือ เต้าหู้นมสดผลไม้ รสชาติหอมนมเนื้อแน่นและเบา ยิ่งกัดกับเนื้อผลไม้ก็ยิ่งเพลินใจครับ
ของหวานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปิดท้ายสวยงามครับ
หากใครอยากรับประทานอาหารญี่ปุ่นเทปันแท้ ๆ เน้นกิน เน้นรสชาติ เน้นสังสรรค์นอกออฟฟิซ ไม่เน้นบรรยากาศเบาสบาย อยากให้คุณลองแวะสัมผัสที่ร้านนันจะมนจะแห่งนี้ครับ
ใครที่อยากลิ้มลองแต่กลัวกำลังทรัพย์ไม่ถึงเราจึงขอเสนอโปรโมชั่นเด่น ๆ ประจำร้านครับ
หากคุณทานพิซซ่าญี่ปุ่น โอโคโนมิยากิหรือมนจะยากิ วันเสาร์ อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ เลือกรับอีก 1 เมนูให้เลือกได้แก่ โอโคโนมิยากิ,มนจะยากิ,โยโชะกุยากิ,ทงเปยากิ และ เนกิยากิ ฟรี และมอบส่วนลดเบียร์สด Asahi หรือเครื่องดื่ม 50% ถือว่าคุ้มค่าเอามาก ๆ ครับ
หากสะดวกเฉพาะค่ำวันจันทร์-ศุกร์ก็มีส่วนลด โยโชะกุยากิ,ทงเปยากิ และ เนกิยากิ จาก 200 บาท เหลือ 90 บาทเท่านั้น
สำหรับ คอเบียร์ทั้งหลายก็มีซื้อ 1 แถม 1 สำหรับเบียร์สด Asahi ,เหล้าโชชู และคอกเทล หรือซื้อเหล้าโชชูและสาเกแบบขวดลด 20-50% เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์เท่านั้นครับ
เห็นโปรโมชั่นเย้ายวนใจแบบนี้คงไม่รอช้าใช่ไหมครับ
ร้านเปิดทุกวัน 2 รอบครับ
รอบแรกตั้งแต่ 11.30 น. ถึง บ่าย 2 โมงครึ่ง
รอบเย็นตั้งแต่ 17.30 น. ถึงเที่ยงคืน
โทรสั่งจองที่นั่งเบอร์ 02-676-7190-1
ใครที่อ่านภาษาญี่ปุ่นได้ลองเข้าเว็บไซต์ http://www.nanjya.net/ เพื่อไปดูรูปและบรรยากาศอื่น ๆได้เลยครับ