NEW Nissan Leaf ได้เปิดตัวทายาทรุ่นที่ 2 (2nd Generation) เมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา ในประเทศญี่ปุ่น และ เผยข้อมูลพร้อมกับสหรัฐอเมริกาในเวลาเดียวกัน เพื่อมาสืบทอดความสำเร็จของรุ่นแรก ที่มียอดสะสมกว่า 283,000 คันทั่วโลก
“LEAF” แปลว่า ใบไม้ ขณะเดียวกัน ก็ย่อมาจากแนวคิดพื้นฐานที่ทีมวิศวกรของ Nissan กำหนดไว้ว่าจะต้องเป็น
- Leading
- Environmentally friendly
- Affordable,
- Family car
หรือ ก็คือ รถยนต์ครอบครัว ที่เป็นผู้นำทั้งในด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งต้องมีราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้
Dimension มิติตัวถัง ของ NEW Nissan Leaf (เทียบเท่ารถ C-Segment Hatchback)
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,480 x 1,790 x 1,560 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ (Wheelbase) : 2,700 มิลลิเมตร
- ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน : cd = 0.28
- ที่เก็บสัมภาระ ขนาด 435 ลิตร
เทียบกับ Nissan LEAF รุ่นเดิม
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,445 x 1,770 x 1,550 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ (Wheelbase) : 2,700 มิลลิเมตร
การออกแบบภายนอกของ NEW Nissan Leaf ได้แรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ต้นแบบ IDS Concept Car ที่เปิดตัวไปในปี 2015 ตกแต่งด้วยสีนำ้เงินอันเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำมาใช้ตกแต่งกระจังหน้าและกันชนหลังด้านล่าง ผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของค่าย Nissan คือ
- กระจังหน้าแบบ V-Motion
- โคมไฟรูปทรงบูมเมอแรง
- หลังคาแบบ Floating Roof
สปอยเลอร์หลังดูกลืนไปกับฝาท้ายอย่างแนบเนียน ซึ่งเมือผนวกเข้ากับฝากระโปรงหน้าที่เตี้ยและรับกับกระจกหน้า NEW Nissan Leaf จึงมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ดี กันชนหลังพร้อมดิฟฟิวเซอร์ พร้อมล้อที่ออกแบบมาโดยเฉพาะมีส่วนช่วยเช่นกัน สำหรับอุปกรณ์ภายนอกมีดังนี้
- ไฟหน้าเป็นแบบ Projector คู่พร้อม Direct-lens low and high เป็นครั้งแรกในรถยนต์ Nissan
- ไฟท้าย LED แบบ Comnination Lamp
- ล้อเหล็กขนาด 16 นิ้ว/ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ในส่วนของสีตัวถัง NEW Nissan Leaf มีให้เลือกทั้งสีแบบ Mono-tone และ Two-tone
- สีขาว Brilliant White Pearl
- สีขาว Brilliant White Pearl / หลังคาสีน้ำเงิน Aurora Flare Blue Pearl
- สีขาว Brilliant White Pearl / หลังคาสีดำ Super Black
- สีดำ Super Black
- สีดำ Super Black / หลังคาสีเทา Dark Metal Grey
- สีส้ม Tangerine Orange
- สีเหลือง Sunlight Yellow
- สีฟ้า China Blue
- สีเขียวอ่อน Spring Light Green
- สีเทา Dark Metal Gray
- สีน้ำเงิน Aurora Flare Blue Pearl
- สีแดง Radiant Tread
- สีเงิน Brilliant Silver
ภายในของ NEW Nissan Leaf ได้รับการออกแบบภายใต้ design language แบบ Gliding Wing ที่เน้นความเรียบง่าย ใช้งานสะดวกและให้ความผ่อนคลาย ตกแต่งด้วยด้ายสีน้ำเงินบริเวณเบาะ, แผงประตู, ที่วางแขน และพวงมาลัย พร้อมปุ่ม push start สีน้ำเงินเพื่อบ่งบอกตัวตนความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
โทนสีการตกแต่งหลักเป็นสีดำ ตัดด้วยสีเทาบริเวณเบาะ, แผงประตู, แดชบอร์ดส่วนกลาง และที่วางแขน ทั้งยังใช้สีเทาดำบริเวณแดชบอร์ดส่วนบน – ส่วนล่าง, กรอบเรือนไมล์ โทนสีทั้งหมดช่วยให้ห้องโดยสารดูโปร่ง ก่อนปิดท้ายด้วยการใช้วัสดุหนังแท้และโครเมี่ยมแบบด้านรอบห้องโดยสารที่ให้สัมผัสที่ดีขึ้น
การเอื้อมมือไปปรับส่วนควบคุมต่างๆ ของคนขับไม่ว่าจะเป็นปุ่มกดหรือที่วางแก้วน้ำแบบคู่ล้วนเข้าถึงง่ายขึ้น การเก็บเสียงทำได้ดีกว่าเดิมเช่นกัน เนื่องจากการออกแบบภายนอกที่ช่วยรีดลมได้มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าให้มีเสียงน้อยลง ในส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ มีดังนี้
- มาตรวัดแบบเข็มพร้อมหน้าจอแสดงผล MID แสดงข้อมูลของตัวรถ
- หน้าจอระบบสัมผัส Touchscreen เป็นแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ทำหน้าที่เป็นเครื่องเสียง, ระบบนำทาง, แสดงผลการทำงานของระบบความปลอดภัย และแสดงผลสถานะการใช้ไฟในแบตเตอรี่
- ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ควบคุมได้จากพวงมาลัย
- ระบบ NissanConnect ไว้ใช้ในการหาที่ตั้งและเวลาทำการของสถานีชาร์จไฟฟรี
- ช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลต์ พร้อมช่อง USB
- ระบบ Wireless Remote Charging
- ระบบสั่งให้เครื่องปรับอากาศทำงานจากนอกรถยนต์ผ่านมือถือ
NEW Nissan Leaf ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ปล่อย CO2 0g./km. (Zero Emission)
NEW Nissan Leaf มีพละกำลังมากกว่ารุ่นเดิมถึง 38 แรงม้า 66 นิวตันเมตร โดย Leaf รุ่นแรกมีพละกำลังอยู่ 109 แรงม้า 254 นิวตันเมตร แบตเตอรี่เป็นแบบ Advanced Lithium-ion (Li-ion) ขนาด 40 kWh มีขนาดมิติเทียบเท่ากับของ Nissan Leaf รุ่นก่อนหน้า แต่มีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้สามารถจุไฟได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 67%
ระยะทางที่ NEW Nissan Leaf วิ่งได้สูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน JC08 ประเทศญี่ปุ่น ) หรือ 240 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EPA ประเทศสหรัฐฯ) หรือ 378 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานฝั่ง Europe)
การชาร์จสามารถตรวจสอบสถานะได้ผ่าน application ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งยังมีการออกแบบเบ้ารับสายชาร์จมาให้ทำมุม 45 องศา เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะมีส่วนสูงเท่าใดก็ตาม สำหรับเวลาที่ใช้ในการชาร์จขึ้นอยู่กับประเภทการชาร์จดังนี้
- ชาร์จปกติ 3 kW onboard Charger ใช้เวลา 16 ชั่วโมง
- ชาร์จปกติ 6 kW onboard Charger ใช้เวลา 8 ชั่วโมง
- ชาร์จด่วน Quick Charging ใช้เวลา 40 นาที (ชาร์จ 80%)
Platform ของ NEW Nissan Leaf ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยมีการติดตั้งแบตเตอรี่เอาไว้กึ่งกลางของโครงสร้างเพื่อลดอาการโคลง ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างหลังมีการเปลี่ยนบูชช่วงล่างหลังไปใช้แบบยูรีเทน เพื่อช่วยลดการกระแทกเวลาขับขี่ไปบนถนนพื้นผิวขรุขระ
การเข้าโค้งทำได้ดีมากขึ้นด้วยการปรับปรุง software ของพวงมาลัยไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ตรวจจับองศาการหักพวงมาลัย ตัว torsion bar steering ยังได้รับการปรับให้แข็งขึ้นอีก 10% ปิดท้ายด้วยระบบ Intelligent Ride Control ที่ควบคุมแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าระหว่างการเข้าโค้ง
เทคโนโลยีอื่นๆ ที่น่าสนใจใน NEW Nissan Leaf คือแป้น e-Pedal ที่สามารถเร่ง และเบรกได้ในแป้นเดียว ผู้ใช้งาน e-Pedal สามารถเริ่มใช้งานอย่างง่ายดาย เพียงกดปุ่ม e-Pedal ที่อยู่บริเวณฐานเกียร์เพื่อให้ระบบทำงาน จากนั้นทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเท้าขวา ดังนี้
- เหยียบคันเร่งตามปกติ เพื่อเร่งความเร็ว
- ผ่อนคันเร่งโดยที่ไม่ได้ยกขาออกจากคันเร่ง เพื่อลดความเร็ว
- ถอนเท้าออกจากคันเร่งทั้งหมด เพื่อหยุดรถยนต์ ซึ่งวิธีนี้สามารถหยุดรถได้ทั้งระหว่างติดไฟแดง และบนทางลาดชัน
- หากต้องการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง สามารถทำได้ด้วยการเหยียบคันเร่งอีกครั้ง
ทั้งนี้ แป้นเบรกแบบปกติที่เราคุ้นชินกัน ยังคงติดตั้งมาให้ในรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ให้คนขับใช้ลดความเร็วได้ตามปกติ หรือใช้เบรกในกรณีฉุกเฉินระหว่างที่ใช้ e-Pedal อยู่
NEW Nissan Leaf ยังมีระบบช่วยขับขี่ “กึ่ง” อัตโนมัติสำหรับวิ่งเลนเดียว ProPILOT ช่วยควบคุมการขับขี่อัตโนมัติทั้งพวงมาลัย, การเร่ง และการเบรกสำหรับการขับขี่ทางไกล โดยประมวลผลจากกล้องด้านหน้ารถหากเปิดระบบ ProPILOT ทิ้งไว้ ระบบจะช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า และสามารถขับขี่อัตโนมัติด้วยความเร็วที่ผู้ขับขี่ตั้งไว้ระหว่าง 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบจะรักษาตำแหน่งของรถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และสามารถเข้าโค้งให้อัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังช่วยเบรกอัตโนมัติตั้งแต่ชะลอความเร็วจนถึงหยุดรถนิ่งสนิท พร้อมระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ ProPILOT Park : ระบบจะช่วยค้นหาที่จอดรถและจะถอยหลังจอดให้เองอัตโนมัติ
ระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ติดตั้งมาใน NEW Nissan LEAF ยังมี
- ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจร พร้อมช่วยปรับกลับเข้าช่องเดิม Intelligent Lane Intervention
- ระบบแจ้งเตือนออกนอกเส้นจราจร Lane Departure Warning
- ระบบเบรกอัตโนมัติ Intelligent Emergency Braking
- ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจร Blind Spot Warning
- ระบบตรวจจับเวลาถอยออกจากมุมอับ Rear Cross Traffic Alert
- กล้องรอบคันพร้อมตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ Intelligent Around View Monitor
NEW Nissan Leaf พร้อมออกขายที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2017 เป็นต้นไปเป็นที่แรกของโลก และ มีกำหนดการขายในสหรัฐฯ แคนาดา และยุโรปในช่วงต้นปี 2018 ทั้งยังมีแผนที่จะออกจำหน่ายใน 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ดังที่เราได้รายงานไปแล้วด้วย (อ่านข่าว Nissan ประเทศไทย ประกาศเตรียมนำ NEW LEAF รถยนต์ไฟฟ้า EV มาขายในไทย รวมถึง Note e-Power ! ได้ที่นี่)
สำหรับราคาจำหน่ายในแต่ละประเทศ ที่ได้รับการเปิดเผยแล้ว มีดังนี้
ญี่ปุ่น JAPAN
- ราคา 3,150,360 – 3,990,600 เยน (ประมาณ 958,000 – 1,214,000 บาท)
สหรัฐอเมริกา USA
- ราคาเริ่มต้นที่ 29,990 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 994,000 บาท)
ซึ่งราคานี้ถือว่าถูกลงกว่า Nissan Leaf รุ่นเดิมอยู่ 690 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 22,000 บาท)
ราคาของ NEW LEAF ในประเทศไทย ต้องรอติดตามชมกันว่า เมื่อถึงเวลาที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Nissan ประเทศไทย จะวางราคาของ LEAF ได้ดีขนาดไหน ภายใต้ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า EV 2%, ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และ อาจจะมีภาษีอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีก เมื่อส่งแผนการลงทุนให้ BOI และได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไขนี้ >> “คลัง” ประกาศลดภาษีสรรพสามิตลงครึ่งหนึ่ง สำหรับ รถยนต์ Hybrid / Plug-in และ EV เสียแค่ 2%
ที่มา : nissan