ชื่อของ VL Destino อาจไม่คุ้นหูนักเล่นรถชาวไทยเท่าไหร่นัก เพราะเป็นรถยนต์ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีมานี้ แต่แหวกแนว
ด้วยการใช้ตัวถังของ Fisker Karma และทำการถอดเครื่องเคราขุมพลังไฟฟ้าทิ้ง และนำเครื่องยนต์เบนซินทรงพลังจาก GM
ติดตั้งเข้าไปแทน จนเรียกเสียงฮือฮาในฐานะรถยนต์พรีเมี่ยมซีดานขนาดโต พร้อมความทรงพลังในระดับ 550 แรงม้า ที่จะ
มาประกบ Porsche Panamera และ Aston Martin Rapide
แต่ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้ เมื่อ Fisker มีสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงทุกวัน จนเข้าใกล้สถานะล้มละลายเข้าไปทุกที จนเกิด
ความสงสัยว่า VL Destino ที่ใช้ตัวถังของ Karma จะยังคงได้ทำตลาดจริงหรือไม่ และจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไรในอนาคต
ความสงสัยเหล่านั้นได้ถูกคลี่คลายจนหมดสิ้นในวันนี้ เพราะ Gilbert Villarreal หัวเรือใหญ่ของรถยนต์ VL Destino ได้
ออกมาแถลงว่า ในขณะนี้บริษัทได้ผลิต VL Destino เสร็จเรียบร้อยแล้วถึง 20 คัน และในอนาคตอันใกล้นี้ ก็ยังสามารถ
สั่งซื้อ Karma มาใช้ผลิตเป็น VL Destino จากดีลเลอร์ Fisker ในสหรัฐอเมริกาได้อยู่
อีกทั้งหาก Fisker ต้องเข้าสภาพล้มละลายจริง ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะทางบริษัทสามารถติดต่อกับบรรดาซัพพลายเออร์
ที่ผลิตชิ้นส่วนให้กับ Fisker Karma ให้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นเพื่อนำมาผลิต VL Destino ได้ต่อไป
นอกจากนี้ Bob Lutz พาร์ทเนอร์ร่วมในบริษัท VL ก็ได้ให้ข้อมูลว่า ผู้ใช้ Fisker Karma หลายร้อยคนได้ติดต่อเข้ามายัง
บริษัท เพื่อแสดงความสนใจในการเปลี่ยนรถยนต์ของตนให้กลายเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินปกติ หลังจากหวั่นใจว่า
หาก Fisker ต้องล้มละลายไป จะขาดการดูแลรถยนต์ของตนไปนั่นเอง ซึ่ง Lutz ให้ข้อมูลคร่าวๆว่า การนำเอา Karma มา
เปลี่ยนให้ใช้ขุมพลังเดียวกันกับ VL Destino ต้องใช้งบสูงถึง 90,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.7 ล้านบาทเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม VL Destino เป็นรถยนต์ที่หยิบเอาเครื่องยนต์เบนซิน พร้อมซูเปอร์ชาร์จ แบบ V8 ขนาด 6.2 ลิตร 556 แรงม้ส
จาก Cadillac CTS-V มาใช้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นโปรโตไทป์ที่เป็นการใช้ขุมพลัง LS9 ของ Chevy Corvette ZR1
โดยเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Lutz อธิบายว่า เป็นเพราะขุมพลัง LS9 ไม่รองรับการส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ อันเป็น
ระบบเกียร์ที่กลุ่มลูกค้าของ VL Destino ต้องการมากที่สุด จึงทำให้ต้องหันมาใช้ขุมพลังที่แรงน้อยกว่าที่ติดตั้งใน CTS-V แทนนั่นเอง
ที่มา : Worldcarfans