ในช่วงต้นยุค 2000 การใส่ยาง Run-flat หรือยางพร้อมโครงสร้างแก้มยางหนากว่าปกติ ถูกติดตั้งในรถยนต์ใหม่
จากโรงงานเยอะมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะต้องการลดปัญหายางแบนให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ และช่วยลดการ
บรรจุยางอะไหล่ในรถยนต์ใหม่ๆไปได้
แต่ผลการสำรวจล่าสุดจาก J.D. Power and Associates กลับชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้รถยนต์ที่ใส่ยาง Run-flat
ต้องเปลี่ยนยางบ่อยกว่ายางรถยนต์แบบธรรมดาเสียอีก โดยผู้ที่ซื้อรถยนต์พร้อมยาง Run-flat ระหว่างปี
2011-2012 กว่า 30% ต้องเปลี่ยนยางเส้นใดเส้นหนึ่งของรถยนต์ตัวเองไปเรียบร้อย ในขณะที่ผู้ใช้รถยนต์
พร้อมยางแบบปกติที่ซื้อในช่วงเวลาเดียวกัน มีเพียง 19% เท่านั้นที่ต้องทำการเปลี่ยนยางไป
การสำรวจนี้ ทำขึ้นโดยการสำรวจจากเจ้าของรถยนต์กว่า 30,000 คน ที่ซื้อรถยนต์ใหม่ในช่วงปี 2011-2012
ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนยางมาก่อนตั้งแต่ซื้อรถ โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้เจ้าของรถยนต์เหล่านี้ต้องทำการเปลี่ยนยาง
คือ การขับทับวัตถุแหลมคม การขับบนพื้นถนนชำรุด เสียงยางที่ดังเกินไป ยางรั่วซึมอย่างช้าๆ และดอกยางหมดไว
นอกจากนี้ J.D. Power and Associates ยังทำการสำรวจความพึงพอใจในการใช้ยางรถยนต์ติดจากโรงงาน
ของรถยนต์กลุ่มนี้ โดยพบว่าผู้ใช้รถยนต์ระดับหรูพึงพอใจกับการใช้ยางรถยนต์แบบปกติมากกว่ายาง Run-flat
(739 ต่อ 728 คะแนน) เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ถูกใจกับยางแบบธรรมดามากกว่า (732 ต่อ
665 คะแนน)
ท้ายที่สุดแล้ว ยาง Run-flat ช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์สะดวกสบายขึ้นจริงหรือ? อีกทั้งยังมีราคาต่อเส้นที่สูงกว่ายางปกติ
แล้วคุณๆที่ใช้รถยนต์พร้อมยาง Run-flat อยู่ มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
ที่มา : Worldcarfans