Big3 แห่งค่ายรถยักษ์ใหญ่อเมริกาเดินหน้าปฏิรูปธุรกิจเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลกำไรดำเนินงานอย่างยั่งยืนในอนาคต จนถึงขั้นต้องยุติการทำตลาดรถยนต์ในหลายประเทศ/ภูมิภาคอย่างน่าเสียดาย ค่ายรถยนต์ที่กล้าลงมือผ่าตัดอย่างจริงก็คือ GM ที่ยอมถอนตัวออกจากธุรกิจรถยนต์ในยุโรปทั้งหมดและรวมไปถึงตลาดรถยนต์ที่ GM มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยมากจนมองไม่เห็นอนาคต
ล่าสุด Ford Motor ได้ประกาศตัดสินใจย้ายฐานการผลิต All NEW Ford Focus ไปยังประเทศจีนทั้งหมด พลิกแผนจากเดิมที่จะต้องผลิตยังโรงงาน Hermosillo ประเทศเม็กซิโก สาเหตุสำคัญเนื่องจาก Ford ต้องการลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด (ส่วน Focus ST และ Focus RS จะยังคงผลิตในเยอรมนีต่อไป)
อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Ford ต้องย้ายฐานการผลิต All NEW Focus ไปยังประเทศจีนก็เพราะยอดขายรถยนต์นั่งขนาดเล็ก, รถยนต์ซีดาน/แฮทช์แบคประหยัดน้ำมันที่ยังมีการผลิตในสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่วูบลง
โรงงานมิชิแกน สหรัฐอเมริกายังคงทำหน้าที่ผลิต Ford Focus รุ่นปัจจุบันไปจนถึงช่วงกลางปี 2018 แต่ขณะเดียวกัน All NEW Ford Focus จะยังไม่เริ่มผลิตในจีนจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2019 ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่า Ford น่าจะเปิดตัว All NEW Focus ในช่วงปี 2018 นี้
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2017 เป็นต้นไปบรรดาดีลเลอร์ Ford ทั่วสหรัฐอเมริกามีสต็อกคงค้าง 37,400 คันที่ใช้เวลาในการปล่อยรถให้หมดจากสต๊อกภายใน 54 วันหรือประมาณเกือบ 2 เดือน ในขณะที่ยอดขายสะสม Ford Focus ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้กลับทำได้แค่เพียง 67,146 คัน ซึ่งสวนทางกับยอดสต็อก
ดังนั้น นักวิเคราะห์หลายคนจึงมองว่าหากมีการปรับปรุงสายการผลิตเพื่อผลิตรถยนต์ที่มีความต้องการจริง ๆ ไม่กี่รุ่นในสหรัฐอเมริกาอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า
ผลดีของการตัดสินใจย้ายฐานการผลิต All NEW Ford Focus ไปยังประเทศจีนก็ช่วยให้ Ford Motor ลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์ และสามารถประหยัดเงินได้อีก 500 ล้านดอลลาร์เมื่อมีการยกเลิกไลน์การผลิตในประเทศเม็กซิโก ที่ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการผลิตและขนส่งรถยนต์จากจีนไปยังสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ถูกกว่ารถที่ผลิตจากเม็กซิโกก็ตาม แต่เงินที่ใช้ลงทุนปรับปรุงเครื่องมือการผลิตจากโรงงานจีนเพียงโรงเดียวจะประหยัดกว่านำเงินไปลงทุนปรับปรุงโรงงานในอเมริกาเหนือถึง 2 แห่ง
Ford ไม่ใช่ค่ายรถยนต์รายแรกที่กล้านำเข้ารถที่ผลิตจากจีนมาจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา GM ก็เคยนำเข้า Buick Envision และ Cadillac CT6 Plug-in Hybrid จากจีนมาแล้ว หรือแม้กระทั่ง Volvo ส่งออกจากจีนไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
Hinrichs กล้าพูดได้เลยว่าพวกเขามีการศึกษาวิจัยมามากก็พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่แคร์เรื่องคุณภาพและคุณค่าของสินค้ามากกว่าสนใจว่ามันผลิตจากไหน ยกตัวอย่าง iPhone ก็ผลิตจากจีน แต่ไม่มีใครสนใจว่ามันมาจากไหน
ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของ Ford ในยุคปัจจุบันก็ว่าได้
ที่มา : Automotive News