ปรากฏการณ์ความสำเร็จของ Toyota C-HR ถือเป็นเหตุการณ์น่าจดจำพอสมควร เพราะแม้ Toyota เพิ่งเปิดตัวรถครอสโอเวอร์ตามหลังคู่แข่งหลายก้าว แต่ Toyota ก็สามารถช่วงชิงความสำเร็จได้ด้วยตัวรถที่แตกต่างจากคู่แข่ง นั่นคือ การผสมผสานการออกแบบ Funky Design, ขนาดตัวถังที่คาบเกี่ยวระหว่าง B-Crossover และ C-Crossover ขนาดกำลังพอดี, ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C แบบใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยืนยันว่ามีวิวัฒนาการด้านการขับขี่ที่ดีเยี่ยม จน Toyota C-HR สามารถครองบัลลลังก์ยอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในเดือนเมษายนปี 2017 มาแล้ว

ล่าสุด Toyota C-HR ก็มียอดขายสูงถึง 31,888 คันในยุโรปช่วงไตรมาส 1 ของปี 2017 ถือว่าสูงมากถ้าเทียบกับยอดขายของคู่แข่งเอสยูวี/ครอสโอเวอร์ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2017 ในยุโรป ได้แก่ Nissan Qashqai 75,114 คัน, Ford Kuga 40,033 คัน, Peugeot 3008 37,163 คัน, Renault Kadjar 29,474 คันและ Seat Ateca 21,707 คัน

เบื้องต้น Toyota คาดหวังว่าจะขาย C-HR ได้ถึง 100,000 คันต่อปีในยุโรปซึ่ง Toyota ได้มอบหมายให้โรงงาน Sakarya ประเทศตุรกีเป็นผู้รับผิดชอบการผลิตในภูมิภาคยุโรปทั้งหมด

ดูจากรูปการณ์แล้ว Toyota C-HR อาจมียอดขายในปีนี้ทะลุ 100,000 คัน และน่าจะทำได้ถึง 110,000 คันเลยด้วยซ้ำเพราะ Toyota  C-HR มียอดจองทั่วภูมิภาคยุโรปรวมกันกว่า 80,000 คันแล้ว!! ซึ่งเป็นยอดจองสะสมระหว่างเปิดตัวจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2017

ลูกค้าชาวยุโรปที่สั่งจอง Toyota C-HR จะต้องรอกันไม่ต่ำกว่า 2 เดือนก็อาจทำให้ลูกค้าบางคนหงุดหงิดใจบ้างซึ่ง Matthew Harrison รองประธานฝ่ายขายและการตลาด Toyota Motors Europe ก็ยืนยันว่า Toyota กำลังจัดสรรทรัพยากรการผลิตที่ช่วยร่นระยะเวลาการรอคอยของลูกค้าลง

Harrison เปิดเผยว่า อันที่จริงแล้ว Toyota ก็รู้ดีว่า C-HR จะกลายเป็นรถขายดีมีความต้องการของลูกค้ามากกว่ากำลังการผลิตล่วงหน้าถึง 12 เดือนแล้ว เนื่องจากผู้คนเริ่มมองเห็นแนวทางการออกแบบจนถึงการออกแบบขั้นสุดท้าย, การดำเนินงานและการวางราคา ประกอบกับตลาดครอสโอเวอร์อยู่ในช่วงขาขึ้นด้วย

กลุ่มเป้าหมายของ Toyota C-HR คือการจับตลาดคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรถครอสโอเวอร์ที่มีบั้นท้ายแบบรถคูเป้ที่มีการออกแบบที่ฉีกแนวจากรถยนต์ทั่วไป แตกต่างจากกลุ่มลูกค้า Toyota ในยุโรปที่มีอายุเฉลี่ย 56-57 ปี ถือเป็นกลุ่มอายุเฉลี่ยลูกค้าสูงกว่าค่ามาตรฐานการสำรวจในอุตสาหกรรมยานยนต์

ขณะเดียวกัน Toyota ก็พัฒนา C-HR ให้มีความทนทาน, มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้กับสมกับเป็นแบรนด์ Toyota ที่ลูกค้าเชื่อมั่นตลอดมา และหวังช่วยดึงกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถด้วยตรรกะหรือเหตุผลเหล่านั้นให้มาซื้อรถที่มีดีไซน์แหวกแนวคันนี้ด้วย

ปรากฏการณ์ความสำเร็จที่น่าจดจำของ Toyota C-HR อีกด้านคือ ลูกค้าชาวยุโรปร้อยละ 80 เลือกขุมพลัง Hybrid เนื่องจาก Toyota C-HR ไม่มีเครื่องยนต์ดีเซลจำหน่าย ในบางตลาดอย่างประเทศอิสราเอล, ตุรกีและรัสเซีย ลูกค้าเลือกซื้อขุมพลัง Hybrid ในอัตราส่วนถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

การมาของ Toyota C-HR จะเป็นการตอกย้ำให้ Toyota ครองความเป็น “เจ้าตลาดแบรนด์รถยนต์เอเชีย” ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 4.5% ในยุโรปต่อไป

 

ที่มา : Automotive News

 


 

ข้อมูลของ Toyota C-HR เบื้องต้น

มิติตัวรถ Dimension
Length ยาว : 4,360 มิลลิเมตร
Width กว้าง : 1,795 มิลลิเมตร
Height สูง : 1,565 มิลลิเมตร

ระยะฐานล้อ Wheelbase : 2,640 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance : 155 มิลลิเมตร
(อ้างอิงจากสเป็คญี่ปุ่น)

Engine เครื่องยนต์ (ในตลาดโลกมีให้เลือกทั้ง 2.0 NA, 1.8 Hybrid, 1.2 Turbo)

2.0 NA

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 1,987 ซีซี. VVT Valvematic ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ เกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หน้า

1.8 Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง Atkinson cycle 16 วาล์ว VVT-i ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ Ni-MH รวมพละกำลังจากทั้งเครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ แบบ CVT

1.2 ลิตร Turbo

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 8NR-FTS DOHC 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว Direct Injection D4 VVT-iw (intake)VVT-i (exhaust) ขนาด 1.2 ลิตร 1,197 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 185 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

ส่วนความคืบหน้า Toyota C-HR ในไทย เท่าที่เช็คข่าวล่าสุด ยังมีกำหนดการเหมือนเดิม คือ ประกอบในประเทศ และ จะเปิดตัวในบ้านเราช่วงต้นปี 2018 ทั้งนี้อาจจะมีการโชว์ตัวก่อนในช่วงปลายปี 2017

เหตุที่ช้าเนื่องจากต้องมีการปรับเปลี่ยนไลน์ประกอบใหม่ เนื่องจาก Toyota C-HR จะใช้พื้นฐานตัวรถ หรือ Platform พัฒนาขึ้นใหม่ Toyota New Global Architecture (TNGA) ที่ไม่อ้างอิงกับรถรุ่นใดเลยที่มีอยู่ในไทยตอนนี้ หลังจาก C-HR เปิดตัวต้นปี ก็จะเป็นคิวของพี่ใหญ่ All new Camry ตามมาในช่วงครึ่งปีหลัง 2018 หากมีข้อมูลอัพเดตเพิ่มเติมใดๆเราจะรายงานให้ทราบกันเรื่อยๆครับ