หาก Dodge Challenger Hellcat ยังแรงไม่สาแก่ใจ เห็นที Dodge Challenger SRT Demon
จะเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการ Drag เนื่องจากรถยนต์คันนี้ไม่ได้มี
เพียงการตกแต่งพิเศษที่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมีการปรับปรุงงานวิศวกรรมทั้งหมด จนทำสถิติ
ด้วยการเป็นรถโรงงาน “เดิมๆ” ที่แข่ง Drag ได้ด้วยเวลา 9.65 วินาที พร้อมความเร็วเข้าเส้นที่
225 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ความเปลี่ยนแปลงหลักๆของ Dodge Challenger SRT Demon อยู่ที่เครื่องยนต์และการรีด
น้ำหนัก แต่เราจะมาเริ่มต้นกับภายนอกกันก่อน ซึ่งแตกต่างจากรุ่นปกติที่โป่งล้อขนาดใหญ่
รอบคัน, สกู๊ปฝากระโปรงขนาด 45.2 นิ้วซึ่งใหญ่ที่สุดในรถยนต์ Production และล้อขนาด
18 นิ้วกว้าง 11 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 315/40 จาก Nitto รุ่น NT05R Drag Radial ที่ออกแบบ
มาโดยเฉพาะ
Dodge Challenger SRT Demon มีสีสันให้เลือกด้วยกัน 14 เฉดสี ประกอบไปด้วย B5 Blue,
Billet Silver, Destroyer Grey, F8 Green, Go Mango, Granite Crystal, Indigo Blue,
Maximum Steel, Octane Red, Pitch Black, Plum Crazy, TorRed, White Knuckle
และ Yellow Jacket ทุกเฉดสีสามารถสั่งพ่นสีฝากระโปรงหน้า-หลัง และหลังคาด้วยสีดำ
Satin Black ให้ตัดกับสีตัวถังได้
ภายในของ Dodge Challenger SRT Demon อาจจะดูโล่งตาเสียหน่อย เพราะเหลือเบาะคนขับ
อยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากทางผู้ผลิตให้ความสำคัญกับการรีดน้ำหนักมาก จนนำไปสู่การ
ถอดข้าวของที่ไม่จำเป็นทิ้ง ส่วนสิ่งที่เหลืออยู่คือพวงมาลัยท้ายตัด SRT Performance หุ้มด้วย
วัสดุ Alcantara, Paddle Shift และหน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 7 นิ้วพร้อมมาตรวัดความเร็ว
320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การตกแต่งห้องโดยสารจะเน้นใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมปักตรา Demon และรหัส Serial
Number รอบคัน ทั้งนี้ลูกค้าที่คิดว่าอาจจะต้องใช้ Dodge Challenger SRT Demon ไปใน
ชีวิตจริงบ้างในบางโอกาส สามารถติดตั้งเบาะผู้โดยสารหน้า, เบาะหลัง รวมไปถึงพรมในพื้นที่
บรรทุกสัมภาระ เพิ่มได้ในราคามิตรภาพเพียงชิ้นละ 1 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (ราว 34 บาท)
สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ถูกออกไปนั้นสามารถติดตั้งได้เช่นกัน แต่ราคาจะไม่พิเศษเท่าอุปกรณ์
ทั้งหมดนี้ และเมื่อเทียบน้ำหนักแล้วพบว่า Dodge Challenger SRT Demon น้ำหนักตัวเบา
ลงมากกว่า 200 ปอนด์ (ราว 91 กิโลกรัม) เมื่อเทียบกับ Dodge Challenger รุ่นปกติ
น้ำหนักตัวที่หายไปเป็นผลมาจากการถอดเบาะทั้งหมด, ถอดเครื่องเสียงพร้อมลำโพง 16 ตัว
และสายไฟ, ถอดพรมรอบคันรวมไปถึงในท้ายรถและยางอะไหล่, ถอดวัสดุซับเสียงรอบคัน,
เปลี่ยนไปใช้ล้อ + น็อตล้อน้ำหนักเบา พร้อมคาลิปเปอร์เบรกทำจากอลูมิเนียม, เปลี่ยนไปใช้
พวงมาลัยปรับระดับได้แบบ Manual และถอดเซนเซอร์ถอยหลัง พร้อมกล่องควบคุมทิ้ง
ขุมพลังของ Dodge Challenger SRT Demon เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 6.2 ลิตร Supercharger
ที่ผ่านการเปลี่ยนไส้ในทั้งตัวรวม 25 ชิ้นไปใช้แบบที่ “เหนียวขึ้น” เพิ่มขนาด Supercharger พร้อม
ปรับ Boost ไปที่ 14.5 PSI และยังขยับ Redline ไปไว้ที่ 6,500 รอบ/นาที ก่อนปิดท้ายด้วย ปั๊มน้ำมัน
แบบ Two-Dual Stage
พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 852 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 106.45 กก-ม. (1,043 นิวตันเมตร)
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่เปลี่ยนไส้ในและ Torque Converter มาแล้ว ลง
ล้อคู่หลัง
Dodge Challenger SRT Demon ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 2.3 วินาที
ทั้งยังเป็นรถยนต์ Production คันแรกที่ครองสถิติหลายรายการ ทั้งทำเวลา Drag ด้วยตัวเลข
9.65 วินาที, ยกล้อหน้าตอนออกตัวเป็นระยะทางไกลสุด 0.89 เมตร, สร้างแรง G ตอนออกตัว
1.8 G, มีสกู๊ปฝากระโปรงหน้าเดิมใหญ่ที่สุด, ใส่ยาง Drag จากโรงงาน และเติมน้ำมันออกเทน
100 ได้
ช่วงล่างของ Dodge Challenger SRT Demon เป็นของ Blistein แบบปรับได้ ผ่านการปรับแต่ง
ไว้ใช้ในการแข่ง Drag โดยเฉพาะ ให้น้ำหนักตกมาที่ช่วงล่างหลังมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อ
การออกตัวที่ดีกว่า อีกจุดเด่นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Muscle Car คันนี้คือ Drag Mode ที่จะปิดระบบ
ป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control ทิ้ง แต่ยังเปิดระบบควบคุมการทรงตัว Electronic Stability
Control เอาไว้
นอกจากนี้ Dodge Challenger SRT Demon ยังมี Eco Mode ที่จะปรับการเปลี่ยนเกียร์ และออกตัว
ด้วยเกียร์ 2 เพื่อช่วยให้ประหยัดน้ำมันและยังมี Valet Mode สำหรับใช้ในกรณีที่ต้องส่งรถยนต์คันนี้
ให้คนรถรับไปดูแลต่อ โดยระบบจะลดแรงบิดลง, จำกัดไม่ให้ใช้รอบเครื่องยนต์สูงเกิน 4,000 รอบ/นาที
รวมไปถึง ใช้ระบบช่วยออกตัว Launch Control และ Paddle Shift ไม่ได้ ซึ่งระบบจะเปิด-ปิด ได้
ด้วยการใส่รหัส 4 ตัว ตามที่ผู้ใช้งานตั้ง
Dodge Challenger SRT Demon ผลิตจำนวนจำกัดโดยสงวนไว้ให้ตลาดสหรัฐฯ จำนวน 3,000 คัน
และอีก 300 คันสำหรับตลาดแคนาดา กำหนดการผลิตจะเริ่มต้นหลังเดือนมิถุนายนปีนี้เป็นต้นไป ที่
โรงงาน Brampton ในประเทศแคนาดา ก่อนจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่เดือนกันยายน ทุกคันจะมีประกัน
คุณภาพ 3 ปีหรือ 36,000 ไมล์ (ราว 57,000 กิโลเมตร) และประกันเครื่องยนต์อีก 5 ปีหรือ 60,000
ไมล์ (ราว 96,000 กิโลเมตร)
ที่มา: media.fca