กรุงเทพฯ – 23 พฤศจิกายน 2555 – กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ พร้อมด้วยสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย สำนักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน และสถาบันยานยนต์ ประกาศความสำเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการผลิตมากกว่า 2 ล้านคันต่อปีเป็นครั้งแรก
เพิ่มความมั่นใจนักลงทุน พร้อมตั้งเป้าการผลิต 3 ล้านคันในปี 2560
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ โดยกระทรวง-
อุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อให้เกิด
การพัฒนาแบบบูรณาการอย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้แก่ประเทศไทย
เป็นอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การจ้างงานและการพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์
และอุตสาหกรรมต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมและเอื้อต่อการลงทุน ผลักดันให้เกิดการสร้างฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนจากนักลงทุนทั่วโลก
เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาใหม่ๆ ตามกระแสโลกาภิวัตน์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดของการเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมโดยรวม ให้มีความสมดุลอันเป็นฐานรากในการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วย
แรงสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนที่ร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
ทั้งระบบ โดยภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย และภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเพื่อเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล จนประสบความสำเร็จในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ 1 ใน 10 ของโลก
“ปี 2555 นับว่าเป็นปีทองของอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถผลิตได้มากกว่า 2 ล้านคัน และมียอดการส่งออก
ยานยนต์ทั้งระบบรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท
เป็นอันดับหนึ่งของการส่งออก โดยมีโปรดักส์แชมเปี้ยน คือ รถปิกอัพ และอีโคคาร์ รวมถึงการส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ไปยังทั่วโลก
จากแนวโน้มดังกล่าว อุตสาหกรรมยานยนต์มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าการผลิตมากกว่า 3 ล้านคันในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน” โดยอุตสาหกรรมยานยนต์
ไทยวางรากฐานในประเทศมาเป็นระยะเวลานานกว่า 50 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้
เอื้อประโยชน์ให้กับประเทศไทยทั้งทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี
ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อม