ในที่สุด Range Rover ก็ได้ตัดสายสะดือตระกูลเอสยูวีรุ่นที่ 4 ของแบรนด์ในนาม
‘Velar’ แทรกกลางระหว่าง Range Rover Evoque และ Range Rover Sport
โดย Velar จะยกระดับความหรูหรา, ความสง่างามและความสามารถในการบุกตะลุย
ทางออฟโรดในกลุ่มรถยนต์เอสยูวี Premium Mid-Size
Gerry McGovern ประธานฝ่ายการออกแบบ Jagaur Land Rover กล่าวว่า Range
Rover Velar มันคือ Range Rover ในเวอร์ชัน avant-garde นำพามิติใหม่แห่งความ
งดงาม, ทันสมัยและความสง่างามให้แก่แบรนด์
ดีไซน์คือจุดขายสำคัญสำหรับ Range Rover Velar ที่เปิดมิติใหม่เพื่อเรียกลูกค้ากลุ่มใหม่
เน้นสัดส่วนตัวถังสมดุลที่ประกบกับล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ใส่ใจต่อการออกแบบทรวดทรงตัวถัง
ด้วยความยาวฐานล้อถึง 2,874 มิลลิเมตรก็ช่วยทำให้ตัวรถดูเป็นรถที่ใหญ่ยาวและให้ความรู้สึกว่า
ห้องโดยสารกว้างขวาง มีเนื้อที่ห้องสัมภาระมากมาย
ระยะโอเวอร์แฮงค์หน้าสั้นมาก ติดตั้งไฟหน้าที่ผอมบาง Full LED แล้วไปเพิ่มโอเวอร์แฮงค์ท้าย
ให้ตัวรถดูมีน้ำหนักมากขึ้น แนวฝากระโปรงหน้าที่ค่อนข้างขนานกับพื้นถนน, ระยะของเสาหลังคา
A ถูกร่นไปด้านหลัง, แนวหลังคาดูลื่นไหลด้วยการออกแบบ Floating Roof
พิเศษสุดมือจับประตูแบบกระดกออกที่ซ่อนฝังเนียนกับพื้นผิวบานประตู ถือเป็นการติดตั้งลงใน
Range Rover ครั้งแรก
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้รองรับผู้โดยสารนั่งสบายทุกที่นั่ง ใส่ใจการเข้า-ออกห้องโดยสาร
ดีไซน์เน้นความเรียบง่ายแต่ก็ล้ำสมัยด้วยหน้าจอสัมผัส InControl Touch Pro Duo ขนาด
10 นิ้ว ที่รองรับฟังก์ชันระบบการขับขี่ Terrain Response® แทนที่จะเป็นปุ่มกดแบบเดิม ๆ
แต่ก็น่าแปลกเล็กน้อยที่มาตรวัดแสดงผลยังเป็นการผลมผสานระหว่างอนาล็อกกับหน้าจอ
MID 5 นิ้ว พร้อมพวงมาลัยที่ติดตั้งปุ่มกดควบคุมแบบสัมผัส
ระบบช่วยผู้ขับขี่มาเต็มพิกัดด้วยระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Autonomous Emergency
Braking (AEB) ที่ทำงานด้วยกล้องสเตอริโอ, ระบบเตือนการขับขี่ให้อยู่ภายในเลน Lane
Departure Warning (LDW) สามารถสั่งเตือนผ่านพวงมาลัยทำงานพร้อมกับระบบช่วยปรับ
พวงมาลัยให้ขับขี่ตรงในเลน Lane Keep Assist (LKA)
ระบบตรวจจับสภาวะของผู้ขับขี่จะนำข้อมูลจากการบังคับพวงมาลัย, คันเร่งและเบรก แล้วนำมา
วิเคราะห์ข้อมูลเลนขับขี่และทิศทางการบังคับของผู้ขับขี่ ถ้าหากประมวลผลออกมาพบว่าผู้ขับขี่
ไม่อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะขับขี่ได้ก็จะขึ้นสัญลักษณ์ถ้วยกาแฟที่แผงมาตรวัดเพื่อเตือนว่าให้ผู้ขับขี่
พักเสียก่อน
นอกจากนี้ยังมีระบบอ่านป้ายจราจรด้วยกล้องสเตอริโอสามารถจับป้ายจำกัดความเร็ว แล้วแสดง
ผ่านหน้าจอแสดงผลหรือมาตรวัดต่าง ๆ , ระบบช่วยเตือนจุดอันตรายขณะถอยจอด, ระบบ
Adaptive Cruise Control ที่สามารถหยุดรถเองอัตโนมัติหากรถคันข้างหน้าหยุดและพร้อม
restart ได้อีกครั้งหากรถคันหน้าขยับ, ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 360 องศา ช่วยจอดในทุกที่ได้
ระบบช่วยลากจูงล้ำสมัยที่ช่วยสามารถคำนวณระยะการหมุนพวงมาลัยขณะถอยจอดหากมี
ยานพาหนะลากจูง ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องกะพวงมาลัยแบบเดาสุ่ม
จุดขายสำคัญอีกประการคือพื้นตัวถังอลูมิเนียมใหม่ล่าสุดที่รองรับการขับขี่ด้วยความสบาย
, คล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพทุกบนถนนและทุกสภาวะอากาศ ช่วงล่างหน้าแบบดับเบิลวิชโบน
ที่ถูกออกแบบตามหลักการของรถสปอร์ตมีความมั่นคงสูงที่ช่วยให้ มีส่วนประกอบของวัสดุอลูมิเนียม
เพื่อลดน้ำหนัก คอนโทรลอาร์มส่วนล่างทำจากโลหะที่เพิ่มช่วยความทนทานขณะลุย
ช่วงล่างหลังแบบลิงค์ที่ถูกออกแบบให้มีการขับขี่ที่มั่นคงและการบังคับที่เฉียบคม แม้เป็นช่วงล่าง
ที่ดูมีความซับซ้อนแต่ก็ถูกออกแบบให้ใช้เนื้อที่อย่างมีประสิทธิภาพ ลดส่วนเกินที่จะมาย่างกราย
เข้าห้องสัมภาระ
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ V6 จะติดตั้งช่วงล่างถุงลมเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่สามารถช่วยยกระดับ
ตัวรถให้สูงจากพื้นรถสูงสุด 241 มิลลิเมตร หากขับขี่ด้วยความเร็วมากกว่า 105 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงจะมีการปรับความสูงตัวรถลง 10 มิลลิเมตร เพื่อลดอาการต้านอากาศ ช่วยเพิ่มความ
ประหยัดน้ำมัน และหากดับเครื่องยนต์ก็จะลดความสูงตัวรถลง 40 มิลลิเมตรเพื่อให้เข้าออก
ตัวรถอย่างสะดวก
หากขับขี่ในโหมดออฟโรดก็จะปรับความสูงเพิ่มขึ้น 46 มิลลิเมตร ขับขี่ภายใต้ความเร็วไม่เกิน
50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อเทียบกับโหมดปกติก็จะสูงขึ้นเป็น 251 มิลลิเมตร และจะลดต่ำลงอีก
18 มิลลิเมตร เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วระหว่าง 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบ Adaptive Dynamics ที่ตรวจจับการทำงานของการเคลื่อนไหวของล้อ 500 ครั้งต่อวินาที
และตัวรถ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อส่งค่าแปรผันดังกล่าวไปยังแดมเปอร์ทั้งสี่ล้อให้ปรับตัวตามสภาวะ
ขุมพลัง Ingenium บล็อก 4 สูบที่เด็ดที่ให้กำลังสูงสุดในรอบเครื่องยนต์ต่ำ มอบอัตราเร่งฉับไว
ตามใจสั่ง มีให้เลือกแบบดีเซล 1.8 ลิตร ให้กำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตรด้วย
รอบต่ำเพียงแค่ 1,750 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.9 วินาที
เครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 247 แรงม้า แรงบิด 364 นิวตันเมตรที่
1,200 – 4,500 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.7 วินาที
รุ่นบนสุด V6 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ 380 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตันเมตร
ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทุกเครื่องจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะจาก ZF
สำหรับลูกค้าชาวอเมริกันจะเตรียมสัมผัสได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนลูกค้าชาวยุโรปจะได้เห็นรถ
คันจริงที่งาน Geneva Motorshow 2017 นี้
ที่มา : Motor1