บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุกตลาดรถหรูส่งท้ายปี เปิดตัวยนตรกรรมใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ The new CLS Shooting Brake ต้นแบบของยานยนต์
รูปลักษณ์ใหม่แบบไร้ขีดจำกัดที่เปี่ยมไปด้วยดีไซน์อันน่าหลงใหล และยังคงความหรูหรา ปราดเปรียวเข้าไว้ด้วยกัน CLS 250 CDI ความเหนือระดับในสไตล์สปอร์ตคูเป้ 4 ประตูที่
ผสานรวมกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว E 300 BlueTEC HYBRID ครั้งแรกในไทยสำหรับรถยนต์พรีเมี่ยมเครื่องยนต์ไฮบริดดีเซลที่สะอาดและประหยัดมากที่สุด
ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปัจจุบันการคัดสรรยนตรกรรมนอกจากจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับ
ความต้องการของตลาดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ อีกทั้งยังต้องสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เราจึงได้นำเสนอยนตรกรรม
หลากหลายรุ่นที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น The new CLS Shooting Brake ยนตรกรรมที่สะท้อน
ความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่มีดีไซน์อันน่าหลงใหล ซึ่งสามารถผสานคุณสมบัติการใช้งานได้อย่างลงตัว CLS 250 CDI รถยนต์คูเป้ 4 ประตูโฉมใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้ดู
ปราดเปรียว โฉบเฉี่ยวมากขึ้น และ E 300 BlueTEC HYBRID ครั้งแรกในประเทศไทยกับยานยนต์หรูที่ประหยัดพลังงานมากที่สุดซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดดีเซลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
The new CLS Shooting Brake – ยนตรกรรมรูปลักษณ์ใหม่ ด้วยดีไซน์อันน่าหลงใหล
Mercedes-Benz CLS Shooting Brake ยนตรกรรมโฉมใหม่ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแบบแถวเรียง 4 สูบ ความจุกระบอกสูบ 2,143 ซีซี ขุมพลัง 150 กิโลวัตต์
(204 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–1,800 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.
ถ่ายทอดผ่านกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles)
โดยพวงมาลัยเป็นแบบระบบไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยระบบ Electromechanical ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและช่วยให้การบังคับพวงมาลัยคล่องตัวมากขึ้นเหมาะกับทุกการขับขี่บนท้องถนน
นอกจากนั้นยังทำงานร่วมกับระบบช่วยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Park Assist) พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stop
The new CLS Shooting Brake เป็นยนตรกรรมที่สร้างปฐมบทใหม่ให้แก่วงการยานยนต์ ด้วยนวัตกรรมการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ล้ำสมัย ไม่เหมือนใคร ตอกย้ำความเป็นผู้นำ
ด้านการออกแบบ ด้วยลายเส้นที่โค้งมนตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า โครงกระจกด้านข้างแบบไร้ขอบ ไปจนถึงหลังคาที่ลาดลงต่อเนื่องจรดด้านท้ายของตัวรถ และที่สร้างจุดเด่นสำคัญให้แก่รถคันนี้คือ
ดีไซน์ในแบบสปอร์ต 5 ประตู ซึ่งมีด้านท้ายที่กว้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยห้องเก็บสัมภาระที่มีความจุตั้งแต่ 590 จนถึง 1,550 ลิตร เหมาะกับผู้ที่ต้องการทั้งความสปอร์ต แต่ยังคงมีพื้นที่
วางสัมภาระเมื่อต้องการเดินทางอย่างมีสไตล์
ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ LED High Performance ประสิทธิภาพสูง ซึ่งผสมผสานกับเทคโนโลยี LED พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้ารถอัจฉริยะ และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน
แบบ LED ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอกย้ำรูปลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ดูเด่นสะดุดตาในยามค่ำคืน และเพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนภายในยังคงความหรูหรา
สง่างาม สมบูรณ์แบบดุจงานฝีมือด้วยนวัตกรรมสุดล้ำสมัยในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายในโดดเด่นด้วยพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่ได้รับการออกแบบไว้อย่างมีสไตล์ ประณีตและหรูหรา
และยังสามารถเพิ่มสไตล์การตกแต่งอีกระดับเป็นออพชั่น ด้วยพื้นไม้ซึ่งหรูหรา สวยงาม ด้วยลายไม้แบบ American Cherry และลายไม้โอ๊คพร้อมรางอะลูมิเนียม นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น
EASY-PACK-Quickfold ที่ช่วยในการพับพนักพิงเบาะด้านหลัง เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระให้มากยิ่งขึ้น และฟังก์ชั่นเปิด-ปิดบานประตูท้ายด้วยระบบไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
สำหรับภายในห้องโดยสารมีเบาะนั่งแบบ 5 ที่นั่งพร้อมพนักพิงศีรษะปรับระดับได้ คู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints และสามารถเลือกวัสดุตกแต่งลายไม้ได้ถึง 3 แบบ ได้แก่
ลายไม้ black ash wood หรือ brown burr walnut หรือ light brown poplar นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online เพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้
ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่
Mercedes-Benz The new CLS Shooting Brake โฉมใหม่นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยต่างๆ ตลอดจนอุปกรณ์แบบครบครันที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้ขับขี่และ
ผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุดไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น PRE-SAFE ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้าง
สำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า และม่านถุงลมนิรภัย สำหรับผู้โดยสารทั้ง 4ตำแหน่ง ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลกโปรแกรมควบคุม
การทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถรักษาทิศทางและการทรงตัวของรถได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์คับขัน ระบบช่วยเบรก
BAS (Brake Assist) ที่จะทำงานร่วมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock braking system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวและการยึดเกาะถนนให้อยู่ในระดับสูงสุด ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise Control)
และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
สำหรับต้นกำเนิดของชื่อ Shooting Brake นั้นเป็นชื่อในสมัยก่อนที่ใช้เรียกรถลากที่ใช้ม้าช่วยลากจูง มีโครงสร้างน้ำหนักเบาและสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อใช้บรรทุกอุปกรณ์ล่าสัตว์
ซึ่งรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์และมี Shooting Brake นี้ เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศอังกฤษช่วงปีทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยเป็นรถยนต์สไตล์สปอร์ตแบบ 2 ประตูที่ผสมผสาน
ความหรูหราในสไตล์คูเป้และมีพื้นที่วางสัมภาระและกระโปรงท้ายที่กว้างขวาง
The new CLS Shooting Brake มีชุดแต่งให้เลือกถึง 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
The new CLS 250 CDI Shooting Brake Exclusive ราคา 4,990,000 บาท
The new CLS 250 CDI Shooting Brake AMG Premium ราคา 5,390,000 บาท พร้อมชุดแต่งแบบสปอร์ต AMG (กันชนหน้า กันชนหลัง และสเกิร์ตข้าง), พวงมาลัย 3 ก้าน
แบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง nappa, กระจังหน้าเสริมโครเมียม พร้อมสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์, เบาะนั่ง หมอนรองศีรษะ ที่วางแขนข้างประตู และคอนโซลกลางตกแต่งด้วยการเดินด้าย
สีอ่อนตัดกับสีเบาะ, แป้นเบรกและคันเร่งแบบสปอร์ต, ช่วงล่างแบบสปอร์ต, ปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงสี่เหลี่ยมคางหมู 2 ท่อ ซ้าย-ขวา และ พรมสีดำ พร้อมสัญลักษณ์ AMG ซึ่งมา
พร้อมกับอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับรุ่น Premium ได้แก่
– กล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง
– ถุงลมนิรภัยเพิ่มเติมซ้าย-ขวาสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
– ซันรูฟหลังคาแบบกระจก เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
– ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารที่เลือกปรับได้ 3 สี
– ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO
– ล้ออัลลอย AMG ขนาด 19 นิ้ว
CLS 250 CDI – ความเหนือระดับในสไตล์สปอร์ตคูเป้ 4 ประตู
เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 250 CDI ยนตรกรรมคูเป้สไตล์สปอร์ต 4 ประตูที่ได้รับการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในใหม่หมดจด ด้านหน้าได้รับการออกแบบเป็นพิเศษให้
ปราดเปรียวยิ่งขึ้น พร้อมกระจังหน้ารูปตัว V-shaped ลายเส้นนูนโค้งเว้า ดูมีมิติและสวย สะดุดตา ไฟหน้าเป็นแบบ LED High Performance พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้าแบบอัจฉริยะ
ด้านท้ายโค้งมนให้ความสปอร์ต พร้อมไฟท้ายแบบ LED ประสิทธิภาพสูง พร้อมด้วยระบบมัลติมิเดีย COMAND Online ซึ่งสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยสะดวก มาพร้อมกับ
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2,143 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–1,800 รอบ/นาที
อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 242 กม./ชม. พละกำลังทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS)
อันทรงประสิทธิภาพ
โดย CLS 250 CDI AMG ตกแต่งด้วยชุดแต่งแบบสปอร์ต AMG ทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็นแบบ AMG Dynamic และ AMG Premium โดยชุดตกแต่งแบบสปอร์ต AMG
ประกอบไปด้วย ชุดแต่ง AMG กันชนหน้า กันชนหลัง และสเกิร์ตข้าง, พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง nappa, กระจังหน้าเสริมโครเมียม พร้อมสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์,
เบาะนั่ง หมอนรองศีรษะ ที่วางแขนข้างประตู และคอนโซลกลางตกแต่งด้วยการเดินด้ายสีอ่อนตัดกับ สีเบาะ, แป้นเบรกและคันเร่งแบบสปอร์ต, ช่วงล่างแบบสปอร์ต, ปลายท่อไอเสีย
โครเมียมทรงสี่เหลี่ยมคางหมู 2 ท่อ ซ้าย-ขวา และพรมสีดำ พร้อมสัญลักษณ์ AMG ได้แก่
CLS 250 CDI AMG Dynamic ราคา 4,990,000 บาท
CLS 250 CDI AMG Premium ราคา 5,290,000 บาท ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับรุ่น Premium ได้แก่
– กล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง
– ถุงลมนิรภัยเพิ่มเติมซ้าย-ขวาสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
– ซันรูฟหลังคาแบบกระจก เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
– ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารที่เลือกปรับได้ 3 สี
– ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO
– ล้ออัลลอย AMG ขนาด 19 นิ้ว
E 300 BlueTEC HYBRID – ครั้งแรกในไทยสำหรับรถยนต์พรีเมี่ยมเครื่องยนต์ไฮบริดดีเซลที่สะอาดและประหยัดมากที่สุด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E 300 BlueTEC HYBRID เป็นยนตรกรรมหรูประหยัดพลังงานมากที่สุดในโลก และเป็นครั้งแรกของรถยนต์หรูที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริด
ซึ่งเทคโนโลยี BlueTEC HYBRID ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง การออกสตาร์ทที่เงียบ
และช่วยลดการสันดาปของเครื่องยนต์ พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stop ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงให้พละกำลังเช่นเดิม โดยองค์ประกอบต่างๆ ของระบบไฮบริด
เช่น ระบบไฟฟ้าในห้องเครื่องยนต์สามารถผสานรวมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในได้โดยตรง ซึ่งนับเป็นจุดเด่นที่ทำให้รถยนต์ไฮบริดสามารถผลิตบนสายการผลิตเดิมได้
โดย E 300 BlueTEC HYBRID มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2,143 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีกำลัง 20 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 242 กม./ชม.
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 4.2-4.3 ลิตร/100 กม. (23.2-23.8 กม./ ลิตร) และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 109 กรัม/กม.โดยพละกำลังถูกถ่ายทอดผ่าน
เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-อิออนขนาด 120 โวลต์ โดยที่รูปลักษณ์ภายในและภายนอกยังคงสร้างความประทับใจด้วย
การมอบความสะดวกสบาย ความหรูหรา ความปลอดภัย และพื้นที่ใช้สอยเช่นเดิม
ดร. เพาฟเลอร์ กล่าวสรุปว่า “การนำรถโมเดลใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทย บริษัทฯ จะคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับโครงสร้างของประเทศ รวมทั้งมีการเตรียมพร้อมทีมช่างเทคนิค
ให้มีทักษะความรู้ ความเชี่ยวชาญในรายละเอียดผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนเครื่องมือและอุปกรณ์เฉพาะทางจากกลุ่มบริษัทเดมเลอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันพฤติกรรม
การเลือกซื้อรถยนต์ที่มาจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกค้าเล็งเห็นถึงความสำคัญเรื่องข้อได้เปรียบสำคัญที่จะได้รับจากการซื้อจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยตรง
นั่นก็คือ “ความคุ้มค่า” ตลอดอายุการใช้งานในระยะยาว และความได้เปรียบในเรื่องราคาขายต่อเมื่อเทียบกับคู่แข่ง นอกจากนั้นลูกค้ายังให้ความไว้วางใจในการบริการหลังการขายที่
ได้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทางและสิทธิพิเศษ Star Assist โปรแกรมพิเศษที่พร้อมให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลูกค้าจะได้รับ
ประสบการณ์เหล่านี้โดยตรงจากโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ 30 แห่งทั่วประเทศ”