พี่เขียด จักรพันธ์ ปัณยารชุน
พี่ชายคนหนึ่ง ที่คุ้นเคยกันมานาน
เคยสอนผมไว้ว่า
“คนเราเนี่ย ตื่นเช้าขึ้นมา ให้ตั้งมั่นและตั้งใจกับสิ่งที่ตนกำลังจะทำในวันนั้น
แต่ เมื่อเสร็จสิ้นเข้าสู่ช่วงท้ายของวัน ก่อนเข้านอน นั่นคือช่วงเวลาที่ดี
สำหรับการสำรวจตัวเอง ว่าเจออะไรมาบ้าง ทำอะไรผิดพลาดไม่เข้าท่า ไม่ควรทำไปบ้าง?”

คืนนี้ ผมไม่ต้องรอให้ถึงเวลาดึกสงัด ให้ร่างอันเหนื่อยล้าขึ้นไปบนที่นอน
ผมก็รู้ได้เลยว่า วันนี้ เป็นวันประหลาด อีกวันหนึ่ง  

เปล่า ไม่ใช่เพียงแค่ เป็นวันครบรอบ 3 เดือนพอดี ที่ Headlightmag.com เปิดตัวสู่สาธารณชน

หากแต่ยังเป็นวันที่ เรื่องราวเก่าๆมากมาย  ถูกเปิดออกจากลิ้นชักความทรงจำของผม
ทั้งโดยตั้งใจ และโดยบังเอิญ

แต่ละแฟ้มเรื่องราว ถูกกางออกมา
ผมนั่งดู ประกอบการทบทวนเรื่องราวที่เจอมาในวันนี้ อีกครั้ง
ด้วยเหตุที่ใจ อยากจะสำรวจความเป็นไป ทั้งของตนเอง และคนรอบข้าง

เพื่อตามหาบางสิ่ง ที่ผมอาจทำหลุดมือไป ระหว่างเดินทาง

————————————————-

การนำเจ้ายักษ์ 5 เมตร อย่าง Lexus LS460 L คันสีดำมะเมี่ยม มาถ่ายรูปใหม่
เป็นอีกหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ผมต้องทำ ในสัปดาห์นี้ ช่วงเวลาที่ ผู้เข้าชมเว็บไซต์
เริ่มกลับมาเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ยังไม่มีวันใด
ซึ่ง ตัวเลขผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเรา อย่างเป็นทางการจาก Truehits.net
จะต่ำกว่า 3,000 Unique IP Address ต่อวันเลย จากเดิมที่ร่วงลงไปเหลือ
เพียงระดับ 2,000 – 2,500 UIP มาหลายสัปดาห์

มันเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งบ่งชี้ชัดเจนว่า
หากเรายังคงนโยบาย “อัพเดทบทความอย่างต่อเนื่อง ทุกวัน” ได้อยู่
ปริมาณการเข้าชมเว็บ ก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน และต่อเนื่องกันไป

3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเริ่มขับรถออกเดินทาง จากความมืดมิด
ท่ามกลางความสงบในชีวิตผมช่วงหลังมานี้ มีบางสิ่งออกจะแปลกไปสักหน่อย
มันมีทั้งสิ่งที่ดีขึ้น และ สิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากันต่อไป

สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน ที่เปลี่ยนผันจากวันวาน

– เห็นอนาคตตัวเองชัดเจนขึ้น…เยอะมากกกกกกก
– ไม่ต้องไปทำงานข้างนอกที่ไหน หากไม่จำเป็น
– และด้วยเหตุนี้ เลยมีเวลาอยู่กับการทำบทความ มากขึ้น
– พบเจอกับผู้คนที่แปลกตาไปจากเดิมที่เคยเจอมากขึ้น
– ได้ลองขับรถหลากรุ่น หลายแบบ ในวันและเวลาที่ มากขึ้น
– ได้รับมิตรภาพ และน้ำจิตน้ำใจไมตรี จากผู้คนที่คุ้นเคยกันเยอะมากๆ

ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้

แล้วสิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากันต่อไป  เหมือนเดิม ละ?

– ผมยังใช้ชีวิตในภาพรวม อย่างสงบสุข ตามเดิม
– นอนดึก หรือไม่ก็เช้าไปเลย เหมือนเดิม
– ตื่น เช้าขึ้นบ้าง สายบ้าง ตามแต่ว่า ช่วงดึกก่อนหน้านั้น เข้านอนก่อนรุ่งสางหรือไม่
– ทำงานหนักเหมือนเดิม และดูเหมือนว่าจะหนักขึ้น  นิดหน่อย
– ยังคง ไปร่วมงานสังคมบ้าง ตามเท่าที่เรายังคงเลือกจะไป หรือว่างจะไป ได้เช่นเดิม
– ยังคงมีเรื่องราว ให้น่าหัวเราะ ชวนถอนหงอก ออกจากหัวของ “นกแร้งหน้าตัวเมีย”
ที่ไหนก็ไม่รู้ เหมือนเดิม 

———————————–

กุญแจ Smart Key ส่งคืนถึงมือของสาวน้อย

ลิฟท์ เคลื่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว จากชั้น 43 จนสู่พื้นล่าง
ผมเดินก้าวเท้าออกมา ทั้งที่ในหัวสมอง ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่เจอ
ไม่รู้ตัวว่า 5 นาทีข้างหน้า ผมควรจะไปอยู่ที่ไหน

ออกจากตึก CRC อันเป็นตึกกลาง ใน โครงการอาคาร All Season
รถแท็กซี่ 1 คัน กำลังจะแล่นผ่านเลย ผมโบกมือเรียก ขึ้นไปนั่ง
หวังให้ไปส่งยังจุดหมาย…

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ถนนประมวญ สาทร

 

แล้วจะไปทำอะไรที่โรงเรียนเก่าละ?

1. ไปตัดผม

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ทุก 2 เดือน ผมมักจะหาเวลา ไปตัดผม ที่ร้านเดิม…
ไม่ใช่ ซาลอน ราคาแพง หากแต่เป็นร้านทำผมสุภาพสตรีเล็กๆ 1 คูหา ที่ชื่อว่า “พัชรี”
ร้านนี้ ตั้งอยู่หน้าปากซอย ถนนประมวล ร้าน ซึ่งเคยต้อนรับลูกค้าประจำคนหนึ่ง
ในสมัยที่บุตรชายของเธอ เคยเรียนอยู่ที่คริสเตียนฯ จนถึง ม.3
ปัจจุบันนี้ เพิ่งหย่าขาดกับสามี และพยายามจะใช้ชีวิตอย่างสงบๆ

……ชื่อของเธอคือ พจมาน ชินวัตร…เอ้ย ดามาพงศ์ !

สำหรับผมแล้ว ร้านนี้ มีความทรงจำมากมาย ตั้งแต่ ครั้งแรกที่เริ่มรู้จักร้านนี้
คือวันที่ ต้องให้ น้าพัชรี ช่วยจัดการกับความแหว่ง ที่เกิดขึ้นจาก ฝีกรรไกรของ รักษาดินแดน (รด.)
และนับแต่นั้น…ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนไปตัดผมร้านไหนอีกเลย…

จะมีบ้าง เพียงครั้งเดียว ตอนไปเซ็ตผมที่ เอสพลานาด ก่อนขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ช่วงธันวาคมที่ผ่านมา
และนั่นเป็นครั้งเดียวจริงๆ ที่ผมนอกใจจาก น้าพัชรี

ร้านนี้ มีดีอะไร? มีร้านอืน ที่ตัดผม ทำผมดีกว่า เยอะแยะ ทำไมไม่เปลี่ยนร้านละ?

ความซื่อสัตย์ และจริงใจ กับสิ่งที่ตัวเองคิด ยังไงละครับ!

มีอะไร พูดกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวว่าผมจะโกรธ ถ้าเกิดผมคิดไอเดียว่าจะทำทรงนั้นทรงนี้
น้าพัชรี และทีมช่างในร้านจะรู้ดีว่า เส้นผมที่เริ่มเหลือน้อยบนศีรษะตอนนี้ มันควรจะถูกจัดการ
ไปในทิศทางใด…ถ้าอยากทำสีผม ก็มีคำแนะนำสารพัด มาให้เลือก และพิจารณา บางที ก็เลือกเฉดสี
ให้ผมเลยเรียบร้อยเเสร็จสรรพ และหลังๆมานี้ บางที น้าพัชรี ก็เริ่มจะปรามเองเลยว่า
“ไฮไลต์ ก็พอแล้ว อย่าเพิ่งทำสีเลย”

ฟังดูธรรมดาๆ ร้านไหนๆ ใครมีช่างประจำ เขาก็ทำให้แบบนี้ทั้งนั้น
แต่…สำหรับผมแล้ว เมื่อหร่ก็ตาม ที่คุณมีช่างทำผมประจำสักคนหนึ่ง ที่พบว่ารู้ใจคุณดีมากๆ
คุยกันรู้เรื่องแล้ว ได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ แล้วคุณจะอยากเปลี่ยนไปใช้บริการช่างทำผมคนอื่นอีกทำไมละ?

2. คิดถึง เจ๊จู อยากกินข้าวขาหมู ไข่ดาว หมูกรอบ และหมูทอดกระเทียมพริกไทย สไตล์ของร้านนี้
ร้านข้าวแกงที่ เด็กคริสเตียนทุกคน คงยังจำได้ดี จนถึงทุกวันนี้ จากที่เจอมาหลายร้าน ในหลายสถาบันการศึกษา
เชื่อผมได้เรื่องนี้เลยว่า บางโรงเรียน บางโรงอาหารของบางคณะ ในบางมหาวิทยาลัย ฝีมือทำอาหาร
อร่อยสู้เจ๊จู ไม่ได้เลย (โดยเฉพาะ โรงอาหารของ คณะฑันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ที่ผมเพิ่งไปทานมา
รสชาติ นี่ ต้องให้องค์การนาซ่า มายืนยันว่า มันคืออาหารสำหรับคนบนพื้นโลก ไม่ใช่อาหารสำหรับนักบินอวกาศ!)  

เจ๊จู ขายอาหารที่โรงเรียนนี้ มานาน เกิน 25 ปี ไปแล้ว นานแค่ไหน
และที่สำคัญ…23 ปีผ่านไปอย่างไร รสมือเจ๊จู ที่ผมสัมผัสได้จากลิ้นและกระพุ้งแก้ม ยังคงเหมือนเดิม!!!

อาจจะเป็นของธรรมดาๆ ในสายตาของใคร แต่ที่ผมยังติดใจก็คือ ความเป็นสิ่งดั้งเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน
หรือ “ORIGINAL โคตรๆ” ของร้านนี้ นั่นเอง

ถ้าคุณ อยากจะ ทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ แล้วละก็ สิ่งสำคัญที่คุณควรจะยึดถือ
และรักษาไว้ให้เป็นมั่นเหมาะ คือ มาตรฐาน ที่ดีเหมือนเดิม หรือยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม

 


3. มาเยี่ยมเยียน ครูอาจารย์ ที่รู้จักมักจี่และคุ้นเคยกันดิบดี
กลับมาสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ
ทั้งบรรยากาศของตัวอาคาร (ที่ยังไม่ถูกปรับปรุง เช่นหอธรรม) ทั้งเก่าและใหม่
ซึ่งตามปกติ ผมมักจะแวะมา แทบทุกครั้ง ที่มาตัดผม

4. ไฮไลต์ สำคัญของวันนี้
คือ ผมอยากจะมาดูวงที่ชื่อว่า  izolate ตามคำชวนของ “เก๋า”
นักเขียนบทความรีวิว มือถือ ใน MXphone.com และ นักเขียนประจำคอลัมน์ Go Gadget
ของ เว็บไซต์เรา แห่งนี้ นั่นเอง

วงอะไรเนี่ย มันมีดีนักหนาขนาดให้ผมต้องตามไปดูถึงถิ่นเก่ากันเชียวหรือ?

 

จะว่าไปแล้ว วงนี้ ถือกำเนิดมาในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับ Headlightmag.com มากๆ
พวกเขาเริ่มคุยถึงโครงการนี้ เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2008 และเริ่มรวมทีมเพื่อนฝูง
ที่ชอบในการเต้น หรือแสดงออกบนเวที

ชื่อวงนี้ มีที่มาง่ายดายมาก คือ ตัวผู้ก่อตั้งวง
มักจะเป็นเจ้าชายสายเสมอ อยู่ประจำ (ทำไมเหมือนตูจังเลยฟะ?)

ขอเล่าย้อนไปสักนิด
ในสังคมกลุ่มเด็กวัยรุ่น ราวๆ มัธยมต้น-ปลาย นั้น สมัยที่หลายๆคนยังมีอายุขึ้นต้นด้วยเลข 1 กัน
(นานแล้วใช่ไหมละ?) ถึงจะน้อยครั้ง แต่ก็ต้องมีบ้างละ ที่เราจะได้รับรู้ว่า อาจจะมีเพื่อนฝูงคนรอบข้างเรา
ไปแข่งเต้น ประกวดอยู่บ้าง ผมยังจำได้เลยว่า ราวๆ ปี 1991 มีรุ่นพี่สมัยเรียนของผมคนหนึ่ง
ชื่อว่า แบ็ต (พรเทพ ฉายสินธุ์)  ยังเคยไปแข่งประกวด เลียนแบบท่าเต้น ของไมเคิล แจ็คสัน
และคว้ารางวัลกลับมาอยู่เลย

วันนี้ กระแสวัฒนธรรมเกาหลี หลั่งไหลเข้ามา เด็กวัยรุ่นที่เติบโตขึ้นมาในยุคนี้
ก็ไม่ได้มองเห็น ไมเคิล แจ็คสัน เก่งเป็นเทพเหมือนพวกเราตอนเด็กๆ
น้องๆสมัยนี้ เขาฮิต ศิลปินมากมายหลายแบบ และ 1 ในนั้น ก็มี วงชื่อแปลกๆ
อย่าง ดงบังชิงกิ  อยู่ด้วย

วรุจน์ หรือ ดิว (เสื้อสีม่วง ที่มีภาพชัดเจนสุดในรูปข้างบนนี้)

เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีความฝันเล็กๆ อยู่หนึ่งก้อน
และเจ้าตัวตัดสินใจที่จะสร้างมันขึ้นมาให้เป็นความจริง

ความตั้งใจของดิว นั้น ไม่ได้ฝัน หรือหวังไกล ไปกว่า สิ่งที่เป็นอยู่
แต่เพียงแค่อยากสร้างวงนี้เพื่อตัวเองและเพื่อนๆ
อยากพิสูจน์ตัวเองและเพื่อนว่าทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ในวงการเล็กๆ

 

แต่การซ้อมเต้นของน้องๆ ที่ผมได้มีโอกาสไปเห็น ในวันนี้
ทำให้ผมเริ่มเกิดคำถามในใจขึ้นมา จนต้องถามกับดิวว่า

“แล้วคิดไหมว่า วันหนึ่งจะโตไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น?”

 ดิว : “เคยคิดไว้เช่นกัน เพราะมีวงอื่นที่ไปได้ไกลกว่านั้น
 แต่ไม่คิดว่า จะมีโอกาสเมื่อไหร่สำหรับวงตัวเอง”

โอกาสที่ว่า เริ่มมีหลายคนเปิดทางให้พวกเขาบ้างแล้ว

สิ่งเดียวที่ผมอยากบอกกับ ดิวและน้องๆ ทั้งหลายในเบื้องต้นก็คือ

ตอนนี้ ผมเห็นศักยภาพของน้องๆกลุ่มนี้แล้วละว่า มีวี่แวว
จะพัฒนาตัวเอง ต่อยอดไปได้ไกลกว่านั้น

จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมว่า ผมก็คิดหาช่องทางเติบโตให้พวกน้องเขาไว้เรียบร้อยแล้วเสร็จสรรพ
ขอเพียงแค่ดูความสามารถ เรื่องการร้องเพลงของแต่ละคน ว่าเป็นอย่างไร
แต่งเพลงให้น้องๆสัก 4-5 เพลงในเบื้องต้น แค่นี้ ก็มีช่องทางไปได้อีกไกลโข

แต่ขออุบไว้ตรงนี้….ขืนให้รู้หมด มันก็ไม่สนุกหนะสิ (^_^)

เปล่าหรอก ผมคงไม่ทำเองหรอก ผมทำเรื่องรถยนต์ที่ถนัดต่อไป
แล้วส่งให้คนที่เขาถนัดทำเรื่องแบบนี้ ให้เป็นธุระของเขาจะดีกว่า

พวกเขาเจ๋งมากเหรอ? ยังหรอกครับ มันยังไม่ดีพอขนาดนั้น
เพียงแต่ พวกเขายังมีการบ้านที่ต้องทำอีกเยอะเลยทีเดียว
กว่าจะไปถึงปลายทาง

และมีเพียง ความขยัน ตั้งใจจริง ไม่ย่อท้อ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
รวมทั้ง ความคิดสร้างสรรค์ ที่ต้องไม่มีวันหมด และความกล้า
ที่จะเผชิญความเปลี่ยนแปลงใดๆในวันข้างหน้า

มีเพียงแค่นี้เลย ที่จะทำให้พวกเขา ไปได้ไกลยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้

คุณอาจจะมองว่า เฮ้! อะไรกันเนี่ย เรื่องไร้สาระชัดๆเลย เอาเวลาไปเรียนไม่ดีกว่าเหรอ?
แล้วคุณจิมมี่ จะมาสนใจอะไรกับเรื่องที่ดูเหมือนจะไร้สาระของ เด็ก ม.ปลายกลุ่มนี้กันละ?

เผอิญ ว่า ผมไม่เคยดูถูกความฝันของใคร ไม่ชอบอย่างยิ่งซะด้วย
ความฝันของแต่ละคน มีคุณค่าในตัวของมันเอง และยิ่งฝันของพวกน้องๆ กลุ่มนี้
ชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่า มันต่อยอดไปยังอนาคตได้ แล้วจะมีเหตุผลอะไร
ที่เราจะไม่สนับสนุนพวกเขากันละ?

ผมคงต้องย้อนถามคุณกลับไปละว่า “สมัยยังเด็กหนะ ไม่เคยฝันอยากเป็นโน่น อยากเป็นนั่น บ้างหรือยังไง?”

———————————–

ทางเดินไปสู่ความฝัน อย่างที่ทราบกันดี ว่าหาใช่บานสพรั่งด้วยกลีบกุหลาบ
ขณะที่ผม หรือแม้แต่น้องๆ กลุ่ม izolate
กำลังพยายาม เดินไปบนเส้นทางอันแตกต่างของคน ไปสู่ฝันที่ต่างตนต่างตั้งใจ
ยังมีผู้คนอีกจำนวนมาก ที่ไม่อาจยืนหยัด ต่อสู่กับความฝันของตนได้ นานนัก

หนึ่งในนั้น คือพี่ชายรอบตัวผมคนหนึ่งที่ผมมักเรียกเขาว่า… พี่รุ้ง

 

การรู้จักกันของเราสองคน เกิดขึ้น
ณ ร้านขาย ซีดี มือสอง ชื่อว่า Jamz ที่พี่รุ่งเป็นเจ้าของอยู่
เมื่อ ราวๆ 2 ปีก่อน โดยการแนะนำของน้องสาวที่รู้จักกันคนหนึ่ง

ผมเพิ่งจะมารู้ในภายหลังจากนั้นว่า
พี่รุ้ง มีพี่ชาย เจ้าของร้าน ซีดี มือสอง ร้านเล็กๆอีกร้าน ที่ซีคอนสแควร์

ในสมัยที่ ยังเป็นนักข่าว และคอลัมนิสต์ ด้านดนตรี
ในหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ  รวมทั้ง ยังทำนิตยสารต่างๆ
ร้าน ขายซีดี คือ ฝันเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในห้วงความคิดของชายหนุ่ม
จนถึงวันหนึ่ง พี่รุ้งก็งัดเอาฝันของตน ขึ้นมาสานต่อจนเป็นจริง
ท่ามกลางโอกาสอยู่รอดที่ยังพอมี

ผมจำได้แม่นติดตาเลยว่า เคยเจอ คุณอา สุเชาว์ พงษ์วิไล ที่ร้านนี้ด้วย
ไม่เว้นแม้แต่ คุณพระนาย สุวรรณรัตน์ ก็เคยมาอุดหนุน ร้านของพี่รุ้ง อยู่บ้างเช่นกัน

แต่แล้ว วันนี้ 3 เดือนผ่านไป หลังการพบกันครั้งหลังสุด ก่อนหน้านั้น
หลังจากพยายามกัดฟันต่อสู้มาตลอด ในช่วงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

พี่รุ้ง เพิ่งบอกกับผม ว่า ร้านนี้จะปิดตัวลง ก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน

เล่นเอาลูกค้าประจำอย่างผม อึ้งไปเลย

แน่ละ ถ้าเปิดร้านแล้ว วันหนึ่ง ลูกค้าไม่เข้าร้านเลย หรือไม่ก็ขายได้แค่วันละ 1-2 แผ่น
ก็แทบไม่ต้องเดินหน้ากันต่อ ไหนจะค่าเช่าพื้นที่ ก็หนักหนาอยู่แล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
และดำรงชีวิต ล้วนแล้วแต่จะยิ่งสร้างภาระทางการเงิน ซ้ำเติมเข้าไปกันใหญ่

อีกปัจจัยหนึ่ง ก็คือ ตลาดของ ซีดีเพลง เรียกได้ว่า หดหายลงไปมาก ผู้คนเริ่มกลับมามองอย่างจริงจังว่า
มันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย นั่นหมายความว่า ร้านขาย ซีดี ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้
สายป่านทางธุรกิจคุณต้องยาวพอ ความสัมพันธ์กับค่ายเพลงต้องหนักแน่นพอ

ร้าน ขาย ซีดี ในบ้านเรานั้น อยู่รอดได้ยาก
เพราะทุกวันนี้ อย่างที่ทราบกันดี ตลาดเพลง มันเปลี่ยนโฉมหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อ รายได้ ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในวงการดนตรีปัจจุบัน อยู่ได้ด้วย งานโชว์
จัดคอนเสิร์ตแสดงสด เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผู้คนเริ่มซื้อหางานเพลงในรูปแบบของ Digtal Download
กันมากขึ้น โดยเฉพาะ ชนชั้นกลาง ที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ คนเบื้องหน้าที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้
จึงเหลือจำนวนน้อยลง หรือไม่ก็ต้องผันตัวไปเป็นคนเบื้องหลัง ซึ่งรายได้ก็ยิ่งจะถูกกดขี่ลงไปอีกมากโข

พี่รุ้ง ต่อสู้มาได้ถึงระดับที่ ต้องหยุดแล้ว เพราะถ้าไปต่อ เห็นที่จะไม่ไหว
และต้องกลับมายืนอยู่ในปัจจุบันโลก แห่งความจริง กันอีกครั้ง

แล้วหลังจากนี้ละ? พี่รุ้งคิดจะทำอะไรต่อ?

ร้านกาแฟ…คือคำตอบจากชายหนุ่ม

ทีไหน และเมื่อไหร่ ยังไม่รู้ และถ้ารู้ ก็จะบอก….

ใครที่กำลังมีปัญหาชีวิตหนักๆ อย่าเพิ่งท้อ
เรื่องราวของ พี่รุ้ง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ดี สำหรับใครก็ตามที่เคยมีฝัน
และกำลังมุมานะอย่างหนัก เพื่อให้ฝันของตนเป็นจริง
แม้ว่า มันจะยากเกินจะอยู่ต่อในระยะยาวก็ตาม

แต่ การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ไม่ประหวั่นต่อโชคชะตา
เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตคนเรา ยังมีคุณค่า มีความหมาย
ที่จะเดินต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้

การปิดตัวลงของร้านนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายไปเสียทั้งหมด
เพราะในอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ ก่อนที่ร้านจะปิดอย่างถาวร
การลดราคาจากป้าย ถือเป็นโอกาสทอง ของนักฟังเพลง ที่สะสมแผ่น ซีดี
เพราะแผ่นที่ยังเหลืออยู่ในร้านนี้ หลายแผ่น เป็นของหายาก
สภาพดีมากๆ และค่อนข้างจะเหมาะกับใครที่ชอบดนตรี
Jazz Classic หรือแม้ Rock และ พวก New Age ไปจนถึง World Music
ในเมื่อ ร้านนี้ต้องปิดตัวลง พี่รุ้ง ก็จะลดราคา ลงมา จนน่าเก็บกวาดมาเป็นเจ้าของกันได้โดยง่าย
ตกราวๆ ต่ำสุด แผ่นละตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป แล้วแต่ว่าราคาปก แต่ละแผ่น ซึ่งไม่เหมือนกัน
ตามแต่แหล่งที่มาของแผ่นนั้นๆ ว่ามาจากประเทศใด

ร้านนี้ จะตั้งอยู่ที่พหลโยธิน เพลส หน้าปากซอย สายลม ตรงตึกชินวัตร 1
ถ้ามาจากสถานี BTS อารี ก็แค่เดินข้ามมาลงสถานี ที่ฝั่ง Villa Market และ Starbuck
แล้วเดินเลี้ยวย้อนขึ้นไป ผ่านหน้าตึก IBM และ ธนาคารกสิกรไทย สำนักพหลโยธิน
ก็จะเจอ McDonald ร้าน Jamz จะอยู่ชั้น 2 ของอาคาร พหลโยธิน เพลส แห่งนี้
จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้เท่านั้น

 

———————————–

คิดจะเล่าแค่เพียงสั้นๆ แต่สุดท้าย ก็ยาวเฟื้อยอีกจนได้ ตามประสาคนบ้าน้ำลาย
ถ้าจะให้สมองอันเฉื่อยแฉะ เรียบเรียงประโยคปิดท้ายให้สวยๆ ตามแบบฉบับที่
นักเขียนยุคใหม่ พึงมีไว้เพื่อสะกดใจคนอ่าน ก็คงไม่จำเป็น

เพราะประสบการณ์ข้างบน อันเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง ใน 3 เดือน ของชีวิตผม
และผู้คนรอบข้าง ที่ผ่านไป น่าจะเป็นคำตอบให้กับใครอีกหลายคน ที่ยังมีคำถาม
เต็มหัวไปหมด

เพราะผมหวังไว้แต่เพียงว่า มันอาจทำให้คุณได้ค้นพบแรงบันดาลใจบางอย่าง

เผื่อว่าวันหนึ่ง คุณจะได้ใช้มัน สร้างฝันของคุณ ให้เป็นจริงขึ้นมา…สักอย่าง

 

——————————-///—————————–

 

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์โดยผู้เขียน

เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com

28 พฤษภาคม 2009

 

 

ปล. แม้ว่า มันอาจจะเป็นเรื่อง แปลกๆนักสำหรับเว็บนี้

แต่ถ้าคุณอยากจะดูว่า น้องๆ izolate เขา มีฝีมือลายมือ การเต้น ประมาณไหน

และ น่าจะมีหนทาง พอจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร…

ก็ เชิญที่ 

www.youtube.com/profile?user=ppon157

ขอย้ำว่า สิ่งที่คุณได้เห็นนี้ เริ่มต้นฝึกซ้อมกันแค่เมื่อราวๆ มกราคม ที่ผ่านมานี้เอง…นะ

ได้ขนาดนี้ ก็ไม่ธรรมดาแล้วละ…