หลายๆคนคงเป็นสิงห์อมควันและมักจะสูบบุหรี่ในรถ โดยคิดว่าการเปิดกระจกน่าจะช่วยให้หลีกภัยที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสาร
ได้ แต่ล่าสุดผลการศึกษาโดยนักวิจัยชาวอังกฤษ ได้ชี้ว่าการสูบบุหรี่ระหว่างขับรถ เป็นการสร้างอันตรายให้แก่ผู้โดยสาร
ร่วมคันรถเช่นเดียวกัน
การศึกษานี้ ใช้การเดินทางด้วยรถยนต์ 100 ครั้ง จากผู้ขับขี่ 17 คน โดย 14 คนในนั้นเป็นผู้สูบบุหรี่ และมีการเดินทาง 66 จาก 100 ครั้ง
ที่มีการสูบบุหรี่เกิดขึ้น โดยในการเดินทางแต่ละครั้ง จะมีการใช้เครื่องตรวจสภาพอากาศในห้องโดยสาร ในหน่วย ไมโครกรัม/ตร.ม.
ในขณะที่องค์การสุขภาพของโลก ได้บัญญัติให้อากาศที่ปลอดภัยต่อสุขภาพอยู่ที่ระดับไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ตร.ม.
ปรากฏว่ารถยนต์ที่มีผู้ขับขี่สูบบุหรี่ระหว่างการเดินทาง สามารถวัดสภาพอากาศในห้องโดยสารได้เฉลี่ย
85 ไมโครกรัม/ตร.ม. โดยในการเดินทางบางครั้ง มีตัวเลขพุ่งสูงขึ้นถึง 385 ไมโครกรัม/ตร.ม. เลยทีเดียว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์
กล่าวว่า การเปิดกระจกหน้าต่าง และการใช้เครื่องปรับอากาศในรถ ไม่ได้ช่วยให้อากาศมีความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์เลย
นักวิจัยได้ให้ความเห็นว่า เด็กๆที่อยู่ในเยาว์จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากอากาศอันสกปรกนี้มากที่สุด โดยจะทำให้
ระบบหายใจผิดปกติ และระบบภูมิคุ้มกันโรคผิดปกติ ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกกฏหมายและรณรงค์ให้หยุด
สูบบุหรี่ระหว่างการขับรถ และผลการศึกษานี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ชัดว่า ไม่ควรสูบบุหรี่เมื่อมีผู้โดยสารในรถเป็นอย่างยิ่ง
เพราะไม่เพียงจะทำให้กระทบต่อสุขภาพของตนเอง แต่ยังกระทบต่อสุขภาพของผู้โดยสารด้วยครับ