2 ปีที่แล้ว ผมมาถึงอังกฤษ มาขับ MINI Hatchback 5 ประตู ไกลถึงเมือง Oxford
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการตกหลุมรักบรรยากาศชนบทของประเทศอังกฤษอย่าง
จริงจัง และเริ่มจะถอนตัวไม่ขึ้น
วันนี้ ตอนนี้ ผมมานั่งเขียนบทความนี้ อยู่ที่แถบ Oxford อีกครั้ง กับรถยนต์รุ่นใหม่ของ
MINI ค่ายรถยนต์แนว Hip ชาวอังกฤษในเครือของ BMW แห่งแคว้น Bavaria
มันเหมือนการกลับมาเยือนยังดินแดนที่ผมประทับใจอีกครั้ง อย่างที่ไม่ได้คาดหวัง
มาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสอีก
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจ ยืมรถและทำบทความทดลองขับ MINI
Countryman รุ่น R60 ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความสงสัยของคุณ
ผู้อ่านบางคนว่า ทำไมผมถึงเพิ่งมาทำรีวิวของรถยนต์รุ่นนี้เอาป่านนี้ ในวันที่มัน
ใกล้จะตกรุ่นในประเทศไทยเต็มแก่แล้ว
เหตุผลง่ายๆครับ ผมแทบไม่ว่างเลย ในช่วงตั้งแต่ปี 2010 ที่ผ่านมา มีรถยนต์
นับร้อยๆคันที่ผมต้องทำการทดลองขับ แล้วนำมารวบรวมเป็นบทความรีวิวให้
คุณๆได้อ่านกันจนจำเป็นต้องเลือกรถยนต์รุ่นหลักๆที่คุณผู้อ่านสนใจกันมากๆ
มานำเสนอก่อน
บางที การทำงานก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น มักมีอุปสรรคสารพัดอย่างมาคอย
ขัดจังหวะไม่ให้งานเดินไปได้สะดวกโยธินอยู่บ่อยๆ
ดังนั้น ก่อนที่ผมจะบินไปขับ Countryman รุ่นใหม่ ถ้าไม่เรียนรู้จักรถรุ่นเก่า
ให้ดีเสียก่อน ผมคงไม่อาจพูดคุยบอกเล่าถึงความแตกต่างระหว่างรถรุ่นใหม่
และรถรุ่นเก่าได้อย่างเต็มปาก
ในวันนี้ ผมพร้อมแล้วที่จะเล่าให้คุณผู้อ่านได้ฟังว่า รถคันนี้ แตกต่างจาก
รุ่นเดิม อย่างไร
เป็นรายแรกในเมืองไทย อีกตามเคย !
เรารู้ว่าหลายๆคนจะเบื่อหน่าย แอบก่นด่าว่า คลิกเปิดอ่านเข้ามา เจอแต่โรงแรม
ที่พัก และ ภาพวิว ตกลงนี่มัน บทความรีวิวรถยนต์ หรือรีวิวท่องเที่ยวกันแน่
ต้องการเนื้อๆว้อย ไม่ต้องการน้ำ ! เราจึงจัดการแยกให้คุณเรียบร้อย สำหรับใคร
ที่อยากจะชมบรรยากาศการเดินทางต่างๆ เรียนเชิญได้ที่นี่ครับ >> [J!MMY Trip]
เรื่องราวรายละเอียดและข้อมูลเบื้องต้น ของ Countryman ใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ณ บัดนี้ และเชื่อแน่ว่า น่าจะตอบคำถามคุณผู้อ่านได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้วล่ะ
รออะไรละ? เลื่อนเมาส์ หรือ แตะนิ้วลากเลื่อนผ่านหน้าจอ มือถือ / Tablet ลงไปได้เลย!
MINI Countryman ใหม่ รหัสรุ่น F60 ถือเป็น Countryman รุ่นที่ 2 นับตั้งแต่เปิดตัวออก
สู่ตลาดครั้งแรก เมื่อ 20 มกราคม 2010 ในตอนนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่ MINI ลุกขึ้นมาสร้าง
Crossover SUV ของตนเอง ย่อมไม่แปลกที่จะได้รับทั้งความสนใจล้นหลามจากกลุ่มลูกค้า
ของ MINI ทั่วโลก รวมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากลูกค้ากลุ่มอนุรักษ์นิยมที่รัก MINI มาก
แต่ไม่ว่า จะมีเสียงชื่นชม หรือเสียงก่นด่า MINI ก็ทำยอดขายของ Countryman รุ่นแรก
ไปได้ทั้งหมดถึง 400,000 คัน ตลอดอายุตลาด 6 ปี นั่นเป็นตัวเลขที่มากพอจะทำให้กลุ่ม
ผู้บริหารของ BMW Group ตัดสินใจ เปิดไฟเขียว อนุมัติให้มีการพัฒนา Countryman
Generation ที่ 2 ออกมาในอีก 6 ปีให้หลัง
Countryman F60 เผยโฉมครั้งแรกเมื่อ 25 ตุลาคม 2016 และถูกนำไปจัดแสดงในงาน
2016 Los Angeles Auto Show เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2016 อย่างไรก็ตาม ณ วันที่บทความ
รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรก MINI ยังไม่ปล่อย เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Countryman
ใหม่ ขึ้นโชว์รูมแห่งใดๆในโลกทั้งสิ้น เท่ากับว่า เราเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆของโลกที่ได้
มีโอกาสร่วมประสบการณ์ ไปกับ “เจ้าหนุ่มชนบท” รุ่นใหม่นี้
เห็นรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ใครที่ไม่ได้สนใจ MINI มากเท่าไหร่ อาจเข้าใจไปว่า มันก็แค่
การนำ MINI คันเดิม นำมาทำเป็น SUV แค่นั้นแหละ…
เปล่าครับ ความจริงแล้ว มันมีรายละเอียดมากมายเกินกว่าที่คุณคิดเยอะ!
เพราะถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย จะพบว่า เพียงแค่มองเห็นจากรูปถ่าย ก็มองออก
ในทันทีว่า ประเด็นสำคัญในการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ Countryman F60 ในครั้งนี้
อยู่ที่การขยายขนาดตัวถังให้ใหญ่โตขึ้น
Countryman ใหม่ มีความยาว 4,299 – 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,822 มิลลิเมตร สูง 1,557
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front & Rear
Thread) อยู่ที่ 1,563 – 1,585 มิลลิเมตร และ 1,565 – 1,587 มิลลิเมตร ตามแต่ละรุ่นย่อย
น้ำหนักตัว 1,510 – 1,530 กิโลกรัม (รุ่น Cooper S)
เมื่อเปรียบเทียบกับ Countryman รุ่นเดิม R60 ซึ่งมีความยาว 4,110 มิลลิเมตร กว้าง 1,789
มิลลิเมตร สูง 1,561 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,595 มิลลิเมตร จะพบว่า รุ่นใหม่ยาวขึ้นมากถึง
200 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร เตี้ยลง 4 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนระยะฐานล้อจะยาวขึ้น
75 มิลลิเมตร
เห็นคันจริงแล้ว ผมตกใจนิดๆ โห! นี่มันไม่ MINI แล้ว นี่มัน “เบ้อเร่อ” แล้ว ใหญ่บ้านบึ้มซะ
ขนาดนี้…
แล้วทำไม MINI ต้องทำ Countryman ใหม่ ให้ใหญ่โตแบบนี้ด้วยล่ะ ?
คำตอบจากปากของวิศวกรของ MINI ก็คือ ผลจากการวิจัยตลาด ระบุว่า ปัจจุบัน ลูกค้าที่
อุดหนุน MINI กันอยู่นั้น มีจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มมีครอบครัว เริ่มมีลูกน้อยมานั่งบนเบาะหลัง
ดังนั้น ลูกค้าที่ใช้รถรุ่นเดิมอยู่ ต่างพากันอยากได้ตัวรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้มีพื้นที่ใน
ห้องโดยสารรองรับกับการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขามากขึ้น นั่นเอง พวกเขารู้ว่ากลุ่ม
แฟน MINI หนะ รักรถของพวกเขามาก และพวกเขาเองก็ไม่อยากเสียลูกค้ากลุ่มนี้ไป
แล้วทำไมไม่ทำรุ่น 7 ที่นั่งไปเลยล่ะ ?
เอ๋า ก็เสียแบรนด์หมดหนะสิครับ อันที่จริง MINI เอง ก็มองขนาดตัวรถเอาไว้ในใจอยู่แล้ว
ว่า ถึงเขาจะทำรถออกมาให้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องไม่ใหญ่จนเกินไปกว่านี้ หาไม่ มันจะเกินเลย
ไปจากแนวทางของแบรนด์ MINI ไปมากกว่าที่เป็นอยู่
งานออกแบบภายนอก ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ Countryman รุ่นเดิมเอาไว้ ทั้งในด้าน
เส้นสาย ภาพรวมทั้งคัน เสาหลังคาคู่หน้า และหลังสีดำเงา แบบ Floating Roof แนวขอบ
หลังคา เล่นระดับ บริเวณกระจกหน้าต่างของบานประตูคู่หลัง และกระจกหน้าต่างคู่หลังสุด
นอกนั้น ยังคงความบึกบึนกว่า MINI รุ่นตามปกติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสาหลังคาสีดำ, โป่งล้อ
สีดำ และหลังคาแบบ floating ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปมีไม่น้อยเลย เริ่มต้นกับไฟหน้าที่มีความ
กลมมนน้อยลง จนแทบจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ชุดไฟไฟส่องสว่างขณะขับรถกลางวัน
Daytime Running Light กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทุกรุ่น ขณะที่ชุดไฟหน้า LED
ยังคงเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ ส่วนชุดไฟท้าย มีแบบ LED ให้เลือกด้วย
แผงประดับด้านข้างตัวรถ บริเวณซุ้มล้อคู่หน้า เปลี่ยนมาเป็นดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟเลี้ยว
ด้านข้าง รุ่น Cooper ธรรมดาจะไม่มีตัวอักษรใดๆ ถ้าเป็นรุ่น Cooper S จะมีตัวอักษร S
สีแดงเพิ่มเข้ามา และถ้าเป็นรุ่น SD ขุมพลัง Diesel Turbo ก็มีตัวอักษร SD มาประดับ
นอกจากนี้ ด้านหน้า ยังมี Option ชุดแต่งเป็นแผงกันชนสีดำ ยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและ
ด้านหลัง สั่งติดตั้งเพิ่มเติมได้ เพื่อความดุดันให้ตัวรถมากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณต้องการแยกความแตกต่าง ระหว่าง Countryman รุ่นเก่า กับรุ่นใหม่ วิธีง่ายสุดคือ
ดูจากความเปลี่ยนแปลงหลัก 3 ประการ ดังนี้
1. ตัวถังรุ่นเดิมจะใหญ่ขึ้นจาก MINI 3 และ 5 ประตู ไม่เท่าไหร่ แต่รุ่นใหม่ จะมีขนาด
ใหญ่โตกว่าเดิม
2. ชุดไฟหน้า รุ่นเดิมหนะ ตาแป๋วเหมือนลูกตาแมวดวงใหญ่ แต่รุ่นใหม่ มันเหมือน
พ่อหมูที่เพิ่งตื่นนอน
3. เจ้าหนุ่มชนบทรุ่นเก่า มีช่องใส่ป้ายทะเบียนหลังไว้ที่เปลือกกันชนหลัง แต่รุ่นใหม่
ย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนหลัง ขึ้นมาไว้บนฝาประตูห้องเก็บสัมภาระ เหมือน MINI
รุ่นอื่นๆ เขาเสียที
รีโมทกุญแจ เปลี่ยนมาเป็นแบบ Smart Keyless Entry ยกชุดมาจาก MINI ตัวถัง
Hatchback ทั้ง 3 และ 5 ประตู (F56) มีทั้งสวิชต์ล็อก ปลดล็อก และเปิดฝาท้ายได้
ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า อีกทั้งยังมีระบบ Immobilizer มาให้จากโรงงาน
ถ้าต้องการเปิด – ปิดประตู ให้พกรีโมทนี้ไว้ เดินเข้าใกล้รถ แล้ว ยังคงต้องกดปุ่ม
เมล็ดแตงโม บนมือจับประตู เพื่อสั่งปลดล็อก หรือ ล็อกรถเหมือนรุ่นเดิม
การติดเครื่องยนต์ ใช้วิธีกดหรือยกสวิตช์ Push Start ขนาดเล็กสีแดง หน้าตาคล้าย
สวิตช์ติดเครื่องยนต์ของเครื่องบินโบราณ ติดตั้งไว้ ที่ด้านล่างของแผงควบคุมกลาง
แต่คราวนี้ ช่องสำหรับเสียบพักกุญแจรถไว้ ถูกถอดออกไปแล้ว
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า ยังคงเหมือนรถรุ่นเดิม เพราะว่าช่องทางเข้า – ออก
ยังคงมีขนาดเท่ากันเป๊ะ เพียงแต่ถ้าดูดีๆ จะสังเกตเห็นว่า รอยขึ้นรูปบริเวณท่อนล่างของ
เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar แตกต่างกันชัดเจน
นั่นหมายความว่า ถ้าคุณตัวผอมๆ หรืออ้วนไม่มากนัก ยังไม่มีปัญหาอยู่ แต่ถ้าเป็นคนอ้วน
ระดับ พี่แพน ของเว็บเรา (150 กิโลกรัม) อาจยังคงต้องเบียดเสียดยัดเยียดร่างเข้าไปนั่ง
บนเบาะคู่หน้า ตามเดิม
แผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ลดทอนความฉูดฉาดลง และเน้นความอเนกประสงค์ใน
การใช้งานมากขึ้น ไม่ได้เป็นแผงพลาสติกแข็งๆ อย่างเดียวเหมือนรถรุ่นก่อนอีกต่อไป
บางจุด เข่นครึ่งท่อนบน ในส่วนที่ลูกค้ามีโอกาสจะไปสัมผัส ก็อาจจะตกแต่งด้วยหนัง
หรือผ้าสักกะหลาด แล้วแต่การเลือกสั่งซื้อของลูกค้า (ในต่างประเทศเขา)
นอกจากนี้ พื้นที่ครึ่งท่อนล่าง ยังใช้งานได้อเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มือจับ
ดึงบานประตูเข้ามา ที่ทำเป็นร่องเอาไว้ พนักวางแขน ที่ยังคงวางได้ในระดับกำลังดี
และช่องวางเอกสาร ด้านข้างแผงประตู ซึ่งวางขวดน้ำได้ถึงขนาดใหญ่
ตำแหน่งนั่งขับ เหมือนรถรุ่นเดิม เช่นเดียวกัพื้นที่เหนือศีรษะ เหลือเยอะพอกันกับรถรุ่นเดิม
เบาะคู่หน้า เปลี่ยนใหม่ ยกชุดมาจาก MINI Clubman นั่นจึงทำให้ Countryman ได้ระบบ
ปรับเบาะคู่หน้า ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า รวมทั้ง ตัวปรับดันหลัง Lambar Support ด้วยไฟฟ้า ตาม
มาให้แบบครบสูตร ถือเป็นครั้งแรกที่ Countryman มี Option ไฮโซแบบนี้ (เสียที)
เบาะนั่งของ Countryman ล็อตที่นำมาให้สื่อมวลชนทั่วโลกได้ลองขับ หุ้มด้วยหนังซึ่งมี
ผิวสัมผัสที่ดีกว่า รถรุ่นกอนอย่างชัดเจน เนียนนุ่มระดับ Premium เลยทีเดียว ต่อให้เ็ป็น
รุ่นพื้นฐาน ที่หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ตัดกับผ้าแข็งๆตามสไตล์รถอังกฤษ ก็ยังแน่น Firm
ไม่แย่อย่างที่คิด
พนักศีรษะ แอบดันหัวนิดๆ แต่ยังสามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้ อีกทั้ง ยังดันไม่มากนัก
ทำให้พอจะปรับพนักพิงหลังเอนลงเพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าวนิดนึง ได้อีกด้วย
พนักพิงหลัง รวมทั้ง เบาะรองนั่ง เสริมฟองน้ำในระดับ Firm คือแน่นแต่ติดนุ่มกว่ารุ่น
เดิม นิดนึง ช่วยให้เกิดความสบายขณะเดินทางไกลเพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นเก่าชัดเจน!
ปีกข้างออกแบบให้สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่นุ่มและรองรับบั้นเอวทั้ง 2 ฝั่งได้สบาย
กว่ารุ่นเดิม เช่นเดียวกับ เบาะรองนั่งที่มีขนาดยาวขึ้นกว่า รถรุ่นเดิมนิดนึง และรองรับ
ช่วงต้นขาได้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เด่นจนชวนให้สัมผัสได้ถึงขนาดนั้น
ข่าวร้ายสำหรับลูกค้าชาวไทย ก็คือ Countryman เวอร์ชันไทยจะไม่มีเบาะนั่งสีอ่อน
ให้เลือกอีกต่อไป เพราะดูเหมือนว่า รสนิยมคนไทยส่วนใหญ่ ต้องการเบาะนั่งสีเข้มๆ
หรือสีดำไปเลยมากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่า เปรอะเปื้อนยาก ทำความสะอาดง่ายกว่า
กล่องเก็บของด้านข้าง พร้อมพนักวางแขนในตัว สามารถางแขนได้แค่ช่วงครึ่งท่อน
จากข้อศอก เท่านั้น พอกันกับรุ่นเดิม
การเข้า – ออกจากเบาะแถวหลังนั้น เนื่องจากมีการขยายฐานล้อให้ยาวขึั้น อย่างไรก็ตาม
ขนาดของช่องทางเข้า – ออก ยังคงใกล้เคียงกับรถรุ่นเดิม ดังนั้น จึงยังคงให้ความสบายใน
การลุกเข้า – ออก พอกับรุ่นเดิม
การปรับปรุงที่ดีขึ้นก็คือ กระจกหน้าต่างของบานประตูคู่หลัง สามารถเลื่อนเปิดลงจนสุด
รางชอบหน้าต่างได้แล้วเสียที
แผงประตูด้านข้าง ปรับปรุงใหม่ คราวนี้มีพนักวางแขนที่สามารถวางแขนได้เต็มที่กว่าเดิม
ชัดเจนมาก ครึ่งท่อนล่างของแผงประตู มีช่องวางของขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถวางขวด
น้ำดื่มได้เต็มที่ขึ้น
เบาะหลังสามารถปรับตั้ง เอน และพับเก็บได้ ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 เหมือนเดิม
ด้วยวิธีการเดิม คือใช้กลไกการดึงสายเชือกปลดล็อกพนักพิงหลัง ที่ยื่นออกมา อยู่ที่
ข้างของพนักพิงหลัง จากนั้นจึงพับพักพิงลงมาทั้งชุด เป็นอันเสร็จพิธี
พนักพิงหลังให้สัมผัสที่แน่นตามเดิม แต่แอบนุ่มขึ้นนิดนึง รองรับแผ่นหลังได้เต็มที่
ส่วนพนักศีรษะ ยังคงต้องยกขึ้นใช้งาน ขอบด้านล่างจึงจะยังไม่ทิ่มตำส่วนต้นคอ
ประเด็นนี้ ยังคงไม่แตกต่างจาก Countryman รุ่นเดิม
พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ วางแขนได้สบายพอดี ดูเหมือนว่า ยกชิ้นส่วนอะไหล่
ของ BMW รุ่นเก่ามาติดตั้งให้ ดูได้จากช่องวางแก้วพร้อมฝาปิดแบบพับเก็บได้
เบาะรองนั่ง มีความยาวเพิ่มขึ้นชัดเจน รองรับช่วงขาได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณอู๋
เว็บไซต์ Mini-th.com ให้ความเห็นว่า ชอบให้ตัวเบาะมีหลุมเพื่อล็อกบั้นท้าย
แบบรุ่นเดิมมากกว่า
พื้นที่วางขา คืออีกความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การขยายระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น
คือจุดมุ่งหมายสำคัญ ที่จะทำให้มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารด้านหลังเยอะ
มากยิ่งขึ้น คราวนี้ ผมสามารถนั่งไขว่ห้างได้ โดยที่รองเท้าไม่ไปเฉียดโดนเบาะ
คู่หน้าเลยแม้แต่น้อย ถือได้ว่า พื้นที่ด้านหลัง กว้างขวางขึ้น และนั่งสบายมาก
กว่ารุ่นเดิมอย่างมากโข
เข็มขัดนิรภัยทุกรุ่น ทุกตำแหน่ง เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบลดแรงปะทะ
และดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensiner & Load Limiter เฉพาะคู่หน้า นอกจากนี้
ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ ทั้งคู่หน้า ด้านข้าง ม่านลมนิรภัย ตามมาตรฐานของ
MINI รุ่นใหม่ ครบครัน
จุดขายใหม่อีกประการหนึ่งของ Countryman ใหม่ อยู่ที่ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระ
ด้านหลัง เปิด – ปิดด้วย ระบบไฟฟ้า สามารถยกเปิดขึ้นได้ 3 วิธี ทั้งด้วยการกดสวิตช์
บน Remote กุญแจ 1 ครั้ง เพื่อเปิด แต่ต้องกดแช่ไว้ขณะปิดลงมา หรือ ใช้วิธีเอาขา
เตะอากาศ เข้าไปใต้เปลือกกันชนหลัง ทั้งเปิด และ ปิด ท้ายที่สุด คือการกดสวิตช์
ที่แผงประตูด้านข้างฝั่งคนขับเพื่อเปิดฝาท้ายขึ้นมา และถ้าจะปิดฝาท้าย ก็มีสวิตช์
สำหรับกดปิดแบบอัตโนมัติ รวมทั้งยังมีระบบดีดกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวางมาให้แบบ
SUV ชั้นดี เหมือนชาวบ้านเขาเสียที
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ตามปกติ สามารถวางของได้ถึง 450 ลิตร แต่เมื่อ
พับเบาะทั้งหมด พื้นที่จะเพิ่มเป็น 1,390 ลิตร สามารถวางกระเป๋าเดินทางขนาด
ใหญ่ที่สุด ได้ 3 ใบ (เรียงกันในแนวตั้ง)
อีกการปรับปรุงที่กลายเป็นจุดขายใหม่ นั่นคือ MINI Picnic Bench เบาะขนาด
เล็ก ที่สามารถดึงขึ้นมาได้จากพื้นห้องเก็บของด้านหลัง เพื่อใช้นั่งกินลมชมวิว
ยามพักผ่อน และยังช่วยให้การขนถ่ายข้าวของขนาดใหญ่ สะดวกขึ้น ไม่ก่อให้
เกิดริ้วรอยกับเปลือกกันชนหลัง อย่างที่เคยเป็นมา
(ขอบคุณ คุณอู๋ ผู้แสดงแบบ)
แผงหน้าปัด ถูกเปลี่ยนแปลงงานออกแบบใหม่ ให้ดูเรียบง่ายขึ้น ทว่า การนำแถบ
พลาสติกชุบโครเมียม มาใช้ประดับล้อมกรอบช่องแอร์ และมาตรวัดต่างๆ ช่วย
เสริมให้ภายในรถ ดูหรูหราเข้าในระดับ Premium มากขึ้นชัดเจน ประดับ Trim
ด้วยลวดลายให้เลือก 4 รูปแบบหลัก ในรถคันที่เราลองขับ ตกแต่งด้วยลวดลาย
กราฟฟิค Piano Black ตัดกับลาย แบบม้าลาย (ไม่ใช่ Carbon Fibre)
มองขึ้นไปด้านบน แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมฝาปิดพับ และไฟส่องสว่าง
ทั้ง 2 ฝั่ง สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เป็นแบบ กด-ยกครั้งเดียว One-Touch ทั้ง
4 บาน ส่วนกระจกมองข้าง มีฟังก์ชัน ปรับกระจกฝั่งซ้ายลงมามองพื้นด้านข้างให้
เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
ชุดมาตรวัดความเร็ว ถูกย้ายมารวมอยู่กับมาตรวัดรอบ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ดีไซน์
คล้ายกับชุดมาตรวัดแบบเดิม มีหน้าจอ HUD (Head-Up Display) ที่อ่านง่าย
และเข้าใจข้อมูลได้ง่าย เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถคันที่เราทดลองขับ
นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าเมนูบนระบบหน้าจอ เพื่อให้แสดงผลเป็นหน่วย กิโลเมตร/
ชั่วโมง เพิ่มเติมจาก มาตรวัดแบบ ไมล์/ชั่วโมง รวมทั้งปรับแก้ไขข้อมูลต่างๆของ
ตัวรถ ได้ตามต้องการอีกด้วย
พวงมาลัย 3 ก้าน ทรงอวบอูมหนา ออกแบบใหม่ ยกชุดมาจากรุ่ Clubman ใหม่
หุ้มด้วยหนัง ตกแต่งด้วยแถบพลาสติก Piano Black สีดำ วงพวงมาลัยมีขนาด
อ้วนอวบอูม ตามสไตล์ MINI ยุคใหม่ในช่วงที่ผ่านๆมา
สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา ใช้ควบคุมชุดเครื่องเสียง และระบบโทรศัพท์ ขณะที่
ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ใช้ควยคุมระบลอกความเร็วคงที่ ซึ่งมีทั้งแบบ Cruise Control
ตามปกติ และระบบ Adaptive Redar Cruise Control ซึ่งลูกค้าในต่างประเทศ ยัง
สามารถเลือกสั่งซื้อติดตั้งเพิ่มได้ต่างหาก
สิ่งที่ลูกค้า MINI ได้เฮกันเสียที อีกข้อหนึ่งก็คือ หน้าจอมอนิเตอร์สี 8.8 นิ้ว แสดง
ข้อมูลระบบ Infotainment ในรถ รวมทั้งระบบสื่อสาร MINI Connected และระบบ
MINI Find Mate (จับคู่เชื่อมกับระบบ Bluetooth ของ อุปกรณ์ Gadget ต่างๆ ของ
ตัวคุณ เพื่อใช้งานร่วมกันแบบ Synchronize) คราวนี้ ให้มาเป็นแบบ Touch Screen
กันเสียที ใช้งานง่าย รูดปรื๊ดๆ ไม่ติดขัด แถมยังมีหน้าจอ Interface แบบใหม่ ใช้งาน
สะดวกขึ้นมาก
ไม่เพียงเท่านั้น หน้าจอวงกลมตรงกลาง ยะงล้อมกรอบด้วย แถบไฟสี LED ที่สามารถ
เปลี่ยนสีได้เอง ตามการขับขี่รถยนต์ในขณะนั้น เลือกได้ว่าจะให้แสดงผลเป็นแสงและสี
Ambient ที่คุณเลือก ให้สว่างค้างไว้ เหมือนกับแถบ Ambient Light บริเวณ แผงประตู
ทั้ง 4 บาน หรือ ให้เปลี่ยนสีตามการใช้งานรถยนต์ตอนนั้นได้เลย เช่นถ้าเข้าเกียร์ถอยหลัง
วงแหวนจะเปลี่ยนสี เป็น เขียว / เหลือง / แดง ตามระยะห่างจากวัตถุ ที่อยู่ด้านหลังของ
ตัวรถ แต่ถ้าเปลี่ยนอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ไฟ LED จะเปลี่ยนโทนสี เป็นฟ้า หรือแดง
ตามการปรับเปลี่ยนของคุณ ไปจนถึงการเปลี่ยนไปเป็นสีม่วง ฯลฯ อีกมากมาย สวิตช์กด
ใช้งาน อยู่ด้านบน ติดกับสวิตช์เปิด-ปิดไฟอ่านแผนที่
ทำงานร่วมกับ แป้นสวิตช์มือหมุน กดและโยกได้ สำหรับควบคุมสั่งการระบบนำทาง
(เหมือน BMW i-DRIVE นั่นแหละ) และ Infotainment MINI Visual Boost เป็น
แบบใหม่ ยกชุดมาจาก MINI Hatchback และ Clubman ตรงกลางด้านบนของ
แป้นสวิตช์มือหมุน สามารถลากนิ้ว เพื่อใส่ข้อมูลเป็นตัวอักษรเรียงไปทีละตัวได้
เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ เบรกมือ ยังเปลี่ยนเป็นระบบสวิตช์ไฟฟ้า ดึงขึ้นเมื่อต้องการใช้งาน และ
เหยียบเบรกก่อนกดปุ่ม เพื่อต้องการปลดเบรกมือออก
ระบบความปลอดภัยที่ให้มาเป็นมาตรฐานประกอบไปด้วย Collision Warning และ
City Braking หรือระบบเตือนก่อนการชนพร้อมเบรกอัตโนมัติเมื่อใช้ในเมือง อีกทั้ง
ยังมี Adaptive Cruise Control ทำงานร่วมกับกล้อง และ ระบบตรวจจับคนเดินถนน
พร้อมเบรกอัตโนมัติ ส่วนระบบอ่านป้ายจราจรต้องติดตั้งเพิ่มเป็นอุปกรณ์เสริม (ซึ่ง
แน่นอนว่าเมืองไทยไม่มีชัวร์ๆ! เพราะป้ายจราจรเมืองไทย เลือนลางเกินกว่าระบบ
มันจะตรวจจับไหว)
********** รายละเอียดด้านวิศกรรม และการทดลองขับ **********
ขุมพลังของ Countryman F60 ที่เพิ่งประกาศออกมาสดๆร้อนๆเมื่อ 17 มกราคม 2017
มีให้เลือกมากถึง 6 ระดับความแรง เมื่อรวมเข้ากับ 2 ระบบส่งกำลัง (เกียร์ธรรมดา และ
เกียร์อัตโนมัติ) กับ 2 ระบบขับเคลื่อน (ล้อหน้า หรือ 4 ล้อ ALL4) นั่นเท่ากับว่า MINI
Countryman ใหม่ มีให้เลือก มากถึง 19 รุ่นย่อย !!
หมายเหตุไว้เล็กน้อยว่า เครื่องยนต์รุ่นไหน มีคำว่า TwinPower Turbo แปะไว้ นั่นคือ
เครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีระบบฉีดจ่ายตรงเข้าห้องเผาไหม้ Gasoline Direct Injection
หรือ GDI และติดตั้ง Turbocharger ช่วยเสริมกำลังเข้าไปอีกแรง นั่นเอง
รายละเอียด มีดังนี้
– MINI Cooper Countryman / (FWD & ALL4)
เครื่องยนต์ B38 เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,499 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0 x 94.6
มิลลิเมตร กำลังอัด 11.0 : 1 TwinPower Turbo 136 แรงม้า (HP) ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่ 1,250 รอบ/นาที ยกมาจาก BMW X1 และ MINI
F56 มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic (มีโหมด +/-)
ครบทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4
– MINI Cooper S Countryman (FWD & ALL4) <—— รุ่นที่เราทดลองขับในคราวนี้
เครื่องยนต์ B47 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0 x 94.6
มิลลิเมตร กำลังอัด 11.0 : 1 TwinPower Turbo 192 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
280 นิวตันเมตร ที่ 1,250 รอบ/นาที
– MINI Cooper D Countryman (FWD & ALL4)
เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 90.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 Direct Injection Turbocharger 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที
– MINI Cooper SD Countryman (FWD & ALL4)
เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 90.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 Direct Injection Turbocharger 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/
นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที
– MINI Cooper S E Countryman ALL4 (Plug-in Hybrid)
ยกเครื่องยนต์ B38 เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,499 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0
x 94.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.0 : 1 TwinPower Turbo 136 แรงม้า (HP) ที่ 4,400 รอบ/
นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่ 1,250 รอบ/นาที จาก Countryman
รุ่นมาตรฐาน มาพ่วงการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 88 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 165 นิวตัน – เมตร ที่รอบตั้งแต่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ทั้งหมดให้กำลังสูงสุด
รวมกัน 224 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร พร้อมระบบชาร์จไฟแบบเสียบปลั๊กกับ
ไฟบ้าน (Plug-in Hybrid) ชาร์จไฟเต็ม แล่นได้ 41-42 กิโลเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ส่วนระบบส่งกำลังรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และ Diesel ปกติ จะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
และ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF พร้อมโหมดบวก – ลบ Steptronic และแป้นเปลี่ยน
ตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย แบบเดียวกับรุ่น Clubman
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 5.250
เกียร์ 2 3.029
เกียร์ 3 1.950
เกียร์ 4 1.457
เกียร์ 5 1.221
เกียร์ 6 1.000
เกียร์ 7 0.809
เกียร์ 8 0.673
เกียร์ถอยหลัง 4.105
อัตราทดเฟืองท้าย 3.200
ระบบขับเคลื่อน มีทั้งแบบ ขับเคลื่อนล้อหน้า และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในชื่อ ALL4 ซึ่ง
หลักการทำงานก็คือ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา กระจายแรงบิดไปยังล้อหน้า
และหลัง ในอัตราส่วน 50/50 แต่จะยอมถ่ายกำลังไปสู่ล้อหลัง 100% เฉพาะกรณีเกิด
เหตุสุดวิสัยจริงๆ เช่นล้อหน้าติดหล่ม
นอกจากนี้ยังมี MINI Driving Mode เพื่อปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 3 ระดับ ประกอบไปด้วย…
Green คล้าย ECO Mode ในรถยนต์บ้านเรา คันเร่งจะตอบสนองช้ามาก เครื่องปรับอากาศ
จะทำงานแค่ 25 องศาเซลเซียส
Mid โปรแกรมการขับขี่แบบปกติสามัญชนทั่วๆไป คันเร่ง Lad จากปกติ แค่ 0.3-0.4 วินาที
แบบเดียวกับ MINI Hatchback
Sport คันเร่งตอบสนองไวขึ้นชัดเจน พวงมาลัยหนักขึ้น และถ้ารถคันไหนมีระบบ Dynamic
Damper Control ช่วงล่างก็จะหนืดขึ้น แข็งขึ้นอีกนิดนึง แต่ถ้าไม่มี ช่วงล่างก็จะเหมือนเดิม
ตามปกติ
***** สมรรถนะ (เบื้องต้น) เป็นอย่างไร *****
จากการลองจับเวลาคร่าวๆ ด้วยรถคันที่เห็นในภาพนี้ เพียงคันเดียว มีคนขับและ
ผู้โดยสารรวม 2 คน (ผมกับ คุณอู๋ Mini-th.com) รวมทั้งกระเป๋าเป้สะพายอีกแค่
คนละ 1 ใบ ไม่ทราบชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง อุณหภูมิขณะทำการจับเวลาคร่าวๆ นั้น
หนาวที่ระดับ 1 – 5 องศาเซลเซียส ตัวเลขที่ได้จากการจับเวลา มีดังนี้
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โหมด D ปกติ : 9.23 วินาที (ไม่ปลด Traction Control)
โหมด Launch Control : 8.48 วินาที (ปลด Traction Control)
อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 6.64 วินาที
แรงดึงขณะออกตัว ยังคงรับประกันความเร้าใจได้ในแบบเดียวกับที่ MINI ทุกรุ่น
ก่อนหน้านี้ เคยให้คุณมา แรงดึงที่เกิดขึ้น เพียงพอที่จะดึงแผ่นหลังคุณไปติดเบาะ
ได้ ถ้าไม่ทันตั้งตัว จากจุดหยุดนิ่ง ตัวรถพุ่งทะยานขึ้นไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
เพียงแต่ว่า ถ้าต้องการเร่งแซงในช่วงที่ใช้ความเร็วสูงเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เมื่อกดคันเร่งลงไปเต็มตีน เกียร์จะเลือกเปลี่ยนตัดลงมาในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง จึง
อาจดูเหมือนว่า ไต่ความเร็วช่วงปลายๆ ขึ้นไปไม่ไวนัก ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าไล่รอบ
และเล่นเกียร์ให้ดีๆ จะพบว่า อัตราเร่งช่วงปลาย ก็ไหลต่อเนื่องขึ้นไปได้ดีในแบบที่
หลายๆคนคาดหวัง
กระนั้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล่้อ ALL4 ที่พ่วงเข้ามา ก็มีส่วนทำให้การออกตัวนิ่งขึ้น
แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รถออกตัวได้ไวขึ้น เพราะระบบ ALL4 จะแสดงบทบาท
ได้ดี ในกรณีที่คุณขับลุยบนถนนก้อนกรวดลูกรัง หรือโคลนเลนตื้นๆ หลังฝนตกมาได้
สักพักใหญ่ๆ พอให้รถอย่าง Countryman ค่อยๆคลานๆ แบบลื่นๆ ไถลๆนิดๆพอสนุก
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบ แร็คแอนดพีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ
ไฟฟ้า Electrically supported steering (EPS) พร้อมระบบ Servotronic รัศมีวงเลี้ยว
แบบเต็มวงกลม 11.6 เมตร แบบครึ่งวงกลม 5.8 เมตร อัตราทดเฟืองพวงมาลัย 14.0 : 1
ภาพรวมแล้ว มีการปรับเซ็ตพวงมาลัยให่แอบเบาลงกว่าเดิมนิดนึงในช่วงความเร็วต่ำ
แต่ยังคงรักษาอัตราทดเฟืองพวงมาลัยไว้ในระดับเท่าๆกับรุ่นเดิม เพื่อให้ยังรักษาบุคลิก
การบังคับควบคุมที่หนักแน่น แม่นยำ และไว ไม่เฉื่อย ในช่วงความเร็วสูง ตามแบบที่กลุ่ม
คนรัก MINI น่าจะยังคงชื่นชอบ
อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตว่า พวงมาลัยยังให้สัมผัสที่พอจับอาการได้ว่า มีความเป็น
พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าอยู่บ้าง ในช่วงที่ต้องเลี้ยงประคองพวงมาลัย ซึ่งยังอาจ
ต้องปรับปรุงให้ Linear เพิ่มขึ้นอีกเพียงนิดเดียว ก็จะสมบูรณ์แบบลงตัว
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link ถูกปรับแต่ง
ให้นุ่มนวล และซับแรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำ ได้ดีกว่าเดิมมาก จนกระทั่งต้องถามเลย
ว่า ตกลงนี่คือ เรากำลังขับ MINI หรือ ขับ BMW ยุคใหม่ๆ กันแน่
ข้อดีของการเซ็ตช่วงล่างแบบนี้ก็คือ การขับขี่ทางไกล จะสบายขึ้น ลดความตึงเครียด
ที่เคยเกิดขึ้นกับ Countryman รุ่นเดิม ได้ชัดเจนมากๆ จนต้องขอชมเชยการปรับปรุง
ในข้อนี้จริงๆ เพราะถึงแม้จะปรับปรุงช่วงล่างให้ซับแรงสะเทือนได้นุ่มนวลขึ้น แต่ยังคง
ทิ้งโค้งได้อย่างสวยงาม และคล่องแคล่ว ฉับไว เอาอยู่อย่างไม่ต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น
ตามเดิม
การทรงตัวในย่านความเร็วสูง แม้จะไต่ขึ้นไปถึงระดับ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ก่อนจะถอน
ลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เสี่ยงโดนตำรวจทางหลวงอังกฤษ ยิงเรดาห์มาเจอ) ก็ยังคง
หนักแน่น นิ่ง และไว้ใจได้สบายๆ ตามแบบฉบับของ MINI
ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยมาตรฐาน ดังนี้
– ระบบ ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem)
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution)
– ระบบควบคุมแรงเบรคขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brak Control)
– ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
– ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรคในภาวะฉุกเฉิน BA (Brake Assistance)
– ระบบป้องกันการลื่นไถล DTC (Dynamic Traction Control)
– ระบบควบคุมเฟืองท้าย EDLC (Electronic Differential Lock Control)
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HA (Hill Assist)
สิ่งที่ผมมองว่าควรปรับปรุงเพิมเติมคือ การตอบสนองของแป้นเบรกในรถรุ่นเดิมนั้น Linear
และแม่นยำ ตามสั่งได้ดังใจ ทว่า พอเป็นรุ่นใหม่ F60 แป้นเบรกมีระยะเหยียบสั้นพอกันกับ
รุ่นเดิม ทว่า น้ำหนักแป้นเบรก กลับเบากว่า แถมไม่ Linear เท่าที่ควร กะระยะเหยียบเบรก
ในช่วงความเร็วต่ำค่อนข้างยากมากในช่วงแรกๆที่ขึ้นขับ ทำเอาหัวทิ่มหัวตำไปสองสามที
อยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อต้องเหยียบเบรกเพื่อหน่วงรถลงมาจากช่วงความเร็วสูงๆ ยอมรับเลยว่า ระบบเบรก
ทำงานได้หนักแน่นและมั่นใจขึ้นกว่ารุ่นเดิมชัดเจนมากๆ ตามแบบฉบับของรถยุโรปที่ดี
หากนำ 2 ความแตกต่างนี้มาวิเคราะห์รวมกัน น่าจะเดาได้ว่า MINI คงอยากจะเซ็ตเบรก
ให้บรรดาคุณสุภาพสตรี ขี้ตกใจ ได้หยุดรถไวขึ้น ระยะทางสั้นลง เพียงแค่เหยียบลงไป
ไม่ต้องลึกมาก ระบบ EBD และ Brake Assist ก็ทำงานไวมากจนรถแทบจะหน้าทิ่มเลย
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จริง ถือว่าน่าเสียดายมาก ที่คุณสมบัติด้านบวกที่ผมเคยประทับใจในรุ่น
R60 เดิม ได้ถูกลดทอนลงไป เพียงเพาะเหตุผลในการทำตามผลวิจัยลูกค้า
ถ้าเป็นไปได้ อยากขอให้ปรับการเซ็ตแป้นเบรกเป็นแบบเดิม แต่นั่นคงไม่ทำให้ลูกค้า
กลุ่มสุภาพสตรี จะชื่นชอบนักแน่ๆ
อย่างว่าละครับ ยังไงๆ การซื้อรถเข้าบ้านสักคัน คุณสุภาพสตรี ย่อมมีเสียงดังกว่าบรรดา
พ่อบ้านใจกล้าทั้งหลายอยู่แล้วนี่เนาะ
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
หนุ่มชนบท ที่โตขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และเอาใจลูกค้าทั่วไปมากขึ้น
แม้จะเป็นการลองขับในระยะทางสั้นๆ ไม่ไกลนัก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราได้
ทำความรู้จัก กับ MINI Countryman รุ่นที่ 2 มากขึ้น
ความแตกต่างจากรุ่นเดิม รวมทั้งหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เพิ่มเติมเข้ามา
สามารถสรุปได้รวม 10 ข้อ ดังนี้
1. ตัวรถใหญ่โตขึ้น แถมยาวขึ้นอีก 20 เซ็นติเมตร
2. เบาะนั่ง 5 ตำแหน่ง ที่มีขนาดใหญ่ และมีพื้นที่วางขากับ Headroom เยอะขึ้น
3. ฝาท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบ เตะอากาศใต้กันชนหลัง เพื่อสั่ง
เปิด – ปิด แบบ Touchless เป็นครั้งแรกใน MINI
4. MINI Picnic Bench ยกพื้นห้องเก็บของ ขึ้นมา ดึงลากแผงผ้าใบบุนุ่มออกมา
กางออก เพื่อใช้นั่งชมวิว ที่ท้ายรถได้ หรือป้องกันกันชนหลังเป็นรอยตอนขนย้าย
สัมภาระได้อีกด้วย
5. ครั้งแรกของ MINI ที่มีรุ่น Plug-in Hybrid
6. ขุมพลังชุดใหม่ เกียร์ลูกใหม่ (อันที่จริง ก็ยกชุดมาจากตระกูล F56 นั่นแหละ)
พ่วงเข้ากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4
7. หน้าจอมอนิเตอร์ตรงกลาง เป็นแบบ Touch Screen ครั้งแรกของ MINI (ซะที)
8. MINI Country Timer แสดงข้อมูลระบบขับเคลื่อน ขณะขับขี่บนพื้นถนนออฟโรด
9. MINI Connected App เวอร์ชันใหม่ Interface ใหม่ สวย เร็วใช้งานง่ายกว่าเดิม
10. MINI Find Mate พ่วง Bluetooth tag เข้ากับ Gadget ในชีวิตประจำวันของคุณ
J!MMY คิดอย่างไร?
ในฐานะของคนที่เพิ่งจะได้ลองขับ Countryman รุ่นเดิม ก่อนจะบินมาลองขับรุ่น
ใหม่ล่าสุดที่อังกฤษ ผมคิดว่า เราได้เห็นพัฒนาการของ Countryman ชัดเจนขึ้น
จากเด็กหนุ่ม ผู้ไม่ประสีประสาโลกนัก ทำอะไรครึ่งกลางๆ มีความเป็น MINI อยู่
แต่ยังไม่ลงตัว ยังตามใจตนเอง แข็งกระด้าง จนหลายๆคน พากันส่ายหัว
มาวันนี้ 6 ปีผ่านไป เจ้าหนุ่มชนบทของเรา เติบโตขึ้น และเริ่มเรียนรู้ว่า ถ้าต้องการ
ให้คนรอบข้างยังรักและเอ็นดูอยู่ ตนก็ต้องปรับตัวให้ดีขึ้นในภาพรวม รู้จักเอาใจเขา
มาใส่ใจเรามากขึ้น แต่ยังต้องไม่ทิ้งบุคลิกรากเหง้าดั้งเดิมอันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คน
เขาชื่นชอบกัน
Countryman ใหม่ ก็เป็นเช่นนั้น การขยายขนาดตัวถังให้กว้างขึ้น ยาวขึ้น ทำให้
บรรยากาศในห้องโดยสาร ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้น ไม่อึดอัดคับแคบจนปวดหัว
เหมือนแต่ก่อน
สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ MINI มาก่อน แล้วอยากจะทดลองอุดหนุนสักคัน ผมมองว่า
Countryman F60ใหม่ เป็นรุ่นเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะบุคลิกของรุ่นใหม่ ถึงจะรักษา
อารมณ์ขับสนก ตามสไตล์ MINI เอาไว้ได้ดี แต่ก็มีการปรับปรุงให้การตอบสนอง
เอาใจกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมทั้งกลุ่มผู้สูงวัย มากขึ้น ทั้งด้วยการปรับพวงมาลัยให้เบา
ยิ่งขึ้น แป้นเบรกเบากว่าเดิม ขับขี่ง่ายขึ้น ไม่รู้สึกเหนื่อยขณะเดินทางไกลอีกต่อไป
นี่คือแนวทางที่ MINI เลือกแล้วว่าจะเดินไปหาลูกค้ากลุ่มใหญ่ ชาวอเมริกัน กว่า
25% ส่วนลูกค้าชาว จีน อีก 15% และ ในอังกฤษอีก 10% เป็นกลุ่มเป้าหมายรอง
ซึ่ง MINI ไม่อาจละเลยได้แน่ๆ
แต่ในความเห็นของผม สิ่งเดียวที่ควรปรับปรุงก็คือ Feeling ของแป้นเบรก ซึ่งมัน
เบาไป เมื่อขึ้นขับครั้งแรกอาจจะกะระยะเหยียบค่อนข้างยาก ต้องอาศัยความคุ้นชิน
พักใหญ่เลยทีเดียว เรื่องแป้นเบรกนี้ รถรุ่นใหม่ ยังสู้รุ่นเดิมไม่ได้ แต่ความมั่นใจและ
ระยะหยุดรถของรุ่นใหม่ ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมมาก!
กำหนดการเปิดตัว :
Countryman ใหม่ จะเริ่มออกสู่ตลาดยุโรปในเดือนมีนาคม 2017 ให้ทันงาน
Geneva Motor Show โดยรุ่น Cooper และ Cooper S จะถูกปล่อยออกมา
เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยรุ่น John Cooper Works ซึ่งถือเป็นรุ่นแรงที่สุด
ในตระกูล (งวดนี้ เปิดตัวออกมาตามติดในระยะกระชั้นชิดระดับเผาขนมากๆ
เพราะตามปกติ รุ่น JCW มักจะต้องปล่อยให้รุ่นหลัก เปิดตัวทิ้งช่วงไปพักนึง
เสียก่อน) ส่วนรุ่น Cooper S E ALL4 ซึ่งเป็นขุมพลัง Plug In Hybrid จะ
ตามมาภายหลัง โดยออกสู่ตลาดยุโรปในเดือนมิถุนายน 2017 นี้
สำหรับ ประเทศไทย BMW Thailand กำลังอยู่ในระหว่างเตรียม สั่งนำเข้า
Countryman F60 ล็อตแรก เป็นแบบ CBU ทั้งคัน มาเปิดตัวในบ้านเรา ณ
งาน ฺBangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2017 นี้
ราคา?
ยังไม่ได้กำหนดแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ในช่วงแรก ต้องทำใจก่อนว่า รถนำเข้าทั้งคัน
มันแพงกว่า รุ่นปัจจุบันที่ประกอบในประเทศไทย แน่ๆ คุณอู๋ Mini-th.com
ประเมินไว้ว่า ราคาน่าจะแพงกว่า รุ่นท็อปของ MINI Clubman ไปนิดเดียว
(ไม่ควรจะเกิน 3.5 ล้านบาท เพราะถ้าเกินกว่านี้ ลูกค้าก็คงพากันส่ายหัว)
จะมีรุ่นประกอบในประเทศหรือไม่?
ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ตอนนี้ ยังไม่มีใครบอกได้ แต่ยังพอมีความหวัง
อยู่บ้างว่า ถ้าเป็นไปได้ เราอาจจะได้เห็น Countryman เวอร์ชันประกอบไทย
กันในระยะเวลาไม่นานจนเกินไปนัก
แล้ว J!MMY จะทำรีวิว เวอร์ชันไทย หรือไม่?
ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อไหร่ โชคชะตาและฟ้าจะลิขิตให้ ผมกลับมาเจอกับ เจ้าหนุ่มชนบท
เวอร์ชัน โตขึ้น คันนี้อีกครั้ง
เมื่อไหร่ เดี๋ยวก็รู้เอง!
—————————///————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
คุณ กฤษฎา อุตตโมทย์
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร
คุณ พิศมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้
คุณ อติชาญ เชิงชวโน (คุณอู๋)
เจ้าของรายการ Digi LIVE และ เว็บไซต์ http://www.MINI-TH.com
สำหรับข้อมูลสนับสนุนการเขียนบทความในครั้งนี้
คุณ กันตพงษ์ สมชนะ (เติ้ง) The Coup Team
สำหรับการช่วยเตรียมข้อมูลประกอบบทความ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้นภาพถ่ายรถจากภายนอกบางภาพ เป็นของ BMW AG.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
24 มกราคม 2017
Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 24 th,2017
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!
[บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม]
J!MMY Talk : ทริปการเดินทาง บินไปดูการเติบโตของ “เจ้าหนุ่มชนบท” ถึงอังกฤษ !
http://www.headlightmag.com/jimmy_talk_uk_visti_mini_january_2017/