แม้ฟอร์มการจัดงาน Paris Motorshow 2012 ประจำปีนี้ดูจะคึกคักมากกว่าหลายปีก่อน มีทั้งรถยนต์และรถต้นแบบ
ใหม่ ๆ พร้อมหน้ากันอวดโฉมให้สื่อมวลชนและผู้เข้าชมตื่นตาตื่นใจกัน แต่ดูเหมือนบรรยากาศงานโดยรวมไม่ได้คึกคักตาม
จำนวนที่อวดโฉมกันเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีกันอยูว่าสภาพเศรษฐกิจในยุโรปเข้าขั้นวิกฤตจนกระทบต่อ
ยอดขายรถยนต์ในตลาดยุโรปโดยตรง ต่อให้ค่ายรถกระตุ้นต่อมความอยากได้รถด้วยการเปิดตัวรถดีขั้นเทพมากมายแค่
ไหน แต่ทุกคนก็ต้องชำเลืองเงินในกระเป๋าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถมากกว่าสมัยก่อนมาก ๆ
ทุกค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมจัดบูธในงาน Paris Motorshow 2012 ต่างพากันคาดหวังว่าจะเป็นชนวนเล็ก ๆ ที่จะช่วยกัน
พลิกฟื้นตลาดรถยนต์ภูมิภาคยุโรปให้กลับมาทรงตัวและดีขึ้นในระยะสั้นสอดคล้องกับนักวิเคราะห์และผู้บริหารรถยนต์
บางท่านได้ทำนายไว้ว่าตลาดรถปี 2013 อาจจะฟื้นตัวขึ้นแน่นอน บ้างก็ว่าน่าจะมียอดขายกลับไปสู่ยุค 2000 ต้น ๆ บ้าง
ก็ว่าตลาดรถยุโรปมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างถาวรก็น่าจะทำให้ค่ายรถทุกค่ายต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
แม้บรรยากาศในงานอาจจะไม่เป็นใจนักสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ แต่เราก็เชื่อมั่นว่างานนี้แหล่ะคืองานที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้น
สำหรับผู้อ่านชาว Headlightmag ที่รักรถอย่างมากอย่างแน่นอน งานนี้มีรถยนต์รุ่นใหม่รวม 33 โมเดล จากรถที่อวดโฉม
มากกว่า 100 รุ่นจากผู้ผลิต 253 ราย
ปีนี้มีรถยนต์ค่ายฝรั่งเศสบางค่ายถนอมเนื้อถนอมตัวในการจัดบูธ ไม่ได้โชว์ความยิ่งใหญ่อลังการมากนัก ผิดกับค่ายรถ
เยอรมันที่มาท๊อปฟอร์มแบบสุด ๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากค่าย Volkswagen Group นั่นเอง
งานประจำปีนี้จะมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในยุโรปได้หรือไม่ คงต้องมาดูกันเลย
Audi
แค่ค่ายแรกก็น่าจะเรียกเสียงสูดปากกันได้ไม่น้อย เมื่อ Audi แนะนำรถต้นแบบ Audi Crosslane Coupe Concept ถ้า
หากจะให้แปลชื่อกันตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยก็น่าจะแปลว่ารถ Audi คร่อมเลน เรื่องชื่อรถจะเป็นอย่างไรก็คงไม่ต้องไปสนใจกัน
เรามาดูกันที่ตัวรถกันเลยดีกว่า
Audi Crosslane Coupe Concept จะเป็นร่างทรงของ Audi Q2 ครอสโอเวอร์คูเป้ 3 ประตูที่จะมาต่อกรกับ Mini
Paceman หรือ Range Rover Evoque รุ่น 3 ประตู โดยรวมมีดีไซน์ที่แตกต่างจาก Audi รุ่นอื่นพอสมควรเลย ก็น่าจะทำ
ให้ผู้ที่เริ่มเอียนดีไซน์แบบเดิม ๆ เริ่มหันกลับมามอง Audi มากขึ้น ตัวรถก็ออกแบบมาแนวเหลี่ยมสันและคมคายไปเลย
คาดว่าเอสยูวีรุ่นพี่ที่จะเปลี่ยนโฉมในอนาคตน่าจะมีเส้นสายในลักษณะเหลี่ยมสันมากขึ้น เพราะ Audi ต้องการสร้าง
เอกลักษณ์งานออกแบบให้แยกกลุ่มตัวถังให้ชัดเจนกันไปเลย
Audi Crosslane Coupe Concept บรรจุเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายอย่าง อาทิ พื้นตัวถัง Space frame ที่ใช้วัสดุหลาก
ชนิดไม่ว่าจะเป็น อลูมิเนียม, คาร์บอนไฟเบอร์ CFRP และไฟเบอร์ใยแก้วโพลิเมอร์ GFRP ช่วยทำให้ตัวรถมีน้ำหนักแค่
เพียง 1,390 กิโลกรัม หลังคาสามารถถอดออกได้เหมือนกับรถเปิดประทุนยุคเก่า และติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ใหม่
ล่าสุด
ขุมพลัง Plug-in Hybrid ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน 3 สูบ 1.5 ลิตร TFSI ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูก
ให้กำลังรวมกัน 177 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.6 วินาที หากวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าจะมีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งโหมดรถไฟฟ้า
ระยะทางสูงสุด 86 กิโลเมตร
ดูแล้วน่าตื่นเต้นน่าดู คงต้องรอกันสักพักหนึ่งถึงจะได้จับจองกันได้
Audi RS5 Cabriolet ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 แบบ FSI ความจุ 4.2 ลิตรมาประจำการเช่นเคย โดยพก
กำลัง 450 แรงม้าติดตัว พร้อมแรงบิด 430 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ S-Tronic 7 จังหวะ
ส่งกำลังทั้งหมดผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ที่แบ่งกำลังในอัตราส่วน 40:60 (ล้อหน้า:ล้อหลัง) ซึ่ง
สามารถส่งถ่ายกำลังตามสภาพการขับขี่ ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดนี้ ช่วยสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ใน
เวลา 4.9 วินาที และถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 250 กม./ชม.
สำหรับฟังก์ชันการเปิดประทุน สามารถเปิดประทุนได้ด้วยการใช้เวลาเพียง 15 วินาที และ 17 วินาทีสำหรับการปิด
ประทุน ด้านรูปลักษณ์มาพร้อมการตกแต่งสไตล์รหัส RS ด้วยสปอยเลอร์หน้าสีเทา สวมล้ออะลูมินัมขนาด 19 นิ้ว
โดยมีล้อขนาด 20 นิ้วให้เลือกเป็นพิเศษ
2013 Audi RS5 Cabriolet พร้อมออกจำหน่ายในประเทศเยอรมนีเป็นที่แรก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2013 และ
ยังไม่มีแผนการขายในภูมิภาคอื่นประกาศออกมาในตอนนี้ครับ
Bentley
Bentley ประกาศคืนสังเวียนมอเตอร์สปอร์ตอีกครั้งด้วยการแนะนำรถแข่ง Continental GT3 concept ถูกสร้างขึ้นบน
พื้นฐาน New GT ที่ Bentley เคลมว่า GT ใหม่เป็นรถวิ่งถนนที่เร็วที่สุดในโลก ในเมื่อรถรุ่นมาตรฐานดีเยี่ยมอยู่แล้ว
Bentley จึงสามารถต่อยอด GT3 Concept ให้กลายเป็นรถแข่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก
Bentley GT3 Concept จะถูกปรับจูนสมรรถนะให้ดีขึ้นไปอีก, สามารถขับขี่ในความเร็วสูงได้อย่างโดดเด่น, ปรับปรุง
ระบบส่งกำลังและตัวรถรอบคันเพื่อให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ก็แน่นอนว่ารถแข่งคันนี้ถูกรับรองโดยสมาพันธ์
FIA เรียบร้อยแล้ว และนี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรุกมอเตอร์สปอร์ตในระยะยาวของ Bentley
BMW
ปีนี้มาแปลก เรานึกว่า BMW จะจัดเต็มในงานนี้ แต่กลับส่งรถต้นแบบ BMW Concept Active Tourer มาเพียงแค่คัน
เดียวซึ่งรถต้นแบบคันนี้จะเป็นร่างทรงของ BMW 1-Series GT มาในรูปแบบมินิแวนขนาดกะทัดรัด 5 ที่นั่งแตกต่างจาก
GT รุ่นพี่ที่จะเน้นความเป็นรถลูกผสมแวกอนมากกว่ามินิแวน รูปลักษณ์มาในลักษณะทรงลิ่ม เน้นความลู่ลม พร้อมไฟ
หน้า LED และกระจังหน้าพร้อมกันชนที่มีความสปอร์ต ต่อเนื่องด้วยเส้นแนวหลังคาที่ตวัดขึ้นอย่างโฉบเฉี่ยว สปอยเลอร์
หลัง พร้อมการสวมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และมีระยะฐานล้อหน้า-หลังกว้างถึง 2,670 มม.
สำหรับรูปลักษณ์ภายใน ยังคงใช้เส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW มาพร้อมการบุหุ้มหนังแท้ ผสานเข้ากับ
ลายไม้และเน้นการตกแต่งสีส้ม มาตรวัดของ Concept Active Tourer ใช้ระบบหน้าจอดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว
พร้อมระบบ Head-Up Display นอกจากนี้ไฮไลท์ของห้องโดยสารจะอยู่ที่ระบบอินโฟเทนเมนท์รูปแบบใหม่
เบาะหลังแยกพับได้ หลังคากระจกแบบกว้างพิเศษพร้อมเทคโนโลยี Suspended Particle Device (SPD) ที่
ผู้ขับขี่สามารถกำหนดปริมาณแสงที่จะให้สาดส่องผ่านเข้ามาในห้องโดยสารได้
ขุมพลังที่ใช้ในรถต้นแบบคันนี้เป็นรูปแบบ Plug-In Hybrid อันประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 1.5 ลิตร
ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ Li-ion สร้างกำลังรวมได้ถึง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 200 นิวตัน-เมตร
มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาต่ำกว่า 8 วินาที และสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกล
ถึง 30 กม. อย่างไรก็ตาม Concept Active Tourer สามารถสร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ต่ำเช่นกัน
โดยอยู่ที่ 40 กม./ลิตร
เศรษฐีท่านใดที่อยากใช้รถ BMW 1-Series GT คงจะต้องรอกันถึงปี 2014 กันเลย
Chevrolet
มีงานมอเตอร์โชว์ในยุโรปเมื่อใด Chevrolet ก็ต้องมีรถรุ่นใหม่มานำเสนอเมื่อนั้น
งานนี้จึงไม่พลาดที่จะส่ง Chevrolet Trax เอสยูวีรุ่นใหม่ระดับ B-Segment หมายมั่นปั้นมือเพื่อแข่งขันกับ
Nissan Juke, Ford EcoSport และคู่แข่งอีกสารพัด
Chevrolet Trax ถือเป็นเอสยูวีที่ถูกถ่ายทอดจากประสบการณ์การพัฒนาเอสยูวีมาช้านานจนน่าเชื่อถือได้ Trax มา
พร้อมกับความล้ำสมัย รองรับทุกการใช้งานและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สมรรถนะการควบคุมเหมือนกับรถยนต์นั่ง
ผสานกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
มิติตัวถังของ Chevrolet Trax มีขนาดยาว 4,248 มม. มีความยาวฐานล้อ 2,555 มม. มาพร้อมกับเส้นสายภายนอกที่ดู
ทรงพลังให้ความปราดเปรียวและพร้อมมุ่งไปข้างหน้า โลโก้โบว์ไทสีทองถูกประทับโดดเด่นอยู่บนกระจังหน้าแบบสองชั้น
Chevrolet Trax มีพื้นที่ภายในที่กว้างขวางรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ให้ความสะดวกสบายด้วยตำแหน่งเบาะนั่งที่ค่อนข้าง
สูง Trax ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองการขับขี่ทุกรูปแบบ ทั้งการเดินทางทั้งครอบครัว และไลฟ์สไตล์แบบตัวคนเดียว
พร้อมกับมีศักยภาพลุยเส้นทางออฟโรดได้เช่นกัน
ขุมพลังมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.4 ลิตร เทอร์โบ เครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล
เทอร์โบ 1.7 ลิตรให้เลือกใช้ สำหรับเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบที่ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้พละกำลังสูงสุด 140
แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ซึ่งเกียร์ธรรมดาจะมาพร้อมกับระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ (Start/Stop) ด้วย
ขณะที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดจะมีเฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบ และ 1.7 ลิตร
ดีเซล ซึ่งให้พลังสูงสุดอยู่ที่ 130 แรงม้า
ภายในห้องโดยสารมีความเรียบหรูสะอาดตา การออกแบบแผงมาตรวัดทีผสมผสานการแสดงผลแบบดิจิตอลและ
อนาล็อกเข้าไว้ด้วยกัน มีเนื้อที่เก็บสัมภาระความจุสูง 358 ลิตรแล้ว ยังมีช่องเก็บของบริเวณเหนือคอนโซล ด้านข้าง
คอนโซล ใต้เบาะที่นั่ง รวมถึงช่องเก็บของใต้พื้นรถ
เบาะที่นั่งของแทรกซ์พับแบบแยกส่วนได้ 60/40 ขณะที่เบาะหน้าด้านคนนั่งสามารถพับให้แบนราบได้เพื่อเพิ่มความ
ยืดหยุ่นในการใช้งาน ขณะเดียวกัน ยังสามารถเลือกใช้เบาะแบบ 8 ที่นั่งได้อีกด้วย
Chevrolet Trax รุ่นบน ๆ จะติดตั้งระบบเชฟโรเลต มายลิงค์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นระบบอินโฟ
เทนเมนท์ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนแสดงผลผ่านหน้าจอสีความละเอียดสูงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว โดยในช่วงปลายปีนี้
มายลิงค์ จะรองรับระบบนำทางที่สามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ทางสมาร์ทโฟน โดยจะคำนวณเส้นทางผ่านสมาร์ทโฟน
ก่อนแสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัส
Chevrolet Trax ติดตั้งระบบความปลอดภัยทั้งแบบป้องกันและแบบเตรียมพร้อมครบครันเพื่อความปลอดภัยของ
ผู้โดยสารทุกที่นั่งหากเกิดอุบัติเหตุ โดยมีถุงลมนิรภัย 6 ลูก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) ระบบป้องกันการ
ไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TC) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจาย
แรงเบรกอิเลกทรอนิก (EBD) ขณะที่ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากจูง (TSA) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทาง
ลาดชัน (HDC) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น LT
หากคุณผู้อ่านคิดอยากจะได้รถคันนี้ เราคงต้องขอแสดงความเสียใจอย่างมากว่า GM Thailand ยังไม่คิดจะนำรถคันนี้มา
ทำตลาดในเมืองไทยครับ
Chevrolet Spark Minorchange ก็ปรับรูปโฉมให้มีความสวยสดใสมากขึ้น เราสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่
ชัดเจนคือการเปลี่ยนชุดกระจังหน้าให้เล็กลงและกันชนหน้าทรงสปอร์ตมากขึ้น ส่วนด้านหลังก็ติดตั้งไฟเบรคดวงที่ 3
หลอด LED ส่วน ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับแผงแดชบอร์ดส่วนกลางให้ดูสวยซึ้งและน่าใช้งานขึ้นเล็กน้อย
Chevrolet Spark ก็หมดสิทธิ์ที่จะขายในเมืองไทยเช่นกัน
Citroen
Citroen DS3 Cabrio มาอวดโฉมในฐานะรถคู่แข่ง Fiat 500C โดยตรงซึ่งถือเป็นรถเล็กเปิดหลังคาแบบถลกหลังคาผ้าใบ
(เพราะพับหลังคาไม่ได้) ติดตั้งกลไกหลังคาถลกได้นี้ คล้ายกับใน Fiat 500 Cabrio ตามที่ได้เคยรายงานเอาไว้ โดยชุด
หลังคาจะทำจากผ้าทอพิเศษที่จะมีความหนาและแข็งแรงพิมพ์ลายแพทเทิร์นสวยงาม และกลไกการถลกหลังคาผ้านี้จะ
หยุดเป็น 2 จังหวะโดยจังหวะแรกจะหยุดที่เสา C ของตัวรถ และจังหวะที่ 2 คือร่นลงไปจนถึงฝากระโปรงท้าย เพื่อให้
สุนทรีย์แห่งการท้าสายลมและแสงแดดขณะขับขี่อย่างเต็มที่ โดยการทำงานของกลไกนี้จะทำได้ทุกความเร็วตั้งแต่
0-120 กม./ชม.
ลูกค้าในไทยคงต้องติดตามข่าวกันต่อไป เพราะตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะนำเข้ามาจำหน่าย
Dacia
แม้ Dacia เป็นค่ายรถในเครือ Renault แต่ดูเหมือนว่าบูธ Dacia จะโดดเด่นกว่าบริษัทแม่เสียอีก เพราะงานนี้ Dacia
ลงทุนเปิดตัว All New Dacia Logan และ Sandero/ Sandero Stepway สองคันสองบอดี้จับตลาดรถราคาถูกราคา
สุดคุ้ม ภายใต้ดีไซน์ที่ดูดีขึ้น ให้ออพชั่นที่หรูหรามากขึ้น เรียกว่าสร้างความฮือฮาให้กับผู้เข้าชมงานระดับหนึ่ง
All New Dacia Logan และ Sandero/ Sandero Stepway มีดีไซน์ที่ดูดีขึ้นและทันสมัยสมกับเป็นรถยุค 2012 เส้น
สายโดยรวมเรียบง่าย สัดส่วนตัวรถมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น ภายในห้องโดยสารก็มีขนาดที่กว้างขวาง พร้อมทั้งติดตั้ง
ออพชั่นที่หรูหราจนไม่คิดว่ามันจะติดตั้งในรถราคาประหยัด ได้แก่ ระบบเครื่องเสียง Dacia Plug&Radio สั่งงานผ่าน
หน้าจอขนาดใหญ่ รองรับไฟล์เพลง mp3 สามารถฟังเพลงผ่านอุปกรณ์ไร้สาย Bluetooth หรือผ่าน USB ผู้ขับขี่สามารถ
ควบคุมเพลงบนปุ่มที่พวงมาลัย, ระบบ MEDIA NAV ระบบความบันเทิงและระบบนำทางสมบูรณ์ที่สามารถสั่งงานผ่าน
หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เพื่อแสดงผลแผนที่ 2 มิติและ 3 มิติ, ระบบ Speed Limiter/Cruise Control/ เซนเซอร์ช่วย
จอด เรียกได้ว่าหรูหราเกินราคากันเลยทีเดียว
Ford
มีงานมอเตอร์โชว์เมื่อไร Ford ก็ต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่เรื่อย ๆ ปีนี้ขอนำเสนอ Ford Fiesta Minorchange ปรับโฉมเสีย
จนนึกว่า Aston Martin น้อยจนช่วยเพิ่มความพรีเมี่ยมให้กับ Ford Fiesta ได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว โคมไฟหน้าโดดเด่น
ด้วยดีไซน์ที่คมสันเหมือนเส้นเลเซอร์ ติดตั้งหลอดไฟ LED และหลอดไฟส่องสว่างตอนกลางวัน Daytime Running
Lamp และเสริมความมีพลังด้วยซุ้มโป่งล้อหน้าที่เล่นเส้นสันเด่นนูนชัดมากขึ้น ด้านท้ายก็มีการปรับปรุงรายละเอียดโคม
ไฟท้ายใหม่ดูล้ำสมัยมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความสุนทรีย์และกลมกลืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงแผง
ควบคุมชุดเครื่องเสียงให้แลดูคล้ายกับ Ford Focus รุ่นท๊อปและเปลี่ยนแผงชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศให้ดูดีขึ้น
พิเศษ Ford ลงทุนเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานล้ำสมัยให้กับ Fiesta จนสร้างมาตรฐานใหม่ให้โดดเด่นเหนือกว่ารถ
ระดับเดียวกัน ได้แก่ ระบบ Active City Stop ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติขณะวิ่งความเร็วต่ำ, Ford SYNC ระบบการ
เชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องเล่นภายนอกเข้ากับวงจรภายในรถผ่าน USB และ Bluetooth สามารถสั่งงานเสียงเพื่อโทรออก
และเล่นเพลง รวมถึงสามารถเรียกใช้บริการฉุกเฉินได้ด้วย
นอกจากนี้ Ford ยังแนะนำฟีเจอร์พิเศษใหม่ล่าสุด MyKey ระบบที่ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าความปลอดภัยของรถก่อนที่
จะให้ลูกหลานของท่านขับเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากประสบการณ์การขับขี่อันน้อยนิดของลูกหลาน ได้แก่ สามารถตั้งเตือน
ความเร็วสูงสุดและตั้งค่าความดังสูงสุดของเครื่องได้, ระบบจะปิดเสียงจากชุดเครื่องเสียงทั้งหมดจนกว่าจะคาดเข็มขัด
นิรภัยเสียก่อน
Ford Fiesta Minorchange จะติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดที่ Ford ภูมิใจนำเสนอ คือ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost
เครื่องยนต์ดีเด่นที่ติดเข้ารอบการตัดสินรางวัล International Engine of the Year ประจำปี 2012
กำหนดการเปิดตัวจะมีขึ้นในงาน Paris Motorshow 2012 สำหรับตลาดไทยเราอาจจะได้เห็น Ford Fiesta
Minorchange ราวปี 2013 และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่จะได้สัมผัสเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost ด้วย
Ford Transit Connect ก็นำมาอวดโฉมในงาน Paris Motorshow 2012 โดยไร้เงารุ่นพี่ใหญ่อย่าง Transit เราเข้าใจ
ว่า Transit ใหม่มันเป็นรถที่เน้นการขนส่งเอามาก ๆ ส่วน Transit Connect เป็นรถที่สามารถดัดแปลงได้เพื่อใช้งานส่วน
บุคคลได้บ้าง
All New Ford Transit Connect เป็นรถตู้ขนาดย่อมพิกัดบรรทุกต่ำกว่า 1 ตัน ชูจุดเด่นด้านค่าบำรุงรักษาไม่แพงและมี
ความสามารถในการบรรทุกเกินคาด มีให้เลือกทั้งรุ่นฐานล้อสั้นและฐานล้อยาว ชูจุดเด่นด้านการปล่อยค่าไอเสียต่ำและ
ประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาส เครื่องยนต์สำหรับตลาดยุโรปจะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ส่วนตลาดอเมริกาเหนือจะใช้
เครื่องยนต์ตามความเหมาะสมของตลาด
จุดเด่น All New Ford Transit Connect ที่แตกต่างจากคู่แข่งคือภายในห้องโดยสารที่ให้อารมณ์เดียวกับรถเก๋งและมี
ความประณีตในการประกอบ
คันสุดท้าย Ford ได้อวดโฉม All New Ford Mondeo รูปร่างหน้าตาก็เป็นฝาแฝดเดียวกับ Ford Fusion โฉมใหม่ใน
ตลาดอเมริกาเหนือตามนโยบายการพัฒนารถยนต์สำหรับทั่วโลก One Ford แต่ในรายละเอียดของ Mondeo ใหม่จะ
แตกต่างจากบ Fusion ในตลาดอเมริกาเหนือก็ตรงที่ Mondeo ใหม่ได้ใช้โคมไฟหน้า LED , ภายในห้องโดยสารก็ถูก
ปรับปรุงให้ดูน่าใช้กว่า Fusion ด้วยวัสดุภายในที่ดูคุณภาพสูง เป็นต้น
ขุมพลังของ All New Ford Mondeo ใหม่จะมีให้เลือกหลากหลายมากตั้งแต่เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร Ecoboost, 1.5 ลิตร
Ecoboost, 2.0 ลิตร Ecoboost ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลมีให้เลือกตั้งแต่ 1.6 ลิตร ECOnetic, 2.0 ลิตร TDCI และขุมพลัง
Hybrid จับคู่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ส่วนลูกค้าชาวไทยก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป
Honda
ดาวเด่นของบูธมีเพียงแค่ Honda CR-Z Minorchange (ที่โดนงานโชว์รถอินโดนีเซียอวดโฉมตัดหน้าไปเรียบร้อย) สีม่วง
แสบตาเพียงเท่านั้น ด้านหน้า CR-Z Minorchange ถูกปรับปรุงกระจังหน้าลายรังผึ้งขนาดใหญ่, ติดตั้งหลอดไฟ
Daylight Runtime LED, ติดตั้ง Diffuser ท้ายและเปลี่ยนลายอัลลอยใหม่ 17 นิ้ว ภายในห้องโดยสารเปลี่ยนแปลง
เล็กน้อย เปลี่ยนแปลงมาตรวัดความเร็วให้ดูตื่นตามากขึ้น
งานนี้ Honda ไม่ได้ปรับโฉมหน้าตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Honda ยังลงทุนปรับปรุงงานวิศวกรรมพื้นฐานเพื่อเอาใจ
นักขับขี่มากยิ่งขึ้น (หลังจากมีเสียงบ่นว่าไม่จี๊ดจ๊าดเท่าที่ควรจะเป็น) ด้วยการปรับปรุงวาล์วแปรผัน,
ECU ให้ทำงานดีขึ้น, ติดตั้งเซนเซอร์ anti-vibration knock และปรับปรุงวัสดุแครงก์ชาฟท์จนทำให้เครื่องยนต์สันดาป
1.5 ลิตรมีกำลังเพิ่มขึ้นจาก 114 แรงม้า (PS) เป็น 121 แรงม้า (PS)
มอเตอร์ไฟฟ้าก็ถูกปรับปรุงให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 20 แรงม้า (PS) (จากเดิม 14 แรงม้า (PS)) และลงทุนเปลี่ยน
แบตเตอรี่จากนิกเกิลเมทัลไฮดรายเป็นลิเธี่ยมไอออนตามสมัยนิยม หากผสานกำลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะมี
กำลังถึง 138 แรงม้า (PS) มากกว่าเดิม 13 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตรเพิ่มขึ้น 16 นิวตันเมตร อัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9 วินาทีเท่านั้น เร็วกว่าเดิม 0.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ประหยัดน้ำมันสูงสุด 24 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่เพียง 116 กรัมต่อกิโลเมตร
ไฮไลต์สำคัญ Honda ลงทุนติดตั้งปุ่ม Plus Sport (S+) ปุ่มสำหรับเพิ่มความเร็วตามต้องการ ระบบนี้จะทำงานได้ก็
ต่อเมื่อมีประจุแบตเตอรี่มากกว่า 50% ที่สำคัญสามารถใช้โหมดการขับขี่ Plus Sport ร่วมกับ ECON ได้ด้วย
หากใครคิดจะซื้อ Honda CR-Z รุ่นก่อน Minorchange ก็น่าจะอดทนรอโฉม Minorchange น่าจะดีกว่านะครับ
Hyundai
ปีนี้บูธ Hyundai อาจจะไม่คึกคักมากมายนัก เน้นโชว์รถรุ่นใหม่แบบเงียบ ๆ อย่าง Hyundai ix35 Minorchange ก็ถูก
นำมาอวดโฉมในเวอร์ชัน Full Cell เชื้อเพลิง Hydrogen ซึ่ง Hyundai เคลมว่านี่แหล่ะคือรถ Fuel Cell ที่ขึ้น
สายการผลิตสำหรับจำหน่ายเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลและเช่าเป็นคันแรกของโลก นัยว่าจะฉีกหน้า Honda FCX Clarity ที่
ยังทำตลาดสงวนเฉพาะกลุ่มเช่าซื้อในองค์กรเท่านั้น
Hyundai ix35 Fuel Cell สามารถวิ่งได้สูงสุด 587 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร มีอัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 12.5 วินาที เริ่มผลิตในเดือนธันวาคม 2012 มีแผนจะผลิตให้ครบ 1,000 คันจนถึงปี 2015 ใน
เมื่อผลิตน้อยขนาดนี้จึงเชื่อมั่นว่าราคาคงจะแพงมากแน่นอน
Hyundai i30 3 ประตู จะพกพาบุคลิคโดดเด่นแบบสปอร์ตเต็มพิกัด มีเส้น
สายที่น่าหลงไหลในสไตล์ fluidic sculpture ออกแบบเส้นบ่ารถมาในแนวสูงเฉียงให้รับกับบั้นท้ายสไตล์สปอร์ต แนว
หลังคาเทลาดเอียงลงมา
Hyundai i30 3 ประตูนำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ 4 เครื่องยนต์และมีให้เลือก 5 พละกำลัง ไฮไลต์สำคัญคือเครื่องยนต์
ดีเซล U-II 1.6 ลิตร 128 แรงม้า ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 97 กรัมต่อกิโลเมตร ทั้งแรงและลดมภาวะไปในตัว
Hyundai i30 3 ประตู ยังคงรักษาคุณภาพตัวรถโดยรวมเหมือนกับรุ่น 5 ประตู มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน และมีความ
สะดวกสบาย นอกจากนี้การขับขี่ยังถูกปรับตั้งให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าชาวยุโรปและพวงมาลัย Flex Steer สามารถแปร
ผันการขับขี่ได้ดี
ลูกค้าที่ซื้อ Hyundai i30 3 ประตูจะได้รับสิทธิ์การดูแลรักษา Triple Care นาน 5 ปี, รับประกันตัวรถนาน 5 ปีไม่จำกัด
ระยะทาง, มีบริการลากจูงฉุกเฉิน 5 ปี, และบริการตรวจเชคสุขภาพรถนาน 5 ปี
ทั้งสวยทั้งคุ้มแบบนี้น่าสนใจไม่น้อย
นอกจากนี้ Hyundai ยังอวดโฉม i20 WRC รถแข่งที่จะมาสร้างชื่อให้กับ Hyundai ในด้านมอเตอร์สปอร์ตอีกครั้ง สเปค
ในเบื้องต้นจะติดตั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบชาร์จปั่นกำลัง 300 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ก็ถือว่ามาร่วมสร้าง
สีสันในการแข่งขัน WRC ฤดูต่อไปอย่างแน่นอน
Jaguar
ในที่สุด Jaguar ก็เปิดตัว F-Type ในงานนี้(เสียที) งานดีไซน์ของตัวรถที่หยิบยืมมาจากรถต้นแบบ C-X16 อย่างมาก
รูปลักษณ์ด้านหน้าโดดเด่นด้วยโคมไฟหน้าพร้อมไฟ LED กระจังหน้าทรงวงรีขนาดเขื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Jaguar
และช่องระบายอากาศด้านหน้าสไตล์สปอร์ต ในขณะที่ภายในจะมาพร้อมกับเบาะหนังทรงสปอร์ตและโรลบาร์เพื่อความ
ปลอดภัย
ด้านขุมพลังของรถสปอร์ตคูเป้คันนี้ เตรียมพบกับเครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จ V6 ความจุ 3.0 ลิตรได้เลย
ซึ่งจะสร้างกำลังได้ 380 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 460 นิวตัน-เมตร หากยังแรงสะใจไม่พอ Jaguar ก็เตรียม
ขุมพลังเบนซินซูเปอร์ชาร์จ V8 ความจุ 5.0 ลิตร ที่จะให้ความแรงสะใจระดับ 510 แรงม้ามาให้เลือกใช้กัน
Kia
ต่อจาก Hyundai ก็ตามมาด้วยแบรนด์พี่น้อง Kia motor นั่นเอง ปีนี้ Kia ส่ง All New Carens ที่มีดีไซน์ดูสวยงามและ
ปราดเปรียวมากขึ้น ออกแบบให้สอดรับกับการใช้ชีวิตครอบครัวทันสมัย มันถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ มีห้องโดยสาร
กว้างขวาง มีความยาวฐานล้อพอเพียงสำหรับผู้โดยสาร 7 คนภายใต้รูปทรงที่ออกแบบถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์
Hyoung-Keun Lee รองประธานและซีอีโอ Kia Motors Corporation กล่าวว่า Carens ใหม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะ
กับการใช้งานรอบด้านเหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา และเพิ่มความบึกบึนและความปราดเปรียว
Kia มั่นใจว่า Carens โฉมใหม่จะดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ต้องการมินิแวนที่รูปลักษณ์สวยและอเนกประสงค์อย่างสุดขั้ว
Kia Pro_cee’d ถูกออกแบบมาในแนวสปอร์ต 3 ประตูเต็มขั้น ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ความเป็น Kia Cee’d รุ่น
ใหม่ แนวเส้นตัวถังดุดันขึ้น, หลังคาลาดต่ำ ช่วงล่างก็ถูกปรับแต่ให้เน้นความสปอร์ตมากกว่ารุ่น 5 ประตู พร้อมระบบ
บังคับควมคุม Flex Steer สามารถปรับโหมดการขับขี่ 3 แบบ ได้แก่ Comfort, Normal และ Sport เครื่องยนต์กลไกก็
ยกมาจาก Kia Cee’d 5 ประตู
Lamborghini
ปีนี้ Lamborghini ขอส่งเปิดตัวรถรุ่นปรับโฉมแบบเบา ๆ อย่าง Lamborghini Gallardo LP 560-4 Facelift ถือเป็นการ
ปรับโฉมหลังจากทำตลาดมายาวนานถึง 9 ปี มียอดขายสะสมทั่วโลกกว่า 13,000 คัน ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ
การปรับปรุงด้านหน้าให้ดูสวยขึ้นกว่าเดิมด้วยการเปลี่ยนทรงกันชนหน้าใหม่ที่ออกแบบช่องดักลมเป็นทรง 3 เหลี่ยมทำให้
ตัวรถดูกว้างและมีพลังมากขึ้น นอกจากนี้ก็ทำให้ตัวรถดูทันสมัยสมกับเป็นรถยนต์ในยุคปี 2012 ด้านหลังก็ติดตั้ง
Diffuser ทรงใหม่ พร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้วลายใหม่
นอกจากนี้ยังแนะนำ Lamborghini Gallardo LP 570-4 Edizione Tecnica ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่มีประสิทธิภาพสูงและ
รูปลักษณ์ที่มีความพิถีพิถัน ติดตั้งจานเบรคคาร์บอนเซรามิคและสปอยเลอร์ท้ายทรงปีกนกติดตั้งตายตัว
Lexus
Lexus LF-CC Concept เป็นรถต้นแบบที่มีฟอร์มรถทรงคูเป้มาตรฐาน มองสัดส่วนดูเผิน ๆ ยังแอบคิดกันเลยว่ามันคือ IS
ตัวต่อไปชัด ๆ และสิ่งที่สร้างความประทับใจในรถต้นแบบคันนี้ก็คือการยกงานออกแบบที่มีความสลับซับซ้อนจากรถ
ต้นแบบ Lexus LF-LC Concept มาลงไว้
ใน Press Release ทาง Lexus พยายามใบ้ว่ารถต้นแบบคันนี้จะมีอิทธิพลต่อการออกแบบรถระดับ D-Segment ของ
Lexus ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะสร้างรถที่น่าสนใจมากขึ้น, ความดึงดูดใจที่ผ่านการสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจ,
ประสบการณ์การขับขี่เหนือชั้นและเทคโนโลยีล้ำสมัย
ดีไซน์ภายนอกของ Lexus LF-CC Concept ถือเป็นการอวดวิสัยทัศน์การออกแบบ L-Finess ยุคใหม่ที่ผนวกกับการ
ออกแบบกระจังหน้าทรงแหวกโลก Spindle Grille งานนี้ Lexus โชว์นวัตกรรมการออกแบบไฟหน้าที่สามารถสร้างสรรค์
ฟอร์มแปลกตาพอสมควร
กันชนหน้าทรงต่ำและกว้างช่วยให้ลมโกรกเข้ามาในบริเวณห้องเครื่องและจานเบรคหน้าได้สะดวก เส้นสายด้านข้างตวัด
เป็นคลื่นเกลียวลมจากหน้าจรดท้าย เส้นตวัดชายล่างไปถึงซุ้มล้อหลังนอกจากจะสร้างความสวยงามแล้วยังช่วยลดแรงกด
อากาศในตัวได้ด้วย ลากเส้นหลังให้มีความต่อเนื่องถึงกันแล้วมาบรรจบกับฝากระโปรงท้ายที่มีสปอยเลอร์ยกสูงในตัว มอง
ในภาพรวมแล้วราวกับว่านำสัดส่วนครึ่งคันหน้าของ Lexus LFA มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การออกแบบภายในห้องโดยสารมาในแนวหรูก้าวล้ำ แผงแดชบอร์ดแยกเป็น 2 โซนชัดเจน ครึ่งบนเป็นโซนแสดงผล
ประกอบไปด้วยจอแสดงผลต่าง ๆ และโซนปฏิบัติการจะเป็นแผงควบคุมสั่งการฟีเจอร์ในรถ ตำแหน่งเบาะนั่งเตี้ยเน้นการ
ขับขี่
Lexus LF-CC Concept ติดตั้งขุมพลัง 2.5 ลิตร Full Hybrid น่าจะเป็นขุมพลังที่จะติดตั้งในรถ Lexus ในอนาคต
รายละเอียดเบื้องกล่าวเพียงแค่วางเครื่องยนต์สันดาปภายใน 4 สูบ 2.5 ลิตร Atkinson Cycle พร้อมระบบฉีดเชื้อเพลิง
ตรง D4-S จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแม่เหล็กระบายความร้อนด้วยน้ำ
อยากให้ทุกคนจับตารถต้นแบบคันนี้ให้ดี ๆ เพราะเชื่อมั่นว่าเส้นสาย Lexus IS รุ่นต่อไปน่าจะมาแนวนี้แน่ ๆ
Maserati
ปีนี้ Maserati เปิดตัว GranCabrio MC รถสปอร์ตเปิดประทุนเวอร์ชันแรงเป็นพิเศษ
หน้าตาแตกต่าง GranCabrio รุ่นมาตรฐานตรงที่กันชนหน้าทรงใหม่ที่ดูสปอร์ตและดูเข้ากับตัวรถมากกว่า
มีความยาวตัวถังมากกว่ารุ่นมาตรฐาน 48 มม. ติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายใหม่ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่
ขุมพลังยกชุดจาก GranTurismo Sport ด้วยเครื่องยนต์ V8 4.7 ลิตร 460 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ ZF
Mazda
Mazda จัดเต็มอวดโฉม All New Mazda 6 ทั้งตัวถังซีดานและแวกอนพร้อมกัน (คงจะขาดเพียงแค่ตัวถังแฮทช์แบคท้ายลาด)
ชูจุดเด่นรถยนต์ D-Segment ที่ติดตั้งเทคโนโลยี SKYACTIV “ทั้งคัน” ภายใต้งาน
ดีไซน์แนวคิดใหม่ KUDO – Soul of Motion ซึ่ง Mazda พยายามอย่างหนักที่จะทำรถออกมาให้ดูดี, ชาญฉลาดและ
กล้าหาญและมีสมรรถนะเพื่อสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่น
Hiroshi Kajiyama ผู้จัดการโปรแกรมของ Mazda 6 โฉมใหม่ เปิดเผยว่า “ในขั้นตอนพัฒนา Mazda 6 เจเนเรชั่นที่ 3
เราได้ใส่คุณค่าความเป็น Mazda ลงไป นั่นคือ “ความโปรดปรานในการขับขี่” เราอยากจะสร้างรถที่ตอบสนองและปฏิบัติ
ตัวตามที่คุณต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งของรถ ราวกับว่ารถยนต์เป็นอวัยวะหนึ่งของผู้ขับขี่”
นอกจากนี้เขายังได้อธิบายถึงบุคลิคของ Mazda 6 โฉมใหม่ว่า “ตัวรถมีการออกแบบที่โดดเด่นจะแสดงออกถึงอำนาจและ
ความคล่องตัวขณะเคลื่อนไหว และยังมีนวัตกรรมต้นแบบผนวกกับความสบายและความสนุกสนานในการขับขี่ ทีมวิศวกร
Mazda ระดับสุดยอดจะช่วยรังสรรค์ให้รถมีการขับขี่ที่ตอบสนองผู้ขับขี่โดยตรง มากกว่าที่จะสร้างความเด่นชัดในทาง
กายภาพ เช่น พวงมาลัย, การเบรคและอัตราเร่ง Mazda 6 โฉมใหม่จึงเป็นรถที่จะสร้างความสุขในการขับขี่สำหรับคนที่
คาดหวังจากรถ Mazda พวกเขารอไม่ไหวที่จะได้เห็นลูกค้ายิ้มหลังจากรับรถ Mazda 6 รุ่นใหม่เป็นครั้งแรก”
งานออกแบบ Mazda 6 เจเนเรชั่นใหม่ได้รับอิทธิพลจากรถต้นแบบ Takeri Concept ซึ่งเป็นรถซีดานใหญ่ที่เคยอวดโฉม
ในงาน Tokyo Motorshow 2011 โดยรวมตัวรถจะต้องเตี้ย, เน้นความกว้างเพื่อให้ดูแข็งแกร่งและแลดูมันคง และ
สามารถสร้างความประทับใจน่าตื่นเต้นโดยไม่ลดความน่าดึงดูดใจและความงามระดับสากล
Akira Tamatani หัวหน้าผู้รับผิดชอบการออกแบบ Mazda 6 เจเนเรชั่นใหม่ กล่าวว่า “เราได้ออกแบบให้มีความ
กระตือรือร้นและปราดเปรียวสามารถแสดงออกถึงความมีประสิทธิภาพ เพียงแค่ลูกค้ามองไปที่รถลูกค้าก็สามารถคาดหวัง
ตัวรถได้”
ด้านหน้าออกแบบกระจังหน้าคล้ายปีกนกแบบใหม่ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ Mazda มีมิติความลึกตื้น ฝากระโปรง
หน้าก็ออกแบบให้มีสันรับกับกระจังหน้าแบบใหม่ เส้นสายด้านข้างมีความหรูหรา ซุ้มโป่งล้อหน้าโค้งลากยาวจนเป็นเส้น
ด้านข้างรถ บั้นท้ายมีสัดส่วนสวยงามลงตัว และสีที่ Mazda ใช้ในการเปิดตัวคือสี Soul Red
ภายในห้องโดยสารจะถูกออกแบบให้เน้นความสำคัญของผู้ขับขี่เป็นหลัก แผงมาตรวัด 3 วงมีความสูงไม่เกินขอบฝา
กระโปรงหน้าทำให้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ พื้นที่ฝั่งผู้โดยสารให้รู้สึกเหมือนเปิดกว้างและปลอดภัย นั่นเป็นเพราะการจัดวางห้อง
โดยสารเป็นแบบแนวกว้าง นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยวัสดุนุ่มในจุดที่ทุกคนสัมผัสบ่อย ๆ และยังมีชุดสีตกแต่งให้เลือก 2
แบบคือ ‘Bordeaux metal’ และ ‘Dark metal’
Mazda 6 โฉมใหม่มีความประณีตในการสร้างเป็นอย่างมากเพื่อให้สมกับเป็นรถที่ทุกคนโปรดปรานในด้านการขับขี่ ไม่ว่า
จะเป็นงานออกแบบ, งานวิศวกรรม, การใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้จะต้องทำให้ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกถึง
ความเป็นหนึ่งเดียวของรถคันนี้ให้ได้ด้วย
โครงสร้างตัวถังและช่วงล่างใช้วัสดุเหล็กกล้าทนทานต่อการบิดตัวสูงภายใต้เทคโนโลยี SKYACTIV จะช่วยเพิ่มความ
คล่องตัวขณะวิ่งความเร็วถึงปานกลาง แต่จะเพิ่มความมั่นใจขณะวิ่งความเร็วสูง, พวงมาลัยไฟฟ้าถูกปรับแต่งออกมาให้
เฉียบคม, ปรับแต่งตัวรถให้ถูกต้องตามหลักสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจนมีค่า CD ที่ 0.26
สำหรับเมืองไทยยังไม่มีแผนในการทำตลาดตอนนี้
McLaren
McLaren P1 Concept ดีไซน์ถือว่าแปลกตากว่าที่ผ่าน ๆ มา เป็นรถที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและจิต
วิญญาณจากแผนกพัฒนารถแข่งเต็มเปี่ยม จุดมุ่งหมายในการพัฒนา P1 มีเพียงข้อเดียวนั่นคือการก้าวเป็นรถที่มีการขับขี่
ดีที่สุดในโลกทั้งทางถนนและทางสนาม
Chairman Ron Dennis ผู้บริหาร McLaren Automotive กล่าวว่า McLaren P1 เป็นรถที่เกิดจากการตกผลึก
ประวัติศาสตร์การแข่งรถและทำรถยนต์สำหรับท้องถนนตลอดเวลา 50 ปี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว McLaren เคยแนะนำ F1 ให้
เป็นซูเปอร์คาร์ด้านสมรรถนะมาแล้ว และครั้งนี้ P1 ก็จะสืบสานตำนานนั้นอีกครั้ง
จุดมุ่งหมายของ McLaren ไม่ได้ตั้งทำใจทำรถให้เร็วที่สุดด้วยการทำตัวเลขความเร็วสูงสุดให้มาก ๆ แต่มันจะออกตัวเร็ว
และคุ้มค่าที่สุดเมื่อวิ่งบนสนามแข่ง P1 จะเป็นรถที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด, มีความสามารถมากที่สุด, มีเทคโนโลยีล้ำหน้ามาก
ที่สุด, และเป็นรถซูเปอร์คาร์ทรงสมรรถนะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
เศรษฐีทุกท่านสามารถรอคอย McLaren P1 เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงในช่วงปลายปี 2013 โดยวางตำแหน่งเหนือกว่า
12C และ 12C Spider ทั้งราคาและสมรรถนะ
Mercedes-Benz
ปีนี้ขนรถต้นแบบ Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept เพื่อมาต่อกรกับ BMW Concept Active
Tourer โดยเฉพาะ B-Class Electric Drive concept จะเป็นรถที่นำเอาความสะดวกสบายและความสนุกสนาน
ในการขับขี่มาสู่ผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสะดวกในการใช้ในชีวิตประจำวัน โดยรูปลักษณ์ภายนอก
จะเหมือนกับ B-Class รุ่นปัจจุบันทุกประการ เพียงแต่มีการเพิ่ม ‘Energy Space’ หรือพื้นที่สำหรับติดตั้ง
แบตเตอรี่ Li-ion บริเวณพื้นตัวถังของรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept มาพร้อมกับกำลัง 136 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร เมื่อใช้งานรวมกับแบตเตอรี่ของตัวรถ จะทำให้เดินทางได้ 200 กม.จากการ
ชาร์จเต็มเพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถชาร์จไฟบ้านเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ ทั้งแบบ 230V และ 400V
นอกจากการรุกตลาดรถไฟฟ้าด้วย Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept แล้ว เบนซ์ยังพร้อมเปิด
ตัวเวอร์ชันขายจริงของ SLS AMG Electric Drive และ Smart Brabus electric drive ในงาน 2012 Paris
Motor Show นี้อีกด้วยจะนำเอาความสะดวกสบายและความ
สนุกสนานในการขับขี่มาสู่ผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสะดวกในการใช้ในชีวิตประจำวัน โดยรูปลักษณ์ภายนอก
จะเหมือนกับ B-Class รุ่นปัจจุบันทุกประการ เพียงแต่มีการเพิ่ม ‘Energy Space’ หรือพื้นที่สำหรับติดตั้ง
แบตเตอรี่ Li-ion บริเวณพื้นตัวถังของรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept มาพร้อมกับกำลัง 136 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร เมื่อใช้งานรวมกับแบตเตอรี่ของตัวรถ จะทำให้เดินทางได้ 200 กม.จากการ
ชาร์จเต็มเพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถชาร์จไฟบ้านเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ ทั้งแบบ 230V และ 400V
Mini
Mini Paceman ถือเป็นรถแนว Sports Activity Coupe : SAC รถครอสโอเวอร์คูเป้ที่ให้ความรู้สึกแบบรถโกคาร์ท
เล็ก ๆ ถือเป็นรถยนต์ Mini ตัวถังลำดับที่ 7 ด้านหน้ามีดีไซน์คล้ายกับ Mini Countryman ทรงกันชนหน้าจะแลดูคล้าย
กับรถต้นแบบ Mini Paceman Concept พอสมควร
จุดเด่นด้านการออกแบบนอกเหนือจากความเป็นรถครอสโอเวอร์คูเป้ 3 ประตูแล้ว สิ่งที่แตกต่างจาก Mini Countryman
อย่างเห็นได้ชัดคือการออกแบบแนวหลังคาที่ลาดเทลงเพื่อเพิ่มความสปอร์ตและการออกแบบโครงตัวถังเหนือซุ้มหลังนูนโค้งราวกับกล้ามเนื้อมนุษย์
ส่วนดีไซน์บั้นท้ายแทบไม่แตกต่างจาก Mini Paceman Concept เลยแม้แต่น้อย (ยกเว้นแถบทับทิมสะท้อนแสงสีแดงมุมกันชนหลัง)
ดีไซน์ภายในห้องโดยสารก็เดาทางกันไม่ยากเลยว่ามันจะต้องยกชุดชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารจาก Mini Countryman
มากกว่า 70% โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ฟีเจอร์ Central-Rail หรือรางเลื่อนตรงกลางห้องโดยสารอเนกประสงค์สามารถ
ติดตั้งกล่องเก็บของ, กล่องเก็บแว่นตา หรือช่องวางขวดน้ำบนรางนี้ได้ เบาะคู่หน้าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเบาะหลังเพื่อให้
เห็นพื้นถนนสะดวกขึ้น ห้องสัมภาระด้านหลังมีเนื้อที่มากถึง 330 ลิตรเมื่อพับเบาะแล้วจะขยายเนื้อที่ถึง 1,080 ลิตร
ขุมพลังมีให้เลือกดังต่อไปนี้ Mini Cooper Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อ
นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.4 วินาทีใน
เกียร์ธรรมดา 11.5 วินาทีในเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 192 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 184 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 6.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 7.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 143 กรัมในรุ่นเกียร์ธรรมดา 166 กรัมในรุ่น
เกียร์อัตโนมัติ
Mini Cooper S Paceman จะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบทวินสกรอลและเทคโนโลยี Valvetronic อัพกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็น
184 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,600 – 5,000 รอบต่อนาที หากยังไม่
สะใจก็มีฟังก์ชัน Overboost เพิ่มแรงบิดเป็น 260 นิวตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,700-4,500 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.5 วินาทีในรุ่นเกียร์ธรรมดา 7.8 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 217
กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 212 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตาม
มาตรฐานยุโรป 6.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 เพียงแค่ 143 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา 166 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
Mini Cooper D Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร 112 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน
เมตรที่รอบระหว่าง 1,750-2,250 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.8 วินาทีในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 11.2 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 187 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 182 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 4.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 115 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
149 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
Mini Cooper SD Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 143 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 305 นิว
ตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,750-2,700 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.2 วินาทีในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 9.4 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 197 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 4.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
5.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 122 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
150 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
ทุกรุ่นสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 เป็นออพชั่นเสริมพิเศษได้
Mitsubishi
Mirage จากประเทศไทยก็ไปอวดโฉมกับเขาด้วยในงานนี้ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับที่วางจำหน่ายในตลาดไทยทุกประการ
ยกเว้นลายล้ออัลลอย ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 70 แรงม้าและ 1.2 ลิตร 79 แรงม้า ชูจุดขายความคุ้มค่าตัวรถที่หาไม่ได้จากรถ Low Cost Brand
, ประหยัดน้ำมันเป็นยอด, ปล่อยมลพิษต่ำและมีค่าบำรุงรักษาต่ำ ลูกค้าชาวยุโรปสามารถเป็นเจ้าของ Mirage ได้ในช่วงต้นปี 2013
Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid ที่ผสานสิ่งที่ดีที่สุดของโลก 3 ประการเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่
ประสิทธิภาพในการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบรถEV, มีระยะทางวิ่งสูงสุดเหมือนกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและ
รองรับสมรรถนะทางเรียบหรือออฟโรดได้
Mitsubishi Outlander PHEV จะหยิบยืมอุปกรณ์ขับเคลื่อนไฟฟ้าจากรุ่น i-MIEV มาผนวกกับเครื่องยนต์สันดาป
ภายใน เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนแต่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้นสำหรับโลกปัจจุบัน ส่งผลให้มีความประหยัด
น้ำมันสูงถึง 61 กิโลเมตรต่อลิตรในโหมด JC08, มีพละกำลังเหมือนรถเครื่องธรรมดาและมีระยะทางวิ่งสูงสุดรวมมากถึง
880 กิโลเมตร
หลักการทำงานคร่าว ๆ ระบบจะเลือกสรรการขับเคลื่อน 3 โหมดโดยอัตโนมัติเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานและประหยัด
น้ำมันสูงสุด
โหมด EV จะขับเคลื่อนโดยใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้านหน้าและด้านหลัง ลดการปล่อยมลภาวะและมีแต่ความ
เงียบขณะขับเคลื่อน
โหมด Series Hybrid ระบบจะส่งกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบจะตัดเข้าสู่โหมดการขับเคลื่อนนี้ก็ต่อเมื่อ
ประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ลดต่ำตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือผู้ขับขี่ต้องการพละกำลังที่มากกว่าสำหรับเร่งแซงหรือต้องเร่งเครื่อง
เพื่อขึ้นทางชัน เป็นต้น
โหมด Pararell Hybrid เน้นการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์เป็นหลักโดยมีมอเตอร์ช่วยบ้างในบางเวลา โหมดนี้จะทำงาน
อัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงคงที่ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้รีดประสิทธิภาพความประหยัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ดี
ที่สุด
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนมีอัตราการกินไฟ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 55 กิโลเมตรตาม
มาตรฐานการทดสอบ JC08 ผู้ใช้สามารถเลือกขับเคลื่อนโหมด EV ได้ตามต้องการ ระบบจะตรวจสอบพลังงานใน
แบตเตอรี่ หากไม่เพียงพอก็จะสั่งงานให้เครื่องยนต์สันดาปภายในปั่นกำลังลงสู่แบตเตอรี่
การติดตั้งมอเตอร์ 2 ตัวไว้สำหรับส่งกำลังเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลังก็จะทำให้ลดการสูญเสียกำลังไปได้มาก ตอบสนองได้
ดั่งใจกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานควบคู่กับระบบขับเคลื่อน S-AWD
Mitsubishi Outlander PHEV เตรียมวางจำหน่ายในญี่ปุ่นต้นปี 2013 หลังจากนั้นจะจำหน่ายในตลาดยุโรป, อเมริกา
เหนือ และที่อื่นทั่วโลกตามลำดับ
Nissan
Nissan ส่งรถต้นแบบ SUV ล้ำยุคในชื่อ TeRRA Concept เพื่อส่งสัญญาณถึงการออกแบบเอสยูวีรุ่นใหม่
แนวคิดของงานออกแบบ Nissan TeRRA Concept มุ่งไปยังการตอบโจทย์ให้ตรงกับคนรุ่นใหม่ในยุโรปตอนเหนือ
โดยมีกลิ่นอายเส้นสายจาก Nissan Juke ที่แหวกแนวและสร้างความฮือฮามาใส่ลงบนรถต้นแบบคันนี้ เช่นดวงไฟสปอต-
ไลท์ขนาดเขื่อง พร้อมแนวหลังคาเตี้ย รูปลักษณ์ด้านข้างหนาบึกบึน พร้อมซุ้มล้อหน้าและหลังที่ใช้เส้นสายเหลี่ยมสัน
ให้ความโฉบเฉี่ยว แต่ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของนิสสันยุคใหม่ ด้วยเส้นสายทรงตัว V ในด้านหน้าพร้อมไฟหน้าและไฟท้าย
ทรงบูมเมอแรง
รูปลักษณ์ภายใน ถูกตกแต่งด้วยการผสมผสานระหว่างไม้แกะสลักและอะคริลิค ช่วยเติมความรู้สึกของธรรมชาติในสไตล์
ล้ำยุค และมาพร้อมแนวคิดแหวกใหม่ ด้วยการใช้มาตรวัดจากแท็บเล็ต ที่เมื่อไม่ใช่งานรถยนต์คันนี้ สามารถถอดแท็บเล็ต
ออกเพื่อนำไปใช้งานต่อได้
ด้านขุมพลังของ TeRRA Concept มาพร้อมแนวคิดใหม่เพื่อให้สมกับ SUV ที่ต้องขับเคลื่อนสี่ล้อและต้องการแรงบิด
จำนวนมาก ด้วยการใส่มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ยกชุดมาจาก Nissan LEAF ในล้อคู่หน้า ในขณะที่ล้อคู่หลังจะได้
รับแรงขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งชุด โดยมีเครื่องยนต์พลังงานไฮโดรเจนขนาดเล็กช่วยทำงานเพื่อปั่นไฟฟ้า
ป้อนเข้าแบตเตอรี่ในกรณีที่แบตเตอรี่มีกำลังอ่อน
รถต้นแบบคันนี้อาจจะพอใบ้งานออกแบบบางส่วนของ Nissan Murano เจเนเรชั่นต่อไปได้บ้างครับ
Opel
Opel นำรถ A-Segment แห่งความหวังรุ่น Adam มาจัดแสดงภายในงานนี้เต็มพิกัดเพื่อกระตุ้นตลาดก่อนที่จะวางจำหน่ายในช่วงปี 2013
ซึ่ง Opel คาดหวังว่า Adam จะเป็นรถเล็กแนวแฟชั่นที่จะมาช่วยกอบกู้ยอดขายและผลกำไรของ Opel ให้ดีขึ้นบ้าง เพราะทาง Opel เอง
ก็ให้ความสำคัญกับ Adam อย่างมากจนกล้ายกระดับรถของตัวเองให้ท้าชนกับ Fiat 500 ที่เป็นรถเล็กระดับพรีเมี่ยมโดยตรง
ก็แน่นอนว่าราคาจำหน่ายคงไม่ถูกอย่างที่คิด
Opel Adam จัดเป็นรถเล็กแฟชั่นที่มีบุคลิคใหม่ ทันสมัย, ขนาดกะทัดรัดใช้ในเมือง มีดีไซน์ที่กล้าหาญ มีพลังผนวกกับ
การผสานความเป็นตัวเอง บรรจุเทคโนโลยีจากรถรุ่นใหญ่มาย่อส่วนลงในรถเล็ก เช่น หน้าจอแสดงผลเกี่ยวกับตัวรถและ
การผนวกฟีเจอร์เข้ากับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android/iOS และการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตภายในรถ
มิติตัวถังก็ใหญ่เกินหน้า A-Segment ทั่วไปด้วยความยาวตัวถัง 3.7 เมตร ความกว้างตัวถัง 1.72 เมตรรวมกระจกมอง
ข้างมีฐานล้อยาว 2,311 มม. สามารถบรรจุผู้โดยสารและผู้ขับขี่ผู้ใหญ่ 4 คนพอดี ตัวรถมีบุคลิคความสปอร์ตและหรูหรา
เต็มที่เพื่อตอบรับลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ส่วนตัวสูง
Karl-Friedrich Stracke ซีอีโอ Opel กล่าวว่า พวกเขามีความภาคภูมิใจมากที่นำเสนอ Opel Adam รถยนต์ที่มี
ความสำคัญต่อการเจริญเติบโตแบรนด์ Opel รถ Opel Adam จะเป็นขนาดเล็กแบบแฟชั่นภายใต้งานวิศวกรรมแบบ
ฉบับเยอรมัน
Opel Adam จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3 ขนาด ได้แก่ 1.2 ลิตร 70 แรงม้า, 1.4 ลิตร 87 แรงม้าและ 1.4 ลิตร 100
แรงม้าจับคู่เกียร์ธรรมดา ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบ Auto Stop-Start และอีกไม่นานจะนำเสนอเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิง
ตรง เทอร์โบชาร์จจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะใหม่
Opel มีตัวเลือกการตกแต่งตัวรถทั้งภายนอกและภายในมี 3 บุคลิคได้แก่ JAM สีสันฉูดฉาด ดูแฟชั่นนำสมัย, GLAM เน้น
ความหรูหรา และ SLAM เน้นความสปอร์ตคล่องแคล่ว ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นตรงที่การติดตั้งหลอดไฟ LED บน
เพดานห้องโดยสารสร้างบรรยากาศเสมือนนอนอยู่นอกบ้าน และติดตั้งฟีเจอร์ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน
ออพชั่นใหม่ที่ติดตั้งครั้งแรกในรถ A-Segment คือระบบช่วยจอด Advanced Park Assist (APA II) เจเนเรชั่นใหม่ ผู้ขับขี่
ควบคุมเพียงแค่คลัทช์, เบรคและคันเร่งเท่านั้น ที่เหลือให้ระบบช่วยจอดทำงานแทน และยังมีระบบตรวจจับจุดบอดด้วยโซ
นาร์ และยังไม่พอ Opel Adam ยังติดตั้งพวงมาลัยแบบอุ่นมือได้ด้วย
เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ Opel Adam ติดตั้งระบบ ESP ในทุกรุ่นย่อยและระบบ Hill Start Assist
โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งทนทาน, ติดตั้งถุงลมนิรภัยคูหน้า/ด้านข้าง/ถุงลมม่าน, เข็มขัดนิรภัยหน้าดึงกลับอัตโนมัติ, มีจุด
ยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
Opel Adam จะช่วยทำให้ Opel ประสบความสำเร็จในการทำกำไรหรือไม่คงต้องติดตาม (ถ้าจะให้ดี Opel ควรจะออกรุ่น
Eve มาตีคู่กันก็น่าจะดีไม่น้อยเลย)
Peugeot
ปีนี้อาจจะดูเงียบเหงาไปบ้างไม่สมกับเป็นแบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศสอันเป็นประเทศเจ้าบ้านในการจัดงานครั้งนี้ แต่อย่างน้อย
Peugeot ก็มีทีเด็ดรออยู่ด้วยการเปิดตัวรถต้นแบบซูเปอร์คาร์ Peugeot Onyx ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกมาพร้อมกับตัวถัง
แบบ Two Tone สองสี พร้อมเส้นสายเฉียบคม เน้นความโฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยทรงกระจังหน้าลู่ลม ไฟหน้าแบบ LED
และรูปลักษณ์ด้านท้ายที่แหวกแนวกว่ารถยนต์สปอร์ตคันอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีชายล่างกันชนรูปทรงดุดัน พร้อมล้อคาร์บอน
ไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนัก
ภายในมาพร้อมการออกแบบสไตล์มินิมัล ด้วยหน้าจอมาตรวัดแบบดิจิตอล พวงมาลัยทรงล้ำยุคจากคาร์บอนไฟเบอร์
กระจกมองหลังแบบดิจิตอล พร้อมการออกแบบเบาะนั่งสไตล์แหวกแนว แตกต่างจากเบาะนั่งแบบทั่วไป
ขุมพลังที่จะใช้ในรถยนต์สปอร์ตคันนี้ คาดว่าจะมาจากเครื่องยนต์แบบวางกลาง V8 ความจุ 3.7 ลิตร HDi FAP
สร้างกำลังได้ 600 แรงม้า ผนวกเข้ากับพลังขนาด 80 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่จะช่วยให้รถยนต์คันนี้ประหยัดระดับ
4 ลิตร/100 กม. ตัวถังของ Peugeot Onyx Concept สร้างด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบโมโนคอกที่ช่วยทำให้
น้ำหนักรวมของรถยนต์ต้นแบบคันนี้อยู่ที่ 1,100 กก.เพียงเท่านั้น
หากพวกเราอยากจะเห็นรถคันนี้ในเวอร์ชันจำหน่ายจริงก็คงต้องภาวนาให้ PSA Group มีผลกำไรและยอดขายดีขึ้น พวกเราถึงได้เห็นกันครับ
และไฮไลต์สุดท้าย Peugeot 2008 Concept ดูจะเป็นรถยนต์ต้นแบบที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น เพราะเป็นรถคอนเซปท์ที่จะช่วย
พรีวิว Peugeot 2008 รถยนต์ครอสโอเวอร์บนพื้นฐาน Peugeot 208 ที่ใกล้จะเปิดตัวเข้าไปทุกที
รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นการพัฒนาต่อยอดงานดีไซน์จาก Urban Crossover Concept ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาในงาน
Auto China มาพร้อมกับสีตัวถังเหลืองสว่าง ตกแต่งรายละเอียดด้วยสีดำ ดูตัดกันอย่างลงตัว พร้อมสปอยเลอร์บริเวณ
ฝาท้ายช่วยให้ดูสปอร์ตบนความบึกบึน
ด้านขุมพลังคาดว่าจะหยิบยกมาจาก Peugeot 208 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบทั้งขนาด 1.2 ลิตร VTi 82 แรงม้า
ขนาด 1.4 ลิตร VTi 95 แรงม้า ขนาด 1.6 ลิตร VTi 120 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบ 1.6 ลิตร THP
156 แรงม้า สำหรับฝั่งดีเซลจะมีขุมพลังดีเซลเทอร์โบความจุ 1.4 ลิตร HDi 70 แรงม้า และขุมพลังไฮบริดดีเซล 1.6
ลิตร e-HDi 92 แรงม้าให้เลือกใช้กัน
เมื่อเห็นรถโดยรวมแล้ว เราก็คาดว่า 2008 มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จไม่น้อยเลย
Porsche
Panamera Sport Turismo Concept น่าจะเป็นรถต้นแบบที่บ่งบอกถึงทิศทางการออกแบบ Panamera
เจเนเรชั่นต่อไป โดยเฉพาะงานออกแบบครึ่งคันหน้าที่ได้รับอิทธิพลจาก Porsche 918 Spyder และแน่นอนว่ารถต้นแบบ
คันนี้จะเป็นรถที่แสดงออกเพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่า Porsche กำลังจะทำ Panamera เวอร์ชันแวกอนแล้วนะ
ดีไซน์โดยรวมไม่ได้ฉีกแนวรถยนต์อเนกประสงค์จาก Porsche มากมายอย่างที่คิดโดยเฉพาะบั้นท้ายชวนให้นึกถึง
Porsche Cayenne ที่ปรับความลาดเอียงมากกว่าที่จะดูเป็น Porsche ตระกูล 911 ตามที่ข่าวลือเคยระบุ ดังนั้นเราจึง
เชื่อมั่นว่า Porsche น่าจะยังคงรักษาอรรถประโยชน์ภายในห้องโดยสารในแบบฉบับ Panamera
ขุมพลัง e-Hybrid ก็ยกมาจาก Panamera S Hybrid ที่ผสานกำลังเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร 333 แรงม้าผนวกกับ
มอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า รวมกันเป็น 416 แรงม้า สามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตร สามารถทำ
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในไม่เกิน 6 วินาที
Renault
ปีนี้นำรุ่นใหม่มาเปิดตัว 1 รุ่นคือ All New Renault Clio ที่กลายเป็นหนึ่งในรถเล็กรุ่นใหม่ที่โดดเด่นในงานไม่แพ้
Volkswagen Golf รุ่นใหม่เลยเพราะ Renault ได้เปิดตัว Clio รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 2 ตัวถัง ได้แก่ตัวถังแฮทช์แบคและ
สปอร์ตแวกอน
Reanult Clio รุ่นใหม่ถือเป็นรถเล็กที่ก้าวไปยังทิศทางใหม่ที่มีความตื่นตาตื่นใจทุกสัดส่วนไม่ว่าจะ
เป็นงานออกแบบที่มีความแปลกใหม่มากขึ้น, การบรรจุเทคโนโลยีระบบส่งกำลังใหม่, การยกระดับคุณภาพภายในห้อง
โดยสาร เป็นต้น
งานออกแบบภายนอกได้รับอิทธิพลจากรถต้นแบบ Renault Dezir Concept โดยเฉพาะดีไซน์ด้านหน้าเอกลักษณ์ใหม่
ของ Renault ประจำยุค 2012 ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Laurens van den Acker หัวหน้าดูแลทีมการออกแบบ
Renault คนใหม่ (เคยเป็นอดีตผู้ดูแลงานออกแบบของ Mazda ในช่วงยุคแนวคิด Nagare Design)
Laurens van den Acker ได้อธิบายงานออกแบบของ Renault Clio โฉมใหม่ว่ามันเป็นงานออกแบบที่รวม
ประติมากรรมความรัญจวนใจช่วยกระตุ้นความปรารถนายิ่งนัก มันดูเหมือนมัดกล้าม มันมีเส้นโค้งซึ่งแสดงออกถึงความมี
ชีวิตชีวา ไม่มีมุมแหลมหรือเส้นดุกร้าวแต่อย่างใด มีเพียงเส้นโค้งเย้ายวนเท่านั้นที่จะนำพาคุณไปหาและกอดรัดมัน
มิติตัวถัง Renault Clio โฉมใหม่ไม่ได้ระบุรายละเอียดตัวเลขมาให้ แต่ได้ระบุเอาไว้ว่าเป็นรถที่มีความสูงลดลงและมี
แทร๊คล้อที่กว้างขึ้น แต่มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิมถึง 100 กิโลกรัม
ภายในห้องโดยสาร Renault Clio โฉมใหม่จะใช้ชิ้นส่วนภายในร่วมกับ Renault Zoe หลายชิ้น ชิ้นที่เห็นได้เด่นชัดมาก
คือแผงแดชบอร์ดกลางทั้งหมด ส่วนรายละเอียดทั้งหมดก็จะแตกต่างจาก Renault Zoe อย่างสิ้นเชิงโดยเฉพาะการให้
ความรู้สึกดูมีคุณภาพและน่าจับต้องได้ภายใต้การออกแบบที่สะอาดตาและเรียบง่าย อุปกรณ์มาตรฐานที่ Renault ภูมิใจ
นำเสนอคือระบบ R-Link ที่ทำงานร่วมกับหน้าจอสัมผัสเพื่อรายงานข้อมูลบันเทิงโดยตรงสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่
ติดตั้งแอพพลิเคชั่น R-Link เพื่อทำกิจกรรมออนไลน์หรือส่งข้อความผ่านหน้าจอสัมผัสในรถได้
นอกจากนี้ยังมีของเล่นใหม่คือแอพพลิเคชั่น R-Sound Effect สามารถสั่งการให้มีเสียงเครื่องยนต์จำลองเปล่งเสียงผ่าน
ลำโพงภายในรถได้ถึง 6 เสียง เสียงที่เปล่งจะสัมพันธ์กับการกดคันเร่งและความเร็วรถ
ลูกค้า Renault Clio โฉมใหม่สามารถเลือกสีรถภายนอกที่สามารถเติมสีบริเวณประตู, กันชนหน้า, กันชนท้ายและภายใน
ที่สามารถเปลี่ยนสีแดชบอร์ด, แผงข้างประตู, พวงมาลัย, แผงเกียร์, กรอบช่องแอร์หรือแม้กระทั่งพรมปูพื้นได้อิสระ
ในช่วงปลายปี 2012 ขุมพลังของ Renault Clio เจเนเรชั่นที่ 4 จะมีขายเพียงแค่เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 900 ซีซี TCe
เทอร์โบชาร์จ 90 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 4.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย
CO2 แค่ 99 กรัมต่อกิโลเมตร และเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 1.5 ลิตร 90 แรงม้า (PS) ประหยัดน้ำมันถึง 3.2 ลิตรต่อ 100
กิโลเมตร
ต้นปี 2013 Renault จะแนะนำ Clio ใหม่เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.2 ลิตร TCe เทอร์โบชาร์จ 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
190 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์คลัทช์คู่ในชื่อ EDC 6 จังหวะ หลังจากนั้นก็จะแนะนำ RenaultSport Clio โฉมใหม่ที่ติดตั้ง
เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 200 แรงม้า
Seat
Seat Leon Modelchange คือความหวังครั้งใหม่ในการกอบกู้สถานการณ์ยอดขายและผลกำไรของ Seat ให้กลับเข้ามา
สู่สภาวะมีผลกำไรมากยิ่งขึ้น หาก Seat Leon ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ก็อาจจะทำให้ Volkswagen
ตัดสินใจยุบแบรนด์ Seat ออกจากกลุ่มไปเลยก็ได้ ดังนั้น เรามาดูรายละเอียดเบื้องต้นของ Seat Leon Modelchange
กันว่ามันจะมีทีเด็ดที่ช่วยกอบกู้ Seat อย่างไรบ้าง?
Seat Leon โฉมใหม่จะถูกเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาใหม่เน้นการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้ามากกว่าเดิม โดย Seat จะ
อวดโฉม All New Leon เจเนเรชั่นที่ 3 ครบทุกตัวถัง ได้แก่ ตัวถังห้าประตูอันเป็นตัวถังหลักในการโปรโมต, ตัวถังสาม
ประตูและตัวถังสปอร์ตแวกอนซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมทุกความต้องการลูกค้าจริง ๆ
Seat Leon โฉมใหม่ตัวถัง 5 ประตูจะมีจุดขายสำคัญคือ การผสมผสานจุดเด่นงานออกแบบที่สวยงามและ
การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว เพราะ Seat Leon ใหม่มีเนื้อที่ห้องโดยสารใหญ่เพียงพอกับผู้ใหญ่ 4 คน, มีเนื้อที่ห้อง
สัมภาระมากถึง 380 ลิตร ใหญ่กว่าเดิม 40 ลิตร และเพิ่มความยาวฐานล้ออีก 6 เซนติเมตร
ออพชั่นเด่น ๆ ของ Seat Leon ใหม่ที่น่าจะดึงดูดใจลูกค้ามากกว่าเดิม ได้แก่ การติดตั้งโคมไฟหน้า LED ในรถยนต์คอมแพคท์เป็นครั้งแรกซึ่งเป็นเทคโนโลยี
เดียวกันกับรถยนต์นั่งระดับหรู ในรุ่นสปอร์ต FR จะติดตั้งระบบ Seat Driver Profile ที่อนุญาตให้ผู้ขับขี่สามารถเลือก
โหมดการขับขี่ได้ ส่วนภายในห้องโดยสารจะถูกบุด้วยวัสดุพลาสติคนุ่มมือ, ติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
ขุมพลังของ Seat Leon โฉมใหม่จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรที่ให้กำลังตั้งแต่ 89 แรงม้า – 181 แรงม้า, เครื่องยนต์
เบนซิน 1.8 ลิตร TSI 178 แรงม้า ระบบเกียร์มีให้เลือกตั้งแต่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ, 6 จังหวะหรือเกียร์ DSG 6 จังหวะ
และ 7 จังหวะ
Seat Leon ใช้โครงสร้างตัวถัง MQB Platform ร่วมกับรถยนต์รุ่นใหม่ในเครือ Volkswagen ทำให้น้ำหนักตัวถังของ
Seat Leon โฉมใหม่เบากว่า Leon โฉมเดิมถึง 90 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย
Smart
Smart Forstars รถครอสโอเวอร์คูเป้ หรือ Sports Utility Coupe (SUC) สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารสองคนพร้อมเนื้อที่
ห้องสัมภาระเต็มพิกัดดูเผิน ๆ ก็น่าจะพอเรียกว่าเป็นรถกระบะขนาดย่อมก็ยังได้ เพราะได้ออกแบบให้มีหลังคาครอบพร้อม
กระจกพาโนรามารอบคัน (บางมุมก็เหมือนดูเป็นกระบะต่อหลังคาไม่น้อย)
ฟีเจอร์พิเศษสุดสำหรับ Smart Forstars คือการติดตั้งเครื่องฉายวิดีโอโพรเจคเตอร์บนฝากระโปรงเหมาะสำหรับคนวัยฮิป
ที่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ
ขุมพลังของ Smart Forstars จะหยิบยืมมอเตอร์ไฟฟ้าแม่เหล็กจาก Smart Brabus EV ให้ความเร็วสูงสุด 130
กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีแรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร
Suzuki
Suzuki S-Cross Concept มีรูปลักษณ์โดยรวมเหมือนจะยกระดับความหรูหราและดูดีให้เหนือกว่า SX4 โฉมปัจจุบัน
โดยเฉพาะดีไซน์ด้านหน้ามีความซับซ้อนมากขึ้น อาทิ ออกแบบให้มีร่องใต้โคมไฟหน้า, ติดตั้งหลอดไฟ Daylight LED
เหนือช่องดักลมขนาดเล็ก เป็นต้น
รถต้นแบบคันนี้มีแนวโน้มว่าจะถูกพัฒนาให้มาแทนที่ SX4 โฉมปัจจุบัน อาจจะยังใช้ชื่อ SX4 อยู่เหมือนเดิมแต่จะ
ปรับเปลี่ยนตำแหน่งการตลาดเสียใหม่จากเดิมที่เคยเป็นครอสโอเวอร์ระดับ B-Segment ก็จะขยับขึ้นมาเป็นครอสโอเวอร์
C-Segment แทน
โดยมีความยาวตัวถัง 4,310 มม. เข้ากับมาตรฐานครอสโอเวอร์คอมแพคท์ กว้าง 1,800 มม. สูง 1,600 มม.
ส่วนเมื่อไร Suzuki จะพัฒนารถคันต้นแบบคันนี้ให้กลายเป็นรถคันขายจริงก็คงต้องติดตามข่าวคราวกันให้ดี
Toyota
แม้สถานะ Toyota อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าตลาดในยุโรป แต่ Toyota ก็แอบจัดเต็มอยู่เหมือนกัน งานนี้เปิดตัว Toyota
Auris Tourer รถแวกอนคอมแพคท์รุ่นใหม่ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Auris ใหม่ จุดขายสำคัญของ Toyota Auris
Tourer ตัวถังแวกอนคือการมีรุ่นขุมพลัง Hybrid ให้เลือกครั้งแรกสำหรับรถตัวถังแวกอนในตลาดยุโรป Toyota คาดหวัง
ให้รถคันนี้สามารถทำยอดขายได้ดีระดับหนึ่งเพราะรถคอมแพคท์แวกอนในยุโรปมีส่วนแบ่งการตลาดรวมถึง 25% เลย
ทีเดียว
Toyota Verso Minorchange แถบจะถอดหน้าตาจาก Auris โฉมใหม่แล้วมาขยายรายละเอียดให้เข้ากับเรือนร่างอัน
สูงโปร่งทำให้ตัวรถดูสปอร์ตและน่าสนใจขึ้นมากเพราะลงทุนเปลี่ยนแปลงสัดส่วนด้านหน้าให้มีความยาวมากขึ้น อุปกรณ์
ภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงก็ได้แก่ การติดตั้งไฟ LED ส่องสว่างตอนกลางวัน, ลงทุนเปลี่ยนกระจกมองข้างให้มีขนาดเล็ก
ลง ส่วนบั้นท้ายก็ปรับปรุงรายละเอียดไฟท้ายและเปลี่ยนกันชนท้ายใหม่ติดตั้งตัวตัดกระแสลมบนชายกันชนหลัง
ภายในห้องโดยสารเน้นการปรับปรุงคุณภาพมากขึ้น บุวัสดุอ่อนนุ่มสำหรับบริเวณกล่องเก็บของด้านบนคอนโซล เน้นการ
ตกแต่งสีดำซาติน ใช้วัสดุหุ้มเบาะแนปป้าและยังหุ้มหนังที่แผงข้างประตู, ที่ท้าวแขนและพวงมาลัย แผงมาตรวัดสำหรับผู้
ขับขี่จะส่องสว่างสีขาว ส่วนอุปกรณ์อื่นจะเน้นให้ความสว่างสีส้ม
เครื่องยนต์ก็จะถูกปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร D-4D 175 แรงม้า ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 159 กรัมต่อกิโลเมตร, ดีเซล 2.2 ลิตร D-CAT 148 แรงม้า ปล่อย CO2 178 กรัมต่อกิโลเมตร, เครื่องยนต์
เบนซิน 1.6 ลิตรและ 1.8 ลิตร Valvemetic ยังคงจำหน่ายอยู่เช่นเคย
Volkswagen
ปีนี้คงไม่มีใครเด่นไปเกินกว่าบูธ Volkswagen อีกแล้ว เพราะ Volkswagen เล่นเปิดตัว All New Golf แบบเต็มชุดเต็ม
ขั้น เริ่มจาก Volkswagen Golf โฉมใหม่รุ่นมาตรฐานกันก่อน งานดีไซน์ของมันก็ไม่แตกต่างจาก Golf เจเนเรชั่นก่อน ๆ
มากนักเพียงแต่ Golf โฉมใหม่จะถูกปรับเส้นสายให้ดูมีการเติบโตมากขึ้น ลดเส้นสายอ่อนช้อยลงไป โดย Walter de
Silva หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Golf รุ่นใหม่นี้ กล่าวว่ารูปลักษณ์ของ Volkswagen Golf มีหลายเอกลักษณ์ที่ควรคงค่า
ไว้ แต่ถูกปรับให้เข้ากับยุคสมัยและเทรนด์ใหม่ๆมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นแนวหลังคาหรือแนว C-Pillar ที่ตวัดเป็น
เอกลักษณ์ รวมไปถึงรูปลักษณ์ด้านหน้า ที่เมื่อพิจารณาให้ดี จะพบว่ามีกลิ่นอายงานดีไซน์จาก Golf รุ่นแรกเอาไว้
นอกจากการคงเอกลักษณ์งานออกแบบในจุดต่างๆเอาไว้ ทีมออกแบบยังเพิ่มเส้นสายที่ทำให้ดูแข็งแกร่งมากขึ้น
จากรุ่นที่แล้ว โดดเด่นด้วยเส้นเอวด้านข้าง ที่ช่วยทำให้รถดูเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยพยายามไม่ใช้เส้นสายให้
มากเอียนจนเกินไป ถึงแม้ว่างานออกแบบจะทำให้รถดูกะทัดรัด แต่ด้วยมิติตัวถังของรถที่ยาว 4,255 มม. กว้าง
1,799 มม. และ 1,452 มม. จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้ว โฟล์ค กอล์ฟใหม่ ยาวขึ้น 56 มม. กว้างขึ้น 13 มม. และ
เตี้ยลง 28 มม. กว่ากอล์ฟรุ่นปัจจุบัน
ด้านรูปลักษณ์ภายใน มีการปรับปรุงรายละเอียดและการใช้วัสดุ รวมถึงคุณภาพในการออกแบบตามจุดต่างๆ
จนถือว่าก้าวกระโดดจากรุ่นปัจจุบัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบตัดตรงในส่วนล่างวงใหม่ ให้ความรู้สึกสปอร์ต
และควบคุมฟังก์ชันต่างๆบนพวงมาลัยได้ดีขึ้น คอนโซลกลางถูกออกแบบให้เข้าหาผู้ขับขี่มากขึ้น รวมไปถึง
การอัพเดทระบบเครื่องเสียง อินโฟเทนเมนท์ และการเปลี่ยนมาใช้เบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Auto Hold
ช่วยลดเนื้อที่ที่ไม่จำเป็นในห้องโดยสาร
ระดับการตกแต่งของ 2013 Volkswagen Golf ใหม่ ถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ Trendline มาพร้อมล้ออัลลอย
15 นิ้ว ระบบปรับอากาศ ตกแต่งภายในด้วยชิ้นงานเมทัลลิก พร้อมระบบความปลอดภัยสุดไฮเทคเป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน, Comfortline เพิ่มพวงมาลัยหุ้มหนังแท้ ระบบอินโฟเทนเมนท์ Composition Touch ที่มาพร้อมกับ
หน้าจอสีแบบสัมผัส 5.8 นิ้ว ระบบตรวจจับสติของผู้ขับขี่ เซนเซอร์ถอยหลังและล้ออัลลอย 16 นิ้ว, Highline
เพิ่มเบาะหนังอัลคันทารา ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ระบบไฟหน้า Xenon และล้ออัลลอย 17 นิ้ว
นอกจากการปรับรูปลักษณ์และปรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกยกระดับมาตรฐานขึ้น ด้านงานวิศวกรรมเป็นอีก
หนึ่งปัจจัยที่ทำให้ 2013 Volkswagen Golf น่าสนใจ ด้วยการหันมาใช้พื้นฐาน MQB เหมือนกับเพื่อนร่วมค่าย
เช่น Audi A3, Seat Leon แล้ว ทีมวิศวกรยังปรับปรุงระบบต่างๆของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการขึ้นรูปชิ้น
เหล็ก ระบบสายไฟ เครื่องยนต์ ชุดระบบกันสะเทือนและระบบส่งกำลัง จนทำให้มีน้ำหนักลดลงรวม 100 กก.จาก
รุ่นที่แล้ว นอกจากนี้ด้านขุมพลังยังถูกปรับปรุงจนมีพละกำลังและความประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น นำทีมโดยเครื่องยนต์
เบนซินแบบ 4 สูบเรียง 1.2 ลิตร TSI สร้างกำลัง 85 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบเรียง ความจุ 1.4 ลิตร
TSI พร้อมเทคโนโลยีพักสูบการทำงานระหว่างรอบเครื่องเบาเป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ 4 สูบ สร้างพละกำลัง
140 แรงม้า และสร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเพียง 20.4 กม./ลิตร
ด้านเครื่องยนต์ดีเซล มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง เพียงความจุเดียวเท่านั้น คือ 2.0 ลิตร แต่มาพร้อม
2 พละกำลัง คือ 105 แรงม้า และ 150 แรงม้าให้เลือกใช้กัน และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี BlueMotion ที่ช่วย
เพิ่มความประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 31.25 กม./ลิตร ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลพร้อมจับคู่กับเกียร์ธรรมดา
ที่มีให้เลือกทั้ง 5 และ 6 จังหวะ รวมถึงระบบเกียร์คลัทช์คู่ DSG ทั้ง 6 และ 7 จังหวะให้ได้เลือกใช้กัน
นอกจากนี้ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่บรรดาของเล่น อุปกรณ์ไฮเทค ที่อัดแน่นมาชนิดที่ว่าไม่น้อยหน้าแบรนด์ระดับพรี
เมี่ยมกันเลย ไม่ว่าจะเป็น Driver Profile Selection เทคโนโลยีเดียวกันกับค่าย Audi ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือก
ได้ว่าจะขับขี่ในรูปแบบไหน ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ Eco, Sport, Normal, Individual และ Comfort รวมไปถึง
อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่แน่นที่สุดในประวัติศาสตร์โฟล์ค กอล์ฟ ทั้งระบบ Multicollision Braking (ระบบ
หยุดรถฉุกเฉิน), ระบบ PreCrash (ปิดกระจกและซันรูฟอัตโนมัติหากตรวจจับว่ากำลังเกิดอุบัติเหตุ และรั้ง
เข็มขัดนิรภัยรอบคันเพื่อช่วยซับแรงกระแทก), Adaptive Cruise Control, ระบบ Front Assist with City
Emergency Braking (ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติเมื่อตรวจจับสิ่งกีดขวางในความเร็วต่ำ), ระบบ XDS หรือ
electronic locking differential, ระบบรักษาเสถียรภาพรถในเลนถนนพร้อมระบบตรวจจับสติของผู้ขับ, ระบบ
Light Assist (ช่วยปรับไฟต่ำ-ไฟสูงอัตโนมัติจากกล้องในกระจกบานหน้า) และอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้
2013 Volkswagen Golf คือกอล์ฟที่ไฮเทคที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา
งานนี้ Volkswagen ก็เปิดตัว Golf GTI รุ่นใหม่และ Bluemotion Concept พร้อมกันไปในตัว สำหรับ Volkswagen
Golf GTI concept มาพร้อมกับตัวถัง 3 ประตู และการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า
และช่องระบายอากาศด้านหน้าสไตล์รังผึ้ง พร้อมแถบสีแดงและโลโก้ GTI อันเป็นเอกลักษณ์ ด้านท้ายมาพร้อมกับท่อไอ
เสียคู่เพิ่มความแรงและความดุดัน รวมถึงไฟท้าย LED นอกจากนี้ยังมีการลดความสูงตัวถังลง 15 มม. และมาพร้อมกับ
คาลิปเปอร์เบรกสีแดง สวมล้ออัลลอยที่มีให้เลือก 3 ลายเช่นเคยได้แก่ ลาย Denver, Detroit และ Glendale ขนาด 17
หรือ 18 นิ้ว
ด้านห้องโดยสารภายในมาพร้อมกับพวงมาลัยหุ้มหนังมัลติฟังก์ชันดีไซน์ใหม่ ที่มีการเดินด้ายสีแดง และมาตรวัดพร้อม
จอแสดงผลข้อมูลแบบสี เสริมความสปอร์ตให้เพิ่มยิ่งขึ้นด้วยแป้นคันเร่ง-เบรกอะลูมิเนียม และไฟ Ambient ในห้อง
โดยสารสีแดง
สำหรับงานวิศวกรรมของรถคันนี้ ดูจะเน้นไปที่การอัพเกรดสมรรถนะเครื่องยนต์ให้แรงกว่ารุ่นเดิม ด้วยการใช้
เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ TFSI 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตรเช่นเคย แต่ปรับจูนใหม่จนมีกำลังสูงขึ้นเป็น 220 แรงม้า
พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 6.6 วินาที
และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 15.1 กม./ลิตร และถ้าหากนี่ยังแรงไม่พอ Volkswagen เตรียมชุด
ปรับจูนเพิ่มที่ทำให้สามารถสร้างแรงม้าได้ 230 แรงม้า ออกมาเอาใจชาวเท้าหนักกันด้วย
นอกจากเวอร์ชันแรงสานตำนานอย่าง GTI แล้ว Volkswagen ก็ยังถือโอกาสเปิดตัว Golf Bluemotion concept
เพื่อเอาใจกลุ่มรักษ์โลกและรักความประหยัดกันบ้าง ในเวอร์ชันนี้ จะมีการปรับปรุงรายละเอียดในหลายๆจุดเพิ่มเติม
เพื่อให้เป็น Golf รุ่นที่ 7 ที่มีความประหยัดน้ำมันมากที่สุด เริ่มต้นด้วยการหั่นน้ำหนักแชสซีส์ลงอีก 26 กก. และ
ลดน้ำหนักโครงสร้างส่วนบนของตัวถังลงอีก 37 กก. เลือกสวมยางเสียดทานต่ำ ปรับทดเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะใหม่
และใส่ระบบ Idling Start/Stop และระบบ Battery Regeneration หรือระบบชาร์จไฟจากการเบรกรถเข้าไปอีกด้วย
นอกจากนี้ขุมพลังยังมีการปรับปรุงรายละเอียดเล็กน้อย จนทำให้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบเรียง TDI ความจุ
1.6 ลิตร 110 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สร้างความประหยัดมากขึ้นจนจิบน้ำมันเพียง 31.25
กม./ลิตรเท่านั้น พร้อมปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาต่ำเพียง 85 กรัม/กม.
Volvo
ผมเคยได้ยินสำนวน “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย” (บางคนก็มีท่อนต่อไปอีกว่า ถ้าไม่สวยก็หยุดเถอะ ^^ ) มาจากโฆษณา
เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งซึ่งหมายความถึงผู้หญิงจะต้องดูแลความงามของตนอย่างต่อเนื่อง หากจะเอามาดัดแปลงให้เข้ากับ
วงการรถยนต์ผมคงขอใช้สำนวนว่า “Volvo V40 อย่าหยุดหล่อ” เพราะ Volvo เล่นจัดเต็มกับ V40 กันต่อเนื่องไม่มี
หยุดยั้งกันเลยทีเดียวจนน่าแปลกใจว่า Volvo ไปแอบโด๊ปยากันท่าไหนถึงได้ฮึกเหิมอย่างนี้
เริ่มจาก Volvo V40 R-Design มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสไตลิ่งอันเฉียบคมและสปอร์ตมากขึ้น โดย V40 R-Design มาพร้อม
กับชุดกันชนหน้าพร้อมกระจังหน้าพร้อมไฟส่องกลางวัน LED และกันชนหลังออกแบบใหม่ ให้ความรู้สึกสปอร์ต
โฉบเฉี่ยว สวมล้อขนาด 17 นิ้วลาย 5 ก้านพิเศษ ในขณะที่สีตัวถังมีให้เลือก 6 สีซึ่งมาพร้อมกับสีพิเศษเฉพาะ V40
รหัส R-Design ได้แก่สีน้ำเงิน Rebel Blue
แม้ไม่มีการเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ แต่ระบบช่วงล่างกลับมีการปรับปรุงเพื่อรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตมาก
ขึ้น ด้วยการลดความสูงตัวถังลง 10 มม. พร้อมปรับช่วงล่างให้หนึบแน่นมากกว่าเดิม ด้วยการมอบหมายให้
ทีมแข่งรถ Volvo Polestar Black R ปรับปรุงในส่วนของสปริง โช้คอัพ เหล็กกันโคลง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
ในทุกการขับขี่
ส่วนห้องโดยสาร มีการอัพเกรดกาตกแต่ง เช่น เบาะนั่งปั๊มตรา R-Design สีน้ำเงินพิเศษหุ้มด้วยหนังแท้สีดำ
เดินด้ายสีขาว การออกแบบมาตรวัดใหม่ในรูปแบบ R-Design และตกแต่งคอนโซลด้วยอะลุมิเนียม
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต พร้อมตกแต่งเพดานหลังคาด้วยสีดำ
เครื่องยนต์ที่จะถูกนำมาใช้ใน 2013 Volvo V40 R-Design จะยังคงยกชุดตัวเลือกมาจาก Volvo V40
รุ่นปกติ ตั้งแต่เครื่องยนต์ดีเซลกำลัง 115 แรงม้า ไปจนถึง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 245 แรงม้า ซึ่ง
2013 Volvo V40 R-Design พร้อมออกจำหน่ายในยุโรปแล้ว สำหรับประเทศไทยต้องติดตามกันว่า
วอลโว่ประเทศไทย จะนำเข้า V40 มาพร้อมกับเวอร์ชัน R-Design นี้ด้วยหรือไม่ครับ
Volvo V40 Cross Country ไม่มีคำว่า XC อยู่ข้างหน้าอีกต่อไปเพื่อให้แสดงว่าเป็นรถครอสโอเวอร์ที่ดัดแปลงจากรถยนต์
นั่งโดยตรงนั่นเอง Lex Kerssemakers รองประธานฝ่ายกลยุทธ์สินค้าและผู้จัดการไลน์ผลิตภัณฑ์ Volvo กล่าวว่า Volvo
V40 Cross Country สามารถตอบโจทย์สำหรับผู้ต้องการรถยนต์ที่ดูสมบุกสมบัน สามารถขับในชีวิตประจำวันได้และ
ตะลุยทางสมบุกสมบันได้ (แต่น่าจะด้อยกว่ารถที่ออกแบบมาสำหรับการลุยแน่นอน)
Volvo ตัดสินใจแยกรถครอสโอเวอร์เอสยูวีตระกูล XC และ Cross Country แยกออกต่างหาก ตระกูล XC จะเป็นรถ
ครอสโอเวอร์เอสยูวีที่มีบุคลิคเฉพาะตัว มีตำแหน่งที่นั่งสูง ขณะเดียวกัน Cross Country จะเป็นรถเสริมบุคลิคพิเศษจาก
ไลน์รถยนต์นั่งที่มีอยู่ดั้งเดิม
จุดเด่นของ Volvo V40 Cross Country ก็คือการเป็นรถที่มีบุคลิคสปอร์ตที่ในกลุ่มรถยกสูงด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นรถที่
ผสานความสปอร์ตและความสบายได้อย่างลงตัว ตัวรถถูกยกสูงจาก V40 มาตรฐาน 40 มม. ดีไซน์ด้านหน้าจะมีความ
เปลี่ยนที่เห็นชัด ได้แก่ ช่องดักลมรังผึ้งขนาดใหญ่, เปลี่ยนทรงกันชนหน้าใหม่, ติดตั้งไฟส่องสว่างตอนกลาง LED แนวตั้ง,
ช่องดักลมใต้กันชนเล็ก, ติดตั้งชายกันชนและชายรอบตัวถัง, ล้ออัลลอย 19 นิ้ว, เปลี่ยนกันชนท้ายใหม่
Volvo V40 Cross Country จะติดตั้งเครื่องยนต์ 5 สูบ T5 2.5 ลิตร 254 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร หากว่าผู้
ขับขี่กำลังเร่งอยู่เครื่องจะช่วยเพิ่มแรงบิดให้อีก 40 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที
มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 7.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และเครื่องยนต์ 5 สูบ T5 2.0 ลิตร 213 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตัน
เมตร
เครื่องยนต์ T4 1.6 ลิตร GTDI 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ให้แรงบิดเผื่อขณะเร่งอีก 30 นิวตันเมตร มี
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 5.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 129 กรัมต่อกิโลเมตร เครื่องยนต์ 4 สูบ T4
2.0 ลิตร 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส D4 5 สูบ 2.0 ลิตร 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายใน 8.3 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 8.0 วินาทีในรุ่นเกียร์ธรรมดา มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส D3 2.0 ลิตร 130 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตรมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ และ
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส D2 1.6 ลิตร 115 แรงม้า แรงบิด 285 นิวตันเมตร เครื่องจะเผื่อแรงบิดอีก 15 นิวตันเมตรสำหรับการ
เร่ง จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและระบบ Idling Stop ประหยัดน้ำมันมากถึง 3.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย
CO2 99 กรัมต่อกิโลเมตร
Volvo มักน้อยตั้งเป้า V40 Cross Country ทั่วโลกเพียงแค่ปีละ 17,000 คัน แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าในยุโรป 50% และ
ลูกค้าจีน 30% เริ่มเดินสายการผลิตในประเทศเบลเยียมเดือนพฤศจิกายน 2012