หลังจากโดนแอบถ่ายแบบผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่นานสองนาน Daimler AG ก็จัดการเปิดเผยโฉม Mercedes-Benz CLS
Shooting Brake ครั้งแรกผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตในวันที่ 30 มิถุนายน 2012 ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศไทยเพื่อเป็นสืบ
สานต่อความสำเร็จจาก CLS ซีดานคูเป้ดั้งเดิม
Mercedes-Benz CLS Shooting Brake น่าจะเป็นรถยนต์แนวสปอร์ตที่เปิดโลกทัศน์ใหม่แก่สู่ผู้บริโภคด้วยแนวคิดรถ
สปอร์ตที่มีเนื้อที่ห้องโดยสารเพียงพอสำหรับผู้ใหญ่ 5 คนและห้องสัมภาระอีกบานตะไทภายใต้รูปลักษณ์แวกอน 5 ประตู
ท้ายลาดแบบสปอร์ตคูเป้ซึ่งถือเป็นการพยายามเดินรอยตามความสำเร็จ CLS ซีดานคูเป้ที่นำเสนอนวัตกรรมรูปแบบตัวถัง
ใหม่
Mercedes-Benz CLS Shooting Brake จะมีดีไซน์ความเป็นรถสปอร์ตสูงมาก ไล่ตั้งแต่ระยะยื่นหน้าที่ยาว, โครงกรอบ
กระจกปราดเปรียว, กรอบไร้กรอบกระจกประตูและที่สำคัญยังออกแบบบั้นท้ายให้ลาดเพรียวลมมากกว่ารถแวกอนทุกคัน
ในโลกอันเป็นการอ้างอิงรถยนต์รูปแบบ Shooting Brake ในอดีต
มิติตัวถังมีความยาว 4,956 มม. ความกว้าง 1,881 มม. ความสูง 1,413 มม. มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.29
จุดขายสำคัญของ Mercedes-Benz CLS Shooting Brake คือความเป็นรถยนต์สปอร์ตทั้งด้านรูปลักษณ์และการขับขี่
สไตล์สปอร์ตน่าเร้าใจแต่อเนกประสงค์ด้วยเนื้อที่สัมภาระขนาด 550 ลิตร เมื่อพับเบาะจะขยายเนื้อที่บรรจุของเพิ่มขึ้นเป็น
1,550 พื้นห้องสัมภาระจะติดตั้งพื้นลายไม้จากต้นไม้เชอร์รี่อเมริกัน ประดับพื้นที่บางส่วนด้วยไม้โอ๊คและติดตั้งราง
อเนกประสงค์อลูมิเนียม
Mercedes-Benz CLS Shooting Brake มีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 ทางเลือก ได้แก่ CLS 250 CDI BlueEFFICIENCY
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.1 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน
7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
CLS 350 CDI BlueEFFICIENCY ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ทำ
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
CLS 350 BlueEFFICIENCY ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ทำอัตรา
เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
CLS 500 BlueEFFICIENCY ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V8 4.8 ลิตร 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ทำอัตรา
เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนจะได้ยลโฉมในไทยได้หรือไม่ก็ต้องลุ้นกัน