รอกันนานแล้วใช่ไหมครับ? รู้น่า…
กว่าที่รีวิวครั้งนี้จะคลอดออกมาได้
เปรียบเสมือนกับคุณต้องใช้เวลาในการดูภาพยนตร์เรื่อง Lord of the ring มหากาพย์ ไตรภาค
ต้องใช้เวลานานถึง….กี่เดือนกันละเนี่ย
เรียกได้ว่านานจนเกือบลืมกันไปเลยทีเดียว ว่าจะต้องรีวิว ผลผลิตล่าสุดของ
ฟูจิเฮฟวีอินดัสตรี ผู้ผลิตรถยนต์ ซูบารุ
นั่งนับนิ้วไปมา เฮ้ย นี่มัน 1 ปีแล้วนี่หว่า!!
โห นี่เราดองนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
ถือเป็นการดองรีวิวที่นานเป็นอันดับ 2 รองจาก มินิ เลยทีเดียว
นานมากจนผมเองก็แอบเกรงใจ ทางมอเตอร์ อิมเมจ บริษัทของชาวสิงค์โปร์ ผู้นำเข้าซูบารุ จากญี่ปุ่น
มาจัดจำหน่ายในบ้านเรา มาตลอด อยู่ในใจว่า ได้ลองขับไปตั้งนานแล้ว ยังไม่ทำรีวิวให้อ่านกันซะที
ก็คิดเอาแล้วกันว่า อิมเพรสซา 1.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา อันเป็นรถคันแรกในไลน์อัพนี้ ผมนำมายืมทดลองขับตั้งแต่สงกรานต์ปีที่แล้ว
มาบัดนี้ สงกรานต์ ปีล่าสุด ผ่านมาแล้ว1 สัปดาห์ รีวิวนี้ เพิ่งจะคลอดให้คุณๆได้อ่านกัน (^_^’)
จนกระทั่ง เดือนกันยายน ปีที่แล้ว คุณอภิชัย แห่ง มอเตอร์อิมเมจ โทรมาบอกว่า
จะให้รุ่น 2.0 ลิตร เกียร์ธรรมดา สีเงิน มาลองขับกันอีกครั้ง รวมแล้ว เป็น 4 คัน
รวมแล้วผมได้ลองขับ อิมเพรสซาใหม่ ครบไปทั้ง 4 คันแล้ว
นี่ยังไม่นับ รถรุ่นเดิม อีก 2 คัน
ทั้งรุ่น WRX ธรรมดา และ WRX STi
และ ก็ถือว่า ครบมากที่สุด เท่าที่เคยทำรีวิวกันมาเลยทีเดียว
1 รีวิว รถ 4 คัน ผมได้แต่นึกในใจ และวางแผนเอาไว้ว่า จะต้องทำรีวิวชิ้นนี้
ในช่วงเวลา ปลายปีที่ผ่านมานั่นละ
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
แต่…พอถึงเวลาจะรีวิว
ก็มีหลายคัน ที่แล่นเข้ามาตัดหน้า อิมเพรสซาไป
เพราะปกติแล้ว ในชีวิตจริง อิมเพสซาไม่ค่อยโดนใครปาดหน้า
หากมีแต่ไปปาดหน้าเขา ด้วยความแรงของตัวรถและคนขับมากกว่า
ดังนั้น พอมาอยู่ในเน็ต ก็มีเหตุให้โดนปาดหน้าไปบ้าง ก็คงไม่น่าจะเป็นไรเนาะ แหะๆ
(หัวเราะกลบเกลื่อนความผิดสุดชีวิต…ข้าน้อยสมควรโดนประณาม งี๊ดๆๆๆ)
แต่ อย่างน้อย ผมละสุดแสนจะดีใจ๊ดีใจ ที่ลากดองรีวิวรถรุ่นนี้ มานำเสนอกันได้ที่ Headlightmag.com แห่งนี้
โดยไม่รีบร้อน นำไปโพสต์รีวิว ลงในเว็บเก่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะมิเช่นนั้น ผมคงจะเสียดาย
ที่คงจะทำอะไรกับรีวิวอิมเพรสซา ไม่ได้ง่ายดายนัก เช่นเดียวกับอีก 51 รีวิว ที่เคยโพสต์เอาไว้
และทุกวันนี้ มีทางเดียวคือ ผมต้องทำมันขึ้นมาใหม่เองทั้งหมด! (-_-‘ ) ซึ่งก็จะทะยอยทำกันต่อไป
พอจะเอาขึ้นพร้อมกับวันเปิดตัวเว็บใหม่ ก็มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นกับ มอเตอร์ อิมเมจเสียก่อน
แต่ตอนนี้ ทราบมาว่า ก็น่าจะเป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนจีนกันไปแล้ว
เอาละ เวลานี้ละ คือช่วงเวลาซึ่งเหมาะสมที่สุดแล้ว ที่เราจะพูดถึง รายละเอียดของ อิมเพรสซา
กันแบบเต็มที่ โดยที่ ไม่ต้องมีใครมาทำให้ตะขิดตะขวงใจ ไม่ต้องมีเหตุการณ์ใด มาทำให้ต้องชะลอรีวิวออกไป
ไม่ต้องมีเรื่องราวใดๆ มาทำให้แรงบันดาลใจ หายหด เหมือนที่เคยเป็นเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว
เหล้าที่บ่มนานปี แสดงว่าเป็นเหล้าชั้นดี แต่ถ้าเก็บเอาไว้ต่อไปอีก
รสที่นักดื่มเคยยอมรับ อาจกลายเป็นรสที่นักดื่มยอมบ้วนทิ้งก็เป็นได้
วันนี้ละ เราจะมาค้นหากัน ว่า ทำไม ผมถึงพาดหัวรีวิว อิมเพรสซา ใหม่ เป็นเช่นดังที่เห็นอยู่ข้างบนนี้
แน่นอนว่า ชื่อ อิมเพรสซา นั้นติดปากเด็กวัยรุ่น และผู้คนทั่วไป ที่พอจะสนใจเรื่องรถยนต์อยู่บ้าง
ทั้งที่สนใจเองอย่างจริงจัง ไปจนถึงกลุ่มที่สนใจไปตามเพื่อนฝูงตามเรื่องตามราวไปเรื่อยๆ
โดยที่ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับเรื่องรถยนต์ มากไปกว่า ชื่นชอบความเร็วและความแรง
อย่างไม่คิดจะสนใจปูมหลังความเป็นมาแต่อย่างใด
อิมเพรสซานั้น เป็นรถยนต์ คอมแพกต์ซีดาน และสปอร์ตแวกอน ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรก เมื่อเดือน
พฤษภาคม 1992 และวางตัวเองให้ประกบกับรถยนต์ระดับคอมแพกต์ C-Segment
ติดชาร์ตขายดีของโลกและในญี่ปุ่น อย่าง โตโยต้า โคโรลลา นิสสัน ซันนี ฮอนด้า ซีวิค
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ และมาสด้า แฟมีเลีย หรือ 323 ในยุคก่อนจะมี มาสด้า 3 (แอ็กเซลา ในปัจจุบัน)
อิมเพรสซา เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของผู้ที่หลงใหลมนต์เสน่ห์แห่งการแข่งขันแรลลีโลก WRC
(World Rally Cross) อย่างเต็มเปา ตั้งแต่ราวๆปี 1992-1993 เมื่อซูบารุ นำอิมเพรสซา ลงแข่งในรายการดังกล่าว
และสู้ยิบตา ท้าดวลคู่แข่งในยุคสมัยเดียวกัน ทั้ง แลนเซีย มิตซูบิชิ โตโยต้า ฟอร์ด ฯลฯ จนเริ่มประสบความสำเร็จติดกัน 3 ปีรวด (1995-1997)
หอบถ้วยรางวัล แพ็คส่งกลับสำนักงานใหญ่ของบริษัทแม่ กลางวงเวียนสถานีรถไฟชินจูกุ ณ โตเกียว ไปหลายกล่องแล้ว
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
อย่างไรก็ตาม มาวันนี้ ซูบารุตัดสินใจพลิกแนวคิดการทำ อิมเพรสซาใหม่ โดยปรับเปลี่ยนตัวถังสปอร์ตแวกอน 5 ประตู
ให้กลายมาเป็นตัวถัง แฮตช์แบ็ก 5 ประตู ส่วนตัวถัง ซีดาน ก็ปล่อยให้ขายในตลาดสหรัฐอเมริกาไปล่วงหน้าพักใหญ่
ก่อนจะเพิ่งเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นไปหมาดๆ เมื่อเดือนตุลาคม 2008 ใช้ชื่อว่า อิมเพรสซา อเนซิส (IMPPREZA ANESIS)
สาเหตุที่ซูบารุ คิดจะเปิดตัวอิมเพรสซา ตัวถังแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ทั้งที่ไม่เคยทำขายมาก่อน
เป็นเพราะ ที่ผ่านมา ซูบารุ มุ่งเน้นทำตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงๆ เอาใจนักขับที่มีประสบการณ์มาก
มานานเสียจนกระทั่ง ตลาดรถยนต์แบบบ้านๆ ดั้งเดิม ที่ตนเคยมีส่วนแบ่งก้อนเค้กกับเขาอยู่บ้าง
ทั้งจากยุคสมัยของรถยนต์ครอบครัว รุ่นเลโอเน (Leone) เรื่อยมาจนถึงอิมเพรสซา รุ่นแรก ในปี 1992
มันเริ่มหดหายลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป และลูกค้าที่เดินเข้าโชว์รูม ซูบารุในญี่ปุ่น และทั่วโลก
ระยะหลังๆมานั้น มีพฤติกรรมประหลาดๆ นิดหน่อย กล่าวคือ พวกเขาเดินเข้าโชว์รูม เพราะ
การโฆษณา ของอิมเพรสซา รวมทั้งซีดานขนาดกลางอย่างเลกาซี ในฐานะ เจ้าแห่งสมรรถนะ
ผู้เข้าร่วมแข่งขันแรลลีโลก แต่พอเอาเข้าจริง ส่วนใหญ่ ตัดสินใจ ถอยรุ่นธรรมดา ไม่มีเทอร์โบ
ออกมาขับร่อนกันหน้าตาเฉย! และแนวโน้มเช่นนี้ มันเกิดขึ้นในบางตลาดสำคัญๆ อย่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เลยมีแนวคิดเกิดขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้น ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง ที่เคยเป็นจุดแกร่งนั้น
เมื่อมันเริ่มไม่สร้างยอดขาย รายได้เข้ามาน้อยลง ก็คงต้องสร้างแรงจูงใจ ในการทำรถยนต์
รุ่นมาตรฐาน ที่ลูกค้าซื้อไปใช้กันเยอะนั้น ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
กว่าที่อิมเพรสซารุ่นเดิมเคยทำเอาไว้ น่าจะช่วยสร้างยอดขายและรายได้ให้มากกว่า
ในภาวะการเงินของซูบารุที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อการอยู่รอดในระยะยาวเช่นนี้
อีกเหตุผลต่อมาก็คือ ซูบารุตั้งใจจะขายอิมเพรสซาใหม่ ในตลาดยุโรปให้ได้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากตลาดยุโรปนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในอังกฤษ
ยังคงติดยึดความนิยมกับรถยนต์แฮตช์แบ็ก
จีที หรือรถยนต์ท้ายตัดที่ได้รับการตกแต่งให้มีสมรรถนะสูงกว่าเวอร์ชันธรรมดา
เพื่อเอาใจนักขับที่ชอบขับเร็วแต่งบประมาณจำกัด
ที่สื่อมวลชนเมืองผู้ดีชาวอังกฤษนิยมขนานนามให้ว่า “HOT HATCH” นั้น
ยังคงได้รับความนิยมอย่างดี
ในเมื่อซูบารุ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะทำรถยนต์แฮตช์แบ็กขนาดกลางไปทำตลาดในยุโรปมาก่อน
จะมีก็แต่ รุ่นที่ต่ำกว่าอิมเพสซาลงไป อย่าง ซูบารุ เร็กซ์ (REX) หรือ จัสตี (JUSTY)
ที่เลิกขายไปเกือบหมดแล้ว จึงทำให้ยากต่อการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในยุโรป
วันนี้ ซูบารุจึงคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการพัฒนารุ่นแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ของอิมเพรสซา
ออกขายกันอย่างจริงจัง ร่วมกับตัวถังมาตรฐาน อย่าง ซีดาน
แถมยังยกความสำคัญในการทำตลาด เหนือกว่าซีดานอีกด้วย
นี่จึงถือเป็นมิติใหม่ในการคิดออกจากกรอบเดิมๆ ที่เคยเป็นจารีตประเพณีของซบารุ
ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึงมาก่อน อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีแนวคิดใหมในการทำตลาด
แต่อิมเพรสซาโฉมต่อไป จะยังคงสร้างขึ้นจากพื้นตัวถังเดิมของรุ่นปัจจุบัน
ที่นำมาปรับปรุงและพัฒนาใหม่อย่างต่อเนื่อง ตามสไตล์ของซูบารุ
คราวนี้ ซูบารุเลือกจะไม่ใช้ประตูแบบไร้เสากรอบกระจกกับอิมเพรสซา อีกต่อไป
เหตุผลส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากในเรื่องความปลอดภัยจากการชนด้าน ข้างแล้ว
ยังรวมถึงเรื่องของการดูดซับเสียง ผ่านทางขอบประตู และหน้าต่าง ที่ไม่ว่าจะออกแบบอย่างไร
ก็ยากจะดูดซับเสียงได้ดีเท่ากับรถที่มีเสากรอบประตู
ส่วนกระจังหน้า ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินใบพัด คราวนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
เพราะกระจังหน้าแบบใหม่ จะเป็นแบบ ปีกสยาย ตามสมัยนิยม
ก่อนหน้านี้ ผมเคยมีโอกาสเห็นภาพสเก็ตช์ แบบร่าง ในช่วงระหว่างที่อิมเพรสซารุ่นนี้ กำลังพัฒนาอยู่
ผมอุทาน ออกมาซะดังเลยว่า “เฮ้ยยย บั้นท้ายมันสวยชะมัดเลยหวะ! ทำไมคันขายจริงมันไม่ได้ครึ่งหนึ่งของในรูปนี้เลยแหะ?”
โลกในจินตนาการหนะ ใครก็ย่อมมีสิทธิ์ฝันให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความคิดและจิตใจของเราได้
แต่ เมื่อมองกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริง การจะสร้างชิ้นส่วนตัวถัให้ออกมาเป็นอย่างใจนักออกแบบต้องการ
ดูเหมือนจะต้องใช้ต้นทุนที่แพงขึ้นอีกมหาศาลเกินกว่า นักบัญชีของบริษัทรถเหล่านั้น จะยอมรับได้ “เสมอ”
บั้นท้ายสวยๆ หน้ารถ เนียนๆ เลย กลายสภาพออกมา ให้สวยที่สุดได้ ใกล้เคียงเพียงแค่ คู่แข่งร่วมชาติอย่าง Mazda 3
ไปด้วยประการฉะนี้…
มิติตัวถังถูกขยายขึ้นจากรถรุ่นเดิม เล็กน้อย
ด้วยความยาว 4,415 มิลลิเมตร กว้าง 1,740 มิลลิเมตร
สูง 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,620 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ (Kerb Weight) นั้น
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT อยู่ที่ 1,310 กิโลกรัม
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT อยู่ที่ 1,345 กิโกรัม
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT อยู่ที่ 1,360 กิโลกรัม
รุ่น 2.5 ลิตร 5MT อยู่ที่ 1,410 กิโลกรัม
ไฟหน้าของรุ่น 1.5 ลิตร จะเป็นแบบฮาโลเจน มาตรฐานธรรมดา
และกระจังหน้า จะเป็นแบบมาตรฐาน ไม่ใช่แบบสปอร์ต อย่างที่เห็นในรถคันสีดำนี้
แต่พอเป็นรุ่น 2.0 ลิตร ขึ้นไป จะเป็นชุดไฟหน้า HID พร้อมสวิชต์ปรับระดับลำแสง สูงต่ำได้ 4 ระดับ
โดยชุดโคมไฟหน้า จะรมสีดำ ให้ดูเข้ม และแตกต่างขึ้นไปอีกระดับ
ในรุ่น 2.5 ลิตร WRX จะมี Scoop บนฝากระโปรงหน้า เพื่อรับอากาศเข้า Intercooler มันถูกออกแบบมาไม่ให้บังทัศนวิสัยด้านหน้าไปด้วย
ส่วนไฟท้าย มาในสไตล์สมัยนิยม พื้นใส หลอด LED สีแดง แถมด้วยไฟตัดหมอกหลัง ฝั่งขวา
ทุกรุ่น มีไฟตัดหมอกหน้า แถมมาให้ โดยมิต้องร้องขอ จากเซลส์ เพิ่มเติมแต่อย่างใด
แต่ ขณะเดียวกัน ทุกรุ่น ก็ไม่มี ไฟเลี้ยวบนกระจกมองข้าง มาให้เลยสักรุ่นเดียว เหมือนกัน
ถ้ามองในแง่ความปลอดภัย หลายคนอาจบอกว่า ทำไมไม่ใส่มาละ เทรนด์ งานออกแบบรถสมัยนี้ ควรจะใส่มาให้แล้วนะ
แต่ถ้ามองถึงความจำเป็นแล้ว ก็มีคำถามย้อนกลับไปว่า ถ้ามันจะทำให้รถแพงขึ้นอีกคันละ 5,000 – 8,000 บาท
คุณคิดว่ายังควรจะใส่อีกหรือ?
เชื่อสิ เดี๋ยวก็จะมีคำถามแรงๆ ย้อนกลับมาถามผมว่า เฮ้! แล้วถ้าคนคิดจะซื้อรถระดับนี้ กับเงินแค่ 5 – 8 พันบาท
เขามีปัญาจ่ายได้น่า จะงกหาอะไรกันนักหนา? ทำไมไม่ใส่มาครบๆเลยจากโรงงานละ?
ผมไม่รู้ว่า มอเตอร์อิมเมจ ซูบารุ จะตอบอย่างไร แต่…
ถ้าสมมติว่าผมเป็นคนขายรถ ก็คงจะตอบไปว่า
“พี่ครับ ถ้าพี่อยากได้ เรามีเป็นออพชัน เพิ่มเติม ให้พี่สั่งซื้อ หรือจะแถมให้พี่ก็ได้ครับ”
ถ้าสมมติว่า ผมใส่หัวโขนของเจ้าของเว็บ Headlightmag.com อย่างที่ทำอยู่นี้
ผมก็จะตอบว่า “อันที่จริง มันไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอกครับ
เพราะที่มีอยู่ใน Honda City ที่ผมใช้งานอยู่นี้ ก็ช่วยได้นิดหน่อย
มันได้ความสวยงาม และความปอดภัยเพิ่มขึ้นเล็กๆน้อย แบบที่
บริษัทรถเขาอยากเพิ่มค่า เพิ่มราคารถให้ เลยบอกคุณพี่ว่า มันจำเป็นและควรจะมีครับ”
แต่ ลองไปถาม วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ประจำ วิน โลตัส ราม 2 หน้าบ้านผมดูสิ
เขาจะตอบให้คุณฟังอย่างแสบสันต์เลยละว่า
“โอ้ย ไอ้หนู มันจะมีหรือไม่มีนะ ถ้านิสัยคนไทย เลี้ยวเปลี่ยนเลนรถทีไร
ไม่ค่อยชอบเปิดไฟเลี้ยวทุกที แล้วจะติดมาหาหอกหาเป็ดหาห่านอะไรกันทำไมละ? ไม่มีประโยชน์ร๊อก!”
อูยยย แสบมากครับน้า! เอาไปเลย 5 ดาว….
(ไก่ย่าง นะ ครึ่งตัวพอ)
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
เปิดประตู เข้าไปดูภายในห้องโดยสาร กันบ้าง
ทางเข้าประตูคู่หน้า ชวนให้นึกถึง รถอยู่ 2 คัน ขึ้นมาดื้อๆ
1. Mazda 3
2. Nisssan NV จะตัวถังแวกอน หรือกระบะ ก็ตามเถอะ
ใครจะบอกว่าไม่คล้าย สักหน่อย ก็ไมได้ว่าอะไรครับ
แต่ผมกลับมองว่า คล้ายแหะ
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
กระนั้น การเข้าออก ก็ไม่ได้ต่างจากรถยนต์ญี่ปุ่นทั่วๆไป ในยุคสมัยเดียวกันนี้เลย
คือ เข้าง่าย ออกสะดวก….(ประโยคหลังนี้ ห้ามคิดทะลึ่งเด็ดขาดเชียว!)
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
เปล่าหรอกครับ อย่าคิดมาก ก็แค่เดี๋ยวกลัวว่า คุณผู้อ่านบางคน อาจจะคิดว่า
ผมลองขับมาไม่ครบทั้งหมด ก็เลยต้องโพสต์ให้ดูกันหมด เผื่อคุณๆจะได้มั่นใจว่า
ผมลองขับมาครบแล้วทั้ง 4 คันจริง และ อีกมุมหนึ่ง ก็เผื่อคุณๆจะมองเห็นความแตกต่าง
ของทั้ง 4 คันนี้ กันบ้าง ก็แค่นั้นเอง
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
เบาะนั่งคู่หน้านั้น มีเรื่องน่าแปลกเล็กน้อย
เพราะรุ่น 1.5 ลิตร ซึ่งให้เบาะคู่หน้า ที่ออกแบบมาให้คล้ายกับเบาะนั่งของ RECARO นั้น
พนักพิงศีรษะ สามารถยกขึ้นปรับระดับสูง-ต่ำ และถอดออกได้
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
แต่ ตั้งแต่รุ่น 2.0 ลิตร ขึ้นไป เบาะนั่งจะเป็นแบบสปอร์ต Bucket Seat
ซึ่งแม้ว่าจะมีเบาะรองนั่ง และฐานรองเบาะ พร้อมก้านยกเลื่อน ปรับขึ้นหน้า-ถอยหลังเหมือนกัน
แต่ชุดพนักพิงเบาะแตกต่างกัน เพราะ พนักศีรษะของเบาะนั่งในรุ่นตั้งแต่ 2.0 ลิตรขึ้นไปนั้น
ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัพนักพิงหลัง ตายตัว
เบาะนั่งทุกรุ่นปรับพนักพิงหลัง และเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังด้วยก้านโยกเหมือนรถยนต์ทั่วๆไป
เฉพาะฝั่งคนขับ เท่านั้น จึงจะมีก้านโยก เพื่อยกระดับเบาะนั่งให้สูงขึ้นหรือเตี้ยลง
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
สัมผัสจากเบาะนั่งคู่หน้านั้น บอกได้เลยว่า
หากเป็นคนชอบเบาะนั่งแบบรถแข่ง คุณจะได้รับความสบายจากมัน
มากกว่าเบาะรถแข่งทั่วไปมีให้ ขณะที่ยังพอจะรั้งตัวคุณเอาไว้กับัวรถ
ขณะเข้าโค้ง อยู่บ้าง พร้อมการกระชับแผ่นหลังบริเวณหัวไหล่ กำลังโอเค
พื้นที่เหนือศีรษะ พอมีอยู่ นิดหน่อย
แต่ถ้าเป็นคนชอบเบาะที่สบายๆ นุ่มๆ เบาะชุดนี้จะให้ความสบายกับคุณ
เฉพาะเวลาที่คุณปรับมันเอนนอน ไม่ต้องมากนัก เอาแค่พอดีๆ พอ
เพราะถ้าปรับมาก อาจจะนอนไม่สบายก็เป็นได้
ร่น 2.5 ลิตร WRX
ตำแหน่งที่วางแขนบนแผงประตูด้านข้าง นั้น อยู่ในระดับพอใช้ได้
เหมาะกับคนที่ช่วงแขนยาวนิดนึง มากกว่าผม
ตำแหน่งนั่งขับ ลดความอึดอัดลงจากอิมเพรสซารุ่นเดิมไปนิดหน่อย
แต่ก็ไม่ถึงกับมากนัก เพราะกลิ่นภายในของซูบารุนั้น สำหรับผมแล้ว
มีเพียงแค่ เลกาซี กับ ทรีเบกา เท่านั้ที่ผมจะยอมรับได้ เพราะนอกนั้น
ขอบอกว่า กลิ่นแบบเนี้ย ชวนทำให้ผมมีอาการไข้หวัดกำเริบ ดีนักแล!
เป็นอาการเฉพาะคน มิได้เหมารวมว่า ทุกคนต้องเป็นเหมือนผมแต่อย่างใด
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
ถ้าจะถามว่า บรรยากาศห้องโดยสารในภาพรวมเป็นอย่างไร คงต้องบอกว่า คับแน่นนิดนึง
แม้จะไม่ถึงกับอึดอัดมาก ขนาด Ford Focus และ Audi A4 รุ่นที่เพิ่งตกรุ่นไปนั่น ก็ตาม
แต่ ถ้าจะค้นหาต้นตอ ของความคับแน่น ไม่ต้องไปหาที่ไหนอื่นไกลหรอก
เพราะ ความใหญ่โตของเบาะคู่หน้านี่แหละ ที่ลดทอนความโปร่งของห้องโดยสารลงไปได้เอาเรื่อง
ไม่อยากจะเชื่อว่า แค่ดีไซน์ที่ต่างกันนิดเดียว
และขนาดที่ต่างกันนิดเดียวของพนักศีรษะ เบาะคู่หน้า
จะสร้างความแตกต่างทางจิตวิทยาได้ถึงเพียงนี้
เพราะผมไม่รู้สึกคับแน่นเลยเวลาที่นั่งในห้องโดยสารของรุ่น 1.5 ลิตร…..
มันโล่งกว่ากัน นิดหน่อย แต่ก็ชัดเจน
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
บานประตู ผู้โดยสารคู่หลัง เปิดกางออกได้ กว้าง 75 องศา เน้นการเข้าออกจากห้องโดยสารให้สบายยิ่งขึ้น
ลดปัญหาการเหวี่ยงรองเท้าโดนแผงประตูด้านข้างไปได้นิดหน่อย แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง ในผู้โดยสารบางราย ที่ตัวสูงใหญ่
โปรดสังเกตว่า ที่ใต้บานประตูนั้น จะมีเหล็กน็อต ยื่นออกมาเล็กน้อย แถมพลาสติก บริเวณชายขอบล่างของกรอบประตู ก็ออกแบบมาให้สอดรับกัน
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
ขนาดของทางเข้าห้องโดยสารด้านหลัง ก็ไล่เลี่ยกันกับ Mazda 3 อยู่ดี
ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องนำรถรุ่นนี้ไปเทียบกับ รถยอดนิยมรุ่นนี้
เพราะในญี่ปุ่น และในบ้านเรากันเอง ขนาด ช่วงวิจัยตลาดเพื่อเปิดตัวรถ Civic ใหม่ออกมา
เป้าหมายที่ Honda ต้องการจะซัดโดยตรง แทนที่จะเป็น Corolla แต่กลับกลายเป็น Mazda 3 ไปซะนี่
ซูบารุเองก็มองเช่นนั้น จึงทำรถออกมาในแนวทางที่เรียกได้ว่าคล้ายคลึงกันมาก!!
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
แผงประตูทั้ง 4 บาน มีช่องเก็บของเล็กๆน้อยๆ เอาไว้เผื่อให้ใส่ของ จุกจิกกันได้
เป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอาใจลูกค้า ด้วยการสร้างรถ อิมเพรสซาใหม่
ให้ตอบโจทย์ การใช้งานขั้นพื้นฐานของลูกค้าประเภทบ้านๆ มากขึ้นกว่าเดิม
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
ถึงแม้เบาะคู่หน้าจะแตกต่างกัน จากชาวบ้านชาวช่องเขา
แต่ เบาะแถว 2 ของ อิมเพรสซารุ่น 1.5 ลิตร ก็มีลักษณะเดียวกันกับ ทุกรุ่นที่มีราคาสูงกว่า
ลายผ้าเบาะของแต่ละรุ่นนั้น ดูคล้ายๆกัน แต่ก็ยังพอจะเห็นความแตกต่างได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
ส่วนเบาะรองนั่ง ด้านหลังนั้น ยังสั้นไปนิดหน่อย ยังไม่ถึงกับรองรับข้อพับหัวเข่าได้ดีนัก
แถมยังใช้ฟองน้ำที่ค่อนข้างนุ่มนิดนึง
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
พื้นที่เหนือศีรษะ ยังพอมีว่าง อยู่พอสมควร เช่นเดียวกับ พื้นที่วางขา ซึ่งวางได้
สบายขึ้นกว่าเดิม โดยไม่รู้สึกอัตคัตพื้นที่มากเท่ารถรุ่นก่อน
ระยะฐานล้อที่ถูกขยายให้ยาวขึ้น ก็เป็นตัวแอบช่วยสำคัญ ที่ทำให้ อิมเพรสซา
กลายเป็นรถสำหรับทุกๆคนได้มากขึ้น กว่ารุ่นเดิมที่เคยเป็น
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
แผ่นหลังยังคงทาบลงไปกับพนักพิงได้อย่างไม่เมื่อยหลังนัก แม้จะเดินทางในเมือง
แต่ถ้าเดินทางไกล การไม่มีที่วางแขนด้านหลังมาให้เลย แม้แต่รุ่นเดียวนั้น
ก็อาจจะมีเสียงบ่นจากคนนั่งด้านหลังมาได้บ้าง
แต่จะให้ทำเช่นใด เพราะในเมื่อ ซูบารุ อิมเพรสซา
ก็ยังคง เหมาะเป็นรถสำหรับขับไปไหนต่อไหนกันสองคน
มากกว่า ที่จะเป็นรถยนต์ เอาไว้สำหรับขนเพื่อนฝูง ไปหมดซุ้มคณะ
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
เบาะหลังของทุกรุ่น ตั้งแต่ 1.5 ลิตร ยัน 2.5 ลิตร สามารถแบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
ตั้งข้อสังเกตว่า พนักพิงเบาะหลังนั้น เมื่อพับลงมาแล้ว เพียงแค่จังหวะเดียว
โดยที่เบาะรองนั่งไม่ต้องย่อตัวแบนราบติดพื้นรถไปแบบที่ Honda Jazz เป็น
เพียงเท่านี้ พื้นห้องเก็บของด้านหลัง ก็เปิดกว้างและยาวต่อเนื่อง มาจนถึงเบาะหลังแล้ว
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
แต่ส่วนหนึ่ง ต้องบอกว่า ที่แบนราบได้ต่อเนื่องนี้ เป็นเพราะพื้นห้องเก็บของ อยู่สูงขึ้นมาในระดับหนึ่ง
อีกทั้งมีการจัดการพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง อย่างชาญฉลาด ในระดับหนึ่ง….
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
ถ้าหากดูเผินๆจากภายนอก ถ้าเป็นคนไม่ช่างสังเกตนัก และไม่ใช่คนอบรถ คลั่งไคล้รถมากนัก
คุณอาจมองไม่เห็นความแตกต่าง ของอิมเพรสซาใหม่ในแต่ละรุ่น
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
อย่าว่าแต่ใครเลย ผมเองก็เช่นกัน
เมื่อเริ่มขึ้นขับ อิมเพรสซา ใหม่ คันแรกไปแล้ว
พอทิ้งช่วงไปสักพัก ก่อนจะไปขับ คันต่อไป
ต่อให้เว้นช่วงไปนานขนาดไหน
ผมก็ยังต้องพยายามหาความแตกต่าง ของอุปกรณ์ติดรถที่มีมาให้
เพราะผมแทบไม่พบความแตกต่างกันมากนัก เฉพาะในแง่ของอุปกรณ์ติดรถจากโรงงาน
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
ห้องเก็บของด้านหลังนั้น ถ่ายมาให้ดูทั้ง 4 คัน เพียงเพื่อยืนยันให้เห็น ว่า มันไมได้มีอะไรแตกต่างกันจริง
มีม่านบังสัมภาระมาให้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน ตั้งแต่รุ่นล่างยันรุ่นแพงสุด และยังรูดเก็บเข้าที่เข้าทางได้ เหมือนๆกัน
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
สรุปแล้ว นี่เราจะเล่น Photo Hunt กันอีกนานไหม?
ไม่นานหรอกครับ คราวนี้ ย่อให้แล้ว พยายามย่อรีวิว ให้สั้นลง อย่างสุดหนทางที่มีให้ทำได้
เพราะหลายๆคน บ่นว่า พอเห็นรีวิวผม ยาว ก็เริ่มจะขี้เกียจอ่าน กว่าจะโหลดขึ้นมาได้ ก็นาน
แต่อย่างน้อย ผมก็จะดีใจนะ ถ้าคุณยอมเสียเวลา อ่านมันจนจบ
เพราะคนทำ ก็ตั้งใจทำให้อ่านกันนั่นละครับ
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
ใต้พื้นห้องเก็บของ ของรถทั้ง 4 รุ่น 4 คันนี้ เป็นที่เก็บยางอะไหล่
และชุดเครื่องมือประจำรถอย่างที่เห็นอยู่นี้เหมือนกันหมด
ดังนั้น รูปนี้เพียงรูปเดียว น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการพูดถึง
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
การรีวิวรถ ทีเดียว 4 คันรวด นี้ อาจทำให้คุณต้องดูภาพในกษณะ Photo Hunt กันบ่อยกว่าปกติทั่วไปสักนิด
เพียงเพราะ ในกรณีของ อิมเพรสซา ผมอยากให้คุณมองหาจุดที่แตกต่างกัน ของแต่ละภาพ ว่า มันเหมือน หรือต่างกัน
อย่างไร และมากน้อยแค่ไหน?
ชุดแผงหน้าปัด นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ชวนให้คุณได้ลองใช้ความสามารถ ทางประสาทสัมผัส
ลองแยกแยะ ให้เห็นกันชัดเจนออกมา
รุ่น 2.0 ลิตร 4AT
ถ้าสายตาดีๆ คุณจะรู้ได้ว่า รุ่น 1.5 ลิตร 5MT อันเป็นรูปบนสุดนั้น ไม่มีระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control มาให้
แน่ละครับ รถที่วางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ขืนใส่ข้าวของมากมายก่ายกอง รุ่น 2.0 ลิตร ก็ไม่ต้องขายกันพอดี
และ สวิชต์ ของระบบดังกล่าว ก็มีให้เห็นทั้งรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดา
ใช่ครับ ถูกแล้ว เกียร์ธรรมดาเนี่ยแหละ อิมเพรสซา เป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาอีก 1 คัน ที่ผมเห็นคาตา
ว่า ระบบ Cruise Control นั้น ก็ติดตั้งกับรถเกียร์ธรรมดาบางรุ่น ที่ใช้ระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ได้
อีกทั้งยังใช้งานมาแล้วกับมือ!
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT
วัสดุที่ใช้ในห้องโดยสารของ อิมเพรสซาใหม่นั้น เป็นพลาสติก รีไซเคิล ที่ร่วมยุคสมัยมากขึ้น
และให้พื้นผิวสัมผัสที่ ไม่ต่างจากรถญี่ปุ่น ระดับคอมแพกต์ทั่วไป ซึ่งประกอบในประเทศ
และมีค่าตัวประมาณ 7 แสนบาท จนถึง 1.1 ล้านบาท
การเล่นโทนสี โดยใช้พลาสติกสีเงิน มาช่วยตัดแบ่งระหว่าง ครึ่งท่อนบนกับครึ่งท่อนล่างของชุดแผงหน้าปัด
อยู่ในระดับไม่หวือหวา แม้จะให้อารมณ์สปอร์ตมาเพียงนิด จากแสงไฟของชุดมาตรวัดทั้งหมด ที่เน้นโทนสีแดง ก็ตาม
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
สังเกตให้ดีๆจะพบว่า ตำแหน่งการวางชุดเครื่องเสียง กับ ชุดมาตรวัดความเร็ว อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
เหตุผลนั้น ไม่บอกก็รู้ว่า จงใจเพื่อให้ผู้ขับขี่ ละสายตาจากท้องถนน มาควบคุมสั่งการอุปกรณ์ต่างๆ
ได้ใกล้ตัวยิ่งขึ้น เพราะในอิมเพรสซารุ่นเดิม ตำแหน่งของชุดเครื่องเสียง อยู่ใต้ช่องแอร์ตรงคอนโซลกลาง
มาในรุ่นใหม่ ก็เลยจัดสลับตำแหน่งกันเสียเลย
ฟังดูเหมือนดี แต่ในความจริง ผมมองว่า ตำแหน่งของชุดมาตรวัด ต่ำลงไปนิดนึง จากที่มันควรจะอยู่
แต่ก็มิได้เป็นเรื่องเลวร้ายคอขาดบาดตายมากนัก เพราะถ้าออกแบบให้มันอยู่สูงกว่านี้ ในแง่ความสมดุล
ของเส้นสาย อาจจะลดด้อยถอยลงไป
ชุดมาตรวัดของซูบารุทุกรุ่นในระยะหลังๆมานี้ เมื่อบิดกุญแจติดเครื่องยนต์ปุ๊บ
เข็มทั้งหมดที่เรือนไมล์มี จะกวาดไปทางขวาจนสุด ก่อนที่ชุดมาตรวัดจะสว่างอีกครั้ง
เราจะเริ่มจากมาตรวัดรุ่น 1.5 ลิตร
พอสว่างขึ้นมา มาตรวัด ก็จะมาในแบบบ้านๆเรืองแสงด้วยสีแดง แต่ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำในหม้อน้ำ
มาตรวัดรุ่น 2.0 ลิตร ก็มาในลักษณะเหมือนกัน เพียงแต่ ตำแหน่งไฟสัญญาณเืตืนบางอย่าง แตกต่างกัน
ถ้ายังเล่น Photo Hunt ไม่เจอ เฉลยแล้วกันว่า ดูมาตรวัดฝั่งขวาเอาไว้ ก็จะเห็นสัญญาณไฟเตือนที่แตกต่าง
ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร 4AT ตอนแรก ก็คิดว่า ไม่ต้องเอารูปลงก็คงได้…
ที่ไหนได้ พอมานั่งเพ่งดูอีกที คงต้องเอาลงให้เห็นด้วยเช่นกัน ว่า มีตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติเพิ่มเติม พร้อมทั้สัญญาณไฟเตือนบางอย่างที่ต่างกันออกไปอีก
ส่วนรุ่น 2.5 WRX งานออกแบบชุดมาตรวัดจะแปลกตาไป มาตรวัดรอบย้ายมาอยู่ตรงกลางแทน
และเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เมื่อติดเครื่อง มาตรวัด จะกวาดไปจนถึงฝั่งวาสุดเช่นกัน
ก่อนจะสว่างขึ้นเป็นสีแดง (Red luminescent) ที่ แรงฤทธิ์ได้กำลังดี ไม่แสบตาเกินไปและ มีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำในหม้อน้ำ!
(เดี๋ยวนี้ กะอีแค่ มาตรวัดตัวนี้ ยังต้องกั๊กเอาไว้เป็นออพชันเสริมให้เฉพาะในรุ่นท็อป เท่านั้นกันแล้วหรือเนี่ย??)
สรุปว่า ทั้ง 4 รุ่น ชุดมาตรวัด แม้จะมีดีไซน์พื้นหลักเหมือนกัน แต่ เอาเข้าจริง ก็แตกต่างกันหมดเลย…โอ้ว….เล่นกันอย่างนี้เลยแหะ ดีๆๆ
ฝั่งขวาของผู้ขับขี่ จะเหมือนกันแทบทุกรุ่น
สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า มีสวิชต์ เซ็นทรัลล็อกมาให้
แต่ไม่ใช่ทุกรุ่นที่จะมี สวิชต์ปรับระดับสูง-ต่ำ ของชุดโคมไฟหน้าแบบ HID มาให้
กุญแจของทุกคันเป็นแบบ มี รีโมทคอนโทรล ฝังอยู่ในตัวลูกกุญแจ มีระบบ Immobilizer
แม้ในต่างประเทศจะมี ออพชัน เป็นอุ่มติดเครื่องยนต์ (ซึ่งก็ยกมาจาก คลังอะไหล่สหกรณ์
ของโตโยต้านั่นละ แต่ในเมืองไทย ดูเหมือนจะยังไม่มีครบนัก)
โปรดสังเกตดีๆ กับสวิชต์ปรับกระจกมองข้างไฟฟ้า
อยากจะสงสัยเหลือเกินว่า นี่คือผลพวงประการต้นๆ ที่ซูบารุได้รับ (ประโยชน์?)
จากการเข้ามาถือหุ้นร่วม ของ Toyota หรือเปล่า?
รุ่น 1.5 ลิตร 5MT
สวิชต์ เครื่องปรับอากาศทุกรุ่น เป็นแบบมือบิด ตามสไตล์รถยุโรป
ส่วนชุดเครื่องเสียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน ก็ติดตั้งชุดเครื่องเสียงแบบที่ มีหน้ากากคล้ายคลึงกัน
รุ่น 2.0 ลิตร 5MT ยามค่ำคืน เรืองแสงด้วยสีแดง
รุ่น 2.5 ลิตร WRX
แต่ ในรุ่น 1.5 ลิตร ให้ลำโพงมา 4 ชิ้น
ส่วนรุ่นอื่นๆ ให้มา 6 ชิ้น ทุกรุ่นจะมีช่องเสียบ AUX สำหรับเครื่องเล่น MP3 แะ iPod มาให้
ในกล่องคอนโซลกลาง ที่วาง ซีดีรวมทั้ง ทุกรุ่นยังมี สวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง บนฝั่งซ้ายของพวงมาลัย
และจอ ดิจิตอล แสดงข้อมูล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย มาตรวัดอุณหภูมิ และนาฬิกา ดิจิตอล อยู่ข้างบนสุด เหนือชุดเครื่องเสียง
รุ่น 2.5 WRX
ตำแหน่งพวงมาลัยนั้น ปรับระดับสูง-ต่ำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และไม่สามารถปรับระยะห่างจากผู้ขับขี่ ใกล้-ไกล ในแบบเทเลสโคปิกได้
ตำแหน่งเบาะนั่ง สำหรับผม ถือว่า ลงตัวใช้ได้ แต่จะดีกว่านี้ หากสามารถปรับระยะใกล้-ไกลของพวงมาลัยให้ได้
ไฟสีแดง ที่เห็นด้านใต้รูปบนนี้ คือ สวิชต์ สำหรับสั่งปิดระบบ ควบคุมเสถียรภาพ
VDC (Vehicle Dynamic Traction Control) ในรุ่น 2.5 ลิตร WRX
กล่องเก็บของนั้น ฝาเปิด เกือบจะโดนเข่า ของผู้โดยสาร พื้นที่ข้างใน ดูเหมือนจะใหญ่ แต่แค่ใกล้เคียงช่องเก็บของ ของ Mazda 3
และนั่นหมายความว่า ชุดเครื่องปรับอากาศ ถูกย้ายเ้ข้าไปอยู่บริเวณหลังแผงควบคุมกลาง เฉกเช่นรถในยุคสมัยเดียวกันรุ่นอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว
ฝาปิดคอนโซลกลางนั้น ทำเป็นที่พักแขน แต่ค่อนข้างเตี้ย มาให้ ซึ่งใช้วางแขนไม่สะดวกเอาเสียเลย
แต่ เมื่อมานั่งคิดดูอีกที ถ้ามันมีที่วางแขนขึ้นมา แล้วเป็นอุปสรรคต่อการเข้าเกียร์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก
สำหรับรถที่ผู้ขับจะสนุกกับการเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆอย่างนี้
กล่องคอนโซลกลางของทุกรุ่น จุกล่องซีดีได้ในจำนวนพอๆกันกับรถยนต์ทั่วๆไป
ด้านความปลอดภัย รุ่นท็อปติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง รวม 4 ใบ
และลดทอนจำนวนถุงลมฯออกไป ตามระดับราคาของแต่ละรุ่นย่อย
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ-ลดแรงปะทะ และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรีบเด็ก
มาตรฐาน ISOFIX และพนักศีรษะเด้งตัวอัตโนมัติ ลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ
ทั้งหมดนี้ ติดตั้งในโครงสร้างตัวถังที่ออกแบบให้รองรับการชนแบบไม่เต็มหน้า
รวมทั้งยังลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน โดยออกแบบให้เครื่องยนต์ และ
ท่อนเพลาขับเคลื่อน ถูกอัดถอยร่นลงไปอยู่ใต้พื้นรถทันทีที่เกิดการชน
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
เวอร์ัชันไทยของอิมเพรสซา ใหม่ มีทางเลือกขุมพลัง 3 ระดับความแรง
ครบถ้วน ตามเวอร์ชันส่งออกสู่ตลาดอื่นๆ ทุกประการ
เริ่มกันที่รุ่นพื้นฐาน เป็นเครื่องยนต์รหัส EL15
4 สูบ นอน DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 77.7 x 79.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.1 : 1
107 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที
ในเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น เลือกได้ทั้งรุ่นขับล้อหน้า หรือขับสี่ล้อ AWD
แต่สำหรับบ้านเรา เป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ สถานเดียว
รุ่น 1.5 ลิตร จะมาพร้อม เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
และ ก้านโยก High-Low Range ด้วยระบบกลไก
ซึ่งผู้ผลิต หวังว่าจะช่วยให้ลากรอบเครื่องยนต์ได้นานขึ้นอีกนิด
ถ้าจะถามว่า คันโยก Hi-Low Range นี้มีประโยชน์ยังไง
เอาแบบคร่าวๆ ก็คือ ช่วยในการขับขี่บนพื้นถนนขรุขระ ลูกรัง
และช่วยเพิ่มการออกตัว ให้นุ่มนวลขึ้น เมื่อมีการบรรทุกคน หรือข้าวของ เพิ่มมากขึ้น
แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลยจะเป็นการดีที่สุด
เพราะเมื่อทดลองเล่นแล้ว ไม่เห็นความแตกต่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.454
เกียร์ 2 1.947
เกียร์ 3 1.296
เกียร์ 4 0.972
เกียร์ 5 0.780
เกียร์ ถอยหลัง 3.333
อัตราทดเฟืองท้าย 4.444
High / Low Range 1.447
ส่วนพิกัดหลักที่ทำยอดขายส่วนใหญ่มาตลอดอย่างรุ่น 2,000 ซีซี
ยังคงยืนหยัดกับเครื่องยนต์บล็อกสหกรณ์ดั้งเดิม EJ20 4 สูบนอน บ็อกเซอร์
DOHC 16 วาล์ว 1,994 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 75 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1
150 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร หรือ 20.0 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที
มีเฉพาะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD เท่านั้น
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.454
เกียร์ 2 2.062
เกียร์ 3 1.448
เกียร์ 4 1.088
เกียร์ 5 0.825
เกียร์ ถอยหลัง 3.333
อัตราทดเฟืองท้าย 4.111
High / Low Range 1.447
และ ยังมีเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ E-4AT พร้อมโหมด บวก-ลบ SPORT SHIFT พัฒนาโดย PRODRIVE ให้เลือก
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 2.785
เกียร์ 2 1.545
เกียร์ 3 1.000
เกียร์ 4 0.694
เกียร์ ถอยหลัง 3.333
อัตราทดเฟืองท้าย 4.111
ส่วนรุ่น 2.5 ลิตร WRX นั้น จะร้อนแรงด้วยเครื่องยนต์ รหัส EJ25 4 สูบนอน บ็อกเซอร์ DOHC 16 วาล์ว
2,457 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 99.5 x 79.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 8.4 : 1
ในต่างประเทศ มีทั้งเวอร์ชัน N/A (Normal Aspiration) 170 แรงม้า (PS)
แต่ในบ้านเรา มีแต่เวอร์ชันเพิ่มเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์
220 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร หรือ 32.6 กก.-ม.ที่ 2,800 รอบ/นาที
รุ่น 2.5 ลิตร WRX ที่ขายในเมืองไทย มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.166
เกียร์ 2 1.882
เกียร์ 3 1.296
เกียร์ 4 0.972
เกียร์ 5 0.738
เกียร์ ถอยหลัง 3.333
อัตราทดเฟืองท้าย 4.444
ทุกรุ่น ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ EURO IV และเชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลาแบบ All-Wheel-Drive AWD
โดยในรุ่นที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ จะมาพร้อมระบบ Active Torque Spilt
ระบบนี้จะใช้ เซ็นเซอร์ ที่ติดตั้งในแต่ละล้อ ส่งข้อมูลการหมุนของล้อทั้ง 4 ไปประมวลผลยังกล่องสมองกล
เพื่อส่งผลที่ได้ ให้สมองกลของชุดคลัชต์ทรานสเฟอร์ คำนวนและสั่งการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์
ไปยังแต่ละล้อ แปรผันไปตามสภาพเส้นทางตลอดเวลา
ขณะที่ รุ่นเกียร์ธรรมดา จะยังคงใช้ระบบ Centre differential มีชุดเพลากลาง ถ่ายทอดกำลัง
พร้อม VISCOUS Coupling L.S.D. (Limited Slip Differential)
เรายังคงทำการทดลองหาอัตราเร่งกัน โดยมีน้อง กล้วย BnN หนึ่งใน The Coup team ของเรา เป็นผู้จับเวลา
ใช้มาตรฐานเดิม คือ ทดลองกันตอนกลางคืน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่งกัน 2 คน น้ำหนักตัว รวมแล้ว ไม่เกิน 150 กิโลกรัม
และต่อไปนี้ คือตัวเลขที่ได้มา จากรถทั้ง 4 คัน เปรียบเทียบกับ อิมเพรสซา รุ่นเดิม…
รุ่น WRX 2.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ นั้น ยังคงเป็นพระเอกที่น่าปลาบปลื้มที่สุด
ในทั้ง 3 รุ่นที่ขับมา ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
และ เช่นเดียวกัน รุ่น 1.5 ลิตร ก็ทำผลงานออกมาได้ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้นิดหน่อย
เพราะ การที่มีเครื่องยนต์แค่ 1,500 ซีซี แต่ต้องแบกรับภาระทั้งด้านน้ำหนักตัว
การสูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลา คือ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวเลข
อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของรุ่น 1.5 ลิตรนั้น ออกมาได้ อืดอาด
พอกันกับ Chevrolet Aveo เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร แต่ถึงกระนั้น อัตราเร่งแซงในช่วง
80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังทำได้ดีกว่า เอวิโอ ราวๆ 1 วินาที
น่าภูมิใจไหมเนี่ย?
แต่เอาเถิด ส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าที่ซื้อรุ่น 1.5 ลิตรไป ใช้งานนั้น มักมีแผนเตรียมเล่นสนุกกับรถของตน
ด้วยการถอดเครื่องยนต์ พลังกระจงน้อย เพื่อเตรียมวางเครื่องยนต์ตัวแรงประเภทคอแดง กันอยู่แล้ว
ดังนั้น เรื่องแค่นี้ คงไม่ใช่เรื่องที่ลูกค้าผู้ซุกซน จะยี่หระ
แต่ในรุ่น 2.0 ลิตร อันเป็นรุ่นหวังยอดขายนั้น
แม้ว่ารุ่นเกียร์อัตโนมัติ จะทำตัวเลขออกมาได้ แบบ ไม่ถึงกับดีนัก
ด้อยกว่า Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4AT และ Honda Civic 2.0 เกียร์อัตโนมัติ 5AT
แต่อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
กระนั้น ตราบใดที่ยังมีรุ่นเกียร์ธรรมดาอยู่ในสต็อก
และถ้าคุณไม่ได้มีงบมากพอจะเล่นรุ่น 2.5 ลิตร WRX ละก็
ผมขอแนะนำให้คุณคว้ามันมาได้เลย แบบไม่ต้องคิดมาก!
ก็ดูเอาสิครับ อัตราเร่ง ดีกว่ารุ่นเกียร์อัตโนมัติ ชัดเจนมากขนาดนี้
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่างกันถึง 1.2 วินาที โดยประมาณ
อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่างกัน 0.8 วินาที
แถมแรงดึงที่เกิดขึ้น เกียร์ธรรมดาให้บุคลิกเร้าใจกว่ากันนิดเดียว
และตัวเลขรุ่น 2.0 ลิตร 5MT นั้น แตกต่างจาก 2.5 ลิตร WRX รายการละ 2 วินาที
รุ่น WRX 2.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ นั้น ยังคงเป็นพระเอกที่น่าปลาบปลื้มที่สุด
ในทั้ง 3 รุ่นที่ขับมา ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แรงดึงกระชากที่เร้าอารมณ์ชัดเจนกว่า
รุ่นอื่นๆในตระกูล แต่ กลับไม่กระโชกโฮกฮาก น่ากลัว เหมือน อิมเพรสซารุ่นก่อนหน้านี้
แม้ว่าจะยังให้แรงบิดที่ไหลมาเทมาใช้ได้ แต่นั่นก็ต้องรอให้ เทอร์โบ เริ่มทำงานเสียก่อน
อยากจะให้พละกำลังมาเมือ่ไหร่ ก็แค่เหยียบคันเร่งลงไป นิดนึง เดี๋ยวมันก็พาเพื่อนฝูง
มาปั่นกำลังลงสู่ล้อทั้ง 4 ให้เราแล้ว
ความเร็วสูงสุดนั้น หากแช่กันยาวๆกว่าที่ได้ลองทำอีกสักนิด
น่าจะได้เกินกว่า 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5,800 รอบ/นาที ไปสักเล็กน้อย
แต่ ในค่ำคืนแรกที่เราทดลองกันนั้น เราทำได้เพียง 218 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็มีรถกระบะ วีโก้
ที่จำเป็นต้องเบี่ยงออกมาทางเลนขวา เลนที่เราใช้อยู่ ซึ่ง จะไปว่าเขาเต็มที่ก็มิอาจทำได้ เนื่องจาก วีโก้ คันนั้น
จะต้องหักหลบ รถบรรทุก 6 ล้อ ห้องเย็น ที่แซงรถใหญ่กว่า ออกมาทางเลนกลาง บีบให้วีโก้ ต้องเบี่ยงออกมาทาง
เลนขวาสุด และนั่นทำให้เราต้องเบรกชะลอความเร็วกัน มาแต่ไกล ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ผมต้องจบการทดลองลงที่ตรงนั้น
อย่างไรก็ตาม หากวาดออกมาเป็นกราฟแรงม้า แรงบิดแล้ว แน่นอนว่า พอถึงรอบเครื่องยนต์เกินกว่า 5,000 รอบ/นาทีขึ้นไป
กราฟน่าจะมีปลายที่เหี่ยวลงเล็กน้อย
ผมกับน้องแพน เราลงความเห็นว่า รถคันที่ลองขับนั้น น่าจะมีการจ่ายส่วนผสมของน้ำมันที่หนาไปสักนิดนึง
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต
ด้านหลังเป็นแบบ ปีกนกคู่ Double Wishbone
ช่วงล่าง ของทั้ง รุ่น 1.5 ลิตรและ 2.0 ลิตร จะเซ็ตมาคล้ายๆกัน คือ เน้นนุ่ม ขับเรื่อยๆ สบายๆ
ติดสปอร์ตนิดๆ และให้สัมผัสที่ แทบไม่ต่างอะไรกับระบบกันสะเทือนของ Mazda 3
ที่ทำตลาดอยู่ในไทยเอาเสียเลย เว้นเสียแต่ว่า ด้านหลัง จะนุ่มกว่า Mazda 3 ก็เท่านั้น
ความนุ่มนวลของอิมเพรสซาใหม่นั้น ต้องยอมรับว่า มีส่วนทำให้หลายๆคนที่ยังติดใจ
กับความดิบเถื่อนของอิมเพรสซารุ่นก่อนๆนั้น ถึงกับกรี๊ดแตก รับไม่ได้กันเลยทีเดียว
แต่ถ้าจะมองกันให้ดีนั้น การที่ซูบารุตัดสินใจเซ็ตรถให้ออกมาให้นุ่มตึ๋งหนืดกว่ารุ่นเดิมนั้น
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ในอดีตนั้น พอทำรถออกมาดุดัน จริงอยู่ว่า เอาใจลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นได้
แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลุ่มวัยรุ่นที่มีกำลังจะซื้อรถที่ติดสปอร์ตเร้าใจอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ในตลาด
แต่ พอมาเป็นรุ่น WRX 2.5 ลิตร ที่ได้ทดลองขับนั้น สัมผัสที่ได้ ต่างกันชัดเจน แม้จะไม่มากนักก็ตาม
เพราะช็อกอัพ และชุดสปริงนั้น เป็นชุดที่ปรับเซ็ตขึ้นมาให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน อีก 3 คันที่เหลือ
ดังนั้น บุคลิกของตัวรถ จึงจะให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งได้ดีกว่า รุ่นมาตรฐาน การตอบสนอง
ของรถนั้น ไม่ได้ดิบเท่ากับ อิมเพรสซา WRX 2.5 ลิตร รุ่นเดิม แต่ เอนเอียงไปทาง Family Sport Saloon มากกว่า
ชวนให้นึกถึงบุคลิกที่ใกล้เคียงกับ Legacy รุ่นปัจจุบัน ซึ่งใกล้จะตกรุ่นในอีกไม่นานนี้
การตอบสนองของพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง แบบไฮโดรลิคเดิมๆ ของทั้ง 3 รุ่นนั้น
จัดอยู่ในเกณฑ์ น่าประทับใจขึ้นกว่ารุ่นเดิม ระยะฟรีลดลงจากรุ่นเดิมนิดนึงและคมกระชับฉับไวดีขึ้นอย่างที่ควรเป็น
อย่างไรก็ตาม ระยะฟรีที่มีนั้น สำหรับรถยนต์ที่ออกแบบมาในแนวสปอร์ตอย่างนี้
ถ้าหากลดระยะฟรีลงอีกนิดเดียว ก็จะยิ่งเพิ่มความสนุกและแม่นยำในการขับขี่มากขึ้น ได้อีก
จากที่ บังคับเลี้ยวได้ฉับไว คมและแม่นยำมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมอยู่เล็กน้อยแล้วก็ตาม มีรัศมีวงเลี้ยวที่ 5.3 เมตร
ระบบห้ามล้อของทุกรุ่น เป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดย ครีบระบายความร้อนนั้น มีเฉพาะคู่หน้า เสริมด้วยระบบ ABS และ EBD
ระบบเบรกเดิมๆจากโรงงานนั้น แป้นเบรกจะตอบสนองคล้ายๆกัน คือ ต้องกดลงไปลึกสักนิดนึง จึงจะพบว่า
ระบบเบรกเริ่มทำงาน ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ขับแบบกระแทกกระทั้น หรือ เร็ว แต่เน้นปลอดภัย มันก็เพียงพอสำหรับคุณ
แต่ หากคุณจะต้องมีเหตุให้เบรกอย่างปัจจุบันทันด่วนลงมาจากความเร็วระดับ ตั้งแต่ 160 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ลงมาเหลือความเร็วระดับ 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ผมเกรงว่า อาจจะยังทำได้ไม่ถึงกับน่าอุ่นใจนัก
แม้ว่าการหน่วงความเร็ว ทำได้ดีกว่า รถรุ่นเดิม แต่ยังไม่ถึงกับหน่วงมากมายอย่างที่ใจต้องการ
แต่ถ้าจะมองกันให้ดีนั้น การที่ซูบารุตัดสินใจเซ็ตรถให้ออกมาให้นุ่มตึ๋งหนืดกว่ารุ่นเดิมนั้น
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ในอดีตนั้น พอทำรถออกมาดุดัน จริงอยู่ว่า เอาใจลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นได้
แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลุ่มวัยรุ่นที่มีกำลังจะซื้อรถที่ติดสปอร์ตเร้าใจอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ในตลาด
แต่ พอมาเป็นรุ่น WRX 2.5 ลิตร ที่ได้ทดลองขับนั้น สัมผัสที่ได้ ต่างกันชัดเจน แม้จะไม่มากนักก็ตาม
********** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง **********
เราใช้วิธีการทดลองเช่นเดิม
นั่นคือ การเติมน้ำมันเบนซิน 95
จากหัวจ่ายเดียวกัน ที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์
ปากซอยอารีย์ จนเต็มถังเอาแค่หัวจ่ายตัดก็เพียงพอ
แล้วหลังจากนั้น ก็พาทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร อีก 1 คน
รวมแล้วเป็น 2 คน มุ่งหน้าขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6
ไปลงยังปลายสุดทางด่วนสายเชียงราก ที่บางปะอิน
แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง
มาลงทางด่วนที่ด่านพระราม 6
ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม
ณ วันที่ทำการทดลอง เชลล์ยังไม่มีน้ำมันเบนซิน วี เพาเวอร์ จำหน่าย
โปรดอย่าตกใจ ที่เห็นหัวจ่ายเป็นแบบเดิม
และ ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ของ รุ่น 2.0 ลิตร ยังคงใช้บริการปั้มเอสโซ ในยุคก่อน อยู่
แต่ต้องบอกกันเอาไว้เสียก่อนว่า ถึงแม้รถอิมเพรสซา จะถูกจัดอยู่ในพิกัด ต่ำกว่า 2,000 ซีซี
และตามหลักแล้ว ควรจะมีการเขย่ารถ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อ ไล่ฟองอากาศออกไป
ทว่า อิมเพรสซานั้น ลูกค้าที่ซื้อมาใช้งานส่วนใหญ่ ไม่ได้คำนึงถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายนัก เรา จึงตัดสินใจว่า จะไม่ทำการเขย่ารถ และเลือกที่จะเติมน้ำมัน
เพียงแค่หัวจ่ายตัด โดยใช้หัวจ่ายเดิม เติมเข้าไป ทั้งขาไป และขากลับ ตามเดิม เท่านั้นพอ
เราะจะเริ่ม จากรุ่น 1.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กันก่อน
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด 92.7 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.16 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.04 กิโลเมตร/ลิตร
จากนั้น เป็นรุ่น 2.0 ลิตร 4AT ซึ่งในตอนนั้น เรายังคงใช้ปั้มเอสโซ่ เพื่อเติมเบนซิน 95 อยู่
และเป็นรถคันท้ายๆแล้วที่ใช้บริการปั้มเอสโซ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นปั้มเชลล์
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ดังที่เห็น
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.17 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.52 กิโลเมตร/ลิตร
และในเมื่อทดลองกับรุ่น เกียร์อัตโนมัติ ไปแล้ว ก็ต้องทดลองรุ่นเกียร์ธรรมดา ไปด้วยเลย
ที่น่าแปลกนิดหน่อยคือรุ่นเกียร์ธรรมดา ที่ทำตัวเลขได้ดีอย่างประหลาด
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัดจะยาวกว่ารถคันที่ใช้เกียร์อัตโนมัิติ นิดนึง 93.7 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันที่เติมกลับ พอกันกับ รุ่นเกียร์อัตโนมัติเลย 6.17 ลิตร ทั้งที่ใช้ต่างปั้มน้ำมันกันด้วย ไม่ได้นัดหมาย
แต่เมื่อคำนวนออกมาแล้ว อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้ดี พุ่งไปอยู่ที่ 15.23 กิโลเมตร/ลิตร ประหยัดกว่ากัน 0.8 กิโลเมตร/ลิตร เลยนะนั่น!
ส่วนรุ่นสุดท้าย 2.5 ลิตร WRX นั้น ออกจะใช้เชื้อเพลิงเปลืองไปนิด
ความเร็วคงที่ 110 กิโลเมร/ชั่วโมง เปิด Cruise Control รอบเครื่องยนต์เกือบจะแตะ 3,000 รอบ/นาที
ฟังไม่ผิดหรอกครับ รถเกียร์ธรรมดา แต่ติดตั้ง Cruise Control มาให้! เช่นเดียวกับรุ่น 2.0 ลิตรนั่นละ
เมื่อวนกลับมาถึงจุดเริ่มต้น ที่ปั้มเชลล์ ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัดขึ้นมาอยู่ที่ 91.5 กิโลเมตร
เติมน้ำมันกลับเ้ข้าไป 8.88 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 10.30 กิโลเมตร/ลิตร
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกันเป็นตาราง เทียบกับ อิมเพรสซารุ่นเดิม ยิ่งเห็นความแตกต่างกันชัดเจน
ตัวเลขของรุ่น 1.5 ลิตรนั้น เป็นไปตามคาด ถ้าต้องการความประหยัด แม้ว่า รอบเครื่องยนต์จะสูงชวนให้เสียวนิดนึง
แต่ตัวเลขที่ออกมา ประหยัดใกล้เคียงกันกับ วีออส ยาริส ซิตี้ แจ้ส ที่ใช้ระบบขับล้อหน้า เพียงอย่างเดียว
ถือว่า ตัวเลขที่ได้นี้ ดีเกินคาดเสียด้วยซ้ำ!
ขณะเดียวกัน ตัวเลขของรุ่น 2.0 ลิตรนั้น ถือได้ว่าเหนือความคาดหมายไปนิดหน่อย
การที่ตัวเลข รุ่นเกียร์ธรรมดา กับอัตโนมัติ แตกต่างกันขนาดนี้ มีเหตุผลอธิบายครับ
เพราะ การทดลองครั้งนี้ รุ่นเกียร์อัตโนมัติ เติมน้ำมันเชื้อเพลิง จากปั้มเอสโซ เดิม
ทำให้ระยะทางที่แล่น รวมทั้งหมด บนมาตรวัด จะน้อยกว่ารถเกียร์ธรรมดา ซึ่งขับไปเติมน้ำมันที่ปั้มเชลล์
แต่ การที่ทั้งคู่เติมน้ำมัน กลับเข้าไป ด้วยปริมาณ ลิตร ที่เท่ากัน ถ้าจะบอกว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น
มีความเป็นไปได้ว่า ไล่เลี่ยกัน และไม่หนีกันมากนักนั้น ก็คงพอจะบอกเช่นนั้นได้ ในระดับหนึ่ง
ส่วนรุ่น 2.5 ลิตร WRX นั้นค่อนข้างกินน้ำมันกว่าที่คาดเอาไว้
และเมื่อเทียบกับ ตัวเลขจากรุ่น 2.5 WRX ซีดาน รุ่นที่แล้ว ปริมาณน้ำมันเติมกลับ ใกล้เคียงกัน
ระยะทางที่แล่นไป ก็ใกล้เคียงกัน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจึงออกมาใกล้เคียงกัน
แต่รุ่นใหม่ ถือว่ากินกว่ากันนิดนึง และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ กินกว่า WRX STi ด้วยเนี่ยสิ?
ทั้งที่พละกำลังก็น้อยกว่าเขาด้วยเนี่ย แต่ยังกินมากกว่ากันนิดนึงหนะ มันช่างน่าฉงนนัก!
********** สรุป **********
“ป๊อด โมเดิร์นด็อก เวอร์ชัน เอาใจ แม่บ้านของนักซิ่ง”
เป็นอย่างไรบ้างครับ เล่น Photo Hunt กันมึนไปเลยใช่ไหม
รู้น่า ว่า มึนศีรษะอย่างมาก แน่ละครับ 4 คัน ใน 1 รีวิว ถ้าไม่นับ รีวิวประเภทพาทัวร์โตเกียวมอเตอร์โชว์แล้ว
นี่คือ รีวิวที่ เล่นเอาผมมึนมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ที่เคยทำมา
เอาละ
ถึงเวลาสรุปกันแล้ว
ข้อความแรกที่ผุดขึ้นในสมองหลังจากที่ผมลองขับ อิมเพรสซา ใหม่ ไปแล้ว 4 คัน นั่นคือ
“อิมฯ แม่บ้าน”….
เพราะในแทบทุกย่างก้าวของมันในยามเคลื่อนตัวไปบนถนน
อิมเพรสซาใหม่ ลดทอนความดิบจากรุ่นเดิม หดหายลงไปเยอะ
กลายเป็นสาวน้อยนิสัยแมวเหมียว ติดเปรี้ยวนิดหน่อย แ่ต่แอบหวานขึ้น ชัดเจน
โอ้ แม่เจ้า! ใครจะเชื่อละว่า นี่คือเจเนอเรชันใหม่ ของรถยนต์รุ่นที่เคยโด่งดังจากสนามแข่งแรลลีโลก WRC ???
รู้อยู่ว่า แฟนๆซูบารุ หลายๆคน รู้สึกว่า อิมเพรสซาแบบเดิมๆที่ดิบๆ มันหายไปไหน
ทำไมมันกลายเป็นเหมียวน้อยกลอยใจไปได้ขนาดนี้
มองอีกมุมนึง
ถ้าผมจะเปรียบ อิมเพรสซา เป็น ป๊อด โมเดิร์นด็อก ละ?
ชายคนนี้ เขามาเกี่ยวอะไรกับรถรุ่นนี้ด้วยหรือ? ก็เปล่า…
หากแต่ผมอยากให้คุณลองย้อนไปมองอดีตกันดู
การเดินทางของ อิมเพรสซา กับ ป๊อด โมเดิร์นด็อก มีอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน
มันก็เหมือนกับวงการเพลง
ยามที่ผมเคยทำเพลงกับผองเพื่อนกลุ่ม Monotone Group มาก่อน ช่วงปี 2002 นั้น
เรามักพบเห็นเรื่องราวของศิลปินมากมาย ที่เลือกจะทำดนตรี ตามแนวทางของตน
ปัญหาก็คือ คนที่อยากจะเสพดนตรีในแนวแปลกๆเหล่านี้ อาจจะค้นพบตัวเอง
ว่าชอบดนตรี ที่กลุ่ม หรือ วงเหล่านั้นทำ บางทีก็ต่อเมื่อ พวกเขา
หมดแรงและหมดสายป่านจะทำงานเพลงต่อไปแล้ว
บางส่วน ก็ยังคงตามแห่ไปฟัง ด้วยความบากบั่น
เพื่อจะลองหัดฟังดนตรีในแบบที่เพื่อนสนิทของตน ชอบฟัง
เพียงเพื่อจะพบว่า มันไม่ใช่แนวทางของตน และต้องลาจากกันออกมา
ถ้าเป็นระบบค่ายใหญ่ ในสมัยปี 1994 อย่าหวังเลยว่า งานแบบนี้ จะได้ออกขายกันง่ายๆ
โมเดิร์นด็อกเอง ก็เริ่มจากการทำเพลงในแนวทางของตนเอง
และเริ่มมีกลุ่มแฟนเพลงมากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้น เพลงของพวกเขา ก็ยากเกินกว่าคนทั่วไปจะะเปิดใจรับฟัง
แต่แล้ว วันหนึ่ง หลังการพยายามฉีกหาแนวทางของตนเองอยู่พักใหญ่
ตอนนี้ ป๊อด ก็เริ่มมาร้องเพลงเย็นๆ ให้กับ บอยด์ โกสิยพงษ์
แน่นอนว่า ได้กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
อิมเพรสซา เอง ก็เป็นเช่นนั้น
ที่ผ่านมา ความจริงข้อหนึ่งที่หลายๆคน มองไม่เห็น หรือมองข้ามไป
ทั้งที่มันก็โด่เด่ทิ่มตาอยู่แบบนั้น ก็คือ
อิมเพรสซา ขับสนุก ดิบ เอาใจคนรักรถยนต์แนวสปอร์ต ที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
แต่เมื่อมาดูยอดขายเข้าจริงๆแล้ว รายได้ของ ฟูจิเฮฟวีอินดัสตรี ส่วนใหญ่
มันมาจากยอดขายของรถรุ่นพื้นฐาน ทั้งรุ่น 1.5 ลิตร และ 2.0 ลิตร ธรรมดาๆ บ้านๆนี่ละ
ส่วนรุ่นสปอร์ตๆ ที่หลายๆคน เฝ้าถวิลหา มันขายไม่ค่อยดีนัก เมื่อเทียบกับตัวเลขของพี่น้องร่วมตระกูล
หากยังคงเดินต่อไปในแนวทางเดิม ไม่แคล้ว ฟูจิเฮฟวีฯ อาจต้องประสบกับสภาวะยอดขายหาย กำไรหด ยิ่งกว่าเก่า
เผลอๆ อาจถึงขั้น เจอวิกฤติเศรษฐกิจ อาการหนักไปพร้อมๆกับบริษัทรถยนต์หลายแห่งเป็นอยู่ในเวลานี้ก็ได้
เมื่อคิดย้อนกลับไป 1 ปีกว่าที่แล้ว ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่า ซูบารุ จำใจต้องทำ และถือได้ว่า เป็นการมองปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างผู้ที่เข้าใจปัญหาในระดับหนึ่ง จึงได้เลือก ทำอิมเพรสซาใหม่ออกมา Tone-down ลงจากรุ่นเดิม อย่างที่เห็น
และสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ยอดขายของอิมเพรสซารุ่นนี้ ขายดีขึ้นในตลาดโลก คนที่ไม่คิดจะมองซูบารุ
หลายคนตัดสินใจซื้อ เมื่อได้ลองขับ ไม่เว้นแม้แต่ผู้กุมกระเป๋าเงินของสามีตนทั้งหลาย
พอเห็น อิมเพรสซารุ่นนี้ หลายๆคนตัดสินใจง่ายขึ้น
มันอาจจะขัดใจนักนิยมความแรง แต่เพื่อความอยู่รอด ให้ได้มีโอกาสทำรถแรงๆต่อไป
ซูบารุ จำเป็นต้องทำเช่นนี้…
ซึ่งผมเชื่อว่า ลูกค้าซูบารุเอง ส่วนใหญ่ เชื่อว่าน่าจะเข้าใจข้อจำกัดในการทำธุรกิจของบริษัทแม่ในญี่ปุ่น
ย้ำตรงนี้อีกทีว่า ในญี่ปุ่น ไม่ใช่สิงค์โปร์
สิ่งที่ ผมค่อนข้างจะเป็นห่วงคือ บริการหลังการขายของ Motor Image Subaru ซึ่งในระยะหลังๆมานี้ มีเรื่องราวเข้ามา 2-3 เรื่อง
และแต่ละเรื่องนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นต่อ การทำตลาดของซูบารุ พอสมควร
ถึงแม้วันนี้ คุณอภิชัย แห่ง มอเตอร์อิมเมจ จะบอกกับผมแล้วว่า ตอนนี้ เจรจากับลูกค้าจนจบลงด้วยดีแล้ว
โดย มีการเปลี่ยนเกียร์ลูกใหม่ให้ อีก 1 ลูก แต่นั่น ก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
สิ่งที่ผมอยากจะเห็นจาก มอเตอร์อิมเมจ ก็คือ การเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ลูกค้าปัจจุบัน
และผู้จะมา เป็นลูกค้าในอนาคต ให้ได้
การทำธุรกิจ สมัยนี้ และในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่ผมมองเห็นแล้วว่า
กำลังเป็นประเด็นที่ผู้คนพากันมองหาจากองค์กรต่างๆมากขึ้น
คือ การพูดความจริงให้มากขึ้น ปรับปรุงบุคลากร ให้มีความรู้ความสามารถ
รองรับกับ รถรุ่นใหม่ๆที่ใกล้จะเปิดตัวในบ้านเรา อนาคตอันใกล้นี้
เลกาซีใหม่ ที่ใช้เกียร์ CVT แบบใหม่นี่ละ ที่น่าเป็นห่วง
ว่าช่างซ่อมในบ้านเราจะผ่านการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญชำนาญการได้มากน้อยแค่ไหน
อยากฝากถึงทุกบริษัทรถยนต์ และองค์กรต่างๆ เอาไว้ทิ้งท้ายแต่เพียงว่า
ถ้าตราบใดก็ตาม ที่ คนทำงาน ยังคงยืนหยัดกับความถูกต้อง
และอธิบายข้อเท็จจริงให้ผู้บริโภค ลูกค้า และสังคมได้รับฟัง อย่างบริสุทธิ์ใจมากเท่าใด
คุณจะได้ใจจากลูกค้า มายืนข้างคุณ มากขึ้นเท่านั้น
เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ผมเชื่อว่า คุณคงพอมีข้อสรุปในใจบ้างแล้วละ
ว่า ตกลงแล้ว อิมเพรสซาใหม่ ควรจะเป็นได้แค่ อิมฯ แม่บ้าน
หรือจะเป็น ป๊อด โมเดิร์นด็อก
…..สุดแท้แล้วแต่สายตาของคุณผู้อ่าน จะมองกันต่อไปเอาเอง…..
ขอขอบคุณ
คุณอภิชัย
บริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
20 เมษายน 2009
J!MMY