ในตลาดโลกเอง Honda Freed รุ่นปัจจุบันที่กำลังจะหมดอายุตลาดลงในเร็ววันนี้
เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เมื่อ พฤษภาคม ปี 2008 ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ปี 2016
ก็สิริอายุรวมได้ 8 ปี เมื่อครั้งเปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่นได้ไม่นานนัก ปีถัดมาก็ส่ง Freed
เข้าสู่ตลาดประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศ ที่ 2 เปิดไลน์การผลิต ส่งอานิสงส์มายัง
ประเทศไทยด้วย
Honda ประเทศไทย เคยเปิด Segment นี้เอาไว้ นำ Freed ที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย
มาขายในไทย ช่วงปลายปี 2009 ราคาจำหน่าย ก็ค่อนข้างแรงไม่เบา มี 4 รุ่นย่อย
S / E / E Sport / E NAVI Sport ราคาตั้งแต่ 894,500 – 1,074,500 บาท
ช่วงแรกก็พอขายได้เรื่อยๆ จนเริ่มขายแผ่วลงในช่วงหลังๆ เพราะราคาสูงเกินไป
(ยอดสะสม Honda Freed ก่อน Minorchange ที่ขายในไทย ตั้งแต่ ปลายปี 2009
ถึง กรกฎาคม 2012 อยู่ที่ประมาณ 11,500 คัน เฉลี่ยเดือนละ 600 กว่าคัน)
ดังนั้น ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2012 จึงมีการปรับฐานราคาใหม่ พร้อมกับ แต่งหน้า
ทาปากเล็กน้อย เป็นรุ่น Minorchange เหลือ 2 รุ่นย่อย คือ SE / EL ปรับ Option
ตัว EL ให้เกือบเทียบเท่ารุ่น E NAVI Sport เดิม ราคาอยู่ที่ 839,000 – 974,000 บาท
จากนั้นก็ทำตลาดเรื่อยมา จนเลิกนำเข้าไปเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ด้วยการมาแทนที่ของ
ทั้ง Honda Mobilio และ Honda BR-V
ในบ้านเรา Toyota ก็ได้เปิดตัว MiniMPV ประตูสไลด์ไฟฟ้าไปแล้ว Toyota Sienta
เมื่อ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา กระแสตอบรับค่อนข้างดีพอสมควร กับตลาดที่เงียบไปนาน
จนหลายคนเรียกร้องว่า Honda ประเทศไทย สนใจจะนำ Freed กลับมาขายอีกหรือไม่
เพราะ Toyota ก็ลงมาเล่นตลาดนี้แล้ว
The New Honda Freed จะกลับมา ลงสนามฟาดฟันกับคู่ปรับอย่าง Toyota Sienta
หรือไม่ แล้วจะวางราคาอย่างไร ตรงไหน เพราะ Toyota เองก็เปิดราคามาค่อนข้างสวย
750,000 – 865,000 บาท มิหนำซ้ำตอนนี้ Honda เองก็มีทั้ง Mobilio 5 ที่นั่ง / 7 ที่นั่ง
วางราคา 597,000 – 755,000 บาท และ BR-V 5 ที่นั่ง / 7 ที่นั่ง วางราคา 750,000 –
820,000 บาท ตอนนี้ก็ยังต้องรอติดตามกันต่อไปครับ
มาพูดถึงรุ่นใหม่กันบ้างดีกว่า หลังจากเว็บไซต์ Honda.co.jp ได้เผยภาพทั้งภายนอก
และ ภายในห้องโดยสารบางส่วนของ The New Honda Freed ออกมาเรื่อยๆ ตอนนี้
ก็ใกล้ถึงกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในญีปุ่นแล้ว ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 16 กันยายนนี้
ล่าสุดก็มีภาพรถคันจริง ออกมาให้ชมกันแล้ว หลากสีสันเหมือนเช่นเคย มีทั้งเวอร์ชั่นปกติ
และ เวอร์ชั่นพร้อมชุดแต่ง Modulo ออกมาพร้อมๆกัน คาดว่าน่าจะเป็นการเอารถออกมา
ถ่ายภาพ – ถ่ายโฆษณา ก่อนงานเปิดตัวที่จะเริ่มขึ้น
ภายนอก ด้านหน้ามาพร้อมกับ Solid Wing Face อันเป็น Theme Design งานออกแบบที่พบได้
ใน Honda หลายๆรุ่นอย่าง เช่น Jazz GK, Honda BR-V ซึ่งจะมาพร้อมกระจังหน้าที่เราคุ้นตากัน
พร้อมกันชนหน้าที่ดูสปอร์ตขึ้น
สำหรับด้านข้างนั้นยังคงมีความเป็น Freed ตัวเดิมอยู่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งเส้นสายตัวถัง และ รูปแบบ
ของกระจก โดยเฉพาะประตูบานสไลด์ที่คงเอกลักษณ์เดิมเอาไว้เกือบครบ จุดที่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างเห็นได้ชัด คือ บริเวณเสา A มีการขัดเกลาเส้นสายให้โฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม กรอบประตูหน้า
จากเดิมตัดตรง จะถูกเอียงเกือบจะ 45 องศา เพิ่มพื้นที่กระจกบานเล็กบริเวณเสา A ส่วนแนวเส้นสาย
ด้านบนนั้นจะคล้ายรุ่นเดิม นอกจากนี้เส้นสายบนตัวรถด้านข้าง มีการเพิ่มมิติให้ชัดเจนมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเส้นแนวขอบประตู หรือ ชายตัวถังส่วนล่าง
บานกระจกหน้าต่างด้านข้าง ตั้งแต่เสา C เป็นต้นไป มีการตวัดขึ้น รับกับชุดไฟท้ายใหม่ ทำให้
ภาพรวมของตัวรถนั้นออกไปในแนวสปอร์ตกว่ารุ่นเดิม แนวเส้นหลังคาจากด้านหน้ามีการเล่น
ระดับส่วนนูน ส่วนเว้า ด้วยเหตุผลทางด้านอากาศพลศาสตร์ ลากยาวไปถึงด้านหลังที่คราวนี้
ออกแบบส่วนท้ายให้เหมือนมีสปอยเลอร์เล็กๆในตัว พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3
ด้านท้ายรถนั้น พลิกงานออกแบบจากรุ่นปัจจุบันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟท้ายแบบ 2 ก้อน
ขยายขนาดใหญ่กว่าเดิม จากเดิมเป็นไฟท้ายแนวตั้ง คราวนี้เป็นมาขยายออกทางด้านแนวนอน
ทำให้ท้ายรถแลดูกว้างกว่าเดิม มองเผินๆได้กลิ่นอายของ Suzuki Ertiga ผสมกับ Ciaz
ฝาท้ายออกแบบให้มีมิติ ด้วยการใช้ส่วนนูนเว้ามาช่วย พร้อมดีไซน์ให้กันชนท้าย เป็นลักษณะของ
ช่องดักลมแนวตั้ง ทั้ง 2 ข้าง โดยที่รถเวอร์ชั่นผลิตจริงนั้น อาจจะใส่ทับทิมสีแดงสะท้อนแสงเข้ามา
พร้อมกับชายล่างที่ออกแบบมาให้คล้ายกับติดตั้งชุดสเกิร์ตทั้งกันชนด้านหน้า และ ด้านหลัง
ภายในห้องโดยสารของ All New Honda Freed ถูกออกแบบให้เจริญรอยตาม Honda
StepWGN โฉมใหม่ราวกับแพะและแกะ คือถ้าหาไม่สังเกตให้ดี ๆ ก็คิดว่ามันคือรุ่นเดียวกัน
แต่ All New Honda Freed จะมีความแตกต่างกับ StepWGN ตรงที่หน้าจอสัมผัส
ตรงกลางที่ออกแบบให้ดูทันสมัยขึ้น, เปลี่ยนดีไซน์ช่องแอร์, เปลี่ยนรายละเอียดกล่อง
เก็บของใต้ฐานเกียร์ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า Honda Freed เจเนเรชั่น
ใหม่จะถูกยกระดับภายในห้องโดยสารไปอีกขั้นหนึ่ง
มิติตัวถัง All New Honda Freed มีความยาวเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 50 มิลลิเมตร กลายเป็น
4,265 มิลลิเมตร ก็ถือว่ายาว Toyota Sienta ที่มีความยาว 4,235 มิลลิเมตร และด้วยความ
ยาวตัวถังที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้ Honda Freed โฉมใหม่มีพื้นที่หัวเข่าระหว่างเบาะแถวที่ 1, 2
และ แถวที่ 3 เพิ่มขึ้น 90 มิลลิเมตร
สำหรับประเทศญี่ปุ่น นอกเหนือจาก เครื่องยนต์ L151Z 4 สูบ 1.5 ลิตร ที่ติดตั้งอยู่ใน Freed
รุ่นปัจจุบัน ที่จะยังมีให้เลือกอยู่ในรุ่นใหม่นี้ด้วย ก็จะมีเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ Hybrid ให้เลือก
ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่
Lithium-ion ท้ายรถ ส่งกำลัง ผ่านเกียร์ Dual Clutch 7 จังหวะ โดยเรียกทั้งระบบนี้
ว่า Honda Sport Hybrid i-DCD (Intelligent Dual Clutch Drive)
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า หลังจากช่วงแรกที่เปิดตัวด้วยเครื่อง 1.5 ลิตร และ 1.5 ลิตร Hybrid
ก็จะมีเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ พ่วงเทอร์โบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง การทดสอบใน Civic FC และ
ยังไม่เคยออกจำหน่ายเลย ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (PS) ซึ่งถือว่าแรงกว่า EcoBoost 1.0 ลิตร
ของ Ford อยู่ 7 แรงม้า (PS) ตามออกมาอีกด้วย
ไฮไลต์สำคัญคือระบบช่วยเหลือ Honda Sensing ที่ทำงานร่วมกับเรดาร์คลื่นความถี่มิลลิเมตร
และกล้องเดี่ยว ประกอบด้วยฟังก์ชันระบบเตือนการเปลี่ยนเลน, ระบบช่วยรักษาเลน,
ระบบป้องกันขับรถไถลออกนอกเลน, Active Crusie Control, ระบบเตือนป้องกันการชน
ด้านหน้าและระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ
รายละเอียดอย่างเป็นทางการ, รูป Official ทั้งหมด รวมถึงราคาอย่างเป็นทางการ รอติดตาม
ได้ในวันที่ 16 กันยายนนี้ เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญีปุ่่น ส่วนในไทยก็รอติดตามกันได้ ว่า
Honda ประเทศไทย สนใจส่งเจ้า The New Honda Freed นี้ กลับลงสนามอีกครั้งหรือไม่
ที่มา : honda.co.jp , @wonder_motul / twitter , blog.livedoor.jp