ผมรอวันนี้มานานมากแล้วครับ….
รอมานานตั้งแต่สมัยเริ่มทำรีวิวใหม่ๆ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เคยฝันเอาไว้เล่นๆเหมือนกัน ว่าอยากจะมีโอกาสทำบทความ
รีวิว รถยนต์ระดับ Hi-End กับเขาบ้าง แน่นอนละ มันก็คงเป็นความฝันของเด็กผู้ชายหลายๆคน ที่ชอบรถยนต์ ว่า
อยากลองขับรถยนต์สมรรถนะสูงๆ เหล่านี้บ้าง สักครั้งก็ยังดี
วันนี้ละ Headlightmag.com ของเรา จะมีรีวิวรถยนต์ จากผู้ผลิตชาวเยอรมัน แห่งเมือง Sttutgart เป็นครั้งแรก
อย่างเป็นทางการ กันเสียที และที่สำคัญ ยังเป็นการเชื้อเชิญ ชักชวน จาก AAS ผู้นำเข้า จำหน่าย และบริการ
รถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียวในเมืองไทยด้วยเนี่ยสิ!
อันที่จริง ตามกำหนดการเดิม ผมจะต้องมีโอกาสทดลองขับ และทำบทความรีวิว ฉบับ First Impression ของ
รถยนต์รุ่นนี้ ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2011 แล้ว แต่…อย่างที่ทราบกันดี มหาอุทกภัย ในเขตพื้นที่
ราบลุ่มภาคกลาง ได้สร้างผลกระทบมากมายใหญ่หลวง ต่อผู้คนจำนวนมาก รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ของ
ประเทศไทยอีกด้วย ไม่เว้นว่าจะเป็นรายใหญ่ระดับประเทศ หรือรายเล็กระดับกรุบกริบ
อย่าคิดว่า ผู้นำเข้าอย่าง AAS ไม่ได้รับผลกระทบ ต้องไม่ลืมว่า โชว์รูมของพวกเขา ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต
ถัดจากสนามบินดอนเมืองเข้ามาทางตัวเมืองหลวงชั้นใน นิดหน่อยเท่านั้น ความเสียหาย ต้องมีบ้างแน่ๆ
แถมกำหนดการจัดทดลองขับ Panamera S Hybrid ที่เคยวางเอาไว้ในเดือน ตุลาคม ก็ต้องเลื่อนออกไปโดย
ไม่มีกำหนด เนื่องจาก พื้นที่สนามทดลองขับ พื้นปูนซีเมนต์ บริเวณ กองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ก็แทบจะกลายสภาพเป็นบึงทะลสาบขนาดใหญ่ กันไปดื้อๆ
กว่าที่กำหนดการต่างๆจะลงตัว จนทาง AAS พร้อมให้เราได้ลองขับรถยนต์รุ่นนี้กันเสียที เวลาก็ล่วงเลยมาถึง
วันนี้ 9 มีนาคม 2012 และนั่นก็ทำให้ผมต้อง ออกจากบ้าน ฝ่าฟันการจราจรติดขัดมาตั้งแต่เช้า เพื่อมาลองขับ
รถยนต์ Sport Saloon ขุมพลังรักษ์โลกกับเขาในวันนี้…
Panamera ถือเป็นรถยนต์นั่ง Saloon 4 ประตู ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น Porsche
ที่มีบุคลิกเฉพาะตัว ในรูปแบบการวาง Packaging ของตัวรถ ที่แตกต่างไปจาก Porsche ทั่วๆไป ที่ใช้
รูปแบบรถสปอร์ต 2 ประตู ขับเคลื่อนล้อหลังหรือ 4 ล้อ วางเครื่องยนต์ด้านหลังรถ แบบ Rear Engine
Rear or 4 Wheel-Drive) มาเป็นรูปแบบ รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ 4 ล้อ แต่วางเครื่องยนต์ไว้
ด้านหน้า ตามแนวยาว (Front Engine Rear or 4 Wheel-Drive)
Panamera ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำตลาดในกลุ่ม Luxury Premium Sport Saloon อันเป็นกลุ่มตลาดใหม่ที่
เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่เกิน 4 ปีมานี้ โดยประกบกับทั้งคู่แข่งหลักอย่าง Maserati Quattroporte หรือ
Aston Martin Rapide Mercedes-Benz CLS-Class BMW 5 Series Gran Turismo และ Audi A7
ขณะที่บางตลาด Panamera จะต้องต่อกรกับคู่แข่งแบบอนุรักษ์นิยม ทั้ง Mercedes-Benz S-Class
และ BMW 7-Series รวมทั้ง Audi A8 ไปด้วยพร้อมกัน (เช่นในเมืองไทย)
Panamera ถือเป็น Porsche รุ่นที่มีข่าวคราวในการพัฒนา มายาวนานมากที่สุดรุ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์
เป็นเวลานับสิบปี ที่ผู้คนในวงการรถยนต์ หรือคนรักรถทั้งหลาย ได้ยินกระแสข่าวลือว่า Porsche จะทำ
รถสปอร์ต 4 ประตู 4 ที่นั่ง โครงการนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาเรือยๆ จนกระทั่ง วันที่ 20 เมษายน 2007
ภาพถ่ายแบบ Spyshot Video Clip ของ Panamera จึงหลุดออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เป็นการ
ยืนยันว่า Porsche ยังเดินหน้าโครงการนี้ไปเรื่อยๆ และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมามากแล้ว
เดือนกันยายน 2008 ฝ่าย PR ของ Porsche เริ่มปล่อยภาพถ่าย Teaser นำร่องชุดแรก เพื่อกระตุ้น
กระแสของรถรุ่นนี้ จากนั้น มีการนำรถไปออกรายการ BBC Top Gear โดยจัดภาระกิจ ให้ 3 พิธีกร
สุดป่วน ทั้ง Jeremy Clarkson James May และ Richard Hammond ลองขับ ทำเวลา แข่งกับบริการ
ส่งไปรษณีย์ Royal Mail บนทางหลวงสาย A30 ใน Devon เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2008 จากนั้น
ก็ถึงเวลาที่ผู้คนทั่วโลก จะได้พบคันจริง โฉมจริง โดยมีการเปิดตัวครั้งแรก ณ งานแสดงรถยนต์
Shanghai Auto Show เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2009 ถือเป็นการให้เกียรติประเทศอันเป็นกลุ่มลูกค้า
เป้าหมายหลักอีกแห่ง อย่างมาก เพราะนี่คือ ครั้งแรกที่ Porsche เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ครั้งแรก
ในโลก ที่เมืองจีน
แล้วยอดขายในตลาดโลกเป็นอย่างไรบ้าง ตลอดปี 2011 ที่ผ่านมา ตลาดใหญ่สุดของ Panamera คือ
สหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายถึง 6,188 คัน (แบ่งเป็น Los Angeles 890 คัน New York 760 คัน) ส่วน
ประเทศอื่นๆที่มียอดขายรองลงไปคือ Hong Kong (300 คัน) Dubai (285 คัน), ญี่ปุ่น (223 คัน),
เยอรมัน นับเฉพาะใน Munich (206 คัน),รัสเซีย นับเฉพาะ Moscow (203 คัน),จีน นับเฉพาะแค่
Shanghai (188 คัน), เยอรมัน นับเฉพาะเมือง Hamburg (117 คัน) and เยอรมัน นับเฉพาะกรุงBerlin
(108 คัน) และเมื่อแยกยอดขายตามรุ่นย่อยแล้ว ปรากฎว่า Panamera 4S ขายได้เยอะสุด (9,394 คัน)
รองลงมาเป็นรุ่น Turbo (6,171 คัน) รุ่น S มาตรฐาน (4,563 คัน) และรุ่น V6 (2,390 คัน) สรุปแล้ว
Porsche ขาย Panamera ในปี 2011 ไปได้มากถึง 22,518 คัน (ยังไม่รวมรุ่น Hybrid)
ส่วนรุ่น Panamera S HYBIRD นั้น Porsche ประกาศออกมาตั้งแต่ ปี 2008 แล้วว่าจะสร้างเวอร์ชัน
ขุมพลัง HYBRID ให้กับ รถสปอร์ตซาลูน คันนี้ บนพื้นฐานโครงสร้างระบบ Pararail Hybrid แต่
กว่าจะสำเร็จ และพร้อมจำหน่ายจริง ก็รอกันจนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2011 จึงมีการเปิดเผย
ภาพถ่ายชุดแรก ตามด้วย การเปิดผ้าคลุมบนเวที Geneva Mogtor Show วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011
การเปิดตัวในเมืองไทยมีขึ้น ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2011 ตามหลังการเปิดตัวในตลาดโลก
เพียง 6 เดือนเท่านั้น นับว่าค่อนข้างเร็วมากๆ
ตัวรถมีความยาว 4,970 มิลลิเมตร กว้าง 1,931 มิลลิเมตร สูง 1,418 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร
ระยะห่างระหว่างล้อ หน้า (Front Track) 1,658 มิลลิเมตร หลัง (Rear Track) 1,662 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ
ตัวเปล่า 1,980 กิโลกรัม ถ้ารวมน้ำหนักบรรทุก และผู้โดยสาร 4 คนเข้าไป จะอยู่ที่ 2,485 กิโลกรัม ส่วน
หลังคารถ รับน้ำหนักได้ 75 กิโลกรัม ถังน้ำมันเชื้อเพลิงมีความจุ 80 ลิตร (เท่ากับ Ford Ranger ใหม่ และ
Mazda BT-50 PRO รวมทั้ง Isuzu D-Max กับ Chevrolet Colorado ใหม่) ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรง
เสียดทานอากาศ Cd : 0.29
การเข้า – ออก จากพื้นที่ขับขี่และโดยสารด้านหน้า ชวนให้ผมสงสัยว่า BMW กับ Porsche แอบไปนัดแนะ
อะไรกันไว้หรือเปล่า เพราะขนาดของช่องทางเข้าไปนั่งบนเบาะคนขับของ Panamera มีขนาดไล่เลี่ยกับ
BMW 5- Series และ 7-Series กันเลยทีเดียว! ราวกับบังเอิญหรือจงใจ แต่ประเด็นนี้ ไม่ค่อยมีใครบ่นกัน
เพราะสำหรับสรีระร่างอย่างชาวเอเชียของพวกเรานั้น ต่อให้ช่องประตูจะเล็กแค่ไหน ก็ยังมุดเข้าไปนั่ง
ได้สบายๆ ยกเว้นว่าคุณจะมีหุ่นใหญ่โตแบบตาแพน Commander CHENG! ของพวกเรา (140 กิโลกรัม)
เท่านั้น ที่น่าจะมีปัญหา กับช่องทางเข้าแบบนี้
เบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ปรับได้เยอะมากชนิดที่คิดได้เลยว่า ปรับเสร็จแล้ว ควรกดบันทึก
ให้เบาะช่วยจำตำแหน่งที่ปรับเอาไว้ เพราะมิเช่นนั้น การจะปรับตำแหน่งให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมที่ตั้งค่าไว้
อาจจะทำได้ไม่ง่ายเลย เพราะดูเหมือนว่า เบาะนั่งจะสามารถปรับได้ละเอียดมากๆ
วัสดุหุ้มเบาะ เป็นหนังชั้นดี โครงสร้างเบาะ กระชับสรีระพอประมาณ นั่งสบาย ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
เรื่องที่น่าประหลาดก็คือ หากมองจากภายนอก Panamera ดูเหมือนจะมีเส้นสายที่เตี้ย และพื้นที่เหนือศีรษะ
น่าจะน้อยแน่นอน ที่ไหนได้ พอขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับจริงๆ โอ้! โปร่ง โล่ง แถมมีพื้นที่เหนือศีรษะ
เหลืออีกพอสมควร ส่วนตำแหน่งการวางแขน ทั้งบนแผงประตูด้านข้าง และบนฝาปิดกล่องเก็บของ บน
คอนโซลกลาง ออกแบบมาอย่างถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์
ประตูคู่หลัง หนามากไปไหน!! หนาชนิดที่คาดว่าน่าจะออกแบบมาเผื่อรองรับการชนปะทะจากด้านข้างด้วยส่วนหนึ่ง
แต่ความหนา ก็ยังส่งต่อมาถึงแผงประตูด้านใน ซึ่งแม้จะรองรับการวางแขนได้สบาย แต่มันก็ยังหนา และทำให้
บรรยากาศการโดยสารด้านหลัง กระชับไปสักหน่อย จนอีกนิดเดียวก็จะก้าวข้ามเขตมาสู่ความอึดอัดแล้ว
ที่สำคัญ การเข้าออกจากตำแหน่งเบาะหลังของ Panamera S Hybrid นั้น เป็นเรื่องที่ผมต้องทำใจ เพราะต่อให้
พยายามก้มหรือเอียงศีรษะเข้าไปมากแค่ไหน โอกาสที่ ศีรษะจะไปชนปัก! กับขอบบนของแนวกรอบช่อง
ทางเข้าก็เกิดขึ้นได้ง่ายดาย จนหลีกเลี่ยงไม่ได้เอาเสียเลย ต่อให้ค่อยๆบรรจงหย่อนก้นอ้วนๆ ลงไปนั่งแล้ว
หัวผมก็ต้องโขกโป๊กๆ ทุกครั้ง…
แต่พอก้มหัวเข้าไปได้แล้ว คุณจะกลับมาพบกับความสบายในระดับที่ กระชับๆ จากเบาะนั่งด้านหลัง
ซึ่งเบาะฝั่งซ้ายนั้น เป็นเบาะผู้บริหาร สามารถปรับแยกบริเวณรองรับน่องขา ให้ยกขึ้นมาเป็นเบาะนั่ง
แบบ Automann Seat ได้อยู่ ปรับตำแหน่งต่างๆได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ส่วนตำแหน่งเบาะนั่ง ค่อนข้างจม
ลงไปจนใกล้ชิดพื้นถนนพอสมควร ซึ่งต่างจากรถยนต์ระดับนักบริหารทั่วไป ที่ออกแบบรถยนต์ซาลูน
ของตนไว้ให้มีเบาะหลังสูงขึ้น เพื่อการเข้า – ออกที่ง่ายขึ้น แต่ Porsche ก็เลือกจะเน้นความสนุกในการ
ขับขี่ บนเบาะคนขับเหนือกว่าเรื่องอื่นใดอยู่แล้ว
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านหลังนั่น ครบครัน เกินพอ มีแผงควบคุมคั่นกลางเบาะหลัง แยกได้ทั้ง
ฝั่งซ้าย – ขวา ให้คุณเลือกปรับช่องแอร์ ระดับความเย็น และอุปกรณ์อื่นๆ ควบรวมไว้ในพื้นที่เดียวกัน
และที่เด็ดกว่านั้นคือ พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับเบาะหลังนั้น ยังโปร่ง พอกัน ไม่แพ้กันกับผู้โดยสาร
ด้านหน้าแต่อย่างใด นั่นช่วยลดความอึดอัดในการนั่งบนเบาะหลังของ Panamera ไปได้สบายๆ
ฝากระโปรงหลัง เปิดด้วยการกดสวิชต์ไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่บริเวณไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง อาจต้องใช้แรงยก
ขึ้นหรือกดลงเพื่อปิด ฝากระโปรหลังกันพอสมควร พื้นที่ห้องเก็บของมีความจุ ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
ตั้งแต่ 353 ลิตร (เมื่อยังไม่ได้พับเบาะหลัง) จนถึง 1,153 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังทั้งฝั่งซ้าย และขวา ลงเรียบร้อย
แล้ว วางถุงกอล์ฟได้แน่ๆ แต่จะกี่ถุงกัน อันนี้ยังไม่ได้ลอง
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ปลายท่อไอเสียที่มีมาให้ เป็นแบบ ท่อคู่ ทั้งฝั่งซ้าย และขวา และให้เสียงเครื่องยนต์
ที่แอบกระหึ่ม ไพเราะ ไม่ใช่เล่น
ภายในห้องโดยสาร ภาพรวมแล้ว มีการตกแต่งภายในด้วยหนังคุณภาพสูง ตั้งข้อสังเกตว่า แผงหน้าปัดของ
Panamera จะมีตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ และสวิชต์ต่างๆ คล้ายคลึงกับ Porsche Cayenne ใหม่
แผงควบคุมสวิชต์ ข้างคันเกียร์ มีหน้าคาชวนให้นึกถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ VERTU อันแสนแพงที่ตกรุ่นไปแล้ว
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ต หุ้มหนัง และออกแบบให้มีส่วนโค้งเว้าสอดรับกับตำแหน่งการวางนิ้ว
และมือของผู้ขับขี่ ติดตั้งในตำแหน่ง เกือบๆจะตั้งตรง มีสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และควบคุมโทรศัพท์
ติดรถยนต์ พร้อมระบบ Bluetooth ทำงานร่วมกันทั้งฝั่งซ้าย และขวา ของก้านพวงมาลัย ไม่เพียงเท่านั้น
ยังสามารถปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะ ใกล้ – ไกล ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า อยู่ใต้คอพวงมาลัย
มาตรวัดเป็นแบบ 5 ช่องวงกลม มาตรวัดรอบเครื่องยนต์อยู่ตรงกลาง มีจอแสดงความเร็ว Digital อยู่ด้านล่าง
สะดวกสำหรับใครที่ต้องการใช้เวลาเหลือบ สายตาจากถนน ลงมาอ่านความเร็วของรถ ได้ชัดเจน ในระยะ
เวลาอันสั้นและเร็วที่สุด รวมทั้งมีสัญญาณไฟและตัวเลข Digital บอกตำแหน่งเกียร์ ถัดไปทางซ้าย จะเป็น
มาตรวัดความเร็วแบบเข็ม มาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง และ มาตรวัดการทำงานของระบบ Hybrid
เป็นเข็มแบบ analogue ดูสถานะของมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Real Time แก่ผู้ขับขี่ ถ้าเข็มชี้ไปทาง “Power”
แสดงว่า รถกำลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือเร่งเครื่องยนต์จนระบบขับเคลื่อนทั้ง เครื่องยนต์ และมอเตอร์
ต้องทำงานร่วมกัน แต่ถ้าเข็มชี้ไปที่ “Charge” หมายความว่ามอเตอร์ไฟฟ้า กำลังทำงานเป็นเครื่องกำเนิด
ไฟฟ้า รับพลังงานจากการเบรก มาแปลงเป็นการชาร์จไฟคืนสู่แบ็ตเตอรี (Re-Generative Brake System)
ส่วนฝั่งขวา จะเป็นจอ TFT แสดงการทำงานของระบบต่างๆในตัวรถแบบกราฟฟิกสวยๆ และด้านขวาสุด จะเป็น
มาตรวัดอุณหภมิระบบหล่อเย็น
แผงหน้าปัดของ Panamera S hybrid จะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากแผงหน้าปัดของรุ่นอื่นๆ นั่นคือ
จอแสดงผลตรงกลาง มาตรวัดความเร็ว จะเชื่อมต่อด้วยไฟแสดงสถานะ “Ready” ซึ่งนอกจากจะบอกข้อมูลอื่นๆ
ของตัวรถ ทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง การคำนวนระยะทางต่างๆ ฯลฯ แล้ว ยังแสดงการทำงานของระบบ Hybrid
อีกด้วย เป็นหน้าจอแบบเดียวกับที่มีอยู่ใน SUV อย่าง Porsche Cayenne S Hybrid ผู้ขับขี่จะทราบระยะเวลาว่า
สามารถขับรถโดยฃไม่ใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ ได้กี่เปอร์เซนต์ และแสดงผลออกมาเป็นกราฟแท่ง โดยจะมีการ
พิจารณาสถานะการขับขี่ทั้งหมดควบคู่กันไป เพื่อคำนวนออกมาว่า ประหยัดน้ำมันไปได้เท่าไหร่ ใช้เชื้อเพลิง
ไปแล้วเท่าไหร่ ฯลฯ
เครื่องปรับอากาศเป็นแบบ แยกฝั่งผู้โดยสาร ซ้าย – ขวา หน้า และ หลัง แยกกันเย็นไปเลย สำหรับผู้โดยสาร
ทั้ง 4 คน แถมผู้โดยสารด้านหลังจะมีแผงควบคุมสวิชต์แอร์ และชุดเครื่องเสียง แยกออกไปตัวใครตัวมัน
ส่วนชุดเครื่องเสียง ไม่ได้ลองฟัง เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้นั้น ไฮไลต์เด่นๆอยู่ที่ ถุงลมนิรภัย แบบ 2 Stage พองตัว 2 ระดับ สำหรับ
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า,ถุงลมนิรภัยด้านข้างและถุงลมนิรภัยป้องกันเข่าและขาสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ด้านหน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะกระแทก (ม่านถุงลม) 4 ตำแหน่ง รวมทั้งสิ้น มีถุงลมนิรภัยมากถึง 8 ใบ!! และ
ระบบฝากระโปรงนิรภัย ยกตัวขึ้นเล็กน้อยได้เอง เมื่อเกิดการปะทะเพื่อปกป้องคนเดินถนน ให้บาดเจ็บน้อยที่สุด
ท่ามกลางภายนอกและภายใน ที่มาในแนวหรู เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้ารถขึ้นมา ขุมพลังที่ซุกซ่อนอยู่ ก็ยังอุตส่าห์
ถูกครอบทับด้วยฝาครอบเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาให้ดูหรู จนแทบจะเผลออุทานว่า นี่เครื่องยนต์ Jaguar หรือเปล่า?
แน่นอนครับ มันไม่ใช่หรอก ขุมพลังแท้ๆ ของ Porsche นอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น เป็นเครื่องยนต์ บล็อก V6 ทำจาก
อะลูมิเนียม อัลลอยด์ ทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ DOHC 24 วาล์ว 2,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.5 x 89.0 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.5 : 1 เพลาลูกเบี้ยวไอดีแบบแปรผันจังหวะการทำงานต่อเนื่อง ระบบตั้งระยะห่างวาล์วไอดรอลิก ระบบ
อัดอากาศ SuperCharge Direct Injection
การส่งน้ำมันหล่อลื่นใช้กำลังอัด พร้อมระบบหล่อลื่น Wet Sump น้ำมันเครื่อง 8.1 ลิตร มีระบบฟอกไอเสียแบบ
Catalytic Converter 3 ทาง มี Oxegen Sensor สองตัวสำหรับแถวลูกสูบแต่ละแถว การจ่ายแรงดันไฟสูงแบบ Static
ด้วยคอยล์จุดระเบิดแยก 6 ชุด พร้อมระบบ ตัดเชื้อเพลิง Variable Overrun ระบบติดและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
(auto start/stop) และมีโมดูล Hybrid พร้อมมอเตอร์กับระบบตัดการเชื่อมต่อ
กำลังสูงสุด 245 กิโลวัตต์ (333 แรงม้า) ตั้งแต่ 5,500 รอบ ถึง 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ตั้งแต่
3,300 รอบ ถึง 5,250 รอบ/นาที รอบเครื่องยนต์สูงสุดคือ 6,500 รอบ/นาที ใช้น้ำมันเบนซิน 95
เชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 34 กิโลวัตต์ (47 แรงม้า) ตั้งแต่ 1,150 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร
ที่ 1,150 รอบ/นาที เมื่อรวมทั้งระบบเข้าด้วยกันจะได้กำลังสูงสุด 279 กิโลวัตต์ (380 แรงม้า) ที่ 5,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด มากถึง 580 นิวตันเมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที อัตราส่วนขุมพลังต่อลิตร 111.3 แรงม้า/ลิตร รอบเครื่อง
สูงสุด 6,500 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบ Auto Start/Stop ดับเครื่องยนต์เองโดยอัตโนัติ เมื่อจอดติดไฟแดง และ
ติดเครื่องยนต์ได้เองอีกครั้ง เมื่อเหยียบคันเร่ง เพื่อออกรถ
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ Panamera S Hybrid จากโรงงานทำได้ในระดับ 7.1 ลิตร/100 กิโลเมตร เมื่อขับขี่
ในรูปแบบการทดสอบของ NEDC ซึ่งถือได้ว่า เป็น Porsche ที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตออกขายจริง
และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพียง 167 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งต่ำกว่ารถยนต์ผลิตในประเทศหลายๆ
รุ่น จากทุกค่ายในเมืองไทยตอนนี้เอาเรื่อง อีกนิดเดียว ก็ปล่อยไอเสียออกมาพอกับรถยนต์ ECO car กันแล้ว!
แบ็ตเตอรีที่ใช้ในระบบ Hybrid แยกเป็น 2 ระบบ หากเป็นการจ่ายไฟสำหรับระบบขับเคลื่อน จะใช้แบ็ตเตอรีขนาด
ใหญ่ ติดตั้งไว้ด้านหลังรถ เป็นแบบ NiMh (นิกเกิล เมทัล ไฮไดรด์) ขนาด 288 Volt 6Ah ส่วนแบ็ตเตอรีระบบไฟ
ในห้องโดยสาร จะเป็นแบบ 12 Volt 75 Ah
ระบบขับเคลื่อน แบบ Hybrid ของ Porsche นั้น ถือว่าเป็นแบบ Parallel full Hybrid โดยระบบของ Porsche จะต่าง
จากเครื่องยนต์ Hybrid แบบอื่นๆ ตรงที่ มีระบบ Sailing Mode ใช้สำหรับเดินทางบนมอเตอร์เวย์ หรือเดินทางไกล
ด้วยความเร็วคงที่ โดยระบบจะทำการตัดการทำงานของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ทั้งหมด ขณะใช้ความเร็วเดินทาง
ที่ 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ขณะใช้งานระบบ Sailing มอเตอร์จะ
ทำงานในโหมดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า Generator แต่หากต้องการเรียกใช้พลังในโหมด Sailing เช่นในกรณีเร่งแซง
เครื่องยนต์สันดาป V6 ก็จะถูกเรียกกลับมาทำงานอย่างฉับพลันในเสี้ยววินาที พร้อมทั้งปรับการทำงานให้ตรงกับ
ความเร็วของรถ
ข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งก็คือ การใช้พื้นที่น้อยมาก เนื่องจากระบบแบ็ตเตอรี ทั้งหมด ยาวเพียง 147.5 มิลลิเมตร
เท่านั้น อีกทั้งยังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น เพาะน้ำหนักขณะไม่มีการบรรทุกอยู่ที่ 1,980 กิโลกรัม จึง
ทำให้ Panamera S Hybrid กลายเป็นรถยนต์ซาลูนที่มีน้ำหนักเบาที่สุด ในบรรดากลุ่มรถยนต์ Premium Luxury
Saloon ขนาดใหญ่ (พร้อมขุมพลัง Hybrid) เช่น Mercedes-Benz S-Class Hybrid และ BMW Active 7 Hybrid
อีกทั้งสามารถรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดถึง 505 กิโลกรัม
เครื่องยนต์และระบบเกียร์ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันกับ เพลาขับ 2 ส่วนขับเคลื่อนล้อหลัง ระบบเกียร์ 8 จังหวะ Tiptronic-S
จาก AISIN ที่มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1 4.92
เกียร์ 2 2.81
เกียร์ 3 1.84
เกียร์ 4 1.43
เกียร์ 5 1.21
เกียร์ 6 1.00
เกียร์ 7 0.83
เกียร์ 8 0.69
ถอยหลัง 4.07
เฟืองท้าย 2.92
เส้นผ่านศูนย์กลางคลัตช์ 241 มิลลิเมตร (9.5 นิ้ว)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากโรงงานเคลมไว้ที่ 6.8 ลิตร / 100 กิโลเมตร ซึ่งถือได้ว่า เป็น Porsche ที่ประหยัด
น้ำมัน มากที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตออกจำหน่ายจริง
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าปีกนกคู่ ทำจากอลูมิเนียม ส่วนด้านหลังเป็นแบบช Multi-Link ทำจากอลูมิเนียมที่มี
ติดตั้งเข้ากับเฟรมแชสซี มีระบบถุงลม ด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมการควบคุมปริมาตรปริมาตรอากาศเพิ่มเติม
ในสปริงลมแต่ละตัว ช็อกอัพเป็นแบบ แก็ส ทั้ง ด้านหน้าและด้านหลัง ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อม
ระบบปรับแรงหน่วงต่อเนื่อง (Porsche Active Suspension Management, PASM) ซึ่งผู้ขับขี่สามารถ
เลือกการขับขี่ได้ถึง 3 โหมด เพื่อเพิ่ม หรือลดทอนความดิบ รวมทั้งการตอบสนองของระบบกันสะเทือน ตามความ
ต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และสภาพการขับขี่ทั้งแบบธรรมดา Sport Mode และ Sport ++ (โหมด
หลังสุด กดเลือกด้วยสวิชต์ไฟฟ้า บนชุดหน้าปัด โดยผู้ขับขี่จะรับรู้การทำงานของระบบ PASM ได้จากการช่วย
ลดความสูงของตัวรถทั้งคัน ให้เตี้ยลง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความดิบเถื่อนของคนขับ
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ 2 วงจร แยกวงจรสำหรับจานเบรกคู่หน้า เป็นแบบ คาลิเปอร์ Mono-Block ทำจากอลูมิเนียม
6 ลูกสูบ ดิสก์เบรกคู่หน้าแบบมีรูระบายอากาศ เส้นผ่านศูนย์กลาง 360 มิลลิเมตร หนา 36 มิลลิเมตร ส่วนคู่หลัง เป็น
แบบ คาลิเปอร์ Mono-Block อลูมีเนียม 4 ลูกสูบ มีรูระบายความร้อน พร้อมคาลิเปอร์ Mono-Block อลูมิเนียม 4 สูบ
ดิสก์เบรก แบบมีร่องระบายอากาศ เส้นผ่านศูนย์กลาง 330 มิลลิเมตร หนา 28 มิลลิเมตร มีระบบ Porsche Stability
Management (PSM) ช่วยควบคุมเสถียรภาพ ระบบ Brake Boost ช่วยเบรก กับเบรกมือไฟฟ้าพร้อมสวิชต์ใกล้มือ
คนขับ บนแผงควบคุมกลาง และมี ระบบ Re-Generative Brake System นำพลังงานจลย์จากการเบรก แปลงกลับ
คืนเป็นไฟฟ้า กลับสู่แบ็ตเตอรี ไว้ใช้ในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง
ยางติดรถเป็นความร่วมมือเป็นพิเศษกับผู้ผลิตยางอย่าง Michelin พัฒนายางรุ่นพิเศษ เพื่อตระกูล Panamera โดยเฉพาะ
ยางรุ่นพิเศษแบบ ใบช้งานได้ทุกฤดู (All Season Weather) มีส่วนผสมดอกยางที่ลดแรงเสียดทานความต้านทานขณะ
หมุนบนพื้นถนน (Low Rolling Resistance) เป็นพิเศษ ติดตั้งบนล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ด้วยยางขนาด 255/45 R19
ส่วนยางคู่หลังมีขนาด 285/40 R19
ส่วนรุ่นมาตรฐาน อย่างในรถคันที่เราทดลองขับกันนี้ ใช้ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/50 ZR 18 ที่ด้านหน้า
และขนาด 275/45 ZR 18 ที่ด้านหลัง เป็นขนาดยางมาตรฐาน
ทั้งหมดนั่นคือรายละเอียดของตัวรถ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ลองขับกันเสียที
คุณลุง Peter Rover ซึ่งเป็น Instructor ของเราในวันนี้ ทักทายกันอย่างดิบดี และให้ผมขึ้นนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย
เพื่อที่จะลองนั่ง และสัมผัสประสบการณ์ในเบื้องต้น โดย พี่แมน มานิตย์ Instructor อีกท่าน ออกมายืนดูอยู่ข้างนอก
ทันที่ ที่เราคาดเข็มขัดนิรภัย คุณลุงปีเตอร์ ก็พาเราออกตัวด้วยระบบ Hybrid แน่นอนครับ สัมผัสในการขับเคลื่อน
ที่ราบรื่นและเงียบสนิท แบบเดียวกับที่คุณเคยสัมผัสกันมาแล้วในรถยนต์ Hybrid ฝั่งญี่ปุ่นก็จะกลับมาเยือนคุณ
อีกครั้ง เพราะเครื่องยนต์ ไม่ได้ทำงานเลย มีแต่มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ที่พาให้รถขับเคลื่อนไปข้างหน้า
จนกระทั่ง ถึงเวลาที่คุณลุง แกบอกให้ผมเตรียมตัวนั่นละครับ ผมก็เริ่มมองหามือจับเหนือประตูผู้โดยสารทันที
คือผมมีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือ ออกจะหวาดเสียวเล็กๆ ถ้ามีใครสักคน มาขับรถให้นั่ง และขับเร็วกว่าที่ผมจะขับ
ในยามปกติ แต่ สำหรับลุงปีเตอร์ จะหวาดเสียวแค่ไหน แต่ผมก็ย่อมไว้ใจมากกว่าคนอื่นๆละครับ แน่ละ เขา
ขับ Porsche มาอย่างโชกโชนกว่าผมเยอะแยะ และก็เป็นหนึ่งในคนจัดงานวันนี้ คงไม่ซิ่งจนพาผมแหกทะลุ
กำแพง ของ ราบฯ 11 แน่ๆ
ในรอบแรก เราเริ่มต้นจากโหมดมาตรฐานของรถ นั่นคือ COMFORT ซึ่งจะเป็นโหมดที่มีการเซ็ตช่วงล่างมา
ในแนวธรรมดา เป็นธรรมชาติของตัวรถเอง สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน
พอลุงปีเตอร์ เหยียบคันเร่งจมมิดติดเหล็กพื้นรถ Panamera Hybrid ก็กลายสภาพจาก “คุณลุงสำอางค์” มาเป็น
“ชายกลางอารมณ์ร้อน” ได้ในทันที รถพุ่งออกจากจุดหยุดนิ่งอย่างมีพลัง ต่อเนื่อง ราบลื่น และ Smooth
ครับ ผมใช้คำว่า Smooth หนะถูกแล้ว คือไม่ใช่คำว่า “นุ่มนวล” เพราะคำในภาษาไทยนั้น บางคำ มันก็ไม่อาจ
สื่อถึงสัมผัสที่ผมพบเจอมาได้ครบถ้วน และคำว่า Smooth & Powerful Acceleration นี่น่าจะเหมาะสมกว่า
พอไปถึงหน้าศาลาใหญ่ มีจุดหักหลบ ลุงปีเตอร์ก็หักพวงมาลัยซ้าย และตามด้วยขวาทันที ตัวรถพุ่งผ่านไป
อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่า จะง่ายต่อการควบคุมกว่าที่ผมคิดไว้ และพอเลี้ยวไปยังอีกฝั่งของสนาม คุณลุง
ปีเตอร์ ก็ทำเช่นเดียวกันนี้อีกครั้ง เพื่อให้เราจำอาการของรถได้
แต่ทั้ง 2 ย่อหน้าข้างบนนั้น คือการขับขี่ในโหมด ธรรมดา พอกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ลุงปีเตอร์ กดปุ่ม
ให้ Panamera Hybrid เปลี่ยนมาเป็นโหมด Sport Plus แล้วออกรถไป จับอาการได้ว่า ตัวรถจะถูก
ระบบกันสะเทือน โหลดตัวเองให้เตี้ยลงพอสมควร และนั่นทำให้ อากัปกิริยาของรถ ขณะซิกแซก ซ้าย- ขวา
แตกต่างไปชัดเจน เพราะช็อคอัพจะแข็งขึ้น บั้นท้ายพร้อมจะปัดออกง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ปัญหา ระบบ PASM
ก็จัดการทุกอย่างได้หมด อย่างรวดเร็ว
ทีนี้…ก็ถึงตาของผมละ ลุงปีเตอร์ สลับไปนั่งผู้โดยสาร ส่วนผม ก็ย้ายมานั่งในตำแหน่งคนขับ และใช้เวลา
ในการปรับตำแหน่งของกระจกมองข้าง กระจกมองหลัง เบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า และพวงมาลัย (ซึ่งก็
ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ได้อย่างละเอียดยิบ อีกนั่นแหละ)
เมื่อเราสองคนพร้อม ผมก็เหยียบคันเร่งจมมิดในทันที…แน่ละครับ สนามปิด ปลอดภัยพอ และลุงปีเตอร์
ก็ดูจะยินดีให้ผมรับประสบการณ์จากตัวรถเฉกเช่นเดียวกับเขา Panamera S Hybrid พุ่งทะยานออกไปอย่าง
รวดเร็ว ม้ากว่า 380 ตัว ถูกส่งไปหมุนล้อขับเคลื่อนด้านหลังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในโหมด ธรรมดา
ผมก็พารถเข้าซิก – แซก อย่างรวดเร็ว ตัวรถตอบสนองอย่างว่องไว กระฉับกระเฉง และที่สำคัญ นี่เป็น
Porsche ที่ขับขี่ง่ายดาย ควบคุมง่ายดาย กว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้มากๆ! ขับไม่ยากเลย พอจะจำได้ว่าเกียร์ 1
ไปหมดที่ความเร็ว 59 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ต้องถามถึงเข็มวัดรอบครับ ตอนนั้น มันกวาดขึ้นไปเกือบถึง
แถวๆ 6,500 รอบ/นาที แล้วละ
จังหวะที่หักพวงมาลัยเลี้ยว บอกเลยว่า พวงมาลัยตอบสนองได้ไวดี เบากว่าที่คิด คือ ตอนแรก นึกไว้ว่า
น่าจะหนืดและหนักแข็งจนยากจะขับขี่ แต่พอเอาเข้าจริง กลับเบา และไม่หนืดมาก คือยังหนืดอยู่ในระดับ
ที่ ใครซึ่งเคยขับ BMW รุ่นใหม่ๆ น่าจะพอนึกออกว่าไม่ได้เบาโหวง แค่เบากว่าที่คาดไว้นิดเดียว ผมแอบ
คิดกว่า เหมือนพวงมาลัยไฟฟ้าอยู่บ้าง ทั้งที่มันเป็นพวงมาลัยไฮโดรลิค (ต้องเป็น 911 รหัสรุ่น 991
และ Boxster ใหม่ล่าสุดรุ่นต่อไปเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยไฟฟ้า ซึ่ง คุณลุงปีเตอร์ บอกแล้ว
ว่าหลังจากลองขับแล้ว มันดีขึ้นกว่า 911 ปัจจุบันเยอะมาก Fantastic กันเลยทีเดียว)
ผมชอบช่วงเวลาที่รถกำลังจะหลุดออกจากการควบคุมนิดๆ ขณะที่ระบบ PASM กำลังพยายามทำงาน
ของมัน เพื่อจะช่วยให้รถกลับมาทรงตัวได้ดีดังที่ควรเป็น มันเป็น a little fantastic moment เลยแหะ
แม้จะสัมผัสได้เลยว่า บั้นทายเริ่มถูกเหวี่ยงออก แต่นั่นไม่ได้เกิดความน่ากลัวเลย หนำซ้ำ ยิ่งได้รู้ว่า
ยังไงๆ ตัวรถ ก็”เอาอยู่” ก็ยิ่งไม่แปลกใจ ผมไม่รู้สึกเครียดในการขับ Porsche ครั้งแรกคราวนี้ด้วยซ้ำ!
ถ้าคุณยืนมองอยู่จากข้างนอกรถ เสียงยางที่บดกับพื้นถนนพร้อมกับเสียงของเครื่องยนต์ ที่ผสมกับเสียง
ของตัวรถที่แหวกผ่านอากาศไปอย่างปราดเปรียว จะชวนให้คุณนึกถึงเสียงของเครื่องบินรบสมัยใหม่
ที่กำลังบินผ่านน่านฟ้าไปเหนือพื้นดิน อย่างรวดเร็ว
ลุงปีเตอร์บอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ถ้าเมื่อใดที่คุณกำลังจะหลุด หรือ รถกำลังจะมีอาการท้ายปัดออก หรือ
เสียอาการ ถ้าเป็นรถอื่น ป่านนี้คงหลุดไปแล้ว แต่ถ้าเป็น Porsche รถจะบอกกับคุณว่า “สักครู่นะครับ”
แล้วก็รีบจัดการแก้ไขปัญหา เพื่อดึงรถกลับมาอยู่ในการทรงตัวตามปกติโดยเร็วที่สุด”
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้ผมสาดเข้าโค้ง ซ้าย – ขวา ด้วยความรวดเร็ว จนเกิดอาการ ท้ายปัด หรือ
Understeer ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน ระบบ PASM ก็จัดการควบคุมให้หมด และช่วยให้ตัวรถ กลับมา
อยู่ในความควบคุมของคนขับได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และแม่นยำ
เพียงแต่ คำว่า “สักครู่นะครับ” ของ ลุงปีเตอร์นั้น มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเสี้ยววินาที
นอกจากนี้ การเลี้ยวเข้าโค้งนั้น ตัวรถในโหมด Sport ++ แม้จะแสดงนิสัย พร้อมจะดิบออกมาให้
ได้รู้สึก ชัดเจนมากขึ้นกว่าโหมด Comfort ในโค้งเดียวกัน แต่ผมกลับสนุก และไม่รู้สึกกังวลในการ
ควบคุมรถคันนี้เลย ขณะที่ระบบห้ามล้อ ก็หน่วงความเร็วได้อย่างแม่นยำ ต้องการให้เบรกแค่ไหน
ก็เหยียบแป้นเบรกลงไปแค่นั้น แป้นเบรกตอบสนองได้ Linear กำลังดี
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ชายกลางสองบุคลิก ผู้พลิกความคิดเดิมๆของผม เกี่ยวกับ Porsche ไปเลย
ตั้งแต่ทดลองขับรถยนต์ ทำรีวิวมา มีรถยนต์หลายคัน ที่มีส่่วนในการเปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ ที่ผมเคยมี
ต่อรถยนต์ หรือแวดวง ด้วยความก้าวหน้าทางวิศวกรรม และบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของ
รถแต่ละคันเหล่านั้นเอง
Panamera S Hybrid ก็เป็นหนึ่งในรถยนต์คันนั้น รถที่เปลี่ยนความคิดของผม ที่มีต่อการขับขี่
รถสปอร์ต และรถยนต์ Sedan ระดับหรู ไปโดยสิ้นเชิง บุคลิกของตัวรถ จะ Outstanding กว่า BMW
แทบทุกรุ่นที่คุณเคยเจอมา บุคลิกที่มีให้คุณครบถ้วน ทั้งความสบาย และกระชับกำลังดี ขณะขับขี่
ช่วยให้คุณเดินทางไปพร้อมกับการลดผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของโลก ด้วยการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ น้อยกว่ารถยนต์ในกลุ่มเดียวกันคันอื่นๆ หรือบุคลิกที่พร้อมจะกลายสภาพ
เป็นชายกลางอารมณ์ร้อน พาคุณพุ่งพรวดพราด ในระดับที่แม้จะมีรถยนต์บางคัน ตอบสนองได้
คล้ายคลึงกัน แต่ไม่มีคันไหน เทียมเท่าเทียบได้ โดยเฉพาะในประเด็นความสนุกจากการขับขี่
แต่ยังมีโปรแกรมลดความเสี่ยงจากอารมณ์เดือดของคนขับแถมพกมาให้
ผมไม่แปลกใจแล้วละ ว่าทำไม รายการ BBC Top Gear ของ อังกฤษ ถึงได้ชื่นชอบการขับขี่
ของ Panamera มากๆ ทั้งที่พวกเขา ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบในเส้นสายตัวถังของมันเท่าไหร่
ยอมรับครับ สนุกใช้ได้เลย แต่ไม่หวาดเสียวอย่างที่คิด ขับง่ายกว่าที่คิด ควบคุมง่ายกว่าที่คิด และ
มันเป็น Porsche คันหนึ่ง ที่เปลี่ยนความคิดผมไปได้อย่างน้อยๆ ก็ 4 เรื่อง
1. รถสปอร์ต ไม่จำเป็นต้องมาในตัวถัง 2 ประตูเสมอไป
2. รถสปอร์ต จะรักษ์โลก ก็ทำได้ แม้ดูเหมือนว่าจะไม่มากนักก็ตาม
3. Porshce ไม่ใช่รถที่ขับยากอย่างที่คิด ถ้าคุณเลือกรุ่นให้เหมาะกับนิสัยของคุณได้ถูกต้อง
4. ต่อให้มีระบบอีเล็กโทรนิคส์มาช่วย เยอะแยะ ความสนุกในการขับขี่ มันก็ไม่จำเป็นต้องลดทอนลง
แต่สิ่งที่ผมยังอยากรู้อยู่ก็คือ การมีระบบขับเคลื่อน Hybrid เข้ามาช่วย จะทำให้ Porsche
Panamera S HYBRID ประหยัดน้ำมันมากกว่า Porsche ทั่วๆไป คันอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน
ตัวเลขที่ทางโรงงาน เคลมเอาไว้ว่า อยู่ที่ 7.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร (ในโหมด เฉลี่ย รวมแล้วทั้งในเมือง
กับนอกเมือง) จะทำได้จริงหรือเปล่า?
ผมอยากหาคำตอบข้อนี้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่า AAS เขาจะยอมให้ผมหาคำตอบ ด้วยการยอมส่ง “ชายกลาง
สองบุคลิก” คันนี้ มาให้ผม ทดลองขับถึงบ้านกันหรือเปล่า? เพราะด้วยค่าตัวที่สูงถึง 9,600,000 บาท
ถ้าเขาคิดจะปล่อยรถ Demo คันนี้ไว้ในการดูแลของผม คงต้องใช้ความกล้าหาญและไว้ใจกันไม่น้อยเลย
สงสัยคงต้องฝันกลางวันกันต่อไปแล้วมั้ง เนาะ?
——————————–///——————————-
ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท AAS Auto Service จำกัด
ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทยทั้งหมด เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
9 มีนาคม 2012
Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 9th,2012