ในที่สุด การเปิดตัว รถกระบะรุ่นสำคัญที่สุดของ Mazda Sales Thailand ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อช่วงเที่ยงวันนี้
(24 มกราคม 2012) ณ ห้อง Plenary Hall 2 และ 3 เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ ถือว่า Mazda พยายาม ที่จะสร้างความ
แตกต่างไปจากทั้งคู่แข่ง และภาพลักษณ์เดิมในตลาดรถกระบะเมืองไทย ที่ตนเคยเป็นมาตลอดหลายสิบปี

 

 

เพราะคราวนี้ BT-50 ใหม่ ถูกวางตำแหน่งการตลาดให้เป็น Lifestyle Pickup เพื่ออุดช่องว่างการตลาด สำหรับ
ลูกค้าที่ต้องการรถกระบะ แต่ยังต้องมีความสะดวกสบายในแบบรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และมีบุคลิกที่สง่างาม
ในแบบของ SUV

หลังการทำวิจัยตลาดอย่างเข้มข้น เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ในที่สุด ทีมการตลาดของ Mazda
ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายของ BT-50 PRO ใหม่ ในคราวนี้ เปลี่ยนมาเป็นรถกระบะสำหรับผู้ชาย ซึ่งส่วนใหญ่
แต่งงานมีบุตรแล้ว หรือเป็นคนโสดแต่มีแฟน มีการศึกษาดีหรือการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นเจ้าของกิจการ
ขนาดเล็กถึงกลาง หรือเป็นพนักงานบริษัท เป็นบุคคลที่กำลังก่อร่างสร้างตัว เริ่มก่อตั้งครอบครัวของตัวเอง เป็น
ที่พึ่งของครอบครัว  ทำงานเต็มที่เพื่อดูแลภรรยาและลูกอย่างดีที่สุด กลายเป็นฮีโรในสายตาของคนในครอบครัว
มีบทบาทสำคัญหลากหลายอย่าง เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นนักกิจกรรม ขยันทำงาน

 

 

ดังนั้น การออกแบบทั้งภายนอก และภายใน จะต้องมีบุคลิกของการเป็นรถเก๋ง ควบคู่กับความสมบุกสมบัน
ในการบรรทุกเอาไว้ด้วยกัน ถือเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ มร. ทาคาสุเคะ โคบายาชิ ผู้จัดการโครงการพัฒนา และ
มร. เรียว ยานากิซาวา ผู้จัดการฝ่ายออกแบบของโครงการ และทีมงานทั้งหมดที่สำนักงานใหญ่ใน Hiroshima
จึงช่วยกันทำงานออกมาเป็น BT-50 PRO ที่เน้นความสะดวกสบายในการโดยสาร และมีอุปกรณ์ต่างๆ ติดตั้ง
มาไว้ ใกล้เคียงกับรถยนต์นั่งในกลุ่ม C หรือ D-Segment เสียด้วยซ้ำ

 

 

โครงสร้างห้องโดยสารและแชสซีช่วยผู้โดยสารปลอดภัยจากการชนปะทะในทุกทิศทาง แม้จะใช้ตัวถังแบบ FSC
Free Style Cab ก็ตาม อุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงปกป้องภายในห้องโดยสารประกอบด้วยเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR
สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า และเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 3 ตำแหน่งของรุ่น
Double Cab และ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบางรุ่น

ระบบเครื่องเสียง มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ สามารถเล่นวิทยุ CD MP3 พร้อมช่องต่อ AUX และ USB จอแสดงระบบ
Multi-Function Display ขนาด 3.5 นิ้ว แบบ Monochrome Super-Twisted Nematic (STN) หรือ แบบ Dot-Matrix  
สำหรับรุ่นระดับกลางเป็นต้นไป และแบบ 2-line Display สำหรับรุ่นเริ่มต้น จอแสดงผลวางอยู่ที่ตำแหน่งด้านบนสุด
ของคอนโซลกลางด้านหน้าเพื่อแสดงการสั่งการการทำงานของระบบเครื่องเสียง การควบคุมทำได้ง่ายด้วยแผงควบคุม
ที่มีปุ่มควบคุมแบบ Jog Pad อยู่ตรงกลางและล้อมรอบด้วยปุ่มฟังค์ชั่นการทำงานอื่นๆ ลำโพงขนาด 6 นิ้ว ประสิทธิภาพ
สูงติดตั้งไว้ที่แผงประตูถูกปรับแต่งให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด

พื้นที่ช่องเก็บสัมภาระที่มีมากมายตลอดทั้งห้องโดยสาร ทำให้ผู้โดยสารทุกคนสามารถจัดเก็บของใช้ส่วนตัวได้มากมาย
และเป็นครั้งแรกกับการเพิ่มช่องเก็บสัมภาระด้านผู้ขับขี่ขึ้นมา (Driver’s Glove box) รวมทั้งช่องเก็บของเหนือศรีษะ ส่วน
ช่องเก็บสัมภาระด้านผู้โดยสารด้านหน้าออกแบบให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งในคอนโซลกลาง และ
ช่องเก็บสัมภาระแบบ 2 ชั้นที่คอนโซลกลาง ที่แผงประตูหน้าสามารถวางขวดน้ำขนาด 1 ลิตรได้ สำหรับรุ่น Double Cab
4 ประตู และรุ่น Free Style Cab มีช่องเก็บสัมภาระใต้เบาะนั่งด้านหลัง

กระบะบรรทุกในรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ทุกรุ่นมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นปัจจุบันมากให้พื้นที่บรรทุกสัมภาระมากที่สุด
เมื่อเทียบกับรถกระบะยี่ห้ออื่นๆ ในตลาด โครงสร้างเหล็กแบบสองชั้นให้ความทนทานสูง ภายในกระบะบรรทุก ผนัง
ด้านข้างออกแบบให้เป็นร่องหลายชั้นเพื่อให้สะดวกสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่จะกั้นหรือแยกพื้นที่เก็บของใน
กระบะบรรทุกเป็นส่วนๆ นอกเหนือจากความจุในการบรรทุก ความสามารถในการลากจูงหรือ Towing Capacity ดีที่สุด
สำหรับรถในระดับเดียวกัน ช่วยให้ภาระการลากเรือหรืออุปกรณ์และสัมภาระอื่นในการเดินทางทำได้ง่ายและสะดวก
รวดเร็ว

 

 

ขุมพลัง มีให้เลือก 2 พิกัดความแรง และเป็นแบบ Diesel ล้วนๆ ไม่มีเครื่องยนต์ เบนซินให้เลือกแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเปิดตัว หรือหลังจากนี้ไปก็ตาม

มีทั้ง เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,196 ซีซี Common Rail
Direct Injection Turbocharger Intercooler มีทั้งรุ่น Turbo แปรผันครีบ หรือ VN Turbo 150 แรงม้า (PS) ที่
3,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ให้กำลังมากกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร
ที่มีอยู่ในตลาด ส่วนรุ่นปานกลาง Turbo ธรรมดา กำลังสูงสุด ลดลงเหลือ 125 แรงม้า (PS) ที่ 3,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 1,700 รอบ/นาที

ส่วนรุ่นท็อป เป็นเครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Mazda ในการใช้
เครื่องยนต์ 5 สูบเรียง DOHC 20 วาล์ว 3,198 ซีซี  ที่ให้ความจุกระบอกสูบขนาดใหญ่แต่มีขนาดกระทัดรัด
Common Rail Direct Injection Turbocharger Intercooler กำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ที่ 3,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที

รุ่น Free Style Cab จะมีแต่แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ทั้งแบบมาตรฐาน และแบบยกสูง Hi-Racer แถมจะมีแค่เกียร์
ธรรมดา 6 จังหวะ ให้เลือกเท่านั้น ขณะที่ตัวถัง Double Cab 4 ประตู จะมีครบทั้ง รุ่น 2.2 ลิตร เกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ (ครั้งแรกในรถกระบะเมืองไทย ร่วมกับ Ford Ranger) กับรุ่น 3.2 ลิตร
ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งจะมีแต่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เท่านั้น

 

 

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบตับแหนบแผ่นซ้อน พร้อมช็อกอัพ
แบบ Double Acting พวงมาลัย เปลี่ยนมาเป็นแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่อยผ่อนแรงแบบ ERS
ระบบเบรก เป็นแบบ หน้าดิสก์ หลัง ดรัม และมีตัวช่วยด้านความปลอดภัยมาให้มากมาย ทั้งระบบป้องกันล้อ
ล็อก ขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Brake System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD
(Electronic Brake Force Distributor) ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน Emergency Brake Assist (EBA) เมื่อมี
การเบรคฉุกเฉินระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรกให้มากพอในการหยุดรถ ระบบ Brake Override System (BOS)
ที่จะตัดการทำงานของคันเร่งในกรณีที่แป้นเบรกและคันเร่งถูกเหยียบในเวลาเดียวกัน สัญญาณเตือนการเบรก
ฉุกเฉิน Emergency Stop Signal (ESS): เมื่อมีการเบรกในสถานะการณ์ฉุกเฉินเมื่อใช้ความเร็วสูงสัญญาณไฟ
ฉุกเฉินจะปรากฏขึ้น

ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อบรรทุก Load Adaptive Control (LAC): เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระระบบจะทำการ
จับตำแหน่งและน้ำหนักของสัมภาระที่บรรทุกแล้วควบคุมการทำงานของระบบเบรก ABS 4 ล้อ (4W-ABS)
ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control System, TCS) และระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ
(Dynamic Stability Control, DSC) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การป้องกันการลื่นไถล เสถียรภาพ
และการทรงตัวของรถ รวมถึงการป้องกันรถผลิกคว่ำ

ระบบช่วยการทรงตัวของรถลากขณะลากจูง Trailer Sway Assist (TSA): ขณะลากจูงรถ เมื่อรถลากเริ่มที่จะส่าย
ออกด้านข้าง ระบบจะปรับความเร็วของล้อทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเพื่อรักษาตำแหน่งของรถลากให้เหมาะสม
ระบบป้องกันรถผลิกคว่ำ Roll Stability Control (RSC): ระบบทำงานเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของรถและควบคุม
แรงเบรกในแต่ละล้อเพื่อป้องกันรถผลิกคว่ำ ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน Hill Launch Assist (HLA): เมื่อรถต้อง
ออกตัวจากการหยุดนิ่งบนถนนที่ลาดชัน เมื่อผู้ขับขี่ถอนเท้าจากแป้นเบรคเพื่อไปเหยียบคันเร่งระบบจะทำการ
หยุดรถเป็นเวลา 2 วินาทีเพื่อให้ผู้ขับขี่มิต้องกังวลต่อรถที่จะไถลเนื่องจากถนนที่ลาดชัน ระบบควบคุมการขับขี่
ทางลาดเอียง Hill Descent Control (4WD only): ระบบจะสั่งให้เพิ่มแรงเบรกเพื่อรักษาความเร็วที่ใช้อยู่ให้คงที่

 

 

 

 

กลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกสิ่งที่ Mazda ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยการพิจารณานำเอา Mazda BT-50 PRO ใหม่ ลงสู่ตลาด ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 5 แสนกลางๆ เท่านั้น ใน
ขณะที่รุ่นสูงสุด หรือ รุ่นท็อป ซึ่งเป็นแบบสี่ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร
มาพร้อมเบาะหนัง และอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ราคายังไม่แตะ 1 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้
ลูกค้าที่เข้าข่ายในโครงการรถคันแรก ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ที่สำคัญ Mazda แถมฟรีประกันภัยชั้น 1
ทุกรุ่น นอกจากนี้ Mazda BT-50 PRO ใหม่ ยังมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ประกอบด้วย

– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                                    ราคา    589,000 บาท
– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                                    ราคา    639,000 บาท
– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                            ราคา    683,000 บาท
– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                      ราคา    659,000 บาท
– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค               ราคา    715,000 บาท
– รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×4 R 3.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                                    ราคา    814,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                                       ราคา    629,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                                       ราคา    724,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                               ราคา    764,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                          ราคา    746,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer                                                                    ราคา    874,000 บาท
ABS + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×4 R 3.2L ABS+DSC เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค                       ราคา    943,000 บาท
– รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×4 R 3.2L                                                                                 ราคา    988,000 บาท
ABS + DSC + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค

 

 

 

สิ่งที่กลายเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการเปิดตัวรถยนต์ในปัจจุบันนี้ไปแล้ว คือการเลือกใช้บริการ พรีเซ็นเตอร์
มาร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณา และร่วมกิจกรรมต่างๆ ในระหว่างช่วงเวลาเปิดตัว หลังจากที่เฟ้นหากัน
มานานพอสมควร ทีมการตลาดของ Mazda เลือกให้ ผู้พันเบิร์ด หรือ พันโทวันชนะ สวัสดี  นายทหารหนุ่ม
มาดเข้ม ที่มีภาพลักษณ์ของความเป็นฮีโร่สำหรับคนไทยไปแล้ว หลังจากที่ฝากผลงานกับภาพยนตร์เรื่อง
“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”  มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ Mazda BT-50 Pro ใหม่ ถึงแม้ว่าผลงานจะ
ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในด้านการแสดง แต่การใช้ชีวิตยังเป็นแบบผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่รักและ
ต้องการดูแลครอบครัวและคนรอบข้างให้ดีที่สุด และคือสิ่งที่ทำให้เป็นที่ชื่นชมในความเป็นตัวตนที่แท้จริง
ที่แสดงออกถึง พลัง ความอบอุ่น เป็นฮีโร่ของทุกคน ในขณะที่ทุกคนก็สามารถเป็นฮีโร่ได้เช่นกัน

Mazda BT-50 PRO ใหม่ จะเริ่มส่งขึ้นโชว์รูมได้แล้วในวันนี้ ขณะที่ภาพยนตร์โฆษณา (ฝีมือการกำกับของคุณเต้ย
ซึ่งเคยทำภาพยนตร์โฆษณา Nissan TIIDA เมื่อปี 2006 ที่ TBWA มาก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ JWT ในทุกวันนี้) จะ
ออกอากาศครั้งแรก ค่ำวันนี้ (24 มกราคม 2012) ขอบอกว่า น่าติดตามชมมากๆ เพราะเนื้อหา 90 วินาที สื่อออกมา
ได้กินใจมากๆ

——————————-///——————————-