“พี่จิม ต้องลอง! แค่เหยียบคันเร่ง ก็รู้สึกได้เลยว่า เหมือนกำลังถึงจุด Orgasm!”

สีหน้าและแววตาอันหื่นกระหายของกล้วยหอมจอมซน แห่ง The Coup Channel ของเรา บอกกับผม
แทบจะในทันทีที่เจ้าตัว เปิดประตูลงจาก Hot Hatch คันสีเขียว หลังคาสีดำ ซึ่งคุณโต สุวิชชา ลีนุตพงษ์
พร้อมด้วยเพื่อนสนิทของเขา คุณตี้ และน้องเชน ฝ่ายการตลาดของ Skoda MTM Thailand ขับมา
นั่งคุยกันเล่นๆ ยามบ่าย ในช่วงที่กิจกรรม Ford Driving Skill For Headlightmag กำลังเสร็จสิ้นลง

เหย…บ้าน่า เป็นไปไม่ได้ รถบ้าอะไรวะ จะทำให้กล้วย ถึงกับ FIN คาเบาะ (ย่อมาจาก Finish หรือ Finale)
ได้มากขนาดนี้? มันถึงขั้นทำให้กล้วยน้อยจอมซ่าส์ สำเร็จความใคร่กับรถได้แล้วเลยเชียวเหรอเนี่ย!?

กรูไม่เชื่อ!

ตาแพน Commander CHENG สำทับเข้าให้อีกว่า “จิม! รถคันนี้ ไม่ต้องเหยียบคันเร่งจมมิดหรอก เหยียบแค่
ครึ่งเดียวพอ แล้วคอยดสิ่งที่จะเกิดขึ้น…

เฮ้ย! มันน่าตื่นเต้น เยี่ยงนั้นกันเลยเหรอวะ?

ผมก็เลยตัดสินใจ..รับคำท้า เอาวะ…ลองก็ลอง…

เปิดประตูอันหนักอึ้งสมกับเป็นรถยุโรป ขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกธรรมดา เฉยๆ ไม่ตื่นเต้นอะไร คาดเข็มขัดนิรภัย
ติดเครื่องยนต์ เข้าเกียร์ ถอยรถและเลี้ยวกลับ ตั้งลำ….แล้วก็เหยียบคันเร่ง สักครึ่งเดียวพอ (เพราะพื้นที่ในสนาม
เขาไม่อนุญาตให้อัดรถเล่นแบบนี้)

มดเขียว อันเป็นสมญานามที่ ตาแพน Cmmander CHENG! ของเรา ตั้งให้ในภายหลัง พุ่งปรู๊ดพรวดพราด
โจนทะยานไปอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยววินาที ไปอย่างหนักแน่น พุ่งไปแบบขีปนาวุธติดหัวรบ GPS ที่มาดมั่น
ในการพุ่งไปข้างหน้าราวกับว่า “เป้าหมาย มีไว้ พุ่งชน” จริงๆ !

วินาทีนั้น ผมนึกถึงพี่กี้ ศักดิ์ นานา ใส่ชุดนักแข่งเต็มยศ และถือเครื่องดื่มชูกำลัง ลอยเข้ามาซะดื้อๆ

ผมเหวอแดก…อ้าปากค้าง….บรรลุซึ้งถึงความ FIN ตามเจ้ากล้วยไปติดๆ!

ปากของผมก็ยังอ้าทิ้งไว้ จนค้างอยู่อย่างนั้น แม้ยามที่นำเจ้ามดเขียวกลับมาจอด ดับเครื่อง แล้วเปิดประตูลงมา
ท่ามกลางสายตานับสิบๆคู่ ที่ยืนรายล้อมอยู่บริเวณนั้น…

ที่สำคัญ ไม่เคยนึกฝันเลยว่า พละกำลังขนาดนี้ จะมาสิงอยู่ในร่างของ ไอ้มดเขียวน้อยตัวเปี๊ยก จากดินแดน
อดีตส่วนหนึ่งของประเทศหลังม่านเหล็ก ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว ไม่นึกมาก่อนว่า
เนี่ย…Skoda เอาอีกแล้วครับคุณผู้อ่าน…It’s Skoda, honest! วลีนี้ ตามมาหลอกหลอนผมอีกแล้ว!

เท่ากับว่า นอกจากจะเป็นตัวขโมยซีนของงานในบ่ายวันนั้นแล้ว รถคันนี้มันก็ยังขโมยใจของหลายๆคน
ที่ยืนดู และลองนั่งในวันนั้น ไปครองได้อย่างหน้าตาเฉย!

รถยี่ห้อนี้ ทำเอาผม ทึ่ง และตกตะลึง ติดกัน 3 คันรวดที่ได้ลองขับ ครั้งแรก เจ้ามนุษย์หิมะ Skoda Yeti ก็ทำให้ผม
อึ้งกิมกี่ไปเลย ใครจะไปคิดว่า เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร Turbo 105 แรงม้า จะให้อัตราเร่งที่ ดุดันเท่ากันกับรถเก๋งญี่ปุ่น
เครื่องยนต์ 1.6 – 1.8 ลิตร แน่นอนว่า แซงหน้าบรรดา ECO Car พิกัดเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร เท่ากัน ทิ้งหายไปเป็นทุ่ง
ทั้งที่ตัวรถ ก็ใหญ่กว่ามาก และหนักกว่ามากตามประสา Crossover SUV เสียด้วยซ้ำ!

คันที่ 2 Skoda Superb พละกำลังเครื่องยนต์ อาจจะแค่แรงดีสมตัว แต่อุปกรณ์ข้าวของที่ให้มา ตั้งแต่ฝาประตูหลัง
เปิดได้ 2 แบบ ระบบช่วยถอยหลังเข้าจอดอัตโนมัติ ครั้งแรกของรถยนต์ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ในไทย
ไปจนถึงเทคโนโลยีต่างๆมากมาย และความประหยัดที่ได้ พอกันกับ Honda Jazz ในราคาแค่ 1.7 – 1.9 ล้านบาท!

มาถึงคันนี้ Skoda คันที่ 3 นับตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ Headlightmag.com มา ก็เป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ที่ทำเอาผมอึ้ง
ตามไปติดๆ แค่ได้อ่านสเป็ก ก็อยากลองขับดูสักครั้ง พอได้ยินคุณโต บอกว่า จะเอาเข้ามาขาย ผมก็ตั้งตาเฝ้ารอ
ดูตัวจริง พอได้ลองนั่ง ลองสัมผัสสั้นๆ ผมก็เริ่มเห็นภาพตัวเอง กำลังยืนรอการมาถึงของวันนัดรับรถมาทำรีวิว

นี่เป็นรีวิว ที่ใช้เวลาในการเตรียมการ ยาวเป็นเดือนอีก 1 บทความ เหตุผลไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่ว่าช่วงเวลา
ที่เราจะต้องทำการทดลองขับนั้น มันสุดแสนจะสุ่มเสี่ยงเฉียดฉิวกับการรอคอยสถานการณ์น้ำท่วมมากๆ จน
ในที่สุด ผมรอให้น้ำเข้ากรุงไม่ไหว เลยตัดสินใจยืมรถคันนี้ มาเก็บข้อมูลอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองต่างๆ
เสียก่อน รอให้น้ำท่วมขังบริเวณทางด่วนอุดรรัถยา ปลายทางลงบางปะอิน แห้งจนเกลี้ยงกันไปหมด แล้วจึง
ขอยืมรถคันเดิม กลับมาทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองอีกครั้ง ช่วงกลางเดือนธันวาคม หลังจากที่สถานการณ์
น้ำท่วมใหญ่ คลี่คลายไปแล้ว

ส่วนภาพถ่ายชุดนี้ ผมก็ไหว้วาน น้อง Tee Abuser ให้มาช่วย จัดแสง และถ่ายภาพให้ ในช่วงค่ำคืนราวๆ
ตี 1 ริมถนนแห่งหนึ่ง แถวๆ ละแวกย่าน ทางด่วน บางนา-บางปะอิน ใกล้กับ เกษตร นวมินทร์ จนออกมา
เป็นภาพที่สะท้อนบุคลิกของรถได้ในระดับหนึ่ง

ถึงตรงนี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่า ระยะเวลา รวมแล้วนานถึง 2 สัปดาห์เต็มๆ ที่ผมใช้ชีวิตกับ Fabia RS ผมพบเจออะไร
จากรถคันนี้อีกบ้าง…ก็คงต้องเลื่อนลงไปอ่านเรื่องราวข้างล่าง ที่รอคอยให้คุณอ่านจนครบทุกบรรทัดกันอยู่แล้ว

Skoda Fabia คือรถยนต์พิกัดขนาด Sub-Compact B-Segment เครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,100 – 1,600 ซีซี ที่เปิดตัวสู่
ตลาดโลกครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 1999 หน้าที่ของ Fabia คือ เป็นรถยนต์ขนาด
เล็กรุ่นใหม่ เพื่อรับช่วงทำตลาดแทน Skoda Favorit และ Felicia ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญรุ่นเดียวที่สร้างรายได้
ให้ Skoda เป็นกอบเป็นกำมาตั้งแต่ก่อนยุคเข้าเป็นกิจการของ Volkswagen ในปี 1991

ในงาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม 2003 Skoda ตัดสินใจ ส่ง Fabia รุ่นแรงที่สุด ออกสู่ตลาด ในชื่อ
Fabia RS ด้วยความตั้งใจจะให้เป็นน้องเล็กตัวแสบที่สุดในตระกูล Fabia เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความ
ร้อนแรง แต่งบไม่มากพอจะปีนขึ้นไปเล่นรถยนต์ในเครือรุ่นอื่นๆ อย่าง Volkswagen Polo GTi รวมทั้ง กลุ่มที่
อยากหารถยนต์ขนาดเล็ก เอาไว้เข้าร่วมแข่งขันแรลลี แน่นอนว่า ด้วยเสียงตอบรับที่ดีในอังกฤษ ทำให้ Fabia
RS แจ้งเกิดในตลาดที่นั่นในฐานะ รถยนต์ประเภท Hot Hatch รุ่นใหม่ ซึ่งน่าสนใจ เพราะในตอนนั้น Fabia RS
(ชื่อในตลาดอังกฤษว่า Fabia VRS) ใช้ขุมพลัง Diesel 4 สูบ SOHC 1.9 ลิตร Turbo TDI 130 แรงม้า (PS)
ของ VW และได้รางวัล Diesel Car of the Year ไปครองมาแล้ว

รุ่นปัจจุบันของ Fabia ถือเป็น เจเนอเรชันที่ 2 เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change มีรหัสรุ่น 5J
สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังหรือ Platform รหัส PQ25 ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาจากพื้นตัวถัง PQ24 ที่ใช้อยู่ใน Fabia รุ่นแรก
ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนพ้องร่วมเครือญาติ Volkswagen Group พิกัดเดียวกัน คันอื่นๆ ทั้ง Volkswagen Polo และ
Seat Ibiza ที่ใช้พื้นตัวถังแตกต่างออกไป คนละพื้นฐานกับ Fabia (แต่แอบใช้อะไหล่ชิ้นส่วนร่วมกันกับรถยนต์
ในกลุ่ม Volkswagen เป็นจำนวนมาก!)

Fabia รุ่นปัจจุบัน เผยโฉมครั้งแรกในงาน Geneva Auto Show เมื่อเดือนมีนาคม 2007 และเริ่มออกสู่ตลาดใน
1 เดือนถัดมาโดยมีแคมเปญโฆษณาที่สร้างความฮือฮาใช้การได้ ด้วยการนำพ่อครัว และแม่ครัวทำขนมชื่อดัง มา
ร่วมกันทำขนมเค้ก รูปรถ Fabia ขนาดเท่าคันจริง และถ่ายทำเป็นภาพยตร์โฆษณาออกมา แสดงให้เห็นถึงความ
ตั้งใจในการสร้างรถยนต์รุ่นนี้เป็นอย่างมาก (และแน่นอน ชาวอังกฤษหลายๆคนก็อยากจะชิมขนมเค้กก้อนนี้
แต่มันจำเป็นต้องถูกทำลายทิ้ง เพราะขนมเค้กก้อนเบ้อเร่อ เริ่มส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์หลังจากนั้นไม่นานนัก)

หลังจากรุ่นมาตรฐานออกสู่ตลาดได้ราวๆ 4 ปี ก็ถึงเวลาที่ Skoda จะปล่อยเวอร์ชันเผ็ดร้อนสุดแสบของ Fabia
ออกมาให้นักซิ่งที่คำนึงเรื่องการเงินมากพอกับความแรง ได้เป็นเจ้าของกัน แต่คราวนี้ Skoda ตัดสินใจ เปลี่ยน
ขุมพลังจาก Diesel Turbo TDi 1.9 ลิตร มาเป็นเบนซิน Turbo + Supercharge TSI 1.4 ลิตร พ่วงด้วยเกียร์
อัตโนมัติ 7 จังหวะ DSG Dual Clutch กันอย่างที่เห็น

Fabia RS รุ่นที่ 2 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2010 ในงาน Geneva Auto Salon และเริ่มออกสู่ตลาด
ในยุโรปหลังจากนั้น ไม่กี่เดือน พร้อมกับภาพยนตร์โฆษณา ที่…มาในแนวทางคล้ายกัน แต่ต่างกันที่ ภาพ
เปิดตัวเป็นช็อปโรงงาน มีภาพการใส่น้ำมันให้กับเครื่องยนต์ ซึ่งเต็มไปด้วย งูเหลือม ขดพันรอบเต็มไปหมด
แถมยังขู่ฝ่อๆ สะท้อนภาพว่า เครื่องยนต์ของข้านี่ แรงนะ ชวนให้ข้าพเจ้าสยดสยองและหวาดกลัวไปนาน
เลยทีเดียว (ใครโพสต์คลิปหนังโฆษณาเรื่องนี้ ลงบน Headlightmag.com ของเรา ข้าพเจ้าจะแบน user id
นั้นทิ้งทันที! คอยดู!)

Fabia RS ถูกนำไปทำเป็นรถแข่ง เช่นเดียวกับรุ่นก่อน และคราวนี้ มันก็คว้าชัยชนะในรายการแรลลี IRC
Championship ในยุโรป เมื่อปี 2010 ถือเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ในการเข้าร่วยมแข่งขันแรลลีโลก
รายการต่างๆของ Skoda ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อย่างต่อเนื่องไว้ได้อีกครา นั่นเท่ากับว่า Fabia RS
ก็คือ เวอร์ชันลงแข่งแรลลีโลก ลักษณะเดียวกับ Mitsubishi Lancer Evolution และ Subaru Impreza
WRX STi นั่นเอง!!! (เพียงแต่ว่า อยู่คนละกลุ่ม คนละสาย ต่างพิกัดกัน ก็เท่านั้น)

ส่วนตลาดใหญ่ที่สุด คือสหราชอาณาจักร ก็เริ่มเป็นเจ้าของ Fabia RS กันมาตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2010
สื่อมวลชนในยุโรป และประเทศอื่นๆในโลกที่มีโอกาสนำ Fabia RS หรือ vRS ไปทดสอบ ต่างก็สรรเสริญ
ในทำนองว่า เป็น Polo GTi ที่ให้ความสนุกไม่แพ้กัน ในราคาที่ถูกกว่ากันเยอะ แทบไม่ค่อยมีเสียงบ่นกัน
เท่าใดนัก และนั่นก็ทำให้ผมเฝ้ารอจะได้พบตัวจริงของ รถคันนี้ มาตั้งแต่ต้นปี 2011

จนกระทั่ง Skoda MTM-Thailand DAD Yontrakit สั่งนำเข้ามาเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ของทางค่าย
ในชื่องาน DAD Ultimate Autio Showcase โดยนำมาจัดแสดงเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2011 ก่อนหน้างาน
จะเริ่มจริง 2 วัน (14 กันยายน 2011) ที่ Siam Paragon ถือเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
ของรถยนต์รุ่นนี้เป็นครั้งแรกในเมืองไทย โดยในช่วงแรก นำเข้ามาเพียง 3 คัน ก่อนที่จะเริ่มทะยอย
นำเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ในช่วงหลังจากนี้

ในต่างประเทศ Fabia RS จะมีตัวถัง Station Wagon 5 ประตู ที่เรียกว่า Skoda Fabia RS Combi ให้เลือกอีกด้วย
แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว เพียงแค่รุ่น Hatchback 5 ประตู เพียงรุ่นเดียว ก็น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ที่อยากได้รถยนต์ขนาดเล็ก แต่แรงสะใจ มากกว่า

ตัวถังมีความยาว 4,000 มิลลิเมตร พอดีๆ กว้าง 1,642 มิลลิเมตร สูง 1,498 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,451 มิลลิเมตร
ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,423 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,415 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นตัวถังจนถึง
พื้นถนน (Ground Clearance) อยู่ที่ 129 มิลลิเมตร ถังน้ำมันความจุ 45 ลิตร

น้ำหนักตัวรถ รวมคนขับ หนัก 75 กิโลกรัมด้วยแล้ว อยู่ที่ 1,318 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกได้ รวมคนขับ 475 กิโลกรัม
น้ำหนักรถรวมของเหลว และน้ำหนักบรรทุกทั้งหมดจะอยู่ที่ 1,718 กิโลกรัม

รูปลักษณ์ภายนอก ออกแบบให้ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Aerodynamic) Cd 0.345 ดูผ่านๆ คุณ
อาจจะนึกว่า ใครเอา Suzuki Swift รุ่นปี 2005 – 2010 มา Wrap สีเขียว และหลังคาสีดำ หรือเปล่า เพราเส้นสายช่าง
ดูคล้ายกันเหลือเกิน

จะบอกว่า เป็นเหตุบังเอิญในการออกแบบ ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะ Swift รุ่นเดิม ออกขายในตลาดโลกมา
ตั้งแต่ปี 2004 – 2005 แล้ว ส่วน Fabia รุ่นที่ 2 นี้ ออกขายตั้งแต่ปี 2007 แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้ในเรื่องความเหมือน
โดยบังเอิญ หรือจงใจลอกเลียนแบบกัน ของแต่ละฝ่าย…แต่หัวข้อนี้ สรุปไปก็ปวดกะโหลกเปล่าๆ

ความแตกต่างจาก Fabia รุ่นธรรมดา หากมองจากภายนอกนั้น มีเพียงแค่ การติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า LED พร้อม
ระบบ Daytime Running Light สำหรับส่องสว่างในขณะที่คุณกำลังขับรถในช่วงเวลากลางวัน เพิ่มความปลอดภัย
และสามารถปิดการทำงานได้ โดยมีสวิชต์เปิด-ปิด ซ่อนอยู่ติดกับแผงฟิวส์ บริเวณใต้คอพวงมาลัย ซึ่งต้องแกะแผง
พลาสติกแนวยาวออกมา จึงจะเห็นสวิชต์ดังกล่าว

รวมทั้ง เปลือกกันชนหน้า ลายพิเศษ ออกแบบให้ใช้เฉพาะรุ่น RS เท่านั้น ส่วนกระจังหน้า สามารถเลือกได้
ทั้งแบบโลหะมันวาว อย่างที่เห็นอยู่นี้ หรือเลือกสั่งกระจังหน้าพ่นสีดำจากโรงงานในสาธารณรัฐเชคได้ (แต่
ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ผมว่า สั่งรถธรรมดาเข้ามา แล้วให้อู่ในบ้านเรา พ่นให้ น่าจะได้งานสวยไม่แพ้กันในงบ
ที่ถูกกว่าเยอะ)

มองไปบนกระจังหน้า จะเห็นสัญลักษณ์ประจำรุ่น vRS แปะอยู่ฝั่งซ้ายมือของตัวรถ (หรือฝั่งขวา ถ้าคุณยืนมอง
กระจังหน้ารถอยู่) สัญลักษณ์ หรือ Emblem นี้ จะมีให้เห็นอีกจุดหนึ่ง บริเวณฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

และเมื่อมองเงยหน้าขึ้นมา จะเห็นว่ามีสปอยเลอร์ติดตั้งไว้เหนือกระจกบังลมหลัง และนั่นดูเหมือนจะเป็น
สปอยเลอร์เพียงชิ้นเดียว ที่คุณจะพบเห็นได้ ใน Fabia RS เดิมๆ จากโรงงาน

ก้มลงไปดูอีกที จะเห็นปลายท่อไอเสียแบบ Twin Tailpipe พร้อมกับเปลือกกันชนหลังออกแบพิเศษ มีแผง
Defuser ด้านหลังมาให้ ตกแต่งเพื่อความสวยงามเป็นหลัก

และล้ออัลลอย ลาย Gigaro ขนาด 17 นิ้ว สวมด้วยยาง Continental Sport Contact 2 ขนาด 205/45 R17 84W
ซึ่งมีให้เลือกได้ทั้งสีดำ (เช่นในภาพประกอบบทความนี้) สีขาว และสีเงินมาตรฐาน

ความแตกต่างจาก Fabia รุ่นมาตรฐาน หากมองจากภายนอก มีเพียงเท่านี้เลยครับ! มองกันอีกที ถ้าไม่ได้สีตัวถัง
สดๆ เปรี้ยวเยี่ยวราดกันแบบนี้ Fabia ก็จะยังไม่ใช่รถยนต์ที่มีความโดดเด่นบนถนนเท่าไหร่เลย การที่ Fabia RS
คันที่ผมนำมาทดลองขับ เป็นสีเขียว Rallye Green Metalic แบบนี้ นอกจากจะเรียกสายตาของผู้คนที่ป้ายรถเมล์
ได้ไม่น้อยแล้ว ยังเรียกบรรดา นักซิ่งให้มาขับป้วนเปี้ยนดูอยู่เหมือนกันว่า นี่มันรถยี่ห้ออะไรวะ? บางรายก็แกล้ง
ปิดไลน์ ไม่ให้ผมแซง พอผมได้จังหวะ ก็เลยเหยียบคันเร่งไปสักครึ่งหนึ่ง สั่งสอน “เบาๆ” ยังไม่ทันจะหายใจ
เข้า – ออก ครบ 1 รอบ เจ้า City รุ่นเก่า แต่งซิ่งแบบไร้รสนิยมคันนั้น ก็หายไปจากกระจกมองหลังเหลือเพียง
จุดเล็กๆจางๆ

การเข้าออกจากรถ ใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบกันขโมยแบบ Immobilizer ในรถคันที่เราทดลองขับกัน
กดปุ่มปลดล็อก 1 ครั้ง ระบบ จะปลดล็อกให้เฉพาะประตูฝั่งคนขับ และต้องกดปุ่มซ้ำอีก 1-2 ครั้ง เพื่อให้บานประตู
ที่เหลือทั้ง 3 ยอมปลดล็อกด้วย

มีสวิชต์เปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังจากกุญแจรีโมท ได้โดยตรง ทีสำคัญ ไม่ต้องกลัวว่าลูกกุญแจแบบพับได้
ที่ให้มา จะไม่ได้ใช้ เพราะมันทำหน้าที่หลักๆ 2 อย่าง…คือ สำหรับเสียบที่รูกุญแจตรงคอพวงมาลัยแล้วบิดเพื่อติด
เครื่องยนต์ และ เป็นกุญแจล็อกฝาถังน้ำมันไปด้วย

บานประตูคู่หน้า เปิดได้ 3 จังหวะ มีองศาการกางออกของบานประตูที่กว้าง พอที่จะรองรับการขยับร่างกายขึ้นรถ
ของตาแพน Commander CHENG! ได้อย่างแน่นอน มองมุมนี้ ดูแล้วนึกถึงรีวิว Suzuki Swift ที่เคยทำเอาไว้ เมื่อ
ปี 2010 เลยแหะ! สำหรับการเข้า – ออกจากรถแล้ว ถือว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

พนักวางแขนบนแผงประตู ออกแบบมาให้สามารถวางแขนได้พอดี อีกทั้งยังมี ช่องวางแก้วน้ำ รวมทั้งช่องใส่ของ
จุกจิกมาให้ เผื่อไว้ด้วย บริเวณกรอบประตูด้านล่าง ประดับด้วย Door Strip ลายพิเศษ เฉพาะรุ่น RS เท่านั้น ครบ
ทั้ง 4 ตำแหน่ง

เบาะนั่งเป็นแบบ Bucket Seat ปักสัญลักษณ์ประจำรุ่น RS มาให้ตรงกลางเบาะ กระชับกับร่างกายผมพอดีๆ และ
ไม่อึดอัดจนเกินไป พนักพิงหลังออกแบบมาดี ปีกข้าง โอบและล็อกร่างกายของผมไว้ในระดับกำลังดี เบาะรองนั่ง
ออกแบบมาให้รองรับได้จนเกือบสุดต้นขา ฟองน้ำค่อนข้างแน่น แต่ยังพอจะคงความนิ่มอยู่นิดนึง แถมยังมีก้านโยก
ปรับระดับสูง – ต่ำของเบาะหน้า มาให้ครบทั้งฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย แต่ถ้าจะปรับเอน ต้องหมุนมือบิด
แบบเดียวกับรถยุโรปทั่วไป และต้องออกแรงกันมากสักนิดนึง แอบเมื่อยนิ้วมือได้เหมือนกัน

ผมออกจะเสียดายอยู่นิดหน่อย ตรงที่ว่า Fabia RS ถูกปรับปรุงมาจาก เวอร์ชันมาตรฐานของ Fabia 5 ประตู จึงทำให้
ไม่สามารถปรับลดระดับความสูงของตำแหน่งเบาะให้เตี้ยลงไปได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ แม้จะโยกก้านปรับระดับ
ความสูงเบาะคนขับ ให้ลงไปอยู่ในตำแหน่งต่ำสุดแล้ว ตำแหน่งเบาะคนขับ ก็ยังถือว่าค่อนข้างสูงพอกันกับรถยนต์
Hatchback ยุคใหม่ๆ อย่าง Nissan TIIDA รุ่นแรก หรือ Suzuki Swift รุ่น 1.5 ลิตร และ Toyota Yaris ทั้งที่ความจริง
รถยนต์ประเภทสปอร์ต เร้าใจขนาดนี้ ต้องการตำแหน่งเบาะนั่งที่เตี้ยกว่านี้ เพื่อให้คนขับสามารถรับอาการจากพื้น
ถนน และสื่อสารกับตัวรถได้ดีกว่า รถที่มีตำแหน่งเบาะสูงๆ

แต่ถึงกระนั้น การวางตำแหน่งเบาะนั่ง ก็ทำได้อย่างถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ผมแทบไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการขับ
Fabia RS เลย อาจยกเว้นบ้าง ก็แค่ตำแหน่งพนักศีรษะดันหัวไปนิดเดียว เลยต้องใช้วิธีปรับเบาะคนขับให้ตั้งชันกว่า
เดิมนิดหน่อย ซึ่งก็ช่วยลดอาการปวดต้นคอฝั่งขวาไปได้เยอะอยู่ ส่วน พนักวางแขนตรงกลาง ก็สามารถวางแขนได้
อย่างแท้จริง เพราะปรับระดับสูง – ต่ำได้ เพียงแค่ กดปุ่มที่หัวของพนักวางแขน เพื่อปลดล็อกตำแหน่ง ให้สามารถ
ยกขึ้น หรือ เลื่อนลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับคุณได้ แถมเมื่อเปิดฝารองแขนขึ้นมา ยังมีช่องเก็บของจุกจิกไว้
สำหรับใส่ลูกอม ปากกา หรือข้าวของเล็กๆน้อยๆอื่นๆได้อีกด้วย

และขนาดว่า วางตำแหน่งเบาะไว้ค่อนข้างสูงพอกับรถยนต์นั่งขนาดเล็กยุคใหม่ๆ แต่พื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังมี
เหลืออีกเยอะ ต่อให้คุณจะเป็นฝรั่งตัวใหญ่ สูง 190 เซ็นติเมตร ผมว่า ก็ยังไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด เพียงแต่
ถ้าสูงเกินกว่านั้น อาจต้องขอให้ลองคิดขยับขยาย หารถที่ใหญ่กว่านี้กันแล้วละครับ

ด้วยระยะฐานล้อ ยาว 2,451 มิลลิเมตร พอกันกับ Honda Jazz ทำให้ การออกแบบช่องทางเข้าออกจากประตูคู่หลัง
ง่ายดายขึ้น เพราะช่องทางเข้าประตู มีขนาดใหญ่ ทำให้ก้าวขึ้นรถได้สะดวกตามสมควร แต่ตอนลงจากรถ อาจมี
บางจังหวะ ที่ปลายเท้าอาจจะเหวี่ยงไปโดนพื้นที่ด้านใต้ของแผงประตูอยู่บ้างนิดนึง

แผงประตูหลัง ก็ออกแบบมาให้สอดคล้องกับแผงประตูคู่หน้า คือมีช่องวางแจน ในตำแหน่งพอดีๆ บุด้วยผ้า
ลายสากๆ แบบฉบ้ับรถยนต์ยุโรปยุคใหม่ๆ มีช่องใส่เอกสารเล็กๆมาให้ใช้งานซ่อนของกันได้พอประมาณ
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าด้านหลัง เปิดเลื่อนลงได้ สุดบาน

เบาะหลัง มีพนักพิงที่ทำมุมเอียงในระดับเหมาะสม เบาะรองนั่งที่ใช้ฟองน้ำค่อนข้างแน่น แต่ยังนิ่มอยู่ปานกลาง
อาจจะรองรับได้ไม่ถึงข้อพับขา แต่เชื่อแน่ว่า ผู้โดยสารรด้านหลัง ไม่น่าจะบ่น ผมวัดจากเสียงของผู้คนรอบข้าง
ที่ขึ้นมานั่งเบาะหลังของ Fabia RS ขณะที่ผมต้องทำหน้าที่เป็นพลขับให้เธอๆท่านๆเหล่านั้น นั่ง ก็ไม่มีปัญหา
อะไรมากมาย จะมีก็แค่ว่า ถ้าคุณเป็นคนตัวใหญ่ขนาดผู้การแพน Commander CHENG! ของเรา ก็อาจจะอึดอัด
ได้แน่ๆ ถ้าคนขับ มีสรีระร่างอ้วนพลีใหญ่โตเท่ากัน

พนักศีรษะรูปตัว L อันเป็นรูปแบบพนักศีรษะที่พบได้ในรถยนต์นั่งท้ายตัดทั่วไป ก็มาโผล่หน้าให้เห็นใน Fabia RS
ด้วยเช่นกัน นั่นเท่ากับบังคับให้ผู้โดยสารด้านหลัง จำเป็นต้องออกแรงช้างสาร ดึงพนักที่ว่านี่ขึ้นมาใช้งาน เพื่อให้
การเดินทางไกลๆ เป็นไปอย่างสบายขึ้นเยอะ รองรับช่วงต้นคอได้ปานกลาง ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ปลอดโปร่งโล่ง
สบายโดยไม่ต้องสืบสาวท้าวความกันอีก เช่นเดียวกับ พื้นที่วางขา ซึ่งมีขนาดเหลือเพียงพอกับการรองรับผู้โดยสาร
ด้านหลัง ถ้าคุณไม่ปรับเลื่อนเบาะคู่หน้า ให้ถอยร่นลงมามากจนเกินไป เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะหลังเป็นแบบ ELR
3 จุด มีมาให้ครบทั้ง 3 ที่นั่ง

ถึงแม้ว่า บริเวณด้านหลังกล่องคอนโซล จะมีช่องวางแก้วน้ำขนาดเล็กสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาให้แค่ 1 ตำแหน่ง
และออกจะเสียดายสักหน่อยที่ไม่มี พนักวางแขนแบบพับเก็บได้บนเบาะหลัง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า นั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็น
ในรถยนต์ Hatchback 5 ประตูขนาดเล็กอย่างนี้เลย จะมีคนมานั่งบนเบาะหลังรถคันนี้สักกี่คนกันในหนึ่งปี?

เบาะหลังของ Fabia RS สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เหมือนเช่นรถยนต์ Hatchback ยุคใหม่ทั่วๆไป
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังให้มากขึ้น เพียงแต่ไม่สามารถพับพนักพิงลงต่ำได้จนสุด ก็เท่านั้นเอง วิธี
พับเบาะ คือ กดโยกสวิชต์ปลดล็อก บริเวณบ่าของพนักพิง ของเบาะทั้ง 2 ฝั่ง นั่นเอง

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังของ Fabia RS ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิก 2 ต้น ดูเหมือนว่า บานพับของฝาประตูหลัง
น่าจะใช้อะไหล่ชิ้นเดียวกับ Volkswagen Golf รุ่นเก่า กลอนประตูใช้ระบบไฟฟ้า สามารถปลดล็อกได้จากกุญแจรีโมท
และสามารถสั่งการ ให้ปลดล็อก แยกจากบานประตูทั้ง 4 บานที่เหลือได้ต่างหาก มีก้านดึงฝาประตูปิดลงมาให้

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดความจุ 300 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน และถ้าพับเบาะหลังลงไป ความจุ
จะเพิ่มเป็น 480 ลิตร VDA มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของด้านหลัง ขนาดเล็ก ซ่อนอยู่ ที่ผนังฝั่งซ้ายของรถ มีขอเกี่ยว
สำหรับแขวนถุงพลาสติก ทั้ง ฝั่งซ้าย และ ขวา แต่ที่แตกต่างจากรถยนต์คันอื่นก็คือ มีรั่วพลาสติก สำหรับใส่ข้าวของ
ที่คุณไม่ต้องการให้มันกลิ้งไปมา ระหว่างเดินทาง แถมมาให้อีกด้วย

การยกพื้นห้องเก็บของด้านล่าง เพื่อเข้าถึงยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ คุณต้องถอดรั้วพลาสติกนั้นออกก่อน
จึงจะยกพื้นขึ้นได้ ยางอะไหล่ มีขนาดมาตรฐาน แน่นอนว่า คงไม่ใช่ล้ออัลลอยขนาดเดียวกันกับล้อทั้ง 4 ที่ติดตั้ง
อยู่กับตัวรถแต่อย่างใด เป็นยางอะไหล่ แก้มหนา ขนาดมาตรฐานธรรมดา มีแม่แรงยกรถและประแจถอดล้อมาให้

เพดานหลังคาบุด้วยผ้าอย่างดี เหมือนกับรถยุโรปราคาแพงกว่า รุ่นอื่นๆ ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารนั้น
มีมาให้เฉพาะบริเวณด้านหน้า พร้อมสวิชต์ไฟอ่านหนังสือขนาดเล็ก ซึ่งต้องคลำหาสวิชต์กดปุ่มเพื่อใช้งาน
ในขณะขับรถ ไม่ถึงกับสะดวกนัก แค่พอใช้ได้เท่านั้น แถมแสงสว่าง ก็ยังมีไม่มากเท่าไหร่ ถ้าทำเข็มหมุด
ตกอยู่ในห้องโดยสารตอนกลางคืน มีเพียง 2 ทางเท่านั้น ที่คุณจะหาเจอ ก็คือ ใช้แม่เหล็กค่อยๆ ไล่หาไป
ไม่เช่นนั้น ก็ต้องใช้นิ้วคลำหา จนกว่าจะโดนเข็มหมุดบาดนั่นละ อย่าไปหวังเพิ่งความสว่างจากแสงของ
ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารเลย

แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้าพร้อมฝาปิดแบบบานเลื่อนมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง ไม่มีไฟแต่งหน้ามาให้ วิศวกรเขา
คงคิดว่า ใช้แค่ไฟส่องสว่าง ในห้องโดยสาร ก็พอแล้ว ทั้งที่เมื่อใช้งานจริง บอกได้เลยว่า สาวๆคงบ่นอุบ
กันแหงๆ เพราะแทบจะมองไม่เห็นหน้าตัวเอง หากจำเป็นต้องแต่งหน้าไปงานเลี้ยง ขณะนั่งบนเบาะ
ผู้โดยสารฝั่งซ้ายเลย ส่วนช่องใส่แว่นตากันแดด ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ออกแบบมาแล้ว สามารถ
ใช้งานได้จริง ในบริเวณด้านบนเพดานของ รถคันนี้

การออกแบบแผงหน้าปัดของ Fabia พยายามมุ่งเน้นให้สามารถใช้งานได้ง่ายดาย สะดวกสบาย ควบคุมทุก
อุปกรณ์ ใกล้เพียงแค่ยื่นนิ้วไปแตะโดนสวิชต์แค่นั้น! ไม่ต้องเอื้อมมือให้เมื่อยแขน ตำแหน่งแผงหน้าปัด
ติดตั้งไว้ค่อนข้างสูง ในแนวทางเดียวกันกับ Yeti เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งเบาะนั่งที่สูงอย่างนี้

ถึงกระนั้น มันก็ยังคงมีบางรายละเอียดปลีกย่อย ที่ดูและใช้งานจริงแล้ว ก็ยังแอบ ไม่ Make Sense มาโผล่
ให้เห็นกันอยู่บ้าง

สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน เป็นแบบ One Touch กด หรือ ยกขึ้น เพียงครั้งเดียว หน้าต่างก็จะเลื่อน
ขึ้น – ลง ได้เอง แต่สวิชต์ปรับกระจกมองข้าง อยู่ในตำแหน่ง ที่ยากต่อการใช้งานเหมือน Skoda รุ่นอื่นๆ คือ
อยู่ที่ด้านบนสุดของมือจับบานประตูฝั่งคนขับ และสวิชต์ ก็ไม่ได้หันหน้าเข้าหาคนขับ แต่ดันหันข้างของมัน
ให้เรามอง ถ้าจะปรับกระจกมองข้างฝั่งขวา ต้องหมุนสวิชต์ไปอยู่ที่ตำแหน่ง R ถ้าปรับกระจกมองข้างฝั่งซ้าย
ต้องหมุนสวิชต์ ไปอยู่ที่ตำแหน่ง L จากนั้น เลื่อนขึ้น – ลง ซ้าย – ขวา ตามใจชอบ ไม่เข้าใจว่า จะหาตำแหน่ง
ติดตั้งให้มันใช้งานสะดวกกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือยังไงกัน?

สวิชต์ปลด และล็อกประตูรถก็เหมือนกัน แทนที่จะออกแบบไว้ บนแผงควบคุม คอนโซลกลาง พี่ท่านก็ดัน
ผ่าไปติดตั้งไว้ เหนือแผงคันเกียร์ ตรงช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง คือตั้งใจว่า จะติดตั้งสวิชต์ชิ้นเดียว แต่ใช้งาน
ได้ทั้งคนขับและผู้โดยสารฝั่งซ้าย ทว่า ดันติดตั้งในตำแหน่งที่ไม่สะดวกต่อการใช้งานเอาเสียเลย อยากรู้จริงๆ
ว่า ในประเด็นนี้ คนออกแบบ เขาเอา Logic อะไรมาคิดกันเนี่ย?

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง ทรงสปอร์ต บริเวณตำแหน่ง 9 นาฬิกา กับ 3 นาฬิกา จะอูมหนากว่าส่วนอื่นๆ
เพื่อให้สะดวกต่อการจับขณะขับขี่ (Grip) ซึ่งถือว่ากระชับดีมาก ประดับด้วยสัญลักษณ์ RS แบบโลหะ บริเวณใต้
ฝาครอบแตร แต่ด้ายถักเย็บหนังหุ้มพวงมาลัย ค่อนข้างสาก และบาดคมอยู่พอประมาณเลยทีเดียว ก้านพวงมาลัย
ฝั่งซ้าย มีสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ถ้าเปลี่ยนสถานีวิทยุ หรือเปลี่ยนเลง กดปุ่ม ซ้าย หรือขวา ฝั่ง
ขวามือ แต่ถ้าจะเพิ่มหรือลดระดับเสียง ให้หมุนเลื่อนสวิชต์แบบ Toggle ถ้าต้องการจะให้เพงหยุดเล่นชั่วขณะ
กดปุ่ม Toggle ลงไป เพื่อเข้าสู่โหมด Mute และยกเลิกได้ด้วยการกดปุ่ม Toggle อีกครั้ง ด้านหลังวงพวงมาลัย
มีแป้น Paddle Shift พลาสติกสีดำ สำหรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ฝั่งซ้าย ดันเข้าหาตัวเป็นการลดเกียร์ ฝั่งขวา ดัน
เข้าหาตัว เพื่อเปลี่ยนเกียร์ให้สูงขึ้น

สวิชต์ เปิด-ปิด ชุดไฟหน้าเป็นแบบมือบิด เหมือนรถยุโรปทั่วไป ติดตั้งฝั่งขวา ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ มีไฟตัดหมอก
และไฟหน้าแบบ Daytime Running Light เปิดไว้ให้ตลอด แต่ถ้าต้องการจะปิดมันทิ้ง ก็แค่ ก้มลงไปใต้คอพวงมาลัย
เปิดฝาครอบแผง Fuse ออกมา จะเห็นสวิชต์ เปิด-ปิด สีดำ 1 ตำแหน่ง นั่นละครับ กดปิดไฟ Daytime ทิ้งได้เลย และ
ถ้าจะเปิดใช้งานใหม่อีกครั้ง ก็ทำตามขั้นตอนเดิมนี่แหละ มองลงไปอีกนิด จะพบว่า แป้นคันเร่ง และแป้นเบรก
เป็นแบบโลหะ สไตล์รถแข่ง

ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว และไฟสูง อยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนก้านสวิชต์ ใบปัดน้ำฝน ทั้งหน้า – หลัง และระบบฉีดน้ำ อยู่ฝั่งขวา
ของคอพวงมาลัย ปลายสวิชต์ก้านใบปัดน้ำฝน จะเป็นปุ่มขึ้น – ลง ให้ผู้ขับขี่ สามารถเลือกดูข้อมูลได้จากหน้าจอ
Information Display บนชุดมาตรวัด

ทันทีที่บิดกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ เข็มมาตรวัดทั้งฝั่งความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ จะกวาดไปยังฝั่งขวาสุด แล้วค่อย
ดีดกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม แบบเดียวกับ Subaru แทบทุกรุ่นในยุคใหม่ๆ และ Isuzu D-Max ระบบจะทำการตรวจ
เช็คความพร้อมของอุปกรณ์ภายในรถ ตามปกติ

เมื่อหน้าจอพร้อมแล้ว จะแสดงผลดังที่เห็นในรูปข้างบนนี้ การจัดวางตัวเลขนั้น แม้ว่าจะวางตัวเลขในลักษณะขนาน
ไปกับขอบโค้งของชุดมาตรวัดทั้ง 2 ฝั่ง แต่ต้องยอมรับเลยว่า ในยามค่ำคืน การวางตำแหน่งและระยะห่างของตัวเลข
ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ผม ไม่เจอปัญหาในการอ่านความเร็ว หรือรอบเครื่องยนต์ ขณะขับขี่ยามค่ำคืนแต่อย่างใด
ไฟสัญญาณเตือนต่างๆ จัดวางไว้ ในระยะใกล้ชิดกัน แต่ยังถือว่าอ่านง่าย

จอตรงกลาง เป็น จอแสดงผล Multi Information System ที่จำได้เลยว่า แทบจะยกชุดมาจากทั้ง Volkswagen Golf GTi
และ Volkswagen Scirocco แจ้งให้คุณทราบทั้ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย หรือแบบ Real-Time จนถึง ระยะทาง
ที่น้ำมันในถังซึ่งเหลืออยู่จะเพียงพอให้รถแล่นต่อไปได้ ระยะเวลานับตั้งแต่ติดเครื่องยนต์ออกรถครั้งล่าสุด ความเร็ว
แบบตัวเลข Digital รวมทั้งยังเป็นหน้าจอสำหรับการตั้งค่า เซ็ตตัวเลขต่างๆ ได้จาก ปุ่ม ตรงกลาง ฝั่งซ้ายรูป สี่เหลี่ยม
ซ้อน (Menu) ปุ่มขวา คือปุ่ม Set Trip Meter ที่มีมาให้แค่ Trip Meter เดียวเท่านั้น จริงๆแล้ว น่าจะให้มา 2 Trip ซะที
แต่ก็ยังดีที่มีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำในระบบหล่อเย็น และมาตรวัดปริมาณน้ำมันในถัง มาให้

สิ่งที่ขัดหูขัดตาที่สุดบนแผงควบคุมกลาง คือสวิชต์เครื่องปรับอากาศ แบบมือบิด ทั้งขนาดกลาง และสวิชต์ปรับแรงพัดลม
ขนาดเล็กกระทัดรัดตรงกลาง ที่เหมาะกับการให้มือของเด็กทารก อายุ 8 เดือน บิดเปิดแอร์ มากกว่ามือของผู้ใหญ่ แถม
ถ้าหากคุณต้องการจะให้แอร์เย็นเร็ว ในทันทีที่ติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ คุณต้องหมุนเร่งน้ำยาแอร์ (สวิชต์แอร์ฝั่งซ้าย
มีจุดสีฟ้า อันหมายถึงเย็นสุด และจุดแดง อันหมายถึงร้อนสุด) ให้อยู่ทางซ้ายสุดตรงจุดสีฟ้าตั้งแต่แรก เพราะถ้าหมุน
สวิชต์เอาไว้ ครึ่งๆกลางๆ อย่าหวังว่าแอร์จะเย็นเร็วแบบเดียวกับรถญี่ปุ่น ในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่แอร์ของ
Fabia RS เย็น มันก็จะเย็นสบายๆ แห้งๆ แบบรถยุโรป

และทุกครั้งที่คุณติดเครื่องยนต์ เครื่องปรับอากาศ จะยกเลิกการควบคุมอากาศหมุนเวียนในรถ โดยเปิดรับอากาศ
จากภายนอกรถเข้ามา ดังนั้น เมื่อขับรถไปสักพัก คุณจะรู้สึกว่า มีกลิ่นภายนอกเข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้คุณ
ต้องรีบยื่นนิ้ว ไปกดสวิชต์ควบคุมอากาศหมุนเวียน ให้กลับมาทำงานตามเดิม ซึ่งอันที่จริงแล้ว นี่ยังถือว่าดีเมื่อ
เทียบกับ Mercedes-Benz รุ่นก่อนๆ ที่แทบจะเปิดรับอากาศข้างนอกกันทุกๆ 10 – 20 นาที กันเลยทีเดียว

นั่นดูจะเป็นประเด็นเดียวที่ผมอยากจะติในเรื่องการออกแบบแผงควบคุมกลาง เพราะนอกเหนือจากนั้น ผมมองว่า
ตำแหน่งสวิชต์และการใช้งานในอุปกรณ์อื่นๆ นั้น ทำได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น สวิชต์ไฟฉุกเฉิน Hazzrd Light
ที่ติดตั้งไว้คั่นกลาง บริเวณช่องแอร์คู่กลาง แถมสัมผัสในการกดปุ่ม ก็ทำได้นุ่มนวลดี

หรือจะเป็นชุดเครื่องเสียงจากโรงงาน Skoda รุ่น Swing มีทั้ง วิทยุ AM / FM 6 ลำโพง พร้อมเครื่องเล่น CD
กับ MP3 มาให้แบบ 1 แผ่น สามารถเสียบเชื่อมต่อกับช่อง AUX รับสัญญาณจากเครื่องเล่นเพลงพกพาของคุณ
ได้สบายๆ พร้อมสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนพวงมาลัย หากต้องการจะเปิดวิทยุ ต้องยื่นนิ้วไปกดที่สวิชต์หมุน
ฝั่งซ้ายสุด จะกดเปิด หรือเลือกฟังระหว่าง วิทยุ หรือ CD จากสวิชต์บนพวงมาลัยไม่ได้ เพราะสวิชต์บนพวงมาลัย
เปลี่ยนได้แค่เลือกเพลง หรือสถานี และปรับระดับความดังของเสียง เท่านั้น

คุณภาพเสียงนั้น จัดอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ทั้งๆที่ดูหน้าตาโหงวเฮ้งแล้ว ไม่น่าจะออกมาดีได้ขนาดนี้เลยจริงๆ
เรียกได้ว่า ใกล้เคียงกับชุดเครื่องเสียงของ Skoda Superb , Volkswagen Golf GTi และ Scirocco อย่างมาก
โดยเฉพาะเสียงเบส การแยกช่องซ้าย – ขวา และการกระจายของเสียง ในภาพรวม เพียงแต่ว่า เสียงที่ออกมา
ยังแอบ บี้แบนนิดๆๆ ตามสไตล์ชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์จากยุโรป ต่อให้พยายามปรับ Equalizer ในตัวที่
มีมาให้ ก็ยังช่วยได้แค่นิดหน่อย

ช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มีมาให้ถึง 2 ชิ้น ด้านบน พอจะวางกล้อง Digital Compact ขนาดเล็ก และ
ข้าวของจุกจิกนิดๆหน่อยๆ ส่วนช่องด้านล่าง ใส่เอกสารคู่มือประจำรถ และเอกสารประกันภัยได้อีกนิดหน่อย
ผมใช้แผ่น CD 4 กล่อง กับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค อีก 1 เล่ม วางเอาไว้ เพื่อให้คุณได้เห็นว่า ความจุที่แท้จริงนั้น
น่าจะทำได้เท่าใดกัน

ส่วนที่วางแขนแบบยกพับเก็บได้นั้น นอกจากจะสามารถปรับระดับ สูง – ต่ำ ได้ตามต้องการอย่างละเอียดแล้ว
ถ้าคุณกดปุ่มบริเวณด้านหน้าของตัวมันเอง ก็จะสามารถยกฝาขึ้นเป็นช่องวางของจุกจิกขนาดเล็ก บุด้วยผ้า
สักกะหลาดอย่างดี แต่ก็พอให้ใส่ของเล็กๆน้อยๆ พวกโทรศัพท์ นามบัตร ปากกาและเพียงแค่นั้น ถัดลงไป
ด้านหลัง คุณจะเห็นว่า มีสวิชต์ สำหรับกด Set ตั้งค่า หลังการเติมลมยาง ของระบบ Tyre Pressure Monitoring
System และช่องเสียบต่อเชื่อมเครื่องเล่นแบบพกพา AUX มาให้

ผมมองว่า Fabia ทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่น RS ต้องการช่องเก็บของ สำหรับข้าวของจุกจิกต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
กว่าที่เป็นอยูนี้อีกสักหน่อย เพราะจากที่ขับขี่ใช้งานมา การวางข้าวของเล็กๆน้อยๆ ในรถคันนี้ บางครั้ง
เป็นเรื่องน่าปวดหัวไม่เบา ที่แน่ๆ ผมไม่สามารถวางกล้องถ่ายรูปของผม ลงไปในช่องวางของ ใต้แผง
ควบคุมตรงกลางได้ ถ้าจะใส่ไว้ในช่องเก็บคู่มือผู้ใช้รถ ผมก็ต้องเอาเอกสารในนั่นออกมา เพื่อที่จะให้
สามารถวางกล้องลงไปได้ สรุปว่า เกือบจะอเนกประสงค์ละ เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ทัศนวิสัยด้านหน้านั้น อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป พื้นที่ความสูงของกระจกบังลมหน้า อาจจะไม่ได้สูงมากนัก
เพราะทีมออแบบ จงใจ จะให้มีพื้นที่หลังคาเยอะนิดหน่อย เวลาขับรถกลางแดด มือคนขับจะได้ไม่โดน
แสงแดด ส่องทำร้ายกันตรงๆ เป็นแนวคิดที่คล้ายกับการออกแบบรถยนต์ BMW

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา อาจมีการบดบังรถยนต์ที่แล่นสวนมา ในขณะเลี้ยวเข้าโค้งทางขวา บนถนน
เลนเดียวอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถือว่าเยอะมากมายนัก กระจกมองข้างฝั่งขวา หากปรับให้เห็นตัวรถด้านข้างน้อยที่สุด
จะพบว่า พื้นที่ริมฝั่งขวาของกระจกมองข้าง จะถูกด้านในของกรอบพลาสติก บดบังการมองเห็นรถยนต์ หรือ
จักรยานยนต์ ที่แล่นเคลื่อนไหว จากเลนขวาไปได้อีกพอสมควร แต่ภาพรวมแล้ว ยังมองเห็นได้ชัดเจนดี

เช่นเดียวกับฝั่งขวา กระจกมองข้างฝั่งซ้าย มีพื้นที่ด้านในของกรอบกระจกมองข้างบดบังกินพื้นที่ขอบฝั่งซ้าย
ของตัวกระจกมองข้างเข้ามานิดหน่อย แม้จะยังมองเห็นรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ ที่แล่นมาจากทางฝั่งซ้าย
ก็ตาม ส่วนเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้ายนั้น ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยตอนเลี้ยวกลับรถอย่างที่คิดไว้แต่แรก
อาจเพราะตำแหน่งเสาหลังคา อยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของรถเล็กน้อย

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังรถ ถือว่าโปร่งตามาก แม้ว่าเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar จะค่อนข้างหนาอยู่พอสมควร
กลับไม่มีปัญหาในการมองเห็น แต่ยอมรับว่า แทบทุกครั้งที่ผมขับรถคันนี้ หากถอยรถจอดเข้าบ้าน จะ
ไม่มีปัญหา ทว่า หากถอยเข้าจอดในช่องจอดรถยนต์ ตามห้างสรรพสินค้า ผมจะเริ่มเกิดอาการกังวล เพราะ
กลัวจะไปเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันอื่น หรือไม่ก็ขอบฟุตบาธ ทำอย่างไรได้ละ ในเมื่อ ไม่มี เซ็นเซอร์กะระยะ
ขณะถอยหลังเข้าจอด แถมมาให้แต่อย่างใดเลยนี่นา?

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในเมื่อเป็นรุ่น RS อันถือว่าเป็นรุ่นแรงที่สุด ในตระกูล Fabia ถ้า Skoda จะยังคงยืนหยัดวางขุมพลัง
สหกรณ์ 1.2 ลิตร Turbo ธรรมดา 105 แรงม้า (PS) จากรุ่นมาตรฐานมาให้ ก็คงไม่แคล้ว โดนผม กับ
ตาแพน Commander CHENG ผู้รักความแรงพอๆกับพิซซ่าถาดโต ได้สวดชยันโต ตลอดอายุตลาดรถ
ไม่จบสิ้น Skoda ก็เลยเดินเข้าไปในคลังมหาสมบัติของ Volkswagen Group บริษัทแม่ของตน แล้ว
เจรจาต้าอ่วยกันพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับออกมา พร้อมด้วยขุมพลังระดับเทพ ที่ประจำการยู่แล้วใน
Volkswagen และ Audi หลายๆรุ่น โดยเฉพาะ Polo GTi และ Golf มาวางให้กับ Fabia RS เป็นพิเศษ

ขุมพลังของ Fabia RS มีรหัสว่า “CAVE” (ซี-เอ-วี-อี นะครับ..ไม่ได้อ่านว่า เคฝ ที่แปลว่าถ้ำ) เป็นแบบ
เบนซิน บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,390 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 76.5 x 75.6 มิลลิเมตร กำลังอัด
10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ ฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ Direct-Injection พร้อมระบบ
แปรผัน Camshaft

โดยพื้นฐานแล้ว เครื่องยนต์บล็อกนี้ ถูกพัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของ ขุมพลังรหัส EA111 ที่ถูกผลิตออกมา
ใช้งานในรถยนต์ตระกูล Volkswagen นานหลายสิบปี แต่ถูกปรับปรุงมาเรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัย ด้วยวิธี
เปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เปลี่ยนมาใช้โซ่ในการขับหมุน Camshaft แทนสายพาน เปลี่ยนระบบสมองกล
อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมเครื่องมาเป็น Bosch Motronic ME ใช้คอยล์จุดระเบิดแยกอิสระ สูบละ 1 ตัว และมี
ระบบแปรผัน Camshaft พ่วงเข้ามา

แต่ในเครื่องยนต์ 1.4 TSI เวอร์ชันนี้ จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของมันก็คือ เป็นเครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งระบบ
Twincharger หรือ มีระบบอัดอากาศทั้ง 2 ประเภท ซึ่งมีหน้าที่การทำงานต่างกัน ทั้ง Supercharger และ
Turbocharger ให้มาติดตั้งอยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยกันผลักดันศักยภาพของเครื่องยนต์พื้นฐานให้ไปสู่ขีดสูงสุด

อันที่จริง การติดตั้ง Supercharger และ Turbocharger ในเครื่องยนต์เดียวกันนั้นไม่ใช่ของใหม่บนโลกใบนี้
ด้วยความที่วิศวกรเครื่องยนต์ ทราบกันดีว่าข้อเสียของเครื่องยนต์ Turbo คืออาการที่ผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งไปใน
ช่วงแรกๆแล้ว พละกำลังยังไม่เริ่มหลั่งไหลออกมา เนื่องจากเครื่องยนต์ยังผลิตไอเสียได้ไม่มากพอที่จะหมุน
กังหันเทอร์โบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องรอจนกว่าจะถึงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ไอเสียจึงจะเริ่มมากพอ
ให้ไปหมุนกังหัน Turbo (หรือที่เรียกว่า การ Boost) อาการนี้ เรียกว่า “รอ Boost” ดังนั้นจึงมีการแก้ปัญหานี้
ด้วยการติดตั้ง Supercharger แล้วพอรอบเครื่องสูง ก็ให้ Turbocharger รับช่วงทำงานต่อไป

ทีมแรลลี่ Lancia ใช้วิธีนี้กับรถแข่ง Delta S4 ตั้งแต่ปี 1980 และแม้แต่ Nissan เองก็ยังเคยทำเครื่องยนต์รหัส
MA09ERT ขนาด 930 ซีซี Twincharger 110 แรงม้าใส่ในรถเล็กๆ อย่าง Nissan March Super Turbo เมื่อปี
1989 แล้วด้วยซ้ำ แต่ความซับซ้อนของระบบและต้นทุนการผลิต ทำให้ระบบ Twincharger ไม่ได้รับความนิยม
จนกระทั่ง VW Group นำกลับมาพัฒนาใหม่อย่างต่อเนื่องนี่ละ

ระบบ Twincharger ในเครื่องยนต์ 1.4 TSI CAVE นี้ทำงานโดยให้ Supercharger สร้างแรงบูสท์ตั้งแต่ออกตัว
ได้สูงสุดถึง 1.75 บาร์ เพียงไม่กี่อึดใจหลังเริ่มออกรถ จากรอบเดินเบาด้วยซ้ำ และจะทำงานต่อไปจนถึง 2,400
รอบ/นาที หลังจากจุดนี้ไปกล่อง ECU จะอ่านข้อมูลจากองศาคันเร่งและ Load ของเครื่องยนต์ หากเป็นการขับ
แบบเลียคันเร่งและรอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,400 รอบ/นาที ระบบซูเปอร์ชาร์จจะไม่ทำงาน แต่หากคุณค้องการ
ลากเฆี่ยนกันเต็มพิกัด Supercharger จะทำงานยาวไปจนถึง 3,500 รอบต่อนาที เมื่อถึงรอบที่กำหนด หน้าคลัทช์
แม่เหล็กไฟฟ้าของ Supercharger จะตัดการรับกำลังจากสายพานเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นภาระกินแรงเครื่องยนต์
ในขณะเดียวกันแผ่นประตูกั้นอากาศในทางเดินไอดีจะเปิดออกให้ไอดีที่ป้อนจาก Turbocharger ไหลเข้าสู่ห้อง
เผาไหม้ เป็นอันว่า Turbocharger จะรับช่วงทำงานต่อเนื่องไปจนถึง Redline ที่ระดับ 7,000 รอบ/นาที

VW Group มองว่านี่คือหนทางออกของเครื่องยนต์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอัดอาการเข้ามาช่วย ทำให้มีพละกำลัง
ในรอบสูงแบบ Turbo มีการตอบสนองในรอบต่ำที่ดีกว่าเครื่องยนต์หายใจธรรมดา ไม่มีระบบอัดอากาศ ด้วยซ้ำ
และการที่เครื่องยนต์มีความจุกระบอกสูบไม่มาก นั่นจังทำให้ ชิ้นส่วนภายในมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ช่วยให้
มีแรงเสียดทานจากการทำงานต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ CAVE ปล่อยมลพิษ CO2 แค่ 148 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้น สูสี
กับ Skoda Yeti 1.2 ลิตร SUV ที่เราเคยทดลองขับเมื่อหลายเดือนก่อน

เครื่องยนต์ CAVE ใช้ Turbocharger ของ KKK และ Supercharger แบบ Root Type ของ Eaton แถมพ่วงด้วย
Intercooler แบบระบายความร้อนของไอดี ด้วยอากาศ ติดตั้งด้านหน้าเครื่องยนต์ (บริเวณช่องรับอากาศที่เปลือก
กันชนหน้า พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.47 กก.-ม.
ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ระดับ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที

ดูตัวเลขเพียงอย่างเดียว อาจจะเฉยๆ ถ้านึกย้อนให้ดีๆ จะพบว่า เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร บล็อกเล็กๆ นี้ มีพละกำลัง
มหาศาล พอกันกับเครื่องยนต์ v6 DOHC 24 วาล์ว 2.5 ลิตร ของ Nissan Teana รุ่นท็อปในบ้านเรา กันเลยทีเดียว
แถมยังมีแรงบิดสูงสุดมากกว่าเสียด้วยซ้ำแหนะ! อีกทั้งยังมีแรงบิดมาให้เรียกใช้เป็นช่วงกว้างแบบ Flat Torque
ถึงแม้จะผ่าน 4,500 รอบต่อนาทีไป และกราฟแรงบิดเริ่มปักหัวลง ก็ยังไม่ได้ถือว่าปลายหด เพราะที่ระดับ 6,500
รอบ/นาที ก็ยังมีแรงบิดเหลืออยู่อีก 180 นิวตันเมตร ซึ่งมากพอๆกับแรงบิดสูงสุดที่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรทั่วๆไป
แบบหายใจธรรมดาในรถยนต์ C-Segment Sedan ทั่วไปในตลาดจะมีให้คุณ

อีกเรื่องหนึ่ง ที่คิดว่าพนักงานขายของ Skoda เองอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำก็คือเรื่องความทนทาน หลายคนเห็น
เครื่องยนต์มีขนาดเล็ก ติดมาทั้ง Supercharger และ Turbocharger ก็กลัวจุกจิกไม่ทนมือทนเท้า ทางวิศวกร
เขาเลยคิดหาทางช่วยเอาไว้ด้วยการ ออกแบบตัว Supercharger ให้มีสารหล่อลื่นภายในตัวแบบที่สามารถ
ใช้ไปได้นานจนกว่าเครื่องจะพัง ส่วนระบบ GTurbocharger ที่หลายคนรำคาญว่าเวลาขับทางไกลๆหรือ
ซัดมายาวๆ แล้ว ต้องมาจอดเดินเบารอ ให้ Turbo คลายความร้อน หรือติด TurboTimer เอาเองนั้น สำหรับ
Fabia RS แล้ว ไม่ต้องทำเช่นนั้นเลยครับ เพราะมีระบบปั๊มน้ำระบายความร้อนของ Turbo อัตโนมัติ ซึ่ง
จะยังคงทำงานของมันเองต่อไปอีก 15 นาทีหลังจากคุณดับเครื่อง ดังนั้นสบายใจได้ ถึงบ้าน ดับเครื่อง
เข้าบ้านไปนอนแผ่หราสรีระร่างได้เลยไม่ต้องเดินเบารอให้เสียเวลา

ทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่า เครื่องยนต์ 1.4 TSI บล็อกนี้ จึงคว้ารางวัล International Engine of The Year
ในพิกัดเครื่องยนต์ 1.0-1.4 ลิตร มาตลอดตั้งแต่ปี 2006 จนถึงปัจจุบัน แค่นี้น่าจะพอแล้วสำหรับความ “เจ๋ง”
ของขุมพลังบล็อกมหัศจรรย์นี้

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ แบบ DSG 7 จังหวะ ที่ Volkswagen พัฒนาร่วมกับ
Borg-Warner ผู้ผลิตระบบส่งกำลังอันดับต้นๆของโลก

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ แบบ DSG 7 จังหวะ ที่ Volkswagen พัฒนาร่วมกับ
Borg-Warner ผู้ผลิตระบบส่งกำลังอันดับต้นๆของโลก และเป็นเกียร์ลูกเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในรถยนต์ของ
Volkswagen Audi Skoda และ Seat หลายๆรุ่น (เช่น Skoda Yeti ที่เราลองขับไปก่อนหน้านี้)

จุดเด่นของเกียร์ลูกนี้ ก็คือการใช้ชุดคลัชต์แบบคู่ (Dual Clutch) แถมยังไม่ใช้คลัชต์แบบเปียก แต่ใช้คลัชต์
แบบแห้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลกด้วย ที่มีการนำเทคโนโลยีคลัชต์แห้งมาใช้กับเกียร์คลัชต์คู่ สำหรับผลิต
ในรถยนต์เพื่อการทำตลาดจริง

เกียร์ลูกนี้ มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1 3.50
เกียร์ 2 2.27
เกียร์ 3 1.53
เกียร์ 4 1.12
เกียร์ 5 1.18
เกียร์ 6 0.95
เกียร์ 7 0.80
เกียร์ R 4.17
อัตราทดเฟืองท้าย 4.438 / 3.227

สรุปว่า อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย เหมือนกับเกียร์ DSG 7 จังหวะ ลูกเดียวกันกับ Skoda Yeti ทุกประการ ยกเว้น
แค่อัตราทดเกียร์ 1 ของ Fabia RS จะอยู่ที่ 3.50 ขณะที่ Yeti จะอยู่ที่ 3.76 : 1

อ้อ! เห็นอัตราทดเกียร์ 4 กับ 5 แล้วอย่าเพิ่งนึกว่าพิมพ์ผิดนะครับ ตามสเป็กที่ได้มาเป็นแบบนี้จริงๆ เพราะในเกียร์
1-4 นั้นจะส่งกำลังผ่านเฟืองท้ายชุด A ในขณะที่ 5-7 จะส่งผ่านเฟืองท้ายชุด B ดังนั้นอัตราทดรวมของเกียร์ 5 ยังไง
ก็ยาวกว่าอัตราทดรวมของเกียร์ 4 นะครับ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า Fabia RS ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด
224 กิโลเมตร/ ชั่วโมง และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เพียง 148 กรัม / 1 กิโลเมตร เท่านั้น

แล้วในการจับเวลาจริงละ จะเป็นอย่างไร เรายังคงใช้วิธีการเดิม และมาตรฐานเดิม นั่นคือ เลือกใช้ถนนสายที่โล่ง
ที่สุด ในเวลากลางคืน เลือกช่วงเวลาที่ดึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะปริมาณรถบนท้องถนนจะน้อยที่สุด เปิดแอร์
และนั่ง 2 คน โดยผู้ขับเวลา ก็ยังเป็น คุณกล้วย BnN แห่ง The Coup Channel ของเราเช่นเคย น้ำหนักตัวของผม
และกล้วย รวมกันจะอยู่แถวๆ 150 – 160 กิโลกรัม โดยประมาณ

โดยปกติ ผมต้องทำตารางเปรียบเทียบให้เห็นสมรรถนะของรถยนต์รุ่นที่อยู่ในรีวิว กับรถยนต์คู่แข่ง แต่คราวนี้
ในเมื่อ Fabia RS ไม่มีคู่แข่งโดยตรงอย่างชัดเจนนัก (เพราะราคาก็ดันถูกกว่า MINI Cooper S ไปมากโข) ผมเลย
เลือกจะเปรียบเทียบศักยภาพของ Fabia RS กับเพื่อนพ้องร่วมตระกูลของเขา นั่นคือ Volkswagen Golf GTi และ
Volkswagen Scirocco 2.0 TSI เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพที่แท้จริง ตัวเลขจะเป็นอย่างไร ตารางข้างล่างนี้ได้
บันทึกเอาไว้หมดแล้ว…

ดูตัวเลขแล้ว คิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ?

ตัวเลขอัตราเร่งที่ออกมา ชัดเจนเลยว่า Fabia RS ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้ากว่าทั้ง 2 คัน เพียงแค่
0.3 วินาทีเศษๆ เท่านั้น และทำอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่ากันแค่ 0.2 วินาทีเท่านั้น แถม
ความเร็วสูงสุด ตามมาตรวัดของ Fabia RS ก็ยังด้อยกว่า Scirocco 1.0 TSI แค่ 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น!!
แทบจะไม่ต้องอธิบายต่อแล้วกระมังครับว่า สมรรถนะภาพรวมของ Fabia RS หนะ แรงขนาดไหน?

ยิ่งเครื่องยนต์บล็อกนี้ วางลงในตัวรถ ซึ่งแต่เดิม ก็เบาอยู่แล้ว ยิ่งช่วยให้ตัวรถพุ่งปรู๊ดไปข้างหน้า
ถ้าจะบอกว่า น้ำหนักของ Fabia RS เบากว่า ทั้ง 2 คัน ก็ถูกอีก แต่มีส่วนช่วยเหลืออยู่บ้าง ไม่ได้มากมายนัก

ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องของตัวเลขที่เราจับเวลาออกมาได้ แต่สัมผัสจากการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ Fabia RS
มันช่างไม่ได้แตกต่างอะไรจากตัวเลขที่เห็นเลย

อัตราเร่ง พุ่งแรงเกินตัว และเกินกว่าที่สายตาซึ่งมอง Fabia RS จากภายนอกของมันบนท้องถนน จะคาดคิด
แค่เหยียบคันเร่งเพียงครึ่งเดียว หรือจะจมมิดติดพื้นรถ ก็เลือกตัดสินใจเอาเอง ตามใจชอบ Fabia RS พร้อม
จะพาคุณพุ่งปรู๊ดพรวดๆๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลังที่ส่งผ่านลงสู่ล้อ
ขับเคลื่อนคู่หน้า ชนิดที่ว่า ไม่มีอะไรมาทำให้มันกระตุก หรือชะงักงันได้เลย

เมื่อกดคันเร่งออกตัว จะเหยียบคันเร่งลึกแค่ไหนก็ตาม Fabia RS จะมีอาการหนืดแค่เพียงกระพริบตา ในทันที
ที่เข็มวัดรอบกวาดไปถึง 2,000 รอบ./นาที แรงบิดมหาศาล จะถูกส่งไปที่ล้ออย่างรวดเร็วและรุนแรง จนรถพุ่ง
ทะยานไปข้างหน้า เกิดแรง G มาตรึงแผ่นหลังของคุณจนติดเบาะ โดยไร้ซึ่งการเตือนล่วงหน้า มันให้ความ
รู้สึกตื่นเต้น และสะใจ เหมือนคุณกำลังขับรถยนต์ขุมพลัง Diesel Turbo Common Rail จากยุโรป รุ่นใหม่ๆ
ที่ดึงจนหลังติดเบาะ แต่ใน Fabia RS แรงดึงนั้น จะมีมาต่อเนื่องและลากยาวจนทะลุ 5,000 รอบ/นาที ไปไกล

นี่ละ บุคลิกของเครื่องยนต์ที่ผมปราถนา! มีเรี่ยวแรงกำลังดี และเรียกใช้งานได้ทันทีที่ต้องการ ในทุกช่วง
แม้ว่าคุณกำลังใช้รอบเครื่องยนต์ที่ระดับ 5,000 รอบ/นาที และอยากจะไล่แซงรถคันข้างหน้า ซึ่งขับกวนใจ
ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า เหยียบคันเร่งลงไปแค่ครึ่งเดียว

ไม่ว่าจะออกตัว หรือ ในช่วงเร่งแซง จะอยุ่ในช่วงรอบความเร็วเครื่องยนต์ กี่พันรอบ /นาที ก็ตาม แทบจะ
ไม่จำเป็นต้องใช้แป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย หรือไปยุ่งกับการเปลี่ยนโหมด บวก ลบ ของคันเกียร์
ใดๆทั้งสิ้น แค่กะน้ำหนักของคันเร่งที่ตั้งใจจะเหยียบลงไป แค่นั้นพอ

การทำงานของเกียร์ ก็ไม่ต่างอะไรกับ สิ่งที่ผมเคยพบมาแล้วใน Golf GTi , Scirocco , Yeti , Superb และ
Audi A1 บอกได้เลยว่า การเปลี่ยนเกียร์ นุ่มนวล ต่อเนื่อง ราบรื่น และมีเสียง ปรึ๊บๆ อันเป็นเสียงของ การ
ทำงาน ของกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ ประสานกับระบบส่งกำลัง ในจังหวะที่มีการเปลี่ยนเกียร์
ภายใต้การกดคันเร่งที่รุนแรง เมื่อถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ กล่องสมองกลจะสั่งลดองศาไฟจุดระเบิดลง
ทำให้กำลังของเครื่องยนต์ในเสี้ยววินาทีดังกล่าวลดน้อยลง ส่งผลให้จังหวะเปลี่ยนเกียร์ลดความกระชาก
ที่มีต่อเกียร์ น้อยลง ทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ป้องกันความสึกหรอ หรือเสียหายของชุดเกียร์
จึงเกิดเสียงการจุดระเบิด ปรึ๊บๆ ให้ได้ยินพอเป็นกระสัยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในขณะคลานด้วยความเร็วต่ำๆ ไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัด อาจมีอาการหน่วงๆ จากเกียร์
ในแบบเดียวกับ รถยนต์เกียร์ธรรมดาอยู่บ้าง เป็นเรื่องปกติ อย่าตกใจ ถ้าคิดจะขับรถคันนี้ให้สามารถคลาน
ในเมืองได้นุ่มๆ ต้องค่อยๆสัมผัสเท้าลงไปทั้งบนแป้นเบรก และคันเร่งอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังย่องกลับ
เข้าบ้านตอนตี 4 Fabia RS จึงจะตอบสนองนุ่มนวลได้ดังใจที่ต้องการ

แต่ถ้าจะต้องออกรถกันบนทางลาดชัน เช่นบนสะพานข้ามแยก หรืออาคารจอดรถในห้างสรรพสินค้า Fabia RS
มีระบบ Hill Hold Control ที่จะรั้งรถยนต์เอาไว้ 3 วินาทีหลังจากคุณปล่อยเบรก เพื่อให้รถยังคงจอดนิ่งอยู่บน
ทางลาดชัน ในจังหวะทีคุณกำลังจะเหยียบคันเร่ง เพื่อออกรถ แต่เมื่อทำงานครบ 3 วินาที ระบบจะยกเลิก
การทำงาน ดังนั้น รถอาจไหลถอยหลังได้ โปรดใช้ความระมัดระวังนิดนึงนะครับ

ดูตัวเลขแล้ว ความแรงระดับนี้ หลายคนอยากจะรู้ว่า ออกตัวล้อฟรีได้หรือเปล่า? คำตอบก็คือ ได้ครับ แต่ก็ไม่ง่าย
ไปเสียทีเดียว ล้อจะฟรีได้ ถ้าพื้นถนนลื่น จนเงาแปล๊บ สะท้อนแสงขึ้นมาได้เท่านั้น และแทบจะทันทีที่ล้อเริ่ม
หมุนฟรี ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP ก็จะสั่งให้ระบบ Traction Control ของตน ทำงานทันที โดยไม่มีเสียง
เตือนอะไรมากวน โสตประสาทของคุณ มีแค่สัญญาณไฟเตือนรูปรถลื่นไถล สีเหลือง บนชุดมาตรวัดฝั่งขวา จะ
กระพริบๆขึ้นมาเท่านั้น และต่อให้คุณ กดปุ่ม ปิดการทำงานของระบบ (บนแผงควบคุมกลาง ฝั่งขวา ข้างสวิชต์
เครื่องปรับอากาศ) แช่ไว้ 2-3 วินาที จนหน้าจอ Multi Information Display จะแสดงข้อความขึ้นมาว่า ระบบได้
Deacticvated แล้ว นั่นก็มิได้หมายความว่า จะสามารถออกตัวล้อฟรีกันได้ง่ายๆ แต่อย่างใด เพราะระบบก็ยังคง
หาทางจัดการให้คุณออกตัวด้วยแรงดึงที่สะใจ แต่ล้อก็ยังจะต้องจับกับพื้นถนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ระบบจะ
จัดการกับแรงบิดของเครื่องยนต์ไหวอยู่ดีนั่นเอง

พวงมาลัยแบบ Direct Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS (Electro-Hydraulic Power
Steering มีระยะฟรีไม่เยอะนัก อัตราทดพวงมาลัยค่อนข้างกระชับ และบังคับรถได้ดีในแบบที่ อยากให้บรรดา
ผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น มาเอา Fabia RS ไปลองขับจังเลย ผมอยากได้พวงมาลัยแบบนี้ในรถยนต์ขนาดเล็ก คือ
ไม่หนืดเกินไป และไม่เบาจนเกินไป กำลังดี แถมยังมีเสถียรภาพในขณะใช้ความเร็วสูง แต่ยังพอจะมีอาการ
ดีดดิ้นไปพร้อมกับล้อและยาง บนพื้นถนนที่เป็นคลื่น ให้ได้สัมผัสอยู่บ้าง หากคุณใช้ความเร็วสูงระดับเกินกว่า
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป แต่การบังคับควบคุมพวงมาลัย ก็ไม่ได้ยากเย็นจนเหนื่อยเกินจะรับไหวอย่างเช่น
ที่ผมเคยเจอมาใน BMW 325 i Coupe (E92) แต่อย่างใด

ผมยังกล้าปล่อยมือ จากพวงมาลัย ที่ความเร็วระดับ 165 – 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จริง แต่ปล่อยมือได้ราวๆ ไม่เกิน
3 – 4 วินาที คุณก็จะเกิดความรู้สึก อยากจะเอามือกลับมาบังคับควบคุมพวงมาลัยต่อเองละครับ ซึ่งข้อนี้ บอกเลยว่า
มันมาจาก การที่พื้นผิวถนนไม่ได้นิ่งเรียบมากพอ จนกระทั่งล้อยาง แล่นผ่าน เกิดการบิดตัวนิดๆ เพียงแต่ว่าจะ
สะท้อนกลับมายังพวงมาลัย ล่าช้าไปในระดับเสี้ยววินาที ซึ่งดูจะเป็นปัญหาปกติของรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยซึ่ง
มีระบบผ่อนแรงแบบ เพาเวอร์ไฟฟ้า แต่ยังดีที่ Fabia RS ปรากฎอาการดังกล่าวน้อยมากๆ ต้องขับรถบนถนน
สายวิภาวดีรังสิต ช่วงนวนคร จนถึงสระบุรี เท่านั้น จึงจะรู้สึกได้ถึงอาการดังกล่าว

เพราะในยามปกติ พวงมาลัยตอบสนองตามสั่งของเราได้ค่อนข้างดี แม้จะยังมีบางสัมผัส ด้อยกว่า Golf GTi
ในแง่ของการตอบสนอง ไม่ใช่ในแง่ของความหนืดในการหมุนพวงมาลัยแต่อย่างใด หนักแน่น ระยะฟรีน้อย
หนืดทั้งในช่วงความเร็วต่ำ และในช่วงความเร็วสูง ใครที่ชื่นชอบการขับรถเป็นชีวิตจิตใจ จะมีความสุขไปกับ
พวงมาลัยของ Fabia RS แต่สำหรับคุณสุภาพสตรี ที่ไม่ได้ชอบขับรถมากนัก อาจบ่นว่า พวงมาลัยหนักไปนิด
หนืดไปหน่อย ก็เป็นเรืองปกติ เพราะรถคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจคนชอบขับรถ เป็นหลัก

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมปีกนกล่าง แบบสามเหลี่ยม และเพิ่มเหล็กกันโคลงหน้า ส่วน
ด้านหลังเป็นแบบ Compound-Link Crank-Axle ช็อกอัพแบบ Telescopic ให้การตอบสนองที่ แตกต่างจาก Fabia
รุ่นมาตรฐาน 1.2 ลิตร ชัดเจนก็จริง แต่ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกถึงความแข็งกระด้างจนแทบจะแยกร่างแต่อย่างใด เพราะ
ดูเหมือนว่า วิศวกรของ Skoda จงใจจะเซ็ตช่วงล่างของ Fabia RS มาให้ “ตึงตังพอเป็นพิธี” พอให้รู้ว่า รถที่คุณกำลัง
ขับอยู่นี้ เป็นรถแนว Sport Hatchback คันกระเปี๊ยกอยู่นะ ที่เหลือ มีแต่ความหนึบแน่นและเนียนจนเกือบจะนุ่ม

ขณะขับช้าๆ ตามตรอก ซอก ซอย ต่างๆ เมื่อเจอหลุมบ่อ หรือลูกระนาด ใช้ความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จะพบว่า หากขอบหลุมบ่อปักทิ่มลงไป หรือแข็ง อาการตึงตังเล็กๆ จะถูกส่งผ่านขึ้นมาให้คุณได้สัมผัสจากล้อ
แต่ถ้าเจอลูกระนาด แล้วคุณค่อยๆขับหยอดๆ จะพบว่า ช็อกอัพ ทำงาน ดันตัวขึ้น และลง ครบวงจรการทำงาน
อย่าง Smooth ต่อเนื่องมากๆ

แต่ในย่านความเร็วสูง หากพื้นผิวถนนราบเรียบ Fabia RS จะสะท้อนบุคลิกให้คุณได้สัมผัสราวกับว่าตัวมันเอง
เป็นรถที่หนักกว่าใครจะคิด การทรงตัว และการเกาะถนน อยู่ในขั้นดีเยี่ยม หากเทียบกับรถยนต์ในพิกัดเดียวกัน
(หมายถึง รถยนต์ในกลุ่มพิกัดตัวถัง B-Segment Sub-Compact Class ทุกคันในตลาดที่ผมเคยเจอมา) และรถจะยัง
นิ่ง มีเสถียรภาพอยู่จนถึงช่วงความเร็วระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเกินกว่านั้น การบังคับควบคุมอาจจะเริ่ม
ต้องใช้สมาธิเพิ่มมากขึ้นในระดับปานกลาง และเมื่อเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปจนถึงความเร็วสูงสุดที่
230 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะต้องใช้สมาธิมากเท่ากับการขับ BMW Z4 ในช่วงความเร็วเดียวกัน แต่นั่นก็ยังไม่
น่าหวาดเสียวเท่ากับการขับ Mercedes-Benz SLK รุ่นที่แล้ว ในความเร็ว 180 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง คือยังไงๆ
Fabia RS ก็ยังจะต้องมีอาการของรถยนต์ที่มีตำแหน่งเบาะนั่งสูง และตัวรถแคบ (แถมสูงนิดๆ) ให้ได้สัมผัสกัน
นิดหน่อยบ้างละครับ)

ที่แน่ๆ ใครที่ชอบเล่นกับโค้ง จะชื่นชอบ Fabia RS ได้ไม่ยากเลย ไม่ว่าจะเป็น สามแยกสนามม้านางเลิ้ง ที่คุณ
จะต้องพุ่งมาจากถนนราชดำเนิน แล้วเลี้ยวขวา เพื่อเข้าสู่แยกยมราช มุ่งหน้าไปทางเพชรบุรีตัดใหม่ ถ้านึกภาพ
สามแยกนั้นออก ในช่วงเวลาที่ปราศจากรถราขวักไขว่ ในช่วง ตี 1 ปกติแล้ว ในรถยนต์ทั่วไป ผมจะใช้ความเร็ว
ในการเข้าโค้งขวานั้น เพียงแค่ 40 – 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกินกว่านี้ พื้นถนนที่ลื่น แถมสโลปลงไปยังไหล่ทาง
ฟุตบาธฝั่งสนามม้า จะพาให้คุณ หลุดการควบคุม พุ่งทะลุเข้าไปชนกำแพงสนามม้าได้ง่าย แต่สำหรับ Fabia RS
ผมใช้ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วหักพวงมาลัยเพิ่ม รถก็จิกเข้าและออกโค้งได้อย่างต่อเนื่อง เนียนมากๆ
ประเด็นความคล่องตัวในเมือง หรือ City Agility ถือเป็นจุดเด่นมากๆ ที่ Fabia RS มีให้คุณแน่ๆ

และต่อให้เป็นการเข้าโค้งหนักๆ ยาวๆ ยากๆ เช่นในโค้งทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ ผมสามารถใช้ความเร็วถึง
90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโค้งแรก (ซ้ายหักศอก) ได้สบายๆ และในทันที โค้งขวายาวๆ ข้างหน้า ก็จะบังคับให้คุณ
ต้องถ่ายน้ำหนักตัวรถจากฝั่งขวา ไปซ้าย อย่างต่อเนื่อง พอถึงโค้งขวา ผมเหยียบเร่งความเร็วขึ้นไปจนถึงระดับ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโค้ง และแน่นอน Fabia RS ก็ยัง “เอาอยู่” ออกจากโค้งได้เนี้ยน เนียน เหมือนไม่มี
อะไรเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนอกเหนือจากการเซ็ตระบบกันสะเทือนแล้ว ผมว่าส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับยางติดรถ
Continental Sport Contact 2 ด้วยละครับ เกาะอยู่ทุกโค้งจริงๆ ดีพอกันกับ Pirerri P Zero Rozzo เลยทีเดียว!

และอีกส่วนหนึ่ง ที่ต้องได้รับปูนบำเหน็จ เห็นจะได้แก่ระบบเพลาควบคุมด้วยอีเล็กโทรนิคส์ XDS ที่ยกมาจาก
Golf GTi เพื่อจะช่วยชะลอความเร็วของล้อด้านที่ติดอยู่กับโค้ง ให้การเข้าโค้ง แล้วถ่ายแรงบิดไปเพิ่มให้กับล้อ
หน้า ฝั่งที่ต้องการแรงบิดเพิมมากขึ้น ช่วยให้รถ เข้า – ออกจากโค้ง ได้เนียน ฉับไว และเฉียบคมยิ่งขึ้น

เพียงแต่ว่า ด้วยบุคลิกของรถ ที่มีตัวถังแคบและมีจุดศูนย์ถ่วง สูงนิดนึง บวกกับช็อกอัพที่เซ็ตมาในแนวหนึบนุ่ม
ทำให้ตัวรถมีการเอียงในขณะเข้าโค้งอยู่พอสมควรเหมือนกัน ช่วงล่างแบบนี้ เซ็ตมาให้เหมาะกับการขับใช้งาน
ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าคุณต้องการพามันไปลงแข่งในสนาม จำเป็นต้องหาช็อกอัพที่แข็งกว่านี้อีกสักหน่อย
เพื่อช่วยให้การเข้าโค้งในสนามทำได้คล่องปรื๋อ และมั่นคงอย่างที่ใจคุณต้องการ

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดยล้อคู่หน้า มีรูระบายความร้อน เป็นแบบ ลูกสูบเดียว Single Piston
Floating Caliper พร้อมหม้อลมเบรก Dual-Diagonal circuit braking System Vacumm assisted with Dual rate
system ส่วนคู่หลัง เป็นจานเบรกธรรมดาๆ แต่ใช้ชุดผ้าเบรกของ ete พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock
Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ทำงาน
ร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronics Stability Program)

การตอบสนองในภาพรวมถือว่า จัดอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับรถยนต์ขนาดตัวถังใกล้เคียงกัน และถือว่า
ดีมาก ไม่แพ้ใคร ในยามที่ต้องเทียบกับรถยนต์สมรรถนะสูงกว่า การชะลอความเร็วทำได้ดังใจต้องการ ขณะที่
การหน่วงความเร็วลงมาจากย่านความเร็วสูง มั่นใจได้ พอกันกับ Golf GTi และ Scirocco เลยทีเดียว

แป้นเบรกให้สัมผัสที่ Linear ต่อเนื่อง ในช่วงแรกที่คุณเริ่มแตะเบรกเบาๆ รถจะเริ่มชะลอความเร็วลงไปตาม
น้ำหนักเท้าที่คุณเหยียบแป้นเบรก เพียงแต่ว่า ในช่วง 1 ใน 3 ของระยะแป้นเบรก จะยังไม่ถึงกับสั่งให้รถรีบ
หน่วงความเร็ว ไวเท่ากับ Golf GTi ทว่า ช่วงหลังจากเหยียบลึกลงไปมากกว่านั้น การตอบสนอง และสัมผัส
ของเบรก จะคล้ายคลึง มีอุปนิสัยใกล้เคียงกันเอาเรื่อง

แต่ที่สำคัญก็คือ ถ้าคุณเคยอ่านรีวิวของทั้ง Golf GTi กับ Scirocco มาก่อน แล้วกังวลว่าจะมีอาการเบรกหัวทิ่ม
แม้จะขับคลานตามสภาพจราจรติดขัดเป็นเต่ากัดยางหรือเปล่านั้น ขอยืนยันเลยว่า คุณจะไม่มีวันเห็นอาการ
แบบนั้น ใน Fabia RS เด็ดขาด คุณสามารถเบรกหยุดรถ และปล่อยแป้นเบรก ให้ไหลตามรถคันข้างหน้า
ไปได้อย่างนุ่มนวล ชนิดที่ว่า ถ้าแม่ยายของคุณหลับอยู่ ก็จะไม่ตื่นขึ้นมาก่นด่าคุณแน่ๆ หากคุณจับจังหวะ
การเหยียบแป้นเบรกได้แล้ว ก็สบายละครับ

เสียงรบกวนในห้องโดยสารนั้น แทบไม่มีเลย ต้องรอจนถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปนั่นละครับ ผมถึงจะ
เริ่มได้ยิน เสียงกระแสลมแหวกอากาศ บริเวณกระจกมองข้างฝั่งคนขับกันบ้าง และหลังจากนั้น เสียงก็จะ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ดังลอดเข้ามาจนน่ารำคาญแต่ประการใด

ด้านความปลอดภัย Skoda Fabia ใหม่ สอบผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยจากการชน ของหน่วยงานด้าน
วินิจฉัยรถยนต์ใหม่ ของสหภาพยุโรป หรือ Euro NCAP ในระดับ 4 ดาว โดยการปกป้องคนขับและผู้โดยสาร
ด้านหน้า ทำได้ 32 คะแนน การปกป้องเด็ก 36 คะแนน ได้ 3 ดาว และการปกป้องคนเดินถนนได้ 217 คะแนน
หรือ 2 ดาว

อย่างไรก็ตาม ต้องหมายเหตุกันไว้ตรงนี้ว่า การทดสอบของทาง Euro NCAP นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 โดย
รถยนต์รุ่นที่ใช้ในการทดสอบนั้น เป็นแบบ 1.2 Sport พวงมาลัยซ้าย ผลการทดสอบออกมา ในวันที่ ระดับ
มาตรฐานการทดสอบการชนสูงสุดของ EuroNCAP อยู่ที่ 4 ดาว ดังนั้น ณ วันทดสอบ Fabia ถือว่าได้คะแนน
ดี จัดอยู่ในกลุ่มแถวหน้าของรถยนต์นั่ง Hatchback ขนาดเล็ก แต่ในวันนี้ มาตรฐานของ EuroNCAP ถูก
ขยับขึ้นไปเป็น 5 ดาวแล้ว ดังนั้น อย่าแปลกใจที่ว่าทำไม Fabia จึงได้แค่ 4 ดาวนะครับ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

อยากขอบันทึกกันเอาไว้เลยว่า ผมต้องใช้เวลาในการรอ เพื่อทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ
Fabia RS นานกว่า 1 เดือนเต็ม ด้วยเหตุผลก็คือ ทางด่วนสายอุดรรัถยา ที่เราใช้ในการทดลองกัน เป็นหนึ่ง
ในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในรอบ 50 ปี เมื่อช่วง
เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2011 ที่ผ่านมา กับเขาด้วย!

ในที่สุด เราก็สามารถทำการทดลองกันได้ ก่อนสิ้นปี เพียง 1 สัปดาห์เศษ เท่านั้น คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2011
ที่ผ่านมา ในช่วงบ่าย 2 โมงครึ่ง ทันทีที่เรารับรถมาจากทางคุณโต และคุณตี้ ผมก็พา น้องเขียว มุ่งหน้ามายัง
สถานีบริการน้ำมัน Caltex ฝั่งตรงข้ามซอยอารีสัมพันธ์ เจ้าประจำของเรา เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron
จนเต็มถัง ให้หัวจ่ายตัด ก็พอ (ผมตัดสินใจ ทดลอง โดยไม่เขย่ารถคันนี้ เพราะรถแบบนี้ ลูกค้าที่ซื้อไป อยาก
จะเน้นเค้นสมรรถนะมากกว่าเค้นความประหยัด อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Niche Market ผู้คน สนใจ
กันแค่เฉพาะกลุ่ม ยังไม่ได้คาดหวังอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากรถยนต์ประเภทนี้กันมากนัก

สักขีพยาน และผู้ช่วยในการทดลองของผม ยังเป็น น้อง Joke V10ThLnD ใน The Coup Team ของเรา
นั่นเอง (ใครไป Motor Expo งวดล่าสุด และแวะไปเล่น เกมรถแข่ง พวก Playstation ที่บูธของ SINGHA
จะเห็นน้องเขา คุมบูธอยู่) น้ำหนักตัว ของผม กับน้องโจ๊ก รวมกัน จะอยู่ที่ราวๆ 160 กิโลกรัม

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว ผม Set Trip Meter (ซึ่งมีมาให้แค่ Trip เดียว) เป็น 0 เพื่อวัดระยะทางจากมาตรวัด
คาดเข็มขัด ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ไปที่เบอร์ 1 ใส่เกียร์ D แล้วออกรถอย่างช้าๆ ไปเลี้ยวกลับหน้าปากซอย
ราชครู ขับไปตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะ ทะลุออกมายังซอย โรงเรียนเรวดี แล้ว
เลี้ยวขวา เข้าสู่ถนนพระราม 6 เพื่อไปขึ้นทางด่วน มุ่งหน้ากันยาวๆ บนทางด่วนสายอุดรรัถยา โดยใช้
มาตรฐานดั้งเดิมของเราคือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน (รวมคนขับ)

พอไปถึงด่านทางออกบางปะอิน ซึ่งเพิ่งเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2011 ที่ผ่านมานี้เอง สดๆร้อนๆ
ผมสงสัยว่า ทางเลี้ยวกลับ ใต้สะพานข้ามถนนสายที่มุ่งไปทางบางปะอิน เปิดใช้ได้หรือยัง เพราะใน
ช่วงคืนหนึ่ง ต้นเดือนธันวาคม ผู้การจอมเกิน แพน Commander CHENG! ของเรา พา Subaru Legacy
คันโปรดของเขา ไปสำรวจมา แล้วพบว่า ระดับน้ำบริเวณนั้นยังสูงอยู่ ไม่อาจจะใช้เลี้ยวกลับรถได้เลย

วันนี้เจ้าหน้าที่ด่านเก็บเงิน บอกผมว่า สามารถเลี้ยวกลับได้แล้ว ผมละดีใจลิงโลดเป็นล้นพ้น เพราะนั่นคือ
สัญญาณที่จะบอกว่า ต่อจากนี้ ผมจะกลับมา ทำการทดลองรถยนต์ ได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่ต้องหยุด
การทดลองรถ เก็บข้อมูล เพื่อทำบทความแบบ Full Review ไปนานถึง 2 เดือนเต็มๆ และต้องลองขับแบบ
First Impression กันหลายรุ่น เพื่อประวิงเวลาไปก่อน

สภาพเส้นทางนั้น บอกได้เลยว่า หลงเหลือคราบและร่องรอยความเสียหายไว้เยอะกว่าที่คิด โดยเฉพาะ
คราวน้ำ ที่ติดอยู่ริมกำแพงปูน กั้นทางด่วน ขาเข้า – ขาออก เหลืออีกเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร น้ำก็จะท่วม
มิดขอบปูนแล้ว เรียกได้ว่า งานนี้ สาหัสสากรรจ์อย่างแท้จริง และเราได้แต่หวังว่า ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลใน
เรื่องการจัดการน้ำ จะออกมารับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่านึกแค่ว่า เอาเงินฟาดหัวประชาชน
ครัวเรือนละ 5,000 บาท แล้วเป็นอันเสร็จพิธี แต่หลังจากนี้ ต้องวางแผน และเตรียมการรับมือกับน้ำ
ในปี 2012 ที่คาดว่าจะท่วม ในช่วงเวลาเดียวกัน ปีเดียวกัน และพื้นที่เดียวกันเหมือนเดิม ดังนั้น ใคร
ที่มีหน้าที่จัดการน้ำในปีหน้า ขอให้โชคดี!

เรากลับรถ ย้อนขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้ากลับมายัง ทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้าย เข้าสู่
ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
สาขาเดิม เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ปั้มเดิม และหัวจ่ายเดิม เป๊ะ!

เอาละ ได้เวลามาดูตัวเลขที่ Fabia RS ทำได้กันดีกว่า
ระยะทางทั้งหมดที่แล่นไป จากมาตรวัด Trip Meter อยุ่ที่ 93.5 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.90 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.84 กิโลเมตร/ลิตร

นับว่า ประหยัดใช้ได้ และเป็นไปตามการคาดการณ์ของผม ว่าน่าจะประหยัดน้ำมันในระดับเดียวกันนี้
อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ได้แตกต่างไปจาก Volkswagen Golf GTi
(15.2 กิโลเมตร/ลิตร) มากมายอย่างที่คิดกัน ทั้งที่น่าจะทำให้ประหยัดกว่านี้ได้อีกหน่อยนึง

แต่เอาเถอะครับ ประหยัดขนาดนี้ ผมว่า ดีถมถืดแล้วละ เพราะค่าเฉลี่ยของรถยนต์ในพิกัด B-Segment 1,300 – 1,500 ซีซี
ทั่วไป ในมาตรฐานของเรา วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร นั่ง 2 คน ก็มักจะได้ตัวเลขระดับ 15 กิโลเมตร/ลิตร เป็นเรื่อง
ปกติอยู่แล้ว

********** บริการหลังการขาย (UPDATE..!) **********

ยังคงเป็นเรื่องที่ผู้คนกังวลกันเป็นอันดับ 1 หลังอ่านบทความรีวิวรถยนต์ของ Skoda จบ หลายๆคนยังคง
หวาดกลัวกับชื่อของ ยนตรกิจ ถึงขั้นเอื้อนเอ่ยออกมาถามไถ่กันทุกครั้ง เมื่อได้ยินผมพูดถึงรถยนต์ยี่ห้อนี้
และก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหานี้ ยังคงวนเวียนอยู่ ไม่ได้หายไปจาก
ความคิดของผู้บริโภคชาวไทยเท่าไหร่

แต่ถ้าคุณถามว่า ที่ผ่านมา Skoda MTM หรือ DAD Yontrakit เขาพยายามคิดแก้ปัญหานี้กันบ้างหรือไม่
คำตอบก็คือ “คิด และทำกันมาพักใหญ่แล้ว” และคำตอบก็เพิ่งจะโผล่ออกมาในช่วงงาน Motor Expo
นี่เองละครับ

นับจากนี้ สำหรับ Skoda และรถยนต์ Audi MTM ทุกคัน ที่คุณซื้อผ่านทางคุณโต และคุณตี้ ซึ่งเป็นผู้นำเข้า
และจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ของ Skoda Auto สาธารณรัฐเชค และ MTM แห่งเยอรมัน คุณก็จะได้รับ
โปรแกรมบำรุงรักษา DAD Secure
(โทษทีเหอะ ชื่อนี่แบบว่า มานั่งนึกดีๆ อย่างกับว่า ขับรถไปไหน อุ่นใจ
เหมือนมี ป๊ะป๋า ดูแลไปตลอด ฮ่าๆๆ เอ๋า ก็ DAD แปลว่า พ่อ/บิดา ไม่ใช่หรือ?)

DAD Secure มันเป็นโปรแกรมตรวจเช็คบำรุงรักษา และซ่อมแซม เปลี่ยนชิ้นส่วนให้ “ฟรี” นานถึง 5 ปีเต็ม
หรือ 100,000 กิโลเมตร! สำหรับ Fabia RS Yeti แล้วก็ Superb ส่วนรุ่น Fabia 1.2 ลิตร มาตรฐาน จะได้รับ
สิทธิ์ 3 ปี 60,000 กิโลเมตร)

นั่นหมายความว่า สมมติ คุณขับ Fabia ไปในช่วง 3 ปีแรก หรือ รุ่นอื่นๆรวมทั้ง Fabia RS Yeti และ Superb
ในช่วง 5 ปี นับจากวันออกรถ ถ้ามีชิ้นส่วนอะไร พังขึ้นมา ไม่ต้องกลัว จับซ่อม หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่
ให้ “ฟรี ไปเลย” ตลอดอายุการรับประกันของแต่ละรุ่น ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรมากมาย ยกเว้นแค่ว่า
เฉพาะ 3 รายการ ได้แก่ ใบปัดน้ำฝน ยางรถยนต์ กับ แบ็ตเตอรี เท่านั้นที่จะต้องจ่ายเงิน (เพราะเป็นอะไหล่
ที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน) แบบเดียวกับ โปรแกรม BSI ของ BMW Thailand นั่นละครับ!

ส่วน ศูนย์บริการ ในตอนนี้ เข้าได้แน่นอน 3 – 4 แห่ง คือ ที่ โชว์รูม และศูนย์บริการ สุขุมวิท 101 บางจาก ตรง
สถานีรถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถี พอดีเป๊ะเลย (เอารถส่งซ่อมเสร็จ นั่งรถไฟฟ้ากลับไปทำงานยังได้) รวมทั้ง ศูนย์
Mobicom ริมถนนนราธิวาส ราชนครินทร์ ย่านสีลม สาทร บางรัก (ที่นี่ มีนายช่างใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกับการซ่อม
Skoda และรถยนต์ในเครือ Volkswagen อย่างดีอยู่ด้วย) แล้วก็ที่ ศูนย์บริการ หัวหมาก ตรงคลองตัน ซึ่งเดิม
เป็นโชว์รูม Peugeot เก่า แล้วตอนนี้ ก็กลายเป็นศูนย์บริการที่รองรับรถได้ ส่วนลูกค้าต่างจังหวัด กำลังอยู่ใน
ช่วง เตรียมขยายออกไป ในเบื้องต้นเท่าที่ผมพอจะจำได้ก็มี สุราษฎร์ธานี แล้วก็ โคราช และนี่แค่เบื้องต้น

คิดว่า โปรแกรมนี้ อย่างน้อย ก็น่าจะทำให้ความมั่นใจในการ ลองซื้อรถยี่ห้อนี้ น่าจะเพิ่มมากขึ้นได้บ้างนะ

********** สรุป **********
แรงสะใจ แถมประหยัดเกินคาด แบบ Golf GTi แต่จ่ายถูกกว่ากันครึ่งนึง!!

แล้วความรู้สึกไม่อยากคืนกุญแจรถ ก็หวนกลับมาเยือนผมอีกครั้ง ในวินาทีที่ต้องยื่นกุญแจรีโมท คืน
ให้กับคุณโตไป ในช่วงบ่ายวันอังคาร 27 ธันวาคม 2011 วันที่ น้องเบิ้ม รุ่นน้องของทีมเว็บพวกเรา
พาคุณแม่ ไปลองขับ Skoda Superb แล้วก็ตัดสินใจซื้อในที่สุด ทั้งที่รถคันปัจจุบันซึ่งคุณแม่ขับอยู่
ก็คือ Mercedes-Benz 300D W124

สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส ผมพบว่า มีลูกค้าของคุณโต และคุณตี้ คนหนึ่ง ขับ Toyota Camry รุ่นปี 2008
สีขาว มาเทิร์น ไปในราคา 8 แสนกว่าบาทปลายๆ เพื่อแลกซื้อ Skoda Superb ไปขับหน้าตาเฉย…!

แปลกไหมครับ มีคนยอมทิ้งรถตลาด ขายต่อได้ราคาดี ที่คนทั้งสังคม โดยเฉพาะในโลก Internet
ชอบพูดกัน เพื่อมาลองซื้อ Skoda…!? คุณว่าเขาโง่ หรือ Simply Clever สมดังสโลแกนของแบรนด์
Skoda กันละเนี่ย?

2 เคสดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่า หลังจากนี้ แบรนด์ Skoda น่าจะเริ่มกลับมาได้รับความเชื่อมั่น
เพิ่มขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป และต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ถ้าตราบใดที่ทั้งคุณโต คุณตี้ และทีมของเขา
ยังคงตั้งใจทำงาน และแก้ปัญหาเก่าๆ อันเกิดจากชื่อเสียในสมัยก่อนของ ยนตรกิจ อย่างไม่ย่อท้อ

เพราะตัวรถหนะ มันดีมากๆเลย ขับมา 3 รุ่น ผมก็แฮปปี้ ทั้ง 3 รุ่น โดยเฉพาะ Fabia RS คันนี้

2 สัปดาห์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับ Fabia RS เป็น 2 สัปดาห์ที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้ผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้จะเต็มไปด้วยภาระเรื่องเครียดมากมาย แต่การได้มีโอกาส พาเจ้าเปี๊ยก มุดลัดเลาะไปตามสภาพการ
จราจรรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่รถติดขัดสาหัส จนถึงสภาพทางด่วนที่โล่งในยามค่ำคืน มันก็เป็นความสุข
เล็กๆน้อยๆให้ชีวิตได้ดีไม่หยอก!

เพราะจุดเด่นสำคญอยู่ที่พละกำลังจากอัตราเร่ง ที่ดึงแผ่นหลังของคุณติดเบาะได้อย่างต่อเนื่อง แถม
มีมาให้เรียกใช้ได้ตามต้องการ ในทุกย่านความเร็วรถ กับความเร็วรอบเครื่องยนต์ ช่วงแรงบิดสูงสุด
มาเป็น Flat Torque ตั้งแต่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ก่อนจะเริ่มเหี่ยวลงเพียงเล็กน้อยในช่วงหลัง
6,000 รอบ/นาทีเป็นต้นไป ขับทางไกลสนุกใช้ได้ หรือจะมุดในเมือง ก็เร้าใจ บรรดาพวกรถซิ่ง
หรือ พวก กระบะบ้าพลังที่ชอบขับมาจี้บั้นท้าย แค่เพียงเหยียบคันเร่งครึ่งเดียว พวกบ้าเหล่านั้น
ก็จะหายวับไปในกระจกมองหลังแทบจะทันที นี่แหละ ความสุนทรีย์ของการมีรถยนต์คันเล็กๆ
หน้าตาบ้านๆ แต่วางเครื่องยนต์ไม่ธรรมดา ละ!

แถมช่วงล่าง ก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนแข็งโป๊กจนเกินเหตุ ทว่า กลับ “ตึงตังแค่พอประมาณ” พอให้
คุณรู้ว่า กำลังขับรถแรงอยู่นะ เท่านั้นเลย ส่วนระบบห้ามล้อ ก็หน้าที่ได้ดี หน่วงความเร็วได้พอกัน
ด้อยกว่า Golf GTi นิดเดียว แต่ สามารถเบรกชะลอรถเพื่อจอดติดไฟแดงให้นุ่มได้ง่ายกว่ากันเยอะ

ภาพรวมแล้ว สมรรถนะของ Fabia RS มันแทบจะขี่คอ Volkswagen Golf GTi กับ Scirocco 2.0 TSI
กันเลย บุคลิกการขับ ใกล้เคียงกันอยู่ ต่างกันที่ว่า ตำแหน่งเบาะนั่งสูงไปนิดหน่อย และถ้าได้พวงมาลัย
เพาเวอร์ไฟฟ้า ที่ถ่ายทอดการเคลื่อนไหวของล้อบนพื้นผิวปูนซีเมนต์ที่ไม่ค่อยจะเรียบบนถนนสาย
วิภาวดีรังสิต ช่วงนวนคร ให้ดีกว่านี้ได้อีกนิดนึง รวมทั้งปรับเปลี่ยนตำแหน่งของสวิชต์ปลดและล็อก
ประตูไฟฟ้า กับตำแหน่งสวิชต์ปรับกระจกมองข้าง และเพิ่มไฟส่องสว่างในห้องโดยสารตรงกลาง
อีกสัก 1 ตำแหน่ง รวมทั้งออกแบบสวิชต์เครื่องปรับอากาศ ให้ดูดีมีชาติตระกูลกว่านี้ แค่นั้น พอแล้วครับ

ทั้งหมดนี้ มาในราคาเพียงแค่ 1,490,000 บาท คุณว่ามันจะน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมไหมละ? ถ้าเทียบกับ
สมรรถนะที่ใกล้เคียงกับ Golf GTi และ Scirocco 2.0 TSI แต่มาในราคาที่ถูกกว่าทั้งคู่ถึง ครึ่งหนึ่ง!

เอาละ ถ้าคุณเป็นคนทั่วไป ซึ่งคิดจะซื้อหารถยนต์ระดับราคา 1,500,000 บาท มาใช้งานในชีวิตประจำวัน
แน่นอนเลยว่า จะมีไม่กี่คนหรอก ที่มองมายัง Fabia RS เพราะเงินจำนวนนี้ คุณจะมีทางเลือกมากมาย
ส่วนใหญ่ หนีไม่พ้นรถยนต์ขนาดกลาง D-Segment ไม่ว่าจะเป็น Toyota Camry 2.0 , Nissan Teana 2.0,
Honda Accord 2.0 หรือไม่ ก็คงเป็น SUV ประกอบในประเทศไทย อย่าง Honda CR-V, Chevrolet Captiva
ไปถึงรถนำเข้าอย่าง Nissan X-Trail , Ford Escape หรือ SUV บนพื้นฐานจากรถกระบะทั้ง Toyota Fortuner
Mitsubishi Pajero Sport, Ford Everest, Chevrolet Trailblazer (เปิดตัว 2012) , Isuzu MU-7 แถมรถตู้อย่าง
Hyundai H-1 ให้อีกคันเลยเอ้า!

ทั้งที่จริงๆแล้ว คู่แข่งในตลาดยุโรปของมัน อย่างแท้จริง ก็คือ MINI Cooper S (แรงสะใจ แต่เกวียนเรียกพี่),
และบรรดาเครือญาติในกลุ่ม Volkswagen Group ด้วยกันเอง ทั้ง Audi A1 (ซึ่งขับสนุก และเตี้ยกว่า แต่รถ
ก็เล็กกว่า เหมาะแค่นั่ง 2 คนเท่านั้น ต่อให้เป็นรุ่น 5 ประตูที่เพิ่งคลอดใน Tokyo Motor Show ก็แสนจะอึดอัด
เหมือนเดิมอยู่ดี) Seat Ibiza (รุ่นนี้ผมไม่เคยขับ) และ Volkswagen Polo GTi (เครื่องเดียวกัน แต่แพงกว่า)

แต่คำถามของผมก็คือ ในงบประมาณต่ำกว่า 1,500,000 บาท คุณจะหารถยนต์ป้ายแดงในเมืองไทย รุ่นไหน
ที่จะให้สมรรถนะได้แรงสะใจพร้อมกับความปรหยัดน้ำมัน เคียงคู่กันมาได้ขนาดนี้บ้าง? คำตอบก็คือ…ไม่มี!

ดังนั้น คนที่คิดจะซื้อ Fabia RS คุณต้องมั่นใจแล้วว่า อยากได้รถคันนี้ ไว้ขับเล่นๆสนุก เป็นรถคันที่ 2 หรือ 3
4 5 6 ของบ้าน โดยจะต้องมีรถยนต์นั่ง หรือ SUV อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งคู่ ไว้แล้วอย่างน้อย 1 คันในบ้าน
และมองหารถยนต์ที่จะตอบสนองอารมณ์ตัวเอง โดยไม่ได้ติดยึดกับแบรนด์ เป็นคนที่มีวิธีคิดและการมองโลก
แตกต่าง ไม่เหมือนใคร คิดนอกกรอบเป็นเรื่องปกติ และมีการวางแผนใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด โดยที่อายุ
น่าจะอยู่ในช่วง 27 – 40 ปี เป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวอยู่แล้ว ที่สำคัญ อยากได้รถแรงๆ ป้ายแดง
ในราคาไม่แพงเกินไปนัก และรับได้กับบุคลิกบ้านๆ เรียบๆ ของมัน ที่ไม่ได้ช่วยโชว์ออฟ สถานะของคุณ มากนัก

ทีนี้ ถ้าคุณตัดสินใจแล้วละว่า จะยอมจ่ายเงินมากเท่ากับราคาของ รถยนต์ที่ผมเอ่ยชื่อไว้ข้างต้นทั้งหมด เพื่อแลกกับ
รถยุโรปแท้ๆ อย่าง Fabia การเพิ่มเงินขึ้นมาเล่น รุ่น 1.4 TSI RS เป็นเรื่องที่สมควรทำหรือไม่?

ผมอยากให้คุณลองขับ Fabia 1.2 TSI รุ่นมาตรฐาน คันละ 990,000 บาท เป็นประเดิม เพื่อให้พอจะรู้บุคลิกของ
ตัวรถในเบื้องต้น หรือไม่ ก็ลองขับ Fabia 1.2 TSI ที่ถูกปรับจูนแล้วโดย MTM จนกลายเป็น 135 แรงม้า (PS)
เพื่อถามตัวเองก่อนว่า พละกำลังเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

แต่ถ้าไม่พอ ค่อยลองขับรุ่น RS ซึ่งเมื่อลองเสร็จแล้ว ต้องถามใจคุณก่อนว่า อยากได้ความแรงมากขนาดไหน
คิดว่ารับมือไหวไหม กับสมรรถนะที่ดึงกระชากจิต กันขนาดนี้

เพราะผมเชื่อแน่ว่า เจ้ามดเขียวตัวน้อยคันนี้ น่าจะทำให้คุณถึงจุด “Orgasm” ได้ทุกวันที่ขึ้น(ขับ)ขี่!

—————————————///——————————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to:
คุณสุวิชชา ลีนุตพงษ์
คุณตี้ และทีมงาน
Skoda และ MTM Thailand
DAD Yontrakit
(www.mtm-thailand.com)

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

คุณพันธุ์สวัสดิ์ ไพฑูรย์พงษ์ (Commander CHENG)
สำหรับข้อมูลด้านเทคนิคเพิ่มเติม

คุณ ตี้ (TEE Abuser )
สำหรับ ภาพถ่าย Night Shot ที่สวยงาม ทุกภาพ

———————————————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน และ TEE Abuser
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ
Skoda Auto สาธารณรัฐเชค ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใด
หรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
29 ธันวาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of Skoda Auto
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
December 29th,2011

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ที่นี่ / Comments are Welcome! click here!