ในฐานะคนบ้ารถ ผมมีความฝันเล็กๆ อยู่หลายก้อนมาตั้งแต่เด็กครับ…เท่าที่นึกออกเป็นบางข้อก็ได้แก่…
ฝัน…อยากมีส่วนร่วมในการพัฒนารถยนต์ขึ้นมาสักรุ่น ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ
ฝัน…อยากจะมีโอกาส ทดลองขับ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล่วงหน้าก่อนการเปิดตัว สัก 6 เดือน
ฝัน…ว่า น่าจะมีใครสักคน ที่ทำรถยนต์สักโครงการ จะรับฟังเสียงเล็กๆ ของผม ไปปรับปรุงให้
รถยนต์ของพวกเขา ดีขึ้น ก่อนเปิดตัว เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ซื้อหามาใช้อย่างเป็นสุข
ฝัน…อยากเห็นรถยนต์ขนาดเล็กสักรุ่น มีคุณสมบัติหลายข้อ ที่ดีเกินหน้าเกินตารถขนาดใหญ่
ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ
แต่ผมก็ไม่ได้คิดมาก่อนละว่า ในปี 2011 นี้ ฝันของผมทั้ง 4 ข้อ จะมาบรรจบพบกันพลันเป็นความจริง
ปรากฎตรงหน้า กันดื้อๆ ง่ายๆ อย่างนี้…อาจจะไม่ครบถ้วนนัก แต่เรียกได้ว่า มันจริงยิ่งกว่าในฝันกลางวัน
เรื่องราวทั้งหมด เริ่มขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ราวๆ เดือนสิงหาคม 2011 ผมได้พูดคุยกับพี่วิชา เจ็งเจริญ ผู้บริหาร
ของ iTOA บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ Suzuki ในเครือของ บริษัท TOA Paint (ประเทศไทย) จำกัด ว่า
ในช่วงก่อนที่ Suzuki เขาจะเปิดตัว Swift รุ่นใหม่ในเมืองไทย มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าผม กับทีมของ
Headlightmag.com ได้มีโอกาส ทดลองขับ และให้ความเห็นในการปรับปรุง เพื่อให้ตัวรถในภาพรวม
สมบูรณ์ ลงตัวมากยิ่งขึ้น
ก็ได้แต่พูดไปลอยๆ เพ้อเจ้อละเมอพก ชกลมไปในอากาศนั่นละครับ ฝันไปเถอะว่า Suzuki เขาจะ
อนุญาตให้เราไปลองขับรถของพวกเขา ก่อนเปิดตัว ยิ่งบริษัทญี่ปุ่น ที่มีแนวทางการทำงานค่อนข้าง
อนุรักษ์นิยมขนาดนี้ ญี่ปุ่นจ๋า ขนาดนี้ มีหรือ จะให้ไอ้บ้าที่ไหนก้ไม่รู้ เข้าไปลองขับ และบอกเล่า
ออกความเห็นกันอย่างตรงไปตรงมา….
หลังวางสายโทรศัพท์ ผมก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท จนเวลาผ่านไป เกือบ 1 เดือนให้หลัง….
พี่วิชา โทรกลับมาบอกว่า “ทาง Suzuki เขายินดี และจะให้เราได้ไปขับ Swift ใหม่กัน ถึงโรงงาน
แห่งใหม่ล่าสุด ที่ระยอง กันได้อย่างเต็มที่เลย สะดวกวันไหน อย่างไรบ้าง?”
เสียงกรี๊ดดดด ดังลั่นบ้าน! ดีใจยิ่งกว่าได้รถเข็นฝันที่เป็นจริง จากคุณต๋อย ไตรภพ! ใครจะไปนึกละว่า
จู่ๆ Suzuki จะเปิดประตูบ้านใหม่ ต้อนรับพวกเรา ในฐานะ กลุ่มบุคคลภายนอกบริษัทของเขา เป็น
กลุ่มแรกในประเทศไทย ที่ได้มีโอกาสทดลองขับ Swift ใหม่ อย่างสบายอุรา และสาแก่ใจเป็นยิ่งนัก
แหงสิครับ รถที่เราจะได้ทดลองขับกันนั้น ไม่มีการพรางตัวใดๆทั้งสิ้น อยากจะถ่ายรูป ก็ถ่ายกันให้
เต็มที่ไปเลย อยากได้ข้อมูลอะไร ก็สอบถามได้เลยเต็มที่ เพราะทาง Suzuki เขาก็อยากได้ความเห็น
ของเราด้วยเช่นเดียวกัน
“เรา” ที่ผมหมายถึงนี้ มิได้มีแค่ ผม กับคุณกล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเราเท่านั้น หากแต่
ยังรวมถึง ตัวแทนสมาชิกจากกลุ่ม www.SuzukiSwiftClub.com รวม 4 ท่าน ทั้งคุณไม้ (ประธานคลับ
นักแต่งเพลง และอดีตสมาชิกวง Bluedock) คุณวุ้น (ผู้ที่รอดจากการขับ Swift แล้วหลับในจนเกิดอุบัติเหตุ)
คุณป้อม รวมทั้ง คุณณัฐ สมาชิกในคลับ ที่ไปๆมาๆ กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายบริการ ของโชว์รูม iTOA สาขา
ชลบุรี กันไปอย่างง่ายดาย ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้!
แม้ว่าในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เหตุการณ์น้ำท่วม จากฝีมือมนุษย์ จะเกิดขึ้นกับพื้นที่ราบลุ่ม
แม่น้ำ ภาคกลางของประเทศไทย และมีผู้คนได้รับผลกระทบจำนวนมาก แต่หลังจากที่เตรียมการกับ
ทั้งบ้าน เสบียง แหล่งพำนักฉุกเฉิน จนเรียบร้อย และทนเฝ้ารอน้องน้ำว่าจะมาถึงบ้านหรือไม่ นาน
เป็นแรมเดือน ในที่สุด น้องน้ำ ก็มาไม่ถึงละแวกย่านบางนา นั่นทำให้ผมมั่นใจว่า กำหนดการเดิม
ที่เราเคยตกลงกันไว้ จะเกิดขึ้นได้จริงๆ อย่างแน่นอน
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2011 คุณไม้ ประธาน Swift Club และ คุณ มานัดพบกันที่
จุดนัดหมาย โลตัส บางนา ราม 2 เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว เราก็เริ่มต้นออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังโชว์รูม
Suzuki iTOA ริมถนนสาย สุขุมวิท อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี (ขาเข้า กรุงเทพ ใกล้ทางเข้าอ่างศิลา
และบางแสน)
ในวันนั้น คุณไม้ มีโอกาส ขับ Swift รุ่นเดิม สภาพเดิมๆ ไม่มีการตกแต่งอะไรทั้งสิ้น ของคุณป้อม
เพื่อจะนำรถคันสีขาวนี้ ไปฝากไว้ที่โชว์รูมแห่งนั้น เป็นการชั่วคราว หนีน้ำท่วม ที่กำลังจะไปถึงบ้าน
ของพี่ภายใน 2 วันหลังจากนั้น ส่วนผม คุณไม้ ไว้วางใจ ให้ขับ Honda Civic FD สีขาว ซึ่งเป็นรถ
ของญาติคุณไม้เอง เดินทางไปด้วยกันจนถึง โชว์รูม Suzuki iTOA ที่ชลบุรี ช่วง 10.00 น. พี่วิชา
พร้อมรอต้อนรับเรากันแล้ว การที่เราเดินทางด้วยรถยนต์ 2 คันนี้ จะช่วยให้เราเห็นภาพเปรียบเทียบ
บางอย่างได้….ในภายหลัง ช่วงท้ายบทความนี้
13.00 น. หลังแวะรับประทานอาหารเที่ยง ที่ร้านข้าวมันไก่เจ๊เซี๊ยม (ก่อนถึง สวนเสือศรีราชา อันเป็น
ร้านประจำที่ผมมักหาโอกาสแวะมากิน หากต้องมาทำธุระ แถวๆศรีราชา เสมอ ตั้งแต่เด็ก) เราเดินทาง
มาถึง โรงงานประกอบรถยนต์ Suzuki แห่งแรกในไทยและแห่งใหม่ล่าสุด ที่บริเวณปลายเนินเขา
ในพื้นที่ของ นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ใกล้กับโรงงาน AutoAlliance ของ Ford / Mazda รวมทั้ง
โรงงานใหม่ของ Ford กับ โรงงานของ BMW
บรรยากาศจากหน้าทางเข้า จนถึงภายใน เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบโรงงานในญี่ปุ่นเต็มพิกัด ตั้งแต่
ทางเข้า ก็ยังเป็นเนิน แบบเดียวกับทางเข้าโรงงานผลิตรถยนต์ Sagara Plant ของ Suzuki ในญี่ปุ่น
บรรยากาศในห้องทำงานที่แออัดกัน (เพราะย้ายหนีน้ำท่วมมาจาก โรงงาน Thai Suzuki ที่รังสิตกัน
บางส่วน) ก็เหมือนกับบรรยากาศที่ผมเคยเห็นในชั้นล่างของสำนักงานใหญ่ Suzuki ใน Hamamatsu
ไม่ผิดเพี้ยน (ต่างกันแค่ ที่นี่ ใหม่กว่า เท่านั้น!)
พอเดินเข้ามาถึงพื้นที่สำนักงาน ซึ่งเปี่ยมด้วยบรรยากาศของโรงงานในสไตล์ญี่ปุ่นเต็มพิกัด
Mr. TAKAYUKI SUGIYAMA ประธานบริษัท Suzuki Motor (Thailand) ก็ออกมา
ต้อนรับพวกเรา ด้วยบรรยากาศเป็นกันเองมากๆ แล้เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุม ชายวัยกลางคน
ที่ผมเคยพบและสัมภาษณ์ เมื่อครั้งไปเยือนสำนักงานใหญ่ของ Suzuki ที่ญี่ปุ่น ก็รอเราอยู่ในห้อง เขาคือ
Mr.NAOYUKI TAKEUCHI ผู้เป็นหัวหน้าวิศวกรโครงการพัฒนา Swift ทั้งรุ่นก่อนหน้า และ
รุ่นใหม่ ในฐานะ Vehicle Line Executive 2 แผนก Automobile Engineering ตรงเข้ามา
ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เขายังจำผมได้ด้วย ว่าเราเคยเจอกันแล้วที่ Hamamatsu เมื่อ 2 ปีก่อน
บรรยากาศการพูดคุยกัน และเล่าถึงรายละเอียดเบื้องต้นของตัวรถ เป็นไปอย่างสบายๆ เหมือน
ไม่ได้มาอยู่ในบริษัทใหญ่โตแต่อย่างใด เหมือนมานั่งในห้องรับแขกที่บ้าน แม้ว่าจะเป็นห้อง
ประชุม ซึ่งก็ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศ เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นอย่างดี การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ
สไตลญี่ปุ่น อาจไม่คุ้นหูของทีม Swift Club นัก แต่ก็พอจะรับรู้เรื่องราวได้ผ่านทางภาพสไลด์
เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ที่ Takeuchi-san นำมาให้เราได้ชมกัน ตามธรรมเนียม ก่อนที่จะได้ไป
ลองขับรถคันจริง ในช่วงหลังจากนั้น อีกไม่กี่อึดใจ
Takeuchi-san เล่าว่า อย่างที่รู้กันดีว่า Swift รุ่นปัจจุบันนั้น ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในทุกประเทศ
ที่เข้าไปทำตลาด ดังนั้น โจทย์ที่ท้าทาย Takeuchi-san และทีมงานมากๆ นั่นคือ ทำอย่างไรที่จะพัฒนา
Swift รุ่นต่อไป ให้ยังคงถูกตาต้องใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตั้งแนวทางการออกแบบ
Swift ใหม่ ไว้ว่า “More Swift!” นั่นคือ ตัวรถจะต้องถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นด้าน
ความประหยัดน้ำมัน ที่จะต้องดีขึ้นกว่าเดิม ห้องโดยสารต้องสบายกว่าเดิม ขนาดตัวถังต้องใหญ่ขึ้น ตัวรถ
จะต้องมีความโฉบเฉี่ยวขึ้น สมรรถนะการเกาะถนนจะต้องดีขึ้นกว่าเดิม ในแทบจะทุกส่วน รวมถึงการเก็บ
เสียงจากภายนอก ก็ต้องดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม คงต้องขอทำความเข้าใจกันไว้ก่อนว่า ถึงแม้ Swift รุ่นเดิม ที่ขายอยู่ในเมืองไทย
เป็นรถยนต์นำเข้าจากอินโดนีเซีย เครื่องยนต์ M15A 1,500 ซีซี แต่ Swift ใหม่ ที่จะถูกผลิตขึ้น
ในโรงงานที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย เป็นครั้งแรกนี้ คือ เจเนอเรชันใหม่ Full Model Change
และวางเครื่องยนต์ใหม่ ขนาดเล็กลงมาเป็น K12B ขนาด 1,242 ซีซี
เหตุผล ที่ทำให้ Suzuki ตัดสินใจ ลดขนาดเครื่องยนต์ ของ Swift ประกอบในไทย ลงมา ก็เพื่อให้
สามารถทำราคาขายปลีก แข่งขันได้กับ คู่แข่งในพิกัดเดียวกัน ทั้ง Nissan March และ Honda Brio
ซึ่งนั่นจะทำให้ Swift ใหม่ เข้าข่ายการเสียภาษีสรรพสามิต ในอัตรา ร้อยละ 17 ถูกกว่าการติดตั้ง
เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ราคาขายหน้าโชว์รูมของ Swift ใหม่ถูกลงยิ่งกว่าเดิม
ทั้งที่ตัวรถ มีขนาดใหญ่ขึ้น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ดูดขึ้น คุณภาพการประกอบดีขึ้น
เท่ากับว่า สำหรับตลาดเมืองไทยแล้ว Suzuki เลือกที่จะยอมลดขนาดเครื่องยนต์ เพื่อเน้นยอดขาย
ที่เพิ่มมากขึ้น จากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ถูกกว่า จึงทำให้ตั้งราคาได้ถูก เทียบเท่าคู่แข่งในกลุ่ม
Sub-B-Segment ECO Car กันเลยทีเดียว ก็คล้ายวิธีการของ Nissan ที่ทำกับ March นั่นเอง
Swift ใหม่ มีขนาดตัวถังที่ไม่เพียงแต่ใหญ่กว่ารถรุ่นเดิม หากแต่ยังมีขนาดใหญ่ ยาว และกว้าง กว่า
คู่แข่งในพิกัด Sub-B Segment ทุกคันในตลาด ด้วยความยาว 3,850 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร
สูง 1,510 มิลลิเมตร จะมีก็แค่เพียง ระยะฐานล้อ 2,430 มิลลิเมตร ที่สั้นกว่า March 20 มิลลิเมตร แต่
นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ในรถคันที่ทดลองขับ กุญแจเป็นแบบ รีโมทคอนโทรล Keyless Entry เหมือนกับ Swift รุ่นปัจจุบัน
แถมการติดเครื่องยนต์ คราวนี้ เปลี่ยนมาใช้ปุ่มกด Push Start เหมือนชาวบ้านเขาเสียที ช่องทางเข้า
ประตูคู่หน้า มีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นเดิม ใหญ่ขึ้นนิดเดียว ต้องสังเกต หรือวัดด้วยตลับเมตร จึงจะ
เห็นความแตกต่าง ส่วนแผงประตูออกแบบให้มีความลาดเอียงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบายกว่าเดิมนิดหน่อย พนักพิงอาจจะคล้ายคลึงกับรุ่นเดิมอยู่บ้าง แต่เบาะรองนั่ง
มีความยาวเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย เมื่อรวมเข้ากับ วัสดุผ้าหุ้มเบาะลายใหม่ ที่ดูดี และให้ผิวสัมผัส
ที่ดี เทียบเท่ากับรถยนต์นั่งระดับ C-Segment 1,600 – 2,000 ซีซี บางรุ่นในต่างประเทศ ยิ่งทำให้
เกิดความประทับใจในห้องโดยสารของ Swift ใหม่มากขึ้น ส่วน พื้นที่เหนือศีรษะ ยังคงโปร่งโล่ง
สบายอยู่ดี ในตำแหน่งเบาะคนขับ จะสัมผัสได้เลยว่า ตัวรถมีความกว้างขึ้นจากเดิม
เบาะนั่ง ฝั่งคนขับ สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ด้วยก้านโยกที่ด้านข้างฐานรองเบาะนั่ง ซึ่งเมื่อ
ปรับให้ต่ำสุดแล้ว ก็ยังมีความสูงของคนขับ จากพื้นถนน พอๆกันกับ Swift รุ่นเดิม อาจจะขัดใจ
คนชอบเบาะนั่งเตี้ยๆ อยู่บ้าง แต่ข้อดีก็คือ การเข้า – ออก จากตัวรถ จะง่ายดาย และไม่ต้องใช้แรง
ในการงัดร่างตัวเอ ลุกออกจากรถมากนัก พนักศีรษะมีขนาดใหญ่ รองรับได้สบายกำลังดี มีเข็มขัด
นิรภัยแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับ สูง – ต่ำ ได้ ติดตั้งมาให้ ในขณะที่คู่แข่ง ปรับสูง – ต่ำ ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกๆคน กำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศบริเวณเบาะคู่หน้า และห้องโดยสาร
ในภาพรวมกันนั้น เราก็ดูจะลืมไปว่า ยังไม่ได้ลองนั่งเบาะหลังกันเลย รวมทั้งตัวผมด้วย
มีเพียง คุณกล้วย BnN ของเราเท่านั้น ที่ยืนยันมาให้เราได้รู้ว่า พื้นที่นั่งด้านหลัง ก็ยังคงมีขนาด
เล็กไปหน่อย เหมือนเดิม ประเด็นนี้ ผมเองก็คงต้องละเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีโอกาสยืมรถมา
ทดลองเองในช่วงเวลา หลังการเปิดตัวออกสู่ตลาดไปแล้ว
ช่องทางเข้าไปนั่งเบาะหลัง มีขนาด พอกันกับรุ่นเดิม นั่นน่าจะเป็นการบอกถึงอะไรบางอย่างได้ว่า
Suzuki ยังคง ออกแบบ Swift ใหม่ ให้เอาใจผู้ขัขี่ มากกว่าผู้โดยสารด้านหลัง เช่นเคย
สิ่งที่เห็นจากรูป ก็คงพอจะบอกได้ว่า พนักพิงศีรษะด้านหลัง ออกแบบใหม่ ให้ใหญ่ขึ้น เหมาะสม
กับการใช้งานมากกว่ารุ่นเดิม โครงสร้างเบาะหลังหน้าตาผิวเผินดูดเหมือนจะคล้ายรุ่นเดิม แผง
ประตูด้านข้าง มีพื้นที่วางแขน ยาวกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งพอกันกับรุ่นเดิม
เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง จะเป็นแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง ทั้งฝั่งซ้าย และขวา ส่วนตรงกลาง
ยังเป็นแบบ ELR 2 จุด คาดเอว เหมือนเดิม ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ใช่ปัญหาของ Swift แต่
ประการใด
อย่างไรก็ตาม เราก็เห็นจุดได้เปรียบของ Swift ที่เหนือกว่าคู่แข่งคันอื่นๆ ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ
ในขณะที่ เบาะหลังของ March และ Brio สามารถพับพนักพิงลงมา เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของ
ด้านหลังได้ แต่ก็ต้องพับลงมาทั้งเบาะ เป็นชิ้นเดียวกัน ทำให้สูญเสียพื้นที่โดยสารเบาะหลังไป
อย่างน่าเสียดาย
แต่ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย จะยังคงความอเนกประสงค์ จากพนักพิงเบาะหลัง แบ่งพับได้ใน
อัตราส่วน 60 : 40 มาให้ เหมือนเช่นรถรุ่นเดิม หมายความว่า ถ้าต้องการแบกข้าวของไปด้วย
และมีผู้โดยสารรวม 3 คน การบรรทุกของ ก็จะไม่มีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นใน Brio และ March
แต่อย่างใด แถมยังมีแผงรีไซเคิล กั้นสัมภาระจากสายตาของผู้คนภายนอกรถมาให้อีกด้วย
และที่สำคัญขอบล่างของช่างประตูห้องเก็บของ จะเห็นว่า ติดตั้งพลาสติกกันกระแทกเต็มพื้นที่!
ต่างจาก ทั้ง Brio และ March ที่ปล่อยให้เห็นเนื้อเหล็กสีตัวถังรถกันดื้อๆ
ชุดแผงหน้าปัด คือสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนกรี๊ดกร๊าด กันเลยทีเดียว เพราะจากภาพที่เห็นในแค็ตตาล็อก
ของเวอรชันญี่ปุ่น มันดูสวยงาม และน่าใช้เพียงใด ของจริง ในรถคันจริง ยิ่งน่าสัมผัส มากกว่า พื้นผิว
ของวัสดุที่เลือกใช้ การประกอบที่แน่นหนา สัมผัสของแต่ละปุ่ม ทำได้ดีมาก แม้แต่คันเกียร์อัตโนมัติ
ก็ยังทำออกมาได้น่าใช้มากๆ จนชวนให้คิดว่า มันดูดีเกินกว่าราคาขายของรถระดับนี้ เห็นแล้วอยากจะ
ให้ฝ่าย Product Planning ของ Toyota และ Hyundai มาดูรถคันนี้ด้วยเลยพร้อมกัน จะได้นำไปปรับ
ประยุกต์ กับรถรุ่นใหม่ๆของตน หลังจากนี้ไป
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ต ทำจาก ยูรีเทน ก็จริง แต่ในรถคันที่เราลองขับ ดูเหมือนว่าจะหุ้มหนัง
มาให้ด้วย เพราะเป็นรุ่น Top of the Line แน่นอนว่า Grip ขณะจับบังคับพวงมาลัย ทำได้ดีมาก แถมมี
สวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนพวงมาลัยมาให้อีกด้วย สัมผัสจากปุ่มกด ก็ทำได้ดีมากๆ ชวนให้นึกถึง
ซีดานขนาดกลางระดับ D-Segment อย่าง Suzuki Kisashi มากกว่าจะนึกถึงรถยนต์ B-Segment ระดับ
1,500 ซีซี คันอื่นๆ มีวัสดุสีเงิน เป็นฐานรองฝาครอบแตรมาให้ และมีถุงลมนิรภัยมาให้ทั้งฝั่งคนขับ
และผู้โดยสารตอนหน้า Dual SRS ในรุ่น Top
ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ วิทยุ AM / FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 ในตัว มีทั้งช่องเสียบสาย AUX
และช่องเสียบ USB จากโรงงาน มีลำโพงมาให้ 4 ชิ้น คุณภาพเสียงไม่ได้ตั้งใจลองฟัง แต่ภาครับวิทยุ
นอกจากจะชัดเจนแล้ว ยังมีเค้าลางว่าคุณภาพเสียงน่าจะดีอีกด้วย!
สิ่งที่ผม คุณกล้วย และทีม Swift Club เห็นตรงกัน และอยากให้มีการปรับปรุงเพิ่มเติม ก็คือ การติดตั้ง
ไฟอ่านแผนที่ บริเวณเหนือแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง (อะไหล่ชิ้นนี้ มีติดตั้งอยู่แล้วใน Swift เวอร์ชันญี่ปุ่น)
เพราะแสงไฟในบริเวณนั้น จะช่วยให้การก้มหาสิ่งของตกหล่น บริเวณพื้นที่วางขา ทำได้สะดวกกว่า
การมีไฟส่องส่างในห้องโดยสาร บริเวณกลางเพดาน เพียงจุดเดียว
รวมทั้ง ชุดมาตรวัดต่างๆ ซึ่งแม้จะใช้โทนสีขาว Amber สบายตา แต่ Font ตัวเลข ก็วางตามสมัยนิยม
คือ ให้ตัวเลข วางเรียงตัวไปตามแนวโค้ง ของมาตรวัด ซึ่งจะอ่านยากมากในเวลาขับรถทางไกล
ตอนกลางคืน หากปรับมาเป็น ตัวเลขแนวตั้งอย่างเดิม น่าจะอ่านง่าย สบายตาดีกว่า
ด้านเครื่องยนต์นั้น ถึงแม้จะเป็นไปตามความคาดหมาย นั่นคือ เป็นขุมพลัง รหัส K12B บล็อก 4 สูบ
DOHC 12 วาล์ว 1.242 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 74.2 มิลลิเมตร หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ระบบ MPI
(Multi-Point Fuel Injection) ซึ่งปรากฎตัวเป็นครั้งแรกใน Swift รุ่นปี 2007 สำหรับตลาดญี่ปุ่น แต่ถูกนำมา
ปรับปรุงใหม่ ด้วยการ ลดน้ำหนักชิ้นส่วนอะไหล่จำนวนมาก ตั้งแต่ ฝาครอบเครื่องยนต์ จากเดิมเป็นแบบ
อะลูมีเนียม คราวนี้ เปลี่ยนมาใช้พลาสติกชนิดพิเศษน้ำหนักเบาแทน (ลดน้ำหนักไปได้ 1,108 กรัม) หรือ
ชุดพัดลมหม้อน้ำ จากเดิมทำจากเหล็ก ก็เปลี่ยนมาเป็นพลาสติกแทน (ลดน้ำหนักไปได้อีก 1,522 กรัม)
แม้กระทั่ง ท่อไอเสีย ยังมีขนาดสั้นลง (ลดไปได้อีก 349 กรัม) นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักชิ้นส่วนต่างๆ
เหล่านี้ ลงแล้ว ยังมีการออกแบบชิ้นส่วนในระบบ ให้มีแรงเสียดทาน (Friction) น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกด้วย
ถ้าคุณกางแค็ตตาล็อกญี่ปุ่น แล้วเข้าใจว่า Swift น่าจะมีพละกำลังสูงสุด เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่นแล้วละก็
คุณเข้าใจผิดครับ เวอร์ชันญี่ปุ่นตัวเลขจะอยู่ที่ 91 แรงม้า (PS) แต่ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย ถูกปรับแต่ง
ให้แรงขึ้นอีกเป็น 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.0 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที เท่ากับ
เวอร์ชันญี่ปุ่น!
และที่เด็ดไปกว่านั้น คือ Swift ใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อม Sub-Planetary Gear จาก Jatco ลูกเดียวกัน
กับ Nissan March เป๊ะเลย! แน่นอนว่า อัตราทดเกียร์ ก็เท่ากันด้วย คือ 4.006 – 0.550 : 1 เพียงแต่มีอัตราทด
ต่างกันนิดเดียว ทั้ง เกียร์ถอยหลัง 3.771 : 1 ต่างจาก March (3.770 : 1) และอัตราทดเฟืองท้าย 3.757 : 1
(March 3.753 : 1)
ไหนๆก็ไหนๆ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสความแตกต่างของ Swift กับคู่แข่งในตลาดอย่างชัดเจน Suzuki
ก็เลยจัดหา Honda Brio และ Nissan March มาให้เราได้ลองขับเปรียบเทียบไปพร้อมๆกัน โดยใช้วิธี
ผลัดกันขับ บนเส้นทางจากหน้าโรงงาน Suzuki นิคมฯเหมราช เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าไปถึงสี่แยก แล้ว
เลี้ยวขวา ไปทาง อำเภอปลวกแดง มีระยะทางตรงยาวๆ ขึ้นลงเนินเขานิดหน่อย แล้วเลี้ยวกลับที่
สี่แยกลุงอุ้ย ย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม สิ้นสุดที่จุดเปลี่ยนรถ หน้าโรงงาน Suzuki นั่นเอง
สารภาพเลยครับ ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า Suzuki จะจัดให้เราได้ลองขับ Swift ใหม่ เปรียบเทียบกับ
March และ Brio แบบนี้ แถมยังใช้เส้นทางยาวๆ ไม่ใช่แค่ขับวนรอบๆโรงงานอย่างที่เข้าใจกัน
หนำซ้ำ รถที่เราทดลองขับกันครั้งนี้ จะออกสู่ถนนใหญ่ โดยไม่มีการ พรางตัว แต่อย่างใดทั้งสิ้น!!
แม่เจ้าโว้ยยย!!!
ผมเป็นคนแรกที่ลองขับ Swift ใหม่ โดยมี Takeuchi-san ในฐานะ Chief Engineer นั่งอยู่ข้างผม
และมีพี่วิชา นั่งไปร่วมด้วยช่วยแปลภาษาญี่ปุ่นให้ สลับกันทั้ง Swift ใหม่ และ March ใหม่
หลังจากนั้น ผมก็ขับ Brio ต่อ แล้วค่อยกลับมาเช็คระลึกความทรงจำถึงสัมผัสของ Swift รุ่นเก่า
โดยเป็นรถของ พี่วัลลภ Suzuki แล้วค่อยกลับมาปิดท้ายด้วย Swift ใหม่ กันอีกรอบหนึ่ง…
มีเรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆ…
ระหว่างทาง ผมก็บอกกับ Takeuchi-san บอกว่า “ปกติแล้ว ถนนสายที่เราใช้ทดลองขับกันในวันนี้
มักจะมีผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ใช้เส้นทางนี้ในการทดสอบรถยนต์รุ่นใหม่ๆของเขากันเป็นประจำ”
ทันใดนั้น…Ford Focus Sedan 2012 รุ่นใหม่ ซึ่งยังมีสติ๊กเกอร์ พรางตัวเป็นริ้วๆ เต็มคันรถสีขาว
ก้แล่นสวนทางผ่านหน้าเราไป อะไรจะช่าง Deja Vu กันขนาดนี้!!!!!
ผมเชื่อว่า คำถามที่คุณผู้อ่านอยากรู้คำตอบ มีเพียงแค่ 3 ประเด็น นั่นคือ…
1. ลดขนาดเครื่องเหลือ 1.2 ลิตร แล้ว อัตราเร่งจะไหวไหม?
2. สมรรถนะการขับขี่ในภาพรวม ดีเท่า หรือดีกว่า Swift เดิมหรือไม่?
3. ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมไหม?
เรื่องอัตราเร่ง คือประเด็นสำคัญ ที่ผมคิดว่า เราคงต้องแยกเรื่องนี้ออกเป็น 2 ประเด็น…
1.1. ถ้าเทียบกับ Swift เก่า เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรแล้ว อัตราเร่งด้อยลงไปมากไหม?
คำตอบก็คือ…ไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่คิด ถ้าคุณทำความเข้าใจตั้งแต่แรก ว่านี่คือ ECO Car
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แล้วละก็ คงพอจะนึกภาพออกว่า ตัวเลขอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ของ Swift เดิม อยู่ที่ 13.51 วินาที ผมเชื่อว่า หากจับเวลาจริงๆ ตัวเลขของ Swift 1.2 ลิตรใหม่
น่าจะอยู่ที่แถวๆ 13 ปลายๆ – 14 ต้นๆ วินาที
เพราะการได้เกียร์อัตโนมัติ CVT มาเป็นตัวช่วย ยิ่งทำให้ความแตกต่างในช่วงที่ไล่ความเร็วขึ้นไป
ตั้งแต่เริ่มต้นจากจุดหยุดนิ่ง ไปจนถึง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ถึงกับแตกต่างจาก Swift รุ่นเดิม
มากมายอย่างที่คิด เพียงแต่ คุณจะพบความต่างในช่วงความเร็ว หลังจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไป หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ต้องการเร่งแซง จาก 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะว่าในช่วงที่
จำเป็นต้องใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ เพื่อเรียกกำลังเครื่องยนต์ออกมา แน่นอนว่า Swift รุ่นเดิม
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ยังไงๆ ก็จะทำตัวเลขช่วงเร่งแซงออกมา ได้ดีกว่า นิดหน่อย ชัวร์ๆ
1.2 แล้วถ้าเปรียบเทียบกับ March และ Brio ละ?
หากเทียบกับ Brio การออกตัวจะคล้ายกัน ไล่เลี่ยกัน หากจับเวลา ก็ไม่น่าจะต่างกันมากมายนัก
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ March แล้วละก็ อัตราเร่งของ Swift 1.2 ลิตร ใหม่ สัมผัสได้ว่า ออกตัว พุ่ง
ได้ไวกว่า March ชัดเจน แต่ต้องอย่าให้เสียงเครื่องยนต์และความเบาของ March มาหลอกคุณ
ว่ามันพุ่งกว่า Swift นะ! ต้องแยกโสตประสาทให้ดีๆ เพราะแนวโน้มชัดเจนว่า Swift พุ่งกว่า March
ถ้าตัวเลขอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ Brio อยู่ที่ 14.22 วินาที และ March อยู่ที่
15.63 วินาที (เกียร์ CVT ทั้งคู่) ผมก็เชื่อว่า อัตราเร่งของ Swfit 1.2 ลิตร น่าจะออกมาดีกว่า
ทั้ง Brio และ March อยู่นิดหน่อย เพราะในช่วงไต่ขึ้นจาก 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
ใช้เวลาในการกวาดรอบเครื่องยนต์ขึ้นไป พอกันกับ Brio
ตัวเลขทั้งหมดนี้ ผมแค่ประเมินจากประสบการณ์ และข้อมูลเก่าที่เรามีบันทึกเอาไว้ ถ้าต้องการ
ตัวเลขที่ชัดเจนกว่านี้ ไว้ทำบทความแบบ Full Review ให้เรียบร้อย แล้วเราค่อยมาลองจับเวลา
กันในภายหลังดีกว่า
2. สมรรถนะการขับขี่ในภาพรวม ดีเท่า หรือดีกว่า Swift เดิมหรือไม่?
เป็นหน้าที่ของ ระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน เบรก และโครงสร้างตัวถังที่จะต้องช่วยกัน
ทำหน้าที่ในส่วนของตนให้ดี แม่นยำ รับและส่งต่อประสานงานกับชิ้นส่วนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของ Swift ใหม่นั้น คือการปรับปรุงระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต และ
ด้านหลังแบบ ทอร์ชันบีม ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิมไปอีก และคราวนี้ ผมว่า Takeuchi-san
กับลูกน้องของเขา ทำสำเร็จ
เพราะช่วงล่างของ Swift ใหม่ แน่น และหนึบขึ้น อีกทั้งยังดูดซับแรงสะเทือนได้ดียิ่งขึ้น แถมยัง
ดีกว่ารถยนต์นั่งระดับ C-Segment อย่าง Honda Civic FD กับ Toyota Corolla ALTIS ด้วยซ้ำ!
ไม่ใช่แค่เพียงการเข้าโค้งยาวๆ ในช่วงความเร็วสูงระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่นิ่งราวกับว่าผมกำลัง
ขับรถเล็กๆจาก ยุโรป ซึ่งให้สัมผัสได้ว่า ตัวรถ เกาะถนนดีมากๆ และให้ความคล่องตัว ขณะมุด
ใช้การได้ (ถ้าได้เครื่อง 1.5 ลิตร คงสนุกยิ่งกว่านี้)
แต่ถ้าผมจะบอกว่า การซับแรงสะเทือน จากพื้นผิวขรุขระ บนถนนลาดยางมะตอย นอกจาก Swift ใหม่
จะทำได้ดีเกินหน้าเกินตา คู่แข่งในพิกัด ECO-Car ด้วยกันทั้งหมดแล้ว ยังซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า
รถยนต์นั่งพิกัด B-Segment 1.5 ลิตร ทุกคันในตลาด แถมกินขาดเลยเถิดไปไกลถึง รถยนต์นั่ง Sedan
ระดับ C-Segment 1.6 – 2.0 ลิตร บางรุ่น อย่าง Honda Civic FD , Toyota Corolla Altis และใกล้เคียง
กันมากๆกับ ช่วงล่างของ Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตรใหม่ อีกด้วย!!!!! คุณจะเชื่อไหม?
อีกทั้งการทรงตัวในย่านความเร็วสูง ช่วง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากไม่มีลมมาปะทะด้านข้าง Swift ใหม่
ก็ยัง นิ่งมากๆ นิ่งอย่างที่จะทำให้คุณไม่เหนื่อยล้าจากการขับขี่เดินทางไกล อย่างที่ March ทำ เท่ากับว่า
Swift ใหม่ มีการทรงตัวที่ดีขึ้นกว่าเดิม ในย่านความเร็วสูงชัดเจน
ไม่ได้โอเวอร์ นี่คือเรื่องจริง! เพราะเมื่อเสร็จจากการทดลองขับ Swift วันนั้น รถที่ผมขับกลับเข้าบ้าน
ที่สมุทรปราการ คือ Honda Civic FD 1.8 ลิตร ดังนั้น เท่ากับว่า พอลงจาก Swift ใหม่แล้ว ผมก็มีโอกาส
ขับ Civic FD 1.8 มาเทียบสัมผัสกันต่อเนื่องกันเลยทีเดียว!
ถ้าชาว Civic FD FanClub ท่านใดจะไม่เชื่อผม ก็ไม่ว่ากันครับ แต่ไปลองขับ Swift ใหม่ดูก่อน และขอ
เน้นย้ำให้ดูในประเด็นเรื่อง การดูดซับแรงสะเทือนของช่วงล่างจากพื้นถนนให้ดีๆ แล้วคุณจะประจักษ์
ด้วยสายตา ร่างกาย สองมือ และสองเท้าของคุณเองว่่า ช่วงล่าง Swift ใหม่ ดีกว่า Civic FD แบบบ้านๆ
ที่ออกจากโชว์รูมมาใหม่ๆ ไม่ได้ตกแต่งช้อกอัพหรือสปริงใดๆทั้งสิ้น จริงๆ!!
พวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS มีระยะฟรีลดลงจากรุ่นเดิมนิดเดียว แม้จะให้
ความมั่นใจ ในช่วงความเร็วสูง และมีน้ำหนักเบา เอาใจคุณสุภาพสตรีในช่วงความเร็วต่ำ ในเมืองมากขึ้น
แต่ก็ยังคงมีอาการแบบที่พบได้จากรถรุ่นเดิม คือ พอจะพบการดิ้นเล็กๆ ไปตามสภาพพื้นผิวถนนที่เป็น
คลื่นลอนในช่วงสั้นๆ อยู่บ้าง สิ่งที่ผมอยากเห็นเพิ่มเติมในเวอร์ชันจำหน่ายจริง คือการปรับพวงมาลัยให้
หนืดเพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะถ้าจะให้เปลี่ยนมอเตอร์ของระบบ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่านี้ ก็เกรงว่าไม่ทัน
เสียแล้ว อีกทั้ง การเพิ่มขนาดมอเตอร์ ก็อาจต้องเพิ่มไฟไปเลี้ยงระบบและอาจส่งผลทางอ้อมต่ออัตราการ
กินน้ำมัน ที่จะเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง (ไม่เยอะในระดับที่ผู้ใช้รถรู้สึกหรอก แต่เยอะพอให้วิศวกรมองหน้ากัน
เลิ่กลักได้)
รถคันที่เราลองขับกันนั้น ติดตั้งระบบเบรกแบบมาตรฐาน หน้าดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก มีระบบป้องกัน
ล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking System) พร้อมกับระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake
Force Distributor) และระบบเพิ่มแรงเบรก BA (Brake Assist) มาให้อีกด้วย การตอบสนองของแป้นเบรก
ทำได้ดีขึ้น Linear กว่าเดิม การหน่วงความเร็วจากช่วงความเร็วสูง มั่นใจขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน และ
การจะชะลอรถให้หยุดสนิทที่สี่แยกไฟแดงลงนิ่มๆนั้น พอจะทำได้อยู่ ไม่ยากเย็นนัก
ข้อสุดท้าย เรื่องความประหยัดน้ำมัน ณ ตอนนี้คงจะตอบได้ยาก เพราะการทดลองขับครั้งนี้ เป็นเพียง
การทดลองขับในแบบ First Impression แถมอยู่ในเส้นทางที่ไม่เหมาะต่อการทดลองหาอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงอย่างยิ่ง ถนนสวนกัน 2 เลน รถเทรลเลอร์ วิ่งสวนกันเป็นระยะๆ มีช่วงพอให้ทำความเร็วได้
เยอะอยู่ แต่ก็ไม่เหมาะกับการล็อกความเร็วนิ่งๆ ดังนั้น ข้อนี้คงต้องขอข้ามไปก่อน รออ่านใน FULL REVIEW
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ECO Car 1.2 ลิตร ตัวถัง Hatchback ที่ดีที่สุดในตลาดเมืองไทย!
เมื่อเย็นค่ำย่ำสนธยาเริ่มมาเยือน เหล่าสกุณาเริ่มบินถลาร่อนออกจากโรงงานน้อยใหญ่ กลายเป็นฝูงรถติด
มหาประลัย เต็มพื้นที่เส้นทางช่วงขากลับไปเข้าสู่ตัวเมืองชลบุรี ผมกับกล้วย นั่งอยู่ใน Grand Vitara ที่มี
พี่วิชา เป็นสารถี ด้วยความอิ่มเอมแสนเปรมปรีด์ กับเรื่องราวในวันนี้ วันที่ฝัน…เป็นจริง
การได้รับเกียรติจาก ผู้บริหารสงสุด คุณ Sugiyama-san ประธานใหญ่ของ Suzuki Automobile (Thailand)
และคุณ Takeuchi-San Chief Enginer โครงการพัฒนา Swift ทั้งรุ่นที่แล้ว และรุ่นล่าสุด ให้มาทดลองขับ
Swift ใหม่ แบบไร้ผ้าคลุมพรางตัวทั้งสิ้น กันถึงถิ่นโรงงานในจังหวัดระยอง พร้อมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นมากมายก่ายกอง และเป็นกันเองที่สุด ก่อนการเปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริง ถึง 5 เดือน แบบนี้
เป็นบรรยากาศที่ หาไม่ได้ง่ายๆ และผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า Suzuki จะกล้าเปิดเผย และเปิดโอกาส
กับเรา “มากขนาดนี้ มากเกินกว่าที่ผมเคยได้รับโอกาส จากบริษัทรถยนต์แห่งใดๆ”
ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเขามั่นใจในศักยภาพของตัวรถ ก็คงจะไม่ผิดเกินจะกล่าว เพราะ Swift ใหม่
ก็เป็นรถยนต์ที่ผมเคยมองเอาไว้แล้วว่า รถรุ่นนี้แหละ ที่จะกลายเป็น ตัวเลือก ม้ามืด ที่ดีที่สุดในตลาดกลุ่ม
ECO Car ของบ้านเรา
ไม่ใช่เพราะว่า Suzuki มาเอาอกเอาใจเราถึงขนาดนี้แต่อย่างใด ทุกท่านก็คงทราบดีว่า Headlightmag.com
ของเรานั้น ปากจัดกันขนาดไหน ดีเป็นชม ด้อยเป็นติ จิก แทะ ขบ กัด กันแบบเต็มๆ ไม่มีหมกเม็ด และ
ไม่มียั้ง ทว่า กรณีนี้ ผมคงไม่ต้องพูดอะไรต่อมากเกินไปกว่าประโยคเดิมๆ ที่่ว่า “รถยนต์ที่ดี จะขายได้
ด้วยตัวของมันเอง”
ณ วันนี้ ผมเชื่อไปเกินกว่าครึ่งแล้วว่า มันจะเป็นจริงตามที่ผมเคยพุดไว้ เพราะ Swift ใหม่ ยกระดับ
ตัวเองไปในทิศทางที่ควรเป็น ตามความคาดหมายไม่มีผิด ทั้งเรื่องการขับขี่ การเกาะถนน การทรงตัว
แม้จะต้องบอกกันตามตรงว่า เสียดายกับการไม่วางเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี มาให้ จนอาจเสียฐานลูกค้า
จากกลุ่มที่คิดจะซื้อรถยนต์ระดับ B-Segment 1,500 ซีซี ไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ Suzuki เลือกจะที่พา Swift มาหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งอยากได้รถยนต์ ECO-Car ที่ประหยัดน้ำมัน
แต่ต้องมีอัตราเร่งพอตัว การขับขี่ต้องดี คุณภาพการประกอบและวัสดุ รวมทั้งความปลอดภัย ต้อง
เหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมดในตลาดเดียวกัน ที่สำคัญ ค่าตัวต้องไม่แพง และ ต้องสวย!
Swift ใหม่ นอกจากจะตอบโจทย์ทั้งหมดได้ดีแล้ว รถรุ่นนี้ ยังมีสมรรถนะการขับขี่ที่ทำให้คู่แข่ง
ในตลาดที่มีอยู่ตอนนี้ รวมทั้งรายที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ถึงขั้นร้อนๆหนาวๆ
เพราะคราวนี้ Suzuki จัดเต็มอัตราศึก ยิ่งกว่าครั้งใดที่เคยเกิดขึ้นกับค่ายนี้ในเมืองไทย เป็นครั้ง
แรกๆ ที่พวกเขา จะมีรถยนต์ซึ่งสามารถ ต่อกรกับคู่แข่งได้อย่างสมศักดิ์ศรี แถมได้เปรียบกว่า
ชาวบ้านเขาในทุกด้าน อีกต่างหาก! อีกทั้งยังเลยเถิดไปทาบรัศมีกับรถยนต์ C-Segment
1,600 – 2,000 ซีซี บางรุ่น ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในเรื่องการตอบสนองของช่วงล่าง
การนำ Swift มาลดขนาดเครื่องยนต์ แล้วเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน คือกลยุทธ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า
Suzuki กำลังเดินมาถูกทาง สำหรับการปูทางเพื่อแจ้งเกิดในเมืองไทยอย่างใหญ่โตกว่าที่เป็นอยู่นี้
ยิ่งตั้งราคาไว้เริ่มต้นในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ GA เพียง 4xx,x00 บาท รุ่น GL ราคา 4xx,x00 บาท และ
รุ่น GLS อันเป็นรุ่น Top 5xx,x00 บาท พอๆกับ March รุ่น VL ตัว Top เช่นกัน เรียกได้ว่างานนี้
ดับเครื่องชนกันเลยทีเดียว ถึงจะเสียดายที่รุ่นเกียร์ธรรมดา ซึ่งจะมีราคาเริ่มต้นถูกกว่านี้ จะยังไม่พร้อม
ผลิตออกสู่ตลาด จนกว่าจะอีก 6 เดือนนับจากนี้ จนทำให้พลาดลูกค้าต่างจังหวัดไปจำนวนไม่น้อยก็ตาม
เพียงแต่ว่า อาจต้องอาศัยระยะเวลา ในการสร้างสมชื่อเสียงกันหลายปีสักหน่อย เพราะจากนี้ ผมขอ
ทำนายได้เลยว่า ยอดขายที่จะเกิดขึ้นในกลุ่ม ECO Car นั้น Nissan จะมียอดขายสะสมเยอะสุด เป็น
อันดับ 1 ตามด้วย Suzuki และ Mitsubishi แย่งกันเป็นอันดับ 2 และ 3 โดยมี Honda รั้งท้าย นี่คือสิ่งที่
เราจะได้เห็นกันในช่วงปี 2012 – 2014 จนกว่าที่ทุกค่าย จะพร้อมส่ง ECO Car ตัวถัง Sedan 4 ประตู
ออกสู่ตลาด เพื่อประกบ Nissan Almera กันจนครบถ้วน เมื่อถึงตอนนั้น ตำแหน่งการตลาดก็อาจจะ
เปลี่ยนไปจากนี้อีกพอสมควร
Suzuki ควรต้องเตรียมรับมือกับงานบริการหลังการขาย ที่น่าจะเริ่มมากขึ้นนับจากปี 2012 เป็นต้นไป
ราคาอะไหล่ควรจะถูกกว่านี้อีกสักหน่อย การดูแลลูกค้า ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาดูรถในโชว์รูม
จนถึงวันที่นำรถมาเข้ารับบริการซ่อมบำรุง ก็ควรจะน่าประทับใจ เทียบเท่าเทียมเคียงกัน ได้ดียิ่งขึ้น
กว่านี้ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ขอเพียงเท่านี้ Suzuki จะเติบโตในตลาดรถยนต์เมืองไทย
ไปได้อย่างยั่งยืน
เพียงแต่ว่า ตอนนี้ ผมเองก็ยังเหลือการบ้านอีก 2 ข้อ ที่จะต้องตอบกับคุณผู้อ่าน นั่นคือ ตัวเลขอัตราเร่ง
จะเป็นไปตามที่ผมทำนายไว้หรือไม่? และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเป็นอย่างไร กินน้ำมันมากน้อย
แค่ไหน?
อีกไม่นานนัก เราคงจะได้พิสูจน์กัน จากบทความแบบ Full Review ซึ่งก็คงจะตามมาหลังจากนี้…
ไม่นานนัก!!
———————————–///—————————————
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
Mr. Takayuki Sugiyama
President of Suzuki Automobile (Thailand) Co.,ltd
Mr.Naoyuki Takeuchi
Chief Enginner, Vehicle Line Executive 2 , Automobile Engineering Division
Suzuki Motor Corporation
และ คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม
ผ้อำนวยการฝ่ายการขาย การตลาดและประชาสัมพันธ์
Suzuki Automobile (Thailand) Co.,ltd
สำหรับการต้อนรับ และการประสานงาน อย่างดียิ่ง และเป็นกันเองยิ่งในครั้งนี้
รวมทั้ง…
คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (คุณเอ)
ประธานกรรมการบริหาร
บริษัท TOA Paint (Thailand) จำกัด
คุณวิชา เจ็งเจริญ
ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริการลูกค้า
บริษัท iTOA จำกัด ในเครือของ บริษัท TOA Paint (Thailand) จำกัด
สำหรับการประสานงานอย่างยอดเยี่ยม จนทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ
และขาดไม่ได้
คุณ นวกรณ์ พูลพร (คุณไม้) : ประธานคลับฯ
คุณ นัทที อุษาโยค (คุณณัฐ) : ที่ปรึกษาคลับฯ
คุณ สุพจน์ จันทร์ศิริยานนท์ (คุณป้อม) : ที่ปรึกษาคลับฯ
คุณ วสันต์ คงดี (คุณวุ้น) : ฝ่ายช่างเทคนิค
จาก ชมรมผู้ใช้รถยนต์ Suzuki Swift ในประเทศไทย
Swift Club Thailand
www.SuzukiSwiftClub.com
สำหรับมิตรภาพดีๆ และความร่วมมือ ความช่วยเหลือ ที่มีให้กับ
เว็บไซต์ Headlightmag.com ของเราทั้งตลอดมา และตลอดไป
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
26 กุมภาพันธ์ 2012
Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 26th,2011
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!