ทศวรรษที่ 1970 เป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลง และความท้าทายรอบด้าน มันคือช่วงทศวรรษอันเป็นรอยต่อสำคัญที่เชื่อมโยงอดีต เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ห้วงเวลานั้น วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ถูกกระแสต่างๆมากมาย โหมกระหน่ำ กันมิหวาดไหว

ไม่ว่าจะเป็น ความเข้มงวดด้านมาตรฐานไอเสียของรถยนต์ จาก มลรัฐ California สหรัฐอเมริกา จนก่อกำเนิดเป็นกฎหมายที่เรียกว่า Musky Act ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ เพราะตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตัดสินใจกำหนดมาตรฐานมลพิษใหม่ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริษัทรถยนต์ในตอนนั้นเลย กว่าที่ผู้ผลิตแต่ละราย จะปรับปรุงรถยนต์ของตนจนปล่อยมลพิษลดลงได้ ก็ต้องรอหลังจากปี 1971 เป็นต้นมา นำโดย Honda ผู้ฝ่าวิกฤติ ด้วยเครื่องยนต์ CVCC เริ่มวางใน Honda Civic ตั้งแต่ปี 1972 รวมทั้ง เทคโนโลยี Lambda Sond หรือ หม้อฟอกไอเสียของ VOLVO ในปี 1976

พอล่วงเข้าปี 1973 วิกฤติการณ์ ราคาน้ำมันพุ่งสูงพรวดพราดจนเกิดการขาดแคลนน้ำมันไปทั่วโลก ผู้คนต่อคิวเข้าแถวรอเติมน้ำมันกันตามสถานีบริการ ยาวเฟื้อยหลายกิโลเมตร เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ให้หลายบริษัทรถยนต์ เริ่มออกอาการร่อแร่ เช่น CITROEN ซึ่งจับมือกับ Maserati ทำรถยนต์ รุ่น SM ออกมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเข้าสู่ภาวะล้มละลาย จนต้องให้ทาง PEUGEOT และบริษัทยาง MICHELIN เข้ามาช่วยอุ้มกิจการ กลายเป็นจุดกำเนิดของกลุ่ม PSA (ก่อนที่จะถูกรวมกับกลุ่ม Stellantis ในปัจจุบัน)

ผลพวงจากวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันครั้งนั้น ทำให้ ความต้องการรถยนต์ราคาถูก ประหยัดเชื้อเพลิง จากญี่ปุ่น พุ่งสูงขึ้น ทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป กลายเป็นว่า บริษัทญี่ปุ่นทั้งหลาย ต่างเริ่มส่งออกรถยนต์ไปยังต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น จนเริ่มได้รับความนิยม ในหมู่ผู้บริโภค นอกประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น ไฟสปอตไลต์จากทุกประเทศ เริ่มหันไปส่องสว่างให้แก่ วงการยานยนต์ของญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มถูกจับตามอง มากขึ้น

ช่วงเวลานั้น แม้ว่าชาวญี่ปุ่น เพิ่งเริ่มทำรถยนต์ ท้ายตัดแบบ Hatchback ออกขาย แต่พวกเขาก็เริ่มศึกษารูปแบบรถยนต์ที่น่าสนใจมากพอที่จะนำมาพัฒนาต่อยอด ภายใต้แบรนด์ของตนเอง นอกเหนือจากนี้ การประสบความสำเร็จมากขึ้น ของชาวญี่ปุ่น ในวงการ MotorSport ระดับโลก ก็เริ่มนำมาซึ่งการทดลองทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นรถยนต์สำหรับวันข้างหน้า

สำหรับผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ อันดับ 1 ของญี่ปุ่น (ในสมัยนั้น) อย่าง Nissan แล้ว ทศวรรษ 1970 คือช่วงเวลาแห่งการเติบโตและมองไปข้างหน้าอย่างแท้จริง หลังจากตกลงจะควบรวมกิจการกับ Prince Motor เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 1965 จนกระทั่งกระบวนการทั้งหมด เส้ร็จสิ้นลง ในวันที่ 1 สิงหาคม 1966 ทำให้ Nissan ได้รถยนต์ของ Prince Motor ทั้ง Skyline Gloria และ รถตู้รุ่น Homy เข้ามาอยู่ร่วมชายคา ทำตลาดด้วยกัน รวมทั้ง ความสำเร็จจากการที่ Yutaka Katayama อดีตผู้บริหารสูงสุดของ Nissan Motor USA. พยายามอย่างหนักจนทำให้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ยอมพลิกโฉม รถสปอร์ตเปิดประทุน Fairlady รุ่นเดิม กลายมาเป็น Fiarlady Z / 240Z ออกสู่ตลาดสหรัฐฯ เมื่อ 22 ตุลาคม 1969 ตามด้วยตลาดญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม 1969

ทั้ง 2 เหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ยิ่งทำให้ Nissan กลายเป็นยักษ์ติดปีก ด้วยยอดขายติดลมบน ปี 1969 พวกเขาขายรถยนต์ในตลาดสหรัฐฯ ได้ 88,398 คัน แต่หลังการเปิดตัวของ 240Z ยอดขายรวมในปี 1970 พุ่งขึ้นไป 1 เท่าตัว เป็น 150,859 คัน ยิ่งพอเป็นปี 1971 ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเป็น 250,569 คัน จนยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

เหตุผลที่ทำให้ 240Z ประสบความสำเร็จ นั่นเพราะ ราคาขายที่ถูกกว่ารถสปอร์ตจากยุโรป แต่มีเส้นสายที่สวยโฉบเฉี่ยว เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แถมยังมีสมรรถนะที่ดี คุ้มราคา เกินความคาดหมายของสื่อมวลชนชาวอเมริกันเป็นอันมากๆ และทำให้  240Z กลายเป็นรถสปอร์ตที่ช่วยบุกเบิกให้ชาวอเมริกัน ให้การยอมรับ Nissan มาจนถึงปัจจุบัน

ความสำเร็จของ 240Z กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Nissan เริ่มแนวคิดพัฒนารถสปอร์ต ขนาดเล็ก ราคาประหยัด ในต้นทุนที่ถูกลง เพื่อหวังให้ราคาขายปลีกถูกลงยิ่งกว่าเดิม

หากมองในตลาดโลกแล้ว ช่วงเวลานั้น ความนิยมในรถสปอร์ตขนาดเล็ก ราคาประหยัด เริ่มก่อตัวขึ้น ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเริ่มผลิบานขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง ทศวรรษ 1960 – 1970

เดือน พฤษจิกายน 1972 โลกก็ได้รู้จัก รถสปอร์ตขนาดกระทัดรัด เครื่องยนต์วางกลางลำตัว ขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นโด่งดังจากผู้ผลิตชาวอิตาเลียน นั่นคือ Fiat X1/9 ซึ่งถูกเปิดตัวออกมา ในฐานะตัวตายตัวแทนของ Fiat 850 Spider ด้วยไฟหน้า Pop-up และงานออกแบบ จากฝีมือของ Marcello Gandini แห่งสำนักออกแบบ Bertone ที่ล้ำยุคกว่ารถยนต์ร่วมสมัยเดียวกัน รวมทั้งขุมพลังขนาดกระทัดรัด เบนซิน 4 สูบ SOHC 1,290 ซีซี 75 แรงม้า (PS) พร้อมทั้งงานวิศวกรรมช่วงล่าง จาก Fiat 128 Rally ทำให้ Fiat X1/9 ประสบความสำเร็จในตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างน่าพอใจ

ความสำเร็จของทั้ง  240Z และ Fiat X1/9 เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วิศวกรของ Nissan เริ่มลงมือพัฒนารถยนต์ต้นแบบ ขนาดเล็ก โดยใช้พื้นฐานงานวิศวกรรม จากรถยนต์ Nissan Cherry F10 ซึ่งออกสู่ตลาด ในปี 1974 มาพัฒนาต่อยอด ภายใต้ชื่อโครงการ AD-1

Nissan AD-1 เป็นรถสปอร์ต เครื่องยนต์วางกลางลำตัว ขนาดเล็ก 2 ที่นั่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง และโครงสร้างวิศวกรรม ของ Nissan Cherry รหัสรุ่น F10 โดยมีขนาดตัวถังยาว 3,870 มิลลิเมตร กว้าง 1,630 มิลลิเมตร สูงเพียง 1,190 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวแค่ 2,340 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นใต้ท้องรถ จนถึงพื้นถนน (Ground Clearance ) 150 มิลิเมตร น้ำหนักตัวรถทั้งคัน เบาแค่ 740 กิโลกรัม เท่านั้น

โครงสร้างตัวถังเป็นแบบ Monocoque รูปลักษณ์ภายนอก โดดเด่นและแปลกตา ด้วยชุดไฟหน้าแบบเบ้าลึก จานฉายและหลอดไฟแนวตั้ง พร้อมกรอบเลนส์ใส และไฟเลี้ยวในตัว เปลือกกันชนหน้า-หลัง มี Damper รับแรงปะทะซ่อนอยู่ด้านใน หลังคาด้านบนเป็นแบบ Detachable ถอดเก็บออกได้ด้วยกลไกธรรมดา คล้ายกับรูปแบบของรถยนต์ Targa ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ต่ำมากเพียง Cd 0.26 ซึ่งถือว่า เป็นตัวเลขที่ดีมาก แม้จะเทียบกับรถยนต์ในนยุคปัจจุบัน อย่าง Tesla Model S ซึ่งอยู่ที่ Cd 0.24 ก็ตาม

ภายในห้องโดยสาร ออกแบบ ล้ำยุคสมัย เบาะนั่งแบบ Sport กึ่ง Bucket Seat แบบ Multi Adjust Seat หุ้มด้วยผ้าสักกะหลาด รูปทรงของเบาะนั่งใน AD-1 กลายมาเป็นรูปแบบของเบาะนั่งรถยนต์ เวอร์ชัน Sport หลายๆรุ่น ในช่วงทศวรรษ 1980 พวงมาลัยเป็นแบบ 2 ก้าน แป้นแตรขนาดใหญ่ เหมือนจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวงมาลัยของ Nissan Sunny FF B11 (1981) ช่องแอร์ เป็นแบบวงกลม ลักษณะการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ชวนให้นึกถึงรถสปอร์ตในยุค 1990 หรือล้ำกว่ายุคสมัยในตอนนั้น ถึง 15 ปี

ขุมพลังของ AD-1 เป็นเครื่องยนต์ รหัส A14 เบนซิน 4 สูบ OHV 1,397 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว ท่อคู่ดูดลงล่าง แต่ไม่มีการระบุตัวเลขสมรรถนะที่แน่ชัด หากจะใช้ตัวเลขอ้างอิงจาก Cherry F10 กำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 80 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร (11.5 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พวงมาลัยเป็นแบบ Rack & Pinion รัศมีวงเลี้ยว 4.8 เมตร ระบบกันสะเทือนด้านหน้า และด้านหลัง เป็นแบบ Strut ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก ทั้ง  4 ล้อ สวมด้วยยางขนาด 165/70 HR13 ติดตั้ง ถังน้ำมันขนาด 60 ลิตร ไว้ด้านหลังเบาะคนขับ คั่นกลางกับห้องเครื่องยนต์

Nissan ส่งรถยนต์ต้นแบบ AD-1 คันนี้ อวดโฉมสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show ครั้งที่ 21 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 31 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน 1975 ณ ศูนย์แสดงสินค้า Harumi Fair Ground และได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่น รวมทั้งผู้เข้าชมงาน เป็นจำนวนมาก หลายคนคาดหวังว่า Nissan จะนำ AD-1 เข้าสู่สายการผลิตจริงในอีกไม่นานหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลกลใด ไม่แน่ชัด Nissan ตัดสินใจ ไม่สานต่อโครงการพัฒนา AD-1 ให้สำเร็จ ออกมาเป็นรถยนต์เวอร์ชันจำหน่ายจริง ทำให้ AD-1 กลายสภาพเป็นเพียงรถยนต์ต้นแบบในความทรงจำอันเลือนลางของผู้คนทั่วไปอย่างน่าเสียดาย

กลายเป็นว่า คู่รักคู่แค้น อย่าง Toyota ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากได้เห็น Nissan AD-1 ปรากฎโฉม  Toyota จึงเริ่มมีแนวคิดที่จะพัฒนารถสปอร์ตขนาดเล็ก เน้นประหยัดน้ำมัน ในปี 1976 กว่าจะเริ่มต้นทำรถต้นแบบคันแรก ก็ปาเข้าไปถึงปี 1979 โดยรถยนต์ต้นแบบคันแรก Toyota SA-X เสร็จสิ้นออกมาเบื้องต้น ในปี 1981 ตามด้วยเวอร์ชันใกล้เคียงจำหน่ายจริง อย่าง Toyota SV-3 จัดแสดงบนแท้นหมุนในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1983 และออกสู่ตลาดจริง ด้วยชื่อ Toyota MR-2 ในเดือนมิถุนายน 1984 จนได้ชื่อว่า รถสปอร์ตขนาดเล็ก เครื่องยนต์วางกลางลำตัว คันแรกของญี่ปุ่น ที่มีการผลิตออกขายจริง

หากว่าไปแล้ว หลังจากการปรากฎโฉม และลงจากเวทีของ AD-1 ในปี 1975 Nissan เอง ก็ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ถึงจะเริ่มเดินหน้าทำรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัวอีกครั้ง พวกเขาเลือกจะยกระดับจากการพัฒนา รถสปอร์ตขนาดเล็กที่ทุกคนพอจะเข้าถึงได้ ให้กลายเป็น Super Car ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่หวังต่อกรกับ Ferrari 308 GTS ในขณะนั้น

Nissan ส่งรถยนต์ต้นแบบ ขุมพลังวางกลางลำตัว ในชื่อ Nissan MID-4 ขึ้นไปจัดแสดงในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 1985 ตามด้วยงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1985 รวมทั้งงาน Bangkok Motor Show ในเดือนเมษายน 1987 ก่อนที่ จะเดินหน้าพัฒนา Nissan MID-4 II ออกมาอวดโฉมต่อเนื่องในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1987

ทว่า ด้วยต้นทุนในการพัฒนาที่สูงลิ่ว จนอาจจะไม่คุ้มค่าต่อการนำออกมาสู่สายการผลิตจริง กอปรกับ ในช่วงปี 1988-1990 Nissan มีคิวเปิดตัวรถยนต์กลุ่ม High Performance และ รถ Sports & Specialty Car มากถึง 4 รุ่น เริ่มจาก Silvia S13 กับ 180SX / 200SX / 240 SX (KPS13) ในเดือนพฤษภาคม และกันยายน 1988 ตามด้วย Nissan Skyline GT-R (R32) และ Nissan Fairlady Z / 300ZX (Z32) ในปี 1989 ซึ่งใช้เงินลงทุนไปมหาศาล และมีโอกาสทำรายได้สูงกว่า ทำให้ แผนการพัฒนารถสปอร์ต ระดับ Super Car เครื่องยนต์วางกลางลำตัว อย่าง MID-4 ซึ่งอยู่ในช่วงสุดท้ายที่ MID-4 III เริ่มเป็นรถต้นแบบ Prototype ออกวิ่งทดสอบจริงได้แล้ว ต้องถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย และกลายเป็นว่า Honda NSX ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 1990 กลายเป็น รถ Sports ระดับ Super Car เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง คันแรกของญี่ปุ่น แทนที่ MID-4 ไปในท้ายที่สุด

———————-///———————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย จากต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของ
บริษัท Nissan Motor Corporation จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
23 กุมภาพันธ์ 2025

Copyright (c) 2025 Text
Pictures from Nissan Motor Corporation

Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 23rd,2025

——————————————————-