หลายคนน่าจะทราบข่าวแล้วว่า Donald Trump ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่เขาใช้หาเสียงก่อนหน้าคือการประกาศว่า มีแนวคิดขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากเม็กซิโกในอัตรา 200% หรือสูงกว่านั้น เพื่อเป็นการบีบให้บริษัทรถยนต์ กลับมาผลิตรถยนต์ภายในประเทศมากเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม แม้จะไวเกินกว่าการพิสูจน์ว่า Trump จะทำตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ แต่ Toyota ได้ท้าทายอำนาจรัฐด้วยการเดินหน้าประกาศลงทุนเพิ่มเติมในโรงงานผลิตรถยนต์ ซึ่งตั้งอยู่ในเม็กซิโกตามแผนเดิม
การประกาศลงทุนของ Toyota ในเม็กซิโกมีขึ้นไม่กี่วัน หลังประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 1,450 ล้าน USD (ราว 50,000 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาโรงงานสองแห่งซึ่งตั้งมีอยู่แล้วให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยแห่งแรกเป็น Baja California ซึ่งดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2004 ส่วนอีกแห่งตั้งอยู่ที่ Guanajuato เริ่มปฏิบัติงานมาตั้งแต่ปี 2019 สำหรับสิ่งที่ปรับปรุงใหม่ มีทั้งใช้เทคโนโลยีที่มีความยั่งยืนขึ้น, ลดการปล่อยมลพิษ CO2 และปรับอัตราการใช้ทรัพยากร
การลงทุนในครั้งนี้จะทำให้เกิดอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นป็นจำนวน 1,600 ตำแหน่ง ในเม็กซิโก ส่วนรถยนต์ Toyota ที่ผลิตจากประเทศดังกล่าวมีทั้ง Tacoma และ Tacoma Hybrid ไม่ใช่แค่เพื่อการจำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งออกมายังแคนาดาและสหรัฐฯ อีกด้วย Toyota ยังระบุว่าความแน่นอนและเสถียรภาพเป็นสิ่งสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ นำไปสู่แรงขับเคลื่อนที่จะสร้างงานที่ดีกว่า พร้อมกับดึงศักยภาพของแรงงานออกมา เพื่อขุมพลังพ่วงระบบไฟฟ้าและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ
สำหรับสถานการณ์การผลิตของ Toyota ในเม็กซิโกของปีที่ผ่านมา มีตัวเลขทั้งปีราว 320,000 คัน เป้าหมายหลักคือส่งออกมายังสหรัฐฯ ส่วนยอดขายภายในประเทศอยู่ที่ระดับ 104,000 คัน ทั้งนี้ ตัวเลขยอดผลิตของ Toyota ยังเป็นรองจากค่ายอื่นที่ตั้งโรงงานในเม็กซิโกเช่นกัน โดยเทียบกับยอดปี 2023 อย่าง General Motors มียอดผลิตราว 723,000 คัน, Nissan มียอด 612,000 คัน, Stellantis ราว 468,000 คัน และ Ford ประมาณ 366,000 คัน