Toyota Motor (Thailand) เ้พิ่งจะเปิดตัว Toyota Camry โฉมใหม่ Generation ที่ 10 ออกสู่ตลาดประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ผ่านไป 1 เดือนเต็ม สำนักงานใหญ่ที่บางนา และสำโรง ได้รับทั้งใบสั่งจอง และลูกค้าที่พร้อมรับรถ ณ โชว์รูมผู้จำหน่าย 300 กว่าแห่ง ได้ทันที รวมแล้วมากถึงประมาณ 2,500 ราย

ตัวเลขดังกล่าว เป็นสิ่งยืนยันให้เราได้รู้ว่า ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีเอาเสียเลย รวมทั้งปัญหาการบุกตลาดเมืองไทย แบบตั๊กแตนปาทังก้า ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชาวจีน นั้น ถ้าลูกค้า กลุ่มซึ่งยังมีกำลังซื้อไหวอยู่ และกลุ่มลูกค้าองค์กร นิติบุคคล ซึ่งเป็น 2 กลุ่มลูกค้าหลักของ รถยนต์นั่ง Sedan ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ D-Segment นั้น หากยังจำเป็นต้องเปลี่ยนรถใหม่ป้ายแดงของพวกเขาทดแทนคันเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการซ่อมบำรุงรักษา ได้ระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ หรือซื้อเพื่อนำไปใช้หักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท เพื่อการลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปี พวกเขาก็ยินดี ไม่ลังเล และพร้อมจะอุดหนุนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่พวกเขาไว้วางใจได้อยู่ดี

ความสำเร็จของ Camry ทั้งในตลาดเมืองไทย และตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องยืนยันว่า วิสัยทัศน์ และการอ่านเกมตลาดที่เฉียบคม รวมทั้งการพัฒนารถยนต์ ตามความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง กอปรกับการรักษาคุณค่าสำคัญของแบรนด์ อันได้แก่ ความทนทาน การบำรุงรักษาง่าย ไม่ซับซ้อนมากนัก  ส่งผลให้ Camry ยังคงยืนหยัดเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของสหรัฐอเมริกามาได้หลายยุคสมัย แม้ว่า ผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอุดหนุนรถยนต์อเนกประสงค์ SUV มากมายเพียงใดก็ตาม

ภาพลักษณ์ของ Camry ในอดีตที่ผ่านมา ล้วนเป็นรถยนต์ Sedan ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ที่ซื้อง่ายขายคล่อง และมีงานออกแบบ อันแสนจะน่าเบื่อ ในสายตาของลูกค้าทั่วโลก เพิ่งจะมีงานออกแบบที่ฉีกแนวไปก็ในช่วง ตั้งแต่ ปี 2018 มานี่เอง แน่นอนว่า Camry ยังคงเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ต้องการรถยนต์ครอบครัว เน้นความนุ่มสบาย ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ทนทานในทุกการใช้งาน ไม่จุกจิก งอแง รบกวนจิตใจและกระเป๋าสตางค์ของคุณ

ถึงกระนั้นก็ตาม ใครจะไปนึกละว่า รากเหง้าแท้จริงดั้งเดิมของ Camry นั้น ไม่ได้เกิดมาเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ระดับหรูตั้งแต่แรก หากแต่แท้จริงแล้ว จุดกำเนิดของ Camry นั้น เริ่มมาจากแนวคิดที่อยากให้ รถสปอร์ตขนาดกลาง 2 ประตู รุ่นขายดีในยุค 1970 อย่าง Toyota Celica มีตัวถัง Sedan 4 ประตู ให้เลือกบ้าง ในโชว์รูมเครือข่ายจำหน่าย ของ Toyota ในญี่ปุ่น ที่ไม่เคยมีรถยนต์แบบนี้มาก่อนเลย ต่างหาก!

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ CAMRY ถือกำเนิดในโลกได้นั้น เกิดขึ้นจากความพยายามในการแก้ไขปัญหา ใน 3 สถานการณ์สำคัญ อันผูกโยงต่อเนื่องมาถึงอนาคต

– การขาดรถยนต์นั่งขนาดกลางรุ่นใหม่ ที่จะใช้บุกตลาดในญี่ปุ่น ครบทุกเครือข่ายจำหน่ายในตอนนั้น
– การสร้างรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อขัดตาทัพ ให้กับเครือข่ายจำหน่ายในญี่ปุ่น ก่อนที่รถยนต์เทคโนโลยีใหม่จะมาถึง
– การมองเห็นศักยภาพของรถยนต์ขนาดกลางรุ่นใหม่ ในการส่งไปบุกตลาดโลก ในช่วงหลังจากทศวรรษ 1980

เรื่องราวทุกอย่างเริ่มขึ้นในช่วงปี 1977 อันเป็นช่วงเวลาที่ Toyota เริ่มมียอดขายแซงนำหน้า Nissan ในตลาดญี่ปุ่นบ้านตัวเอง อีกทั้งยังต้องการขยายตลาดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย ในปีนั้น Toyota ต่อยอดความสำเร็จให้กับรถสปอร์ต Toyota CELICA ด้วยการเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model change Generation ที่ 2 ในเมื่อ 22 สิงหาคม 1977

อย่างไรก็ตาม ในตลาดญี่ปุ่น บ้านตัวเอง ช่วงทศวรรษ 1970 – 1980 นั้น Toyota เริ่มมีรุ่นรถยนต์หลากหลายมากขึ้น ถึงขั้นต้องเริ่มแบ่งแยกโชว์รูมผู้จำหน่าย เป็นเครือข่ายโชว์รูม ในระบบ Dealer Channel โดยรถยนต์รุ่นปกติทั่วไป ถ้าจะอธิบายคร่าวๆ พอจะแบ่งแยกได้ดังนี้ (สีที่ใช้ Hi-light ในแต่ละชื่อในย่อหน้าข้างล่างนี้ คือสีจริงของ Showroom Identity ในแต่ละเครือข่าย จนถึงปัจจุบัน)

  • TOYOTA Channel เครือข่ายดั้งเดิม ก่อตั้งเมื่อ 3 เมษายน 1950 เริ่มจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถบรรทุก โดยเฉพาะ รถยนต์รุ่นหลัก อย่าง Toyopet CROWN ซึ่งเปิดตัว เมื่อ 1 มกราคม 1955 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
  • TOYOTA DIESEL Channel เครือข่ายลำดับ 2 ก่อตั้งขึ้นในเดือน มีนาคม 1957 เพือทำตลาดรถบรรทุก รถบัส ต่อมา ถูกมอบหมาย ให้ทำตลาดรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel ทั้ง Publica ไปจนถึง Corolla Van เครือข่ายนี้ ถูกยกเลิกไปในปี 1989 เพราะเกิดความซ้ำซ้อน กับเครือข่ายอื่นโดยไม่จำเป็น บรรดารถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยก Folklift รุ่นต่างๆ ถูกกระจายไปจำหน่ายผ่านเครือข่าย TOYOTA กับ TOYOPET แทน จนถึงปัจจุบัน
  • TOYOPET Channel เครือข่ายลำดับ 3 ก่อตั้งขึ้น เพื่อดูแลการรจำหน่าย รถยนต์ Toyopet CORONA รุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1957 และรับดูแลรถบรรทุกเล็ก ตระกูล Toyopet SKB ซึ่งต่อมาก็คือ TOYOACE และต่อเนื่องมาถึงตระกูล HIACE , LITEACE , NOAH รวมทั้ง รถยนต์ที่แตกหน่อจากตระกูล Corona อย่าง MARK-II ซึ่งเปิดตัวรุ่นแรกตามออกมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1968 นั่นเอง
  • PUBLICA Channel เครือข่ายลำดับ 4 เริ่มดำเนินการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1961 เพื่อรองรับการเปิดตัวรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่สร้างขึ้นตามนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นของกระทรวง MITI ให้ประชาชนเข้าถึงการมีรถยนต์คันแรกได้ง่ายขึ้น นั่นคือ Toyota PUBLICA (บ้านเราขายในชื่อ Toyota 700) เน้นทำตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก สำหรับวัยรุ่นในยุคนั้น ต่อมา เครือข่ายนี้ ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น COROLLA Channel เพื่อรองรับการทำตลาดรถยนต์ตระกูล COROLLA (เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1966) , รถสปอร์ต CELICA รถยนต์ขนาดเล็กกว่า Corolla อย่างรุ่น TERCEL และรถตู้ TOWN ACE
  • Toyota AUTO Channel เครือข่ายลำดับ 5 ก่อตั้งขึ้น ในปี 1967 เพื่อรองรับการเปิดตัว รถยนต์ฝาแฝดของ Corolla แต่เน้นสมรรถนะสูงขึ้น และตกแต่งให้ดูวัยรุ่นขึ้นอีกนิด อย่าง Toyota SPRINTER ซึ่งออกสู่ตลาดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1968 และหลังจากนั้น ก็กลายเป็นเครือข่ายที่เน้นทำตลาดรถยนต์ ที่เน้นด้านสมรรถนะ เอาใจวัยรุ่น อย่าง CHASER (แตกหน่อออกมาจาก MARK-II รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อ 24 มิถุนายน 1977) รวมทั้ง Toyota STARLET (รุ่นถัดมาของ PUBLICA) ต่อมา เดือนสิงหาคม 1998 เครือข่าย AUTO ถูกจับรวมเข้ากับเครือข่ายจำหน่าย VISTA Channel (ซึ่งตั้งขึ้นในเดือน เมษายน 1980) กลายเป็นเครือข่ายจำหน่าย NetZ Dealer Channel จนถึงปัจจุบัน

สถานการณ์ในตอนนั้นก็คือ เมื่อเรามองไปที่ Lineup รุ่นรถยนต์ ซึ่งทำตลาดผ่านเครือข่ายจำหน่าย AUTO Channel จะพบว่า พวกเขามีเพียงการนำ Toyota MARK-II มาแตกหน่อ เป็น เวอร์ชันติด Sport สไตล์ American นิดๆ อย่าง Toyota CHASER เอาไว้แข่งกับ Nissan Skyline ซึ่งยังคงเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่ง Grand Touring (GT) ขับเคลื่อนล้อหลัง ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ อยู่ในตอนนั้น รวมทั้งมีฝาแฝดของ Toyota Corolla ในเวอร์ชัน Sport ขึ้น อย่าง Toyota SPRINTER ทำตลาดในกลุ่ม Compact C-Segment เท่านั้น

เท่ากับว่า พวกเขา ยังไม่เคยมีรถยนต์นั่ง แนว Sport Sedan 4 ประตู ที่จะมาคั่นกลางระหว่างน้องเล็กอย่าง Sprinter และพี่ใหญ่อย่าง Chaser เลย

หรือถ้ามองไปยังเครือข่ายจำหน่าย Toyota COROLLA Channel รถยนต์นั่งรุ่นแพงสุด ในปี 1979 ก็มีเพียงแค่รถสปอร์ตตระกูล CELICA เท่านั้น รองลงไปก็มีเพียงแค่ รถยนต์นั่งรุ่นยอดนิยมอย่าง Toyota COROLLA ทั้ง Sedan 2 ประตู Sedan 4 ประตู Coupe 2 ประตู Hardtop 2 ประตู Liftback 3 ประตู กับ COROLLA VAN 3 และ 5 ประคู รวมทั้งรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็กรุ่นแรก อย่าง Toyota TERCEL ทั้ง Sedan 2 ประตู Sedan 4 ประตู และ Hatchback 3 ประตู เท่านั้น ยังไม่มีรถยนต์นั่งขนาดกลางรุ่นใหญ่ให้ลูกค้าได้เลือกเลย

ขณะเดียวกัน ญาติผู้น้องระดับกลาง รองลงมา อย่าง Toyota CORONA ซึ่งทำตลาดผ่านเครือข่าย TOYOPET Channel และเป็นต้นตระกูลให้กับ รถสปอร์ต CELICA รวมทั้งรถยนต์นั่งขนาดเล็กกว่าอย่าง CARINA และพี่ใหญ่อย่าง MARK-II นั้น แม้ว่า Corona จะมีตัวถัง Hardtop Coupe 2 ประตู และวางเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้เลือก แต่มันก็เป็นเพียงแค่ เวอร์ชันติด Sport ของรถยนต์ครอบครัวรุ่นขายดี แค่นั้นเอง ชื่อ ของ Corona ไม่ได้ช่วยสื่อถึงภาพลักษณ์สไตล์ Sport มากเท่าที่ควร

จริงอยู่ว่า ในตอนนั้น Toyota เพิ่งจะพัฒนา Toyota CARINA Generation 2 ออกมา ให้มีขนาดตัวถังเล็กลงกว่า Corona นิดหน่อย แทรกตัวอยู่ตรงกลาง ระหว่าง COROLLA และ CORONA เพื่อให้เป็น รถยนต์นั่งของครอบครัว สำหรับตลาดยุโรป ที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้รถคันใหญ่โตนัก แต่ภาพลักษณ์ของตัวรถ ก็ยังไม่ถึงกับเป็นรถยนต์ Sport Sedan เต็มตัว

เมื่อสถานการณ์ตอนนั้นเป็นเช่นนี้ Toyota เริ่มเกิดแนวคิดที่จะพัฒนารถยนต์ Sport Sedan ขนาดย่อมเยาลงมาจาก CHASER เพื่อที่จะเอาใจกลุ่มลูกค้า Young at Heart ที่อยากได้รถ Sport รุ่น CELICA แต่ยังถามหาบุคลิกความเป็นรถยนต์ครอบครัวอยู่ แต่ครั้นจะลงทุนสร้างรถยนต์รุ่นใหม่ขึ้นมาทั้งคันอีกรุ่น มันจะเกิดความซ้ำซ้อนในตลาดกับ CARINA มากเกินไป

ขณะเดียวกัน เทรนด์หรือแนวโน้ม ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก กำลังเต็มไปด้วยกระแสการแพร่หลายของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า FF (Front Engine Front Wheeldrive) ซึ่งเริ่มมาจากฝั่งยุโรป ที่ค่อยๆประเดิมจากรถยนต์ Citroen Traction Avant ในปี 1934 แต่กว่าจะเริ่มมาได้รับความนิยมจากผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไป ก็ล่วงเข้ามาถึงยุคของOldsmobile Toronado ในปี 1966 และบรรดารถยนต์ Compact Hatchback เช่น Renault 5 ในปี 1972 หรือ Volkswagen GOLF ในปี 1974

ความนิยมนี้ ส่งต่อมาถึงฝั่งญี่ปุ่น เริ่มกันด้วย Honda CIVIC รุ่นแรก ในปี 1972 ไปจนถึง Nissan PULSAR ในปี 1978 หรือ Mitsubishi MIRAGE Generation ที่ 1 ในปี 1978 และแม้กระทั่ง Toyota เอง ก็ยังต้องเริ่มทำ รถยนต์ Sub-Compact B-Segment ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยเฉพาะ อย่าง ตระกูล ฝาแฝด Toyota TERCEL และ CORSA ออกสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 1978

อีกทั้ง Toyota เอง ก็กำลังเริ่มต้นพัฒนา รถยนต์นั่งขนาดกลาง ขับเคลื่อนล้อหน้า แบบใหม่ ที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน เพื่อเตรียมออกสู่ตลาดครั้งแรก ในเดือน มีนาคม 1982 (ต่อมา นั่นคือ CAMRY Generation ที่ 2 และคู่แฝดกับ VISTA Generation แรก นั่นเอง)

ไหนๆก็ไหนแล้ว ระหว่างที่ รถยนต์ ครอบครัวขับเคลื่อนล้อหน้า รุ่นใหม่ดังกล่าว ยังพัฒนาไม่เสร็จ ทีมวิศวกรของ Toyota ก็เลยนำ รถยนต์นั่ง Toyota CARINA Generation ที่ 2 ตัวถัง Sedan 4 ประตู ออกมาปรับปรุง งานออกแบบภายนอกและภายใน ให้แตกต่างไปจากเดิม และดูร่วมยุคสมัยขึ้น เพื่อแตกหน่อต่อยอดออกมาเป็น Toyota Celica 4 Door ออกมาขัดตาทัพล่วงหน้าไปก่อน ให้สมดังตั้งใจกันเสียเลย ให้มันสิ้นเรืองสิ้นราว

ในเมื่อ เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ ก็จำเป็นต้องมีชื่อรุ่น Subname ใหม่ เพื่อเติมต่อท้ายชื่อรุ่น CELICA เดิม (ซึ่งเป็นภาษา Spanish แปลว่า สวรรค์) เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคว่า Sedan คันนี้ คือ CELICA ตัวถัง Sedan 4 ประตู ทีมการตลาดชาวญี่ปุ่นในยุคนั้น จึงเลือกใช้ชื่อ CAMRY อันเป็นคำภาษาอังกฤษ ที่แผลงมาจากคำว่า KENMURI ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลว่า “มงกุฎ” ซึ่งก็สอดคล้องกับ วิธีคิดของ Toyota ในยุคนั้น ที่นิยมนำชื่อ อันเกี่ยวข้องกับ มงกุฎ มาตั้งชื่อรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น CROWN ซึ่งก็แปลตรงตัวว่า มงกุฎ หรือจะเป็น CORONA และ COROLLA เป็นต้น

Toyota CELICA 4 Door CAMRY
1st Generation of CAMRY
January 23rd, 1980

Celica 4 Door CAMRY ถูกเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 1980 โดยถูกวางตำแหน่งการตลาด ในฐานะ รถยนต์นั่งครอบครัว แบบ Sport Sedan ขับเคลื่อนล้อหลัง แตกหน่อจากตระกูลรถสปอร์ต CELICA และคั่นกลางระหว่าง ตระกูลรถยนต์ครอบครัวยอดนิยมอย่าง CORONA กับ CARINA และ ตระกูลรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ อย่าง MARK-II กับ CHASER

เท่ากับว่า Line-up รถยนต์นั่งของ Toyota ในตลาดญี่ปุ่นปี 1980 จะถูกเติมเต็มมากขึ้น ไล่จากรุ่นเล็กสุดอย่าง STARLET, TERCEL/CORSA , COROLLA/SPRINTER , CORONA/CARINA , CELICA/CAMRY , MARK-II/CHASER ไปจนถึงรุ่นใหญ่อย่าง CROWN และ CENTURY

ตัวรถมีความยาว ตั้งแต่ 4,350 มิลลิเมตร ในรุ่น  1,600 LT และ 1,800 LT 4,380 จนถึง 4,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,645 มิลลิเมตร สูง 1,390 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,500 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,335 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,350 มิลลิเมตร  ความจุถังน้ำมัน 61 ลิตร

Celica 4 Door CAMRY นับเป็นหนึ่งในรถยนต์ Toyota รุ่นแรกๆ ที่เริ่มเข้าสู่ยุค ทศวรรษ 1980 ด้วยการออกแบบ ด้านหน้า เป็นแบบเฉียง Slant Nose เพื่อเพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ เป็นสี่เหลี่ยม 3 ช่อง แบ่งด้วยเส้นคาดกลาง เป็นตัว T โคมไฟหน้าเปลี่ยนมาเป็นแบบสี่เหลียม และเริ่มหันมาใช้หลอดไฟหน้าแบบ Halogen (ฮาโลเจน) เฉพาะรุ่น 1800XT โครงสร้่างกันชนหน้า ในรุ่น XT เป็นแบบซับแรงกระแทกในความเร็วต่ำได้ ตัวรถผ่านกรรมวิธีพ่นสีกันสนิมรวม 4 ชั้น

ส่วนชุดไฟท้าย วาง Pattern เป็นมาตรฐานของรถยนต์ Toyota ในยุคนั้น คือไฟเลี้ยวอยู่ด้านนอก ไฟเบรก 2 ดวง จะถูกคั่นกลางด้วยหลอดไฟถอยหลังสีขาว ขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งภายนอกตัวรถ ด้วยแถบคิ้วแนวเฉียงสีดำ บริเวณเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar เสริมด้วยคิ้วโครเมียม รอบคัน เพื่อเพิ่มความหรูหราจากรุ่นปกติเล็กน้อย

ช่วงแรกที่ออกสู่ตลาดญี่ปุ่น Celica 4 Door CAMRY มีให้เลือก 2 Trim การตกแต่ง 4 รุ่นหลัก รวม 10 รุ่นย่อย ดังนี้

  • 1600 LT (รห้สรุ่น TA41) เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ / เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
  • 1600 XT (รห้สรุ่น TA41) เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ / เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ
  • 1800 LT (รห้สรุ่น TA46) เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ / เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
  • 1800 XT (รห้สรุ่น TA46) เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ / เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ

หากสังเกตดีๆ จะพบว่า การแตกหน่อรุ่นย่อยต่างๆ นั้น ใช้ระบบเดียวกับ Toyota CELICA 2 ประตู โดยนำรุ่น LT ไว้เป็นรุ่นพื้นฐาน ส่วนรุ่น XT จะเป็นรุ่นที่มีความหรูเพิ่มเติมเข้ามา ในระดับกลางๆ

ภายในห้องโดยสาร ติดตั้งเบาะนั่ง ตกแต่งด้วยผ้าสักกะหลาด ในบริเวณที่สัมผัสกับร่างกายมนุษย์ ส่วนด้านข้างและด้านหลังของทั้งพนักพิงหลัง จะหุ้มด้วยหนัง ไวนีล ธรรมดา ยังไม่ได้หุ้มด้วยผ้าทั้งชิ้นแบบ Full Fabric ใดๆทั้งสิ้น แผงประตูด้านช้างของรุ่น 1800 XT SUPER EDITION จะบุด้วยผ้าสักกะหลาด ส่วนรุ่นย่อยอื่น จะบุด้วยหนังไวนีล

แผงหน้าปัดของทุกรุ่นย่อย ตกแต่งด้วยลายไม้ ยาวตั้งแต่ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ไปจนถึงฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย ชุดมาตรวัดเป็นแบบวงกลม 4 วง รุ่น 1600 XT และ 1800 XT  ทั้งแบบปกติ และแบบ SUPER EDITION จะติดตั้งมาตรวัดรอบเครื่องยนต์เสริมมาให้ พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ตรูปตัว T พร้อมแป้นแตร ที่ก้านพวงมาลัยทุกจุด

เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด เฉพาะเบาะนั่งคู่หน้า 2 ตำแหน่ง ส่วนด้านหลัง เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด คาดเอว 2 ตำแหน่ง ซ้าย – ขวา นอกจากนี้ รุ่น 1800XT SUPER EDITION เท่านั้น ที่จะแถมวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น Cassette Tape อย่างดี Super Sound Component มาให้จากโรงงาน ส่วนรุ่นอื่นๆ ติดตั้งมาแค่ วิทยุ AM/FM ธรรมดา เท่านั้น ส่วนเครื่องเล่นเทป หรือชุดเครื่องเสียงชั้นดี ต้องสั่งซื้อติดตั้งเพิ่มเติมแยกต่างหาก

รายละเอียดงานวิศวกรรม / Mechanism

ช่วงแรกที่เปิดตัว Celica 4 Door Camry วางขุมพลังให้เลือก 2 ขนาด ดังนี้

  • เครื่องยนต์ รหัส 12T-U เบนซิน 4 สูบเรียง OHV 8 วาล์ว 1,588 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.0 x 70.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.3 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว ท่อคู่ดูดลงล่าง ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 88 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.3 กก.-ม.ที่ 3,400 รอบ/นาที
  • เครื่องยนต์ รหัส 13T-U เบนซิน 4 สูบเรียง OHV 8 วาล์ว 1,770 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.0 x 78.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.3 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว ท่อคู่ดูดลงล่าง ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.0 กก.-ม.ที่ 3,400 รอบ/นาที
  • ทุกรุ่นย่อย ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง โดยรุ่น 1,600 LT และ 1,800 LT จะมีให้เลือกทั้ง เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ ส่วนรุ่น 1,600 XT และ 1,800 XT นอกจากจะมีเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และอัตโนมัติ 3 จังหวะ แล้ว ยังเพิ่มทางเลือก เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เข้ามาให้เป็นพิเศษ

พวงมาลัยเป็นแบบ ลูกปืนหมุนวน Ball & Nut  พร้อมแกนพวงมาลัยที่ยุบตัวได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ Strut พร้อม Coil Spring ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Lateral Rod 4 Link พร้อม Coil Spring ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรกคู่หน้า ส่วนด้านหลัง เป็นดรัมเบรก แบบ Leading Trailing กระทะล้อเป็น ล้อเหล็กธรรมดา ลายมาตรฐานของ Toyota แต่ในรุ่น XT ลูกค้าสามารถสั่งซื้อล้ออัลลอย ขนาด 13 นิ้ว พร้อมยาง Radial (อันเป็นของใหม่ราคาแพงในสมัยนั้น) ขนาด 185/70R13 ได้

Toyota มอบหมายให้ โรงงาน Tsutsumi ในจังหวัด Aichi รับหน้าที่ ผลิต และประกอบ Celica 4 Door CAMRY โดยการผลิต เริ่มต้นขึ้นในเดือน ธันวาคม 1979

Celica 4 Door CAMRY มีให้เลือก 5 Trim การตกแต่ง รวม 10 รุ่นย่อย และตั้งราคาขายแตกต่างกัน ดังนี้

  • 1600 LT เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ 954,000 Yen เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 1,011,000 Yen
  • 1600 XT เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ 1,018,000 Yen เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 1,041,000 Yen เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ 1,075,000 Yen
  • 1800 LT เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ 999,000 Yen เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 1,056,000 Yen
  • 1800 XT เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ 1,084,000 Yen เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 1,107,000 Yen เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ 1,141,000 Yen

ราคาที่เห็นนี้ ยังไม่รวมรุ่นตกแต่งพิเศษ Super Edition ซึ่งมีเฉพาะ 1800XT และเป็นราคา สำหรับลูกค้าใน Nagoya อันเป็นเมืองหลักสำนักงานใหญ่ของ Toyota แต่ ราคาสำหรับลูกค้าใน Tokyo และ Osaka จะต้องเพิ่มขึ้นอีก 5,000 Yen (ในตอนนั้น) เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะในสมัยก่อน ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น จะตั้งราคาจำหน่ายโดยยึดจากเขตจังหวัด ยิ่งห่างไกล ก็จะรวมค่าขนส่งเพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ ใน Hokkaido , Osaka และ Fukuoka อาจจะต้องจ่ายในราคาแพงกว่าลูกค้าใน Tokyo หรือ Nagoya พอสมควร

ภาพยนตร์โฆษณาในญี่ปุ่น ณ วันเปิดตัว

ช่วงแรกที่เปิดตัว  Toyota วางแผนจะส่ง Celica 4 Door CAMRY ไปทำตลาดผ่าน ทุกโชว์รูมของเครือข่ายจำหน่าย Toyota COROLLA Channel โดยวางตำแหน่งให้เป็น รถยนต์รุ่นหรูสุด มีราคาแพงสุด ที่ขายผ่านเครือข่ายนี้ ร่วมกับ รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็กรุ่นแรกอย่าง TERCEL รถยนต์นั่ง Compact C-Segment รุ่นยอดนิยมอย่าง COROLLA รถสปอร์ตตระกูล CELICA และรถตู้ขนาดเล็ก TOWN ACE อันเป็นฝาแฝดของตระกูล LITE-ACE

ต่อมา เมื่อยอดขายในประเทศญี่ปุ่นของ Toyota ในเดือน เมษายน 1980 เมื่อ Toyota วางแผนที่จะขยายตลาดในบ้านตัวเอง ด้วยการเพิ่มทางเลือกรุ่นรถยนต์ใหม่ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มวางแผนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 1989 เพื่อแตกหน่อ เปิดเครือข่ายจำหน่ายใหม่ รอล่วงหน้า ในชื่อ Toyota VISTA เพื่อให้รถยนต์ในโชว์รูม มีให้เลือกครบทุกแบบมากที่สุด Toyota จึงเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยส่ง Celica 4 Door CAMRY ไปขายในโชว์รูมเครือข่ายจำหน่าย VISTA Channel อีก 1 ช่องทาง โดยวางตำแหน่งการตลาด คั่นกลาง ระหว่าง รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ขับเคลื่อนล้อหน้า รุ่น TERCEL และ รถยนต์ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ขับเคลื่อนล้อหลัง อย่าง CHASER

ช่วงแรกที่เปิดโชว์รูม VISTA ทีมการตลาด ตัดสินใจ ออกรุ่นย่อยพิเศษ Toyota Celica 4 Door CAMRY : VISTA Edition จำนวนจำกัด 200 คัน เพื่อกระตุ้นตลาด ตัวรถตกแต่งเพิ่มเติม จากรุ่น 1800 XT SUPER EDITION ด้วย สีตัวถัง น้ำตาลเข้ม Dark Brown พร้อม สติกเกอร์ หรือ Strip คาดข้างตัวถังลายพิเศษ ฝาครอบกระทะล้อเหล็ก แบบเต็มวง ทั้ง 4 ล้อ ภายในห้องโดยสาร สีเทา เพิ่มไฟตัดหมอกคู่หน้า สีเหลือง สัญลักษณ์ VISTA ที่กระจังหน้า พวงกุญแจ พรมปูพื้น ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีรุ่นย่อย 1600 XT VISTA EDITION มีให้เลือกทั้งสี Beige Metallic และสีน้ำตาล Gaba Metallic ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม ทั้ง เสาอากาศไฟฟ้า มุมกันชนหน้าแบบหนาพิเศษ แถบบังแดดทำจากโลหะ ผ้าบุแผงประตู และผ้าหุ้มเบาะ ลายเดียวกันกับ รถยนต์รุ่นหรูกว่า อย่าง Toyota CRESTA Super Lucent ผ้าบุเพดานหลังคา และพรมปูพื้น ยกมาจากรุ่น Top 1800 XT Super Edition เพิ่มช่องใส่แผงประตูด้านข้าง และช่องเขี่ยบุหรี่แบบพับเก็บได้

New Varient , New Engine
1,800 SX / 2,000 SE / 2,000 GT
August 21st, 1980

หลังจากออกสู่ตลาดได้ราวๆ 7 เดือน Toyota ก็ตัดสินใจ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ ให้ Celica 4 Door Camry เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1980 รวมทั้งสิ้น 3 รุ่นย่อย ดังนี้

  • 1800 SX (รห้สรุ่น TA57) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
  • 1600 XT (รห้สรุ่น RA56) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
  • 2000 GT (รห้สรุ่น RA55) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น สำหรับลูกค้าที่เน้นสมรรถนะในการขับขี่

ภายในห้องโดยสาร ถูกปรับปรุงให้ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิมเล้กน้อย พวงมาลัยของทั้ง 3 รุ่นย่อย จะแตกต่างจากรุ่น 1600 กับ 1800 ทั้ง XT และ LT เพราะถูก Upgrade จากพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน รูปตัว T มาเป็นพวงมาลัย แบบ 4 ก้าน มีสวิตช์แตร ยื่นออกมาทางด้านข้างแป้นพวงมาลัยตรงกลาง ทั้ง ฝั่งซ้่าย – ขวา พวงมาลัยแบบนี้ ยกชุดมาจาก Toyota CORONA ST130 Series Sedan , Liftback และ Hardtop 2 ประตู ในรุ่นปีเดียวกัน

นอกจากนี้ยังเพิ่ม เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Bucket Seat พร้อมกับก้านปรับตัวดันหลัง Lumbar Support พนักวางแขนสำหรับเบาะนั่งด้านหลัง Center Armrest และ พนักพิงเบาะหลังแบบ Reclining Seat มาให้อีกด้วย

ทุกรุ่นติดตั้งวิทยุ AM/FM มาให้ ส่วนเครื่องเสียง พร้อมเครื่องเล่น Cassette Tape Super Sound Component มีมาให้เฉพาะรุ่น 1800SX เท่านั้น รุ่นย่อยอื่น ต้องสั่งซื้อเพิ่มเติม

ด้านงานวิศวกรรม Toyota ต้องการเพิ่มบุคลิกความ Sport ให้กับ Celica CAMRY มากขึ้น จึงตัดสินใจ เพิ่มทางเลือกขุมพลังมาให้ใหม่ สำหรับทั้ง 3 รุ่นย่อย ซึ่งจะให้บุคลิกการขับขี่ ที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • รุ่นย่อย 1800 SX วางเครื่องยนต์ รหัส 3T-EU เบนซิน 4 สูบเรียง OHV 8 วาล์ว 1,770 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.0 x 78.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีด EFI ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 1,277,000 Yen
  • รุ่นย่อย 2000 SE (Special Edition) วางเครื่องยนต์ รหัส 21R-U เบนซิน 4 สูบเรียง OHC 8 วาล์ว 1,972 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.0 x 89.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว ท่อคู่ดูดลงล่าง ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 1,363,000 Yen
  • รุ่นย่อย 2000 GT วางเครื่องยนต์ รหัส 18R-GEU เบนซิน 4 สูบเรียง OHC 8 วาล์ว 1,968 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 88.5 x 80.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 8.8 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีด EFI ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 135 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.5 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ ด้านหน้าเป็นแบบ ราคา 1,548,000 Yen
  • ทั้ง 3 รุ่นย่อย เปลี่ยนมาใช้ ระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ Semi-Trailing Arm ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ

Last new Varient 
1800 SX SUPER EXTRA / 1600 XT SUPER EXTRA
November 1981

การเพิ่มรุ่นย่อยกระตุ้นตลาด เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ในช่วงส่งท้ายของเดือนพฤศจิกายน 1981 ด้วยรุ่นพิเศษ Toyota Celica 4 Door CAMRY 1800 SX SUPER EXTRA และ 1600 XT SUPER EXTRA ซึ่งเป็นการนำรุ่น 1800SX และ 1600 XT มาตกแต่งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ทั้งวิทยุ AM/FM และเครื่องเล่น Cassette Tape ซึ่งแยกออกจากกัน เสาอากาศไฟฟ้า พวงมาลัยปรับระดับสูง – ต่ำได้ และชุดไฟหน้า Halogen (ของใหม่ในยุคนั้น)

รุ่น 1600 XT SUPER EXTRA จะติดตั้ง มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ กระจกมองหลัง แบบตัดแสงในยามค่ำคืนได้ กระจกข้างแบบติดตั้งบนตัวถังด้านหน้ารถ แบบโครเมียม ปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า และฝาครอบล้อลายพิเศษ

นอกจากนี้ รุ่น 1800 SX SUPER EXTRA จะติดตั้ง กระจกมองข้างแบบติดตั้งบนตัวถังด้านหน้ารถ แบบโครเมียม ช่องใส่ของที่แผงประตูคู่หน้า และฝาครอบล้อลายพิเศษ ที่แตกต่างจาก รุ่น 1600 XT SUPER EXTRA

แม้ว่าจะมีทางเลือกรุ่นย่อยออกมามากมาย ถึง 8 แบบหลัก ขนาดนี้ แต่ Toyota มองเห็นอนาคตว่า พวกเขาต้องการจะพา CAMRY ให้ไปได้ไกลกว่าการเป็นเพียงแค่ เวอร์ชัน Sedan 4 ประตู ของรถสปอร์ตรุ่น CELICA ดังนั้น การเปิดตัว Celica 4 Door CAMRY ในตลาดญี่ปุ่น จึงเป็นเหมือนการ หยั่งเชิง เพื่อดูทิศทางและกระแสตอบรับของตลาด ก่อนที่พวกเขา จะเดินหน้า ก้าวต่อไป

ปัญหาสำคัญของ Toyota ก็คือ ในตอนนั้น พวกเขากำลังเริ่มบุกตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างหนัก รถยนต์รุ่นที่ขายดี และทำรายได้ให้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มีแค่ Toyota COROLLA และรถกระบะ Toyota HILUX เท่านั้น แต่พอเป็นตลาดรถยนต์ขนาดกลาง Toyota CORONA กลับทำยอดขายได้แค่ในระดับกลางๆ ต่อให้พวกเขาพยายาม นำ Toyota MARK-II มาปรับปรุง และส่งเข้าไปขายในเมืองลุงแซม และตลาดโลก ภายใต้ชื่อ Toyota CRESSIDA ก็ยังทำยอดขายแค่ พอไปได้ ไม่ถึงกับหวือหวานัก

อีกปัจจัยสำคัญ ในสภาวะตลาดรถยนต์ทั่วโลก ขณะนั้นคือ แนวโน้มการพัฒนารถยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้า เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่วยให้ต้นทุนการผลิตถูกลง เพราะลดทอนชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปได้มาก รถยนต์นั่งแบบครอบครัว จึงถูกมองว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเหมือนในอดีตก่อนหน้านั้นอีกต่อไป

Toyota จึงมองว่า เมื่อ CAMRY มีเสียงตอบรับที่ดีพอสมควร ดังนั้น รุ่นต่อไป ของ CAMRY จะต้องเน้นความเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางสำหรับครอบครัวมากขึ้น หรูหรามากขึ้น และต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เต็มรูปแบบ

ด้วยเหคุนี้ Celica 4 Door CAMRY จึงมีอายุตลาด สั้นมาก เพียงแค่ 2 ปี เท่านั้น เพราะ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1982 Camry รุ่นใหม่ Generation ที่ 2 ออกสู่ตลาด ขับเคลื่อนล้อหน้า ออกสู่ตลาด  เป็นการปิดฉาก CAMRY ขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประวัติศาสตร์ ไปโดยปริยาย

———————-///———————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย จากต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของ
บริษัท Toyota Motor Corporation จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
22 พฤศจิกายน 2024

Copyright (c) 2024 Text
Pictures from Toyota Motor Corporation

Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
November 22nd,2024

——————————————————-