ผมได้รับรู้เรื่องราว การจัดขบวนคาราวาน ขับรถ Subaru ข้ามประเทศ จากไทย ไปถึง แชงกรีลา และย่าติง ช่วงราวๆ เดือนสิงหาคม 2024
การออกทริปขับรถข้ามประเทศ ในระยะทางไกลๆ นั้น สำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องที่อยู่ไกลเกินความคิดฝัน แม้ว่าการอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนสายยานยนต์ มา 25 ปี ผมมักจะได้รับเชิญไปร่วมทริปในลักษณะนี้ อยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ แต่ที่ผ่านมา ผมเลือกจะปฏิเสธ ด้วยเหตุผลด้านวลาที่ไม่ตรงกัน หรือแม้กระทั่งผู้ร่วมทริปที่ดูแล้ว ชวนให้กังวลว่าอาจมีปัญหาระหว่างการเดินทาง
แต่สำหรับ ทริปของ Subaru ที่เพิ่งจบสิ้นไปนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ผมร่วมเดินทางไปกับขบวนคาราวาน อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ในขบวน ไม่มีสื่อมวลชนร่วมทริปไปด้วยเลยแม้แต่คนเดียว
ผมตัดสินใจเข้าร่วมทันที และยินดีจ่ายเงินเพิ่ม ในส่วนของตัวเอง นอกเหนือจากการได้รับคำเชิญ ให้ร่วมขบวนไปในฐานะสื่อมวลชนรายเดียวที่ตกลงร่วมทริปนี้
เหตุผล? ง่ายมากครับ
1. นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 55 ปี ของ Subaru ในประเทศไทย ที่จัดทริปลักษณะนี้ การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทริป น่าจะเป็นเรื่องดี
2. ผมไม่รู้ว่า ในอนาคต Subaru จะยังจัดทริปแบบนี้ให้กับลูกค้าได้อีกหรือไม่….
3. ผู้เข้าร่วมทริปแต่ละครอบครัว น่าจะมีคนรู้จักผมกับ Headlightmag ของเราอยู่บ้างแหละ ซึ่งพอเอาเข้าจริง โอ้โห นี่มันทริป Meeting คุณผู้อ่านของ Headlightmag รวมทั้งทีม เพจท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง “พวกเราไป Journey มา” รวมไปด้วยในทริปเดียวกัน!
4. พี่ๆน้องๆ ที่คุ้นเคยกัน ในฝั่ง Subaru ไปกันเกือบครบ ตั้งแต่ อาจารย์บาส อาจารย์อั๋น พี่เอก และ อาจารย์นิว ไปจนถึงผู้ร่วมทริปอย่างพี่โฉ สาโรจน์ เกียรติเฟื่องฟู อดีตผู้บริหารใหญ่ ค่ายรถยนต์ อย่าง Mitsubishi Motors และ Ford ซึ่ง ตัดสินใจมาร่วมทริปนี้ในฐานะลูกค้า Subaru โดยไปยืมรถ XV สีเงินของพี่สาว มาใช้เป็นพาหนะ และพาน้องจินนี่ บุตรสาว ซึ่งเพิ่งเรียนจบ ปริญญาโท ที่อังกฤษ มาร่วมเดินทางไปกับเราด้วย แม้จะเสียดายว่า พี่ซู สุรีย์ทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของ T.C. Subaru ที่ตั้งใจและอยากไปร่วมทริปนี้มาก เกิดติดภาระกิจไปเจรจานำรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาขายในบ้านเรา จึงไม่อาจมาร่วมได้กระทันหัน
5. เป็นการทดสอบสภาพร่างกายตนเองหลังป่วยหนัก ไปนอน โรงพยาบาล เมื่อ 3 เดือนก่อน ว่า พร้อมจะ รับไปทริปทดลองขับรถรุ่นใหม่ในต่างประเทศได้เหมือนเดิมแล้วหรือยัง?
เมื่อตัดสินใจว่าจะร่วมทริปแล้ว การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง เป็นเรื่องสำคัญ โชคดีที่งานนี้ ทาง T.C.Subaru อนุเคราะห์ Forester มาให้ทีมเว็บของเรา 2 คัน (ของผม กับ มาร์ค 1 คัน และ ณภัทร พิธีกรของเรา รวมทั้ง แชมป์ Producer ของเว็บเรา อีก 1 คัน) เราจึงมีโอกาสได้ลองขับ และใช้ชีวิตกับ Forester กันยาวๆ กว่าครึ่งเดือนเต็มๆ และุได้รู้ว่า ตัวรถหนะ เหมาะแก่การเดินทางไกลอย่างยิ่ง พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ใหญ่โตเอาเรื่อง แถมยังนั่งขับขี่สบายกว่าที่คิด สบายจนบางทีเผลออยากจะหลับด้วยซ้ำ!
สำหรับผม ทริปนี้ เริ่มต้นขึ้น เมื่อ มาร์ค พาเจ้า Forester คันสีเงิน มาพบกับผมที่ The Jazz รามอินทรา ตอน 4 ทุ่ม ของคืนวันที่ 11 ตุลาคม 2024 เราเดินทางกัน ขึ้นไปถึง จังหวัดแพร่ ตอนตี 4 ไปพักที่โรงแรม Hug Inn Phrae Hotel นอนเอาแรงสัก ไม่กี่ชั่วโมง
เช้าวันที่ 12 ตุลาคม 2024 เราออกจากโรงแรมที่พักกันช่วง 11 โมงเช้า เพิ่อเดินทางต่อไปยัง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มุ่งไปยังจุดนัดพบกับ สมาชิกร่วมคาราวาน กันที่ โรงแรม Chiangkhong Teak Garden Riverfront Onsen โดยค้างกันที่นี่ 1 คืน เพื่่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว ในเช้าวันรุ่งขึ้น
การขับรถผ่านข้ามแดนจากไทย ไปลาวนั้น รถของคุณ ต้องจดทะเบียนเป็นป้ายทะเบียนขาวเท่านั้น (ป้ายแดง ห้ามเด็ดขาด) และควรมี สมุดคู่มือทะเบียนรถ พกไปด้วย เผื่อเจ้าหน้าที่เรียกตรวจสอบ
ส่วนตัวบุคคล สมาชิกในขบวนนั้น แต่ละคนต้องใช้ Passport อายุ เกิน 6 เดือน และต้องสแกนลายนิ้วมือ เพื่อออกประเทศ เหมือนในสนามบิน ทุกคน เจ้าหน้าที่ศุลกากร จะเดินตรวจตามรถด้วยตนเอง จากนั้น จึงจะปล่อยข้ามด่านฝั่งไทย…
ด่านเชียงของ มีตู้ ATM ของธนาคารออมสิน เป็นจุดสุดท้ายที่คุณจะเบิกเงินสด ก่อนข้ามประเทศ แล้วเข้าสู่ เลนสลับถนน ข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว เพื่อเข้าสู่เขตแดน สปป. ลาว ต่อไป
Day : 1
เข้าสู่ลาว ขับรถทางไกล วันแรก
[ด่านเชียงของ – หลวงน้ำทา – บ่อเต็น]
13 ตุลาคม 2024
เมื่อย้อนนึกไปว่า ครั้งสุดท้ายที่เดินทางมาลาว ก็ช่วงต้นปี 2012 สภาพถนนเชิ่อมจากเวียงจันทร์ ไปวังเวียง และลัดเลาะตามแนวเขา ขึ้นสู่ หลวงพระบาง เละเทะสาหัสสากันย์ เป็นอันมาก มาปี 2024 หวังว่าถนนน่าจะดีขึ้น โอ้โห …เปล่าเลย!! หนักหนาสาหัสไม่ได้ต่างกันเล้ยยย
จากร้านอาหารมื้อเที่ยงที่หลวงน้ำทา ใช้ระยะทางและระยะเวลาตลอดช่วงบ่าย กว่าจะถึงบ่อเต็น ทุกหลุมบ่อที่คุณเห็น มันไม่ใช่แค่หลุมดักช้าง ม้า วัว ควาย แต่มันคือ ผลพวงจากเศษอุกาบาต ที่ตกลงมายังพื้นถนน โอ้โห ลงไปแต่ละหลุม ต้องหยอดแล้วหยอดเล่า เฝ้าแต่หยอด ยิ่งกว่าเบ้าพิมพ์ขนมครกซะอีก รถบรรทุก SUV รถตู้ รถเพื่อการเกษตร สกายแล็บ จักรยาน มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ ต้องร่วมสังฆกรรมบนเส้นทางสายนี้ร่วมกัน
นี่ยังไม่นับกับบรรดา รถบรรทุก รถแทร็กเตอร์ และสารพัดยานพาหนะ ที่เข้ามาช่วยเกลี่ยดินถล่มให้พ้นเส้นทาง ลูกเล็กเด็กแดง ที่เดินเล่นริมถนน ไปจนถึง ฝูงน้องวัว ที่มากันเป็นฝูง ยืนขวางถนนด้วยมาดยียวน ชนิดไม่กลัวว่าเราจะชน แล้วลากขึ้นรถไปทำ Steak มื้อเย็นกันเสียเลย…ไม่ใช่แค่วัวนะ บรรดา KFC เดินได้ทั้งหลายแหล่ ก็เดินว่อน กุ๊กๆๆๆ แข่งกับน้องหมาที่เดิน ข้ามถนน เฉิบๆ ไม่ต่างจากเมืองไทย
ได้แต่มองค้อนไปยังคุณหนูๆ ของสมาชิกร่วมทริปหลายบ้าน ขึ้นรถแต่เช้า หลับ ถึงร้านอาหารเที่ยง ลงมากิน ขึ้นรถเสร็จ หลับต่อ!! ไม่ปริปากบ่น หลับสบายปุ๋ยๆๆๆ กันแบบที่ผู้ใหญ่อย่างเรา อิจฉาสุดๆ
เราแวะพักกินกาแฟที่ Amazon ในปั้มน้ำมัน PTT ที่บ่อเต็น อันสวยหรู ไม่แพ้เมืองไทย และเหมือนเช่นเคย เราไม่ได้เติมน้ำมัน เพราะที่นี่มีขายแค่ เบนซิน 91 (Subaru ทุกคัน เหมาะสมกับน้ำมันเบนซิืนที่มีค่าออกเทนตั้งแต่ 95 ขึ้นไป) แถมยังตั้งราคาขายปลีกต่อลิตร เท่าเมืองไทย แต่ถ้าใครอยากเติมน้ำมัน หรือดื่มกาแฟซึ่งมีสมญานามที่คนไทยพร้อมใจกันตั้งให้ว่า “อร่อยไม่ซ้ำ จำสูตรไม่ได้” ทางปั้มน้ำมันและร้านกาแฟ เขาก็ยินดีรับทั้ง เงินกีบของลาว เงินบาทไทย เงินหยวนจากจีน เงินดอลลาร์ สหรัฐฯ แต่ไม่มีเงินทอน และไม่รับเหรียญบาทใดๆทั้งสิ้น
ระหว่างทางจาก ปั้ม PTT จนถึง บ่อเต็น เป็นเส้นทางที่ ต้องใช้คำว่า ทรหด สมบุกสมบัน พิสูจน์ทั้งรถ ทั้งคนขับ เต็มรูปแบบ บางช่วง เราต้องจอดรอ บรรดา กองทัพหัวลากจีน นับ..น่าจะร้อยๆคัน ที่กำลังแล่นผ่าน เส้นทางขรุขระ หลุมบ่อระดับโคตรพ่อโคตรแม่อุกาบาต
บรรดาคนจีน ยังคงแสดงนิสัย “รอไม่เคยได้” ตามเคย รูดซ้ายแซงขบวนของเรากันยาวๆ โดยไม่สนใจ รถหัวลากที่กำลังแล่นสวนทางมาจากข้างหน้า ทั้งที่ถนนมันเป็นแบบนี้ แม่บ้านบางคน กระเตงลูกน้อยบนมอเตอร์ไซค์ แซงเราไปเฉยเลย ยิ่งใกล้จุดหมาย ยิ่งท้าทายกว่าขับออฟโรด
หลังหลุดพ้นจากเส้นทางหฤโหด อันเป็นผลพวงส่วนหนึ่งที่มาจากน้ำผ่าพัดพาจนชุมชนเสียหาย เราก็เข้าสู่เมืองบ่อเต็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ของ ลาว เมืองนี้ ชวให้เราแปลกใจ เพราะเมื่อเดินทางไปถึง เราพบว่า เมืองนี้ อุดมไปด้วยคนจีนมาก และดูผ่านๆ เหมือนจะเป็นเมืองที่เจริญแล้ว แต่ถ้ามองให้ลึกเข้าไป จะพบความรู้สึกแปลกๆ เพราะร้านรวงในเมืองนี้ อุดมไปด้วยภาษาจีน จนภาษาลาว แทบไม่ค่อยเหลือบนพื้นที่ป้ายร้านค้าต่างๆ บางตึก บางแห่ง สร้างไม่เสร็จและถูกปล่อยร้าง แต่พวก การแสดงโชว์คาบาเรต์ เอาใจนักท่องเที่ยวจีน ก็ยังได้รับความนิยมอยู่
เราเข้าพักที่โรงแรม Bodhi Hotel ซึ่งเดิมทีขื่อ Jing Land Hotel ที่ใหญ่สุด และมีห้องพักสะอาด Ok สุดแล้วละ สำหรับเมืองนี้ ห้องนอน ก็มีขนาดมาตรฐานของโรงแรมสากลทั่วไป แต่โทนสีเขียวอ่อน ของ Furnitures ในห้องนั้น มันดูเชยและดูราคาถูกมาก ใช้เครื่องปรับอากาศ Haier จากจีน แต่ไม่มีสายฉีดชำระที่โถสุขภัณฑ์
ความแปลกของโรงแรมนี้คือ มีบริการล้างรถด้วย สมาชิกร่วมทริปหลายคน ทนไม่ไหวที่จะเห็นรถสุดที่รักของตนเองเลอะเทอะ เลยฝากเจ้าหน้าที่โรงแรมเอาไปล้างให้ แต่ด้วยเหตุที่ พี่โฉ สาโรจน์ เกียรติเฟื่องฟู อดีตผู้บริหาร 2 ค่ายรถยนต์ในไทย รู้จักกิติศัพท์ของผมอย่างดี ในฐานะทีว่า ล้างรถเมื่อไหร่ ฝนเทโครมลงที่นั่น เมื่อพี่โฉรู้เข้าว่า ที่นี่มีบริการล้างรถด้วย เจ้าตัวร้องลั่นเลย….
“ไอ้จิมมี่ มึงไม่ต้องเอารถไปล้างนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝนตก พังกันหมด!”
พี่โฉ!! พี่ก็แซวเกินจริงไปน้อออออออ
Day : 2
ออกจาก ลาว เข้าสู่จีน…
และความน่าปวดกบาลของ ด่าน Mohan
14 ตุลาคม 2024
5.30 น.
นาฬิกาของผม ไม่ปลุก….Morning Call จากโรงแรมที่นัดแนะกันไว้ก็ไม่มี แต่โชคดีว่า ผมเผลอหลับไปตอนเที่ยงคืน และตื่นตอนตี 3 กว่าเกือบ ตี 4 แล้ว กลิ้งไปกลิ้งมาสักพัก เลยปลุกมาร์คตื่นตอน 6 โมง เพราะสองวันที่ผ่านมา เจ้าตัวขับรถให้ผมนั่ง ต่อเนื่อง และเส้นทางเมื่อวาน ก็หนักหนาสาหัสสำหรับมือใหม่หัวใจหัดออฟโรด อย่าง มาร์ค ดังนั้น ปลุกช้าอีกสักหน่อย ก็ไม่เป็นไร
ตื่นมา กินมื้อเข้า ซึ่งเท่าที่ดูแล้ว พอกินได้ มีแค่ข้าวผัด กับไข่ดาว เท่านั้น…อ่ะ ยังดี มีของกินให้ใส่ท้องได้แน่ๆ เมนูอื่นๆ ก็มี ผัดมันฝรั่ง ที่พอไหวสำหรับผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน
เราขออภัยที่ทำให้ขบวน ต้องรอ 5 นาที เพราะเราลืมของไว้บนห้องพัก โชคดี ได้ทีม Discovery Indochina Caravan Organizer ของเราในทริปนี้ พาเราขับมาถึงด่านตรวจคนเข้าและออกจากเมือง ทางฝั่งลาว อย่างรวดเร็ว บริหารจัดการดี ขบวนของเรา เคลื่อน ออกมาจากด่าน ค่อนข้างไว ทำเวลากันดี
แต่พอข้ามมาฝั่งจีน…ทุกอย่างก็ดู มึนๆ งงๆ และ ตามมาด้วยความปวดกบาล….แม้ว่าเราจะเตรียมทำเอกสาร ขอใบขับขี่ชั่วคราวสำหรับขับรถในเมืองจีน และเดินเรื่องเอกสารต่างๆมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง จีน ที่ Mohan ขั้นตอนที่มันควรเป็น มีดังนี้
1. ขบวนของเรา จอดรถ เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
2. ผู้โดยสาร ทุกคน ลงจากรถ ถือกระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าคาดเอวติดตัวคนละใบ
2.1. ผู้โดยสาร ต่อคิว scan ใบหน้าและลายนิ้วมือ ตรวจลงตรา แค่นั้น
2.2 ผู้ขับขี่หลัก ทำเหมือน 2.1 แต่หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว
ต้องออกมา ขับรถ “เข้าเครื่อง Scan x-ray รถทั้งคัน” โดยขับเข้าไปจอดบนรางเลื่อนอัตโนมัติ ดับเครื่องยนต์ ขึ้นเบรกมือ ลงจากรถ รอ Scan แล้วนำรถออกมา
3. ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร มาเจอกัน ขึ้นรถ ขับอออกไปยังหน้าด่าน ให้เจ้าหน้าที่เปิดหน้าต่าง เปืดฝาท้าย ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่จะปล่อยเข้าเมืองไปเรียบร้อย
ครับ ขบวนของเราก็ผ่านขั้นตอนทั้งหมดมาได้เรียบร้อย ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าในลำดับถัดไป
จากนั้น เราถึงจะขับรถบนถนนในแผ่นดินจีน ออกไปอีกพักใหญ่ ลัดเลาะไปตามถนนสวนกันสองเลน เข้าโค้งไปมา พอให้สนุกและเสี่ยงนิดๆจากรถบรรทุกใหญ่ และดินถล่ม…(อีกแล้ว) เพื่อไปขอรับ ใบขับขี่ชั่วคราว และป้ายทะเบียนจีนชั่วคราว ซึ่งออกให้โดย สถานีตำรวจจราจรท้องถิ่น (Local Traffic Police Station) ซึ่งต้องมีการประสานงานไว้ล่วงหน้าจาก ทีมทัวร์
เมืองที่เราเข้าไปนั่น ตัวสถานีตำรวจจราจรชั่วคราวนั้น ทางการจีนเขาเช่าตึกแถว 3 คูหา หน้าตาบ้านๆ…บ้านมากๆ
ในตรอกถนนอะไรสักอย่าง จนเรากลัวกันว่า จะโดนเขาหลอกหรือเปล่าวะ…เล็งๆส่องๆกันอยู่พักใหญ่ ถึงได้รู้ว่า เนี่ยละ สถานีตำรวจท้องถิ่นจริงๆ
โอเค ไม่โดนหลอกแล้ว รอดไป….
ปัญหาคือ…
ขั้นตอนการทำเอกสาร ขนาดเตรียมไว้แล้ว แต่ก็เตรียมไว้ไม่เสร็จทั้งหมด คณะของเราเลยยืนรอกันแกร่วๆ เป็นชั่วโมง แถมเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ…ก็เป็นคุณลุงเข้มๆ ประมาณ เยิ่นต่ะหัว ดาราฮ่องกง ตอนอายุ 65 ยังขอให้มาฟังบรรยายสั้นๆ 5 นาที เราต้องนั่งเรียงกันบนพื้นบันไดและฟุตบาท หน้าสถานีตำรวจเล็กๆที่คุณเห็นในภาพนี้นั่นแหละ! แถมมีบรรยายด้วยเรื่องความเข้มงวดของตำรวจจีน ซึ่งก็เข้าใจได้ โดยเฉพาะการย้ำเตือนว่า ห้ามเมาแล้วขับ และควรสวมเข็มขัดนิรภัยทุกคนทุกครั้ง
บรรยายเสร็จปุ๊บ ลุงแกก็หายตัว ไปกินข้าวเที่ยงเสียดื้อๆ ปล่อยให้ เสมียน ตัวน้อยๆ เพียงคนเดียว นั่งสแกนหน้าพวกเราเข้าระบบ และทำทะเบียน กับใบขับขี่ชั่วคราว ด้วยสภาพของสถานีตำรวจ ที่…เอ่อ…เหมือนร้านถ่ายเอกสาร หน้า มหาวิทยาลัย ในบ้านเราเลยแหะ จนไกด์ของเราทนไม่ไหว ต้องเข้าไปช่วยเคลือบบัตร ตัดมุมขอบบัตร ให้อีกแรงหนึ่ง!
เรา ใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะได้ขับออกจกสถานีตำรวจจราจร ไปกินข้าวเที่ยง…ที่โรงแรม Jingland Hotel บ่อนาน ซึ่งจะเป็นโรงแรมสุดท้ายที่เราจะพักค้างคืนในจีน สำหรับทริปนี้อีกด้วย
แต่…ยังครับ ยังไม่จบ
มีการคิดต่อมาจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเมื่อช่วงก่อนหน้านั้นว่า เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ของเขา สะเพร่า! ปล่อยให้รถในขบวนของเรา ครึ่งขบวนหลัง ผ่านออกด่านโดยไม่ต้องสแกน…จังหวะปะเหมาะเคราะห์หามยามซวย…เจ้านายของเจ้าหน้าที่พวกนี้ ดันลงมาตรวจสอบพอดี พบว่ารถในขบวน สแกนแล้ว Error บ้างละ หรือเจ้าหน้าที่ปล่อยให้ผ่านออกไปดื้อๆแบบนี้เลย มันไม่ถูกต้อง
เจ้าหน้าที่เลยเรียกรถของขบวนเรา ครึ่งขบวนหลัง รวมทั้ง ณภัทร พิธีกรของเรา และแชมป์ Producer ของเราด้วย กลับไปที่ด่านอีกครั้งหลังกินข้าวเที่ยงที่โรงแรมใกล้ๆกัน เสร็จ เพื่อสแกนใหญ่ ทั้งหมด อีกรอบ รื้อข้าวของทุกอย่าง ของทุกคน และรถในขบวนทุกคันออกมาสแกนให้หมด เสียเวลานานถึง 2 ชั่วโมงเต็ม ในขั้นตอนทั้งหมด อีกรอบ
ส่วนผม กับมาร์ค และคันอื่นๆที่ไม่มีปัญหา รวม 11 คันแรก เราเดินทาง ออกจากโรงแรมสำหรับมื้อเที่ยง ล่วงหน้าไปขึ้นทางด่วน ยาวๆ
การจ่ายค่าทางด่วนของนักท่องเที่ยวอย่างเรานั้น คุณต้องยื่นใบทะเบียนรถชั่วคราว ให้พนักงานที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง เขาบันทึกข้อมูล แล้วคืนกลับมาพร้อม Card Plastic แข็งๆ หนาพอกับ EasyPass ของบ้านเรา ขับไปเท่าไหร่ ลงด่านไหน ก็เข้าช่องจ่ายเงินปกติ ยื่นทะเบียนให้พนักงานเก็บค่าผ่านทางอีกรอบ พร้อมคืน การ์ดพลาสติกนั่น เจ้าหน้าที่จะคิดเงินให้เรา
ค่าทางด่วนครั้งแรกงวดนี้ อยู่ที่คันละ 103 หยวน….คุ้มค่ากับวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ตลอดข้างทาง อันเป็นแนวทิวเขาไปจนถึงอุโมงค์ยาวๆ
เราแวะพักไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95 ล้วน ที่จุดพักรถของ Sinopec อันเป็นบริษัทพลังงานรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่สุดของจีน น้ำมันเบนซิน 95 มีราคาอย่างที่เห็นครับ คันของเรา เติมกลับ 37 ลิตร ปาเข้าไป 120 หยวน ก็รับได้นะ จ่ายเงินแล้ว กดที่ตู้ สั่งพิมพ์ใบเสร็จออกมาให้เลยทันที จริงๆที่ปั้มนี้ มีเบนซิน 98 ขายด้วย แต่ ดูเหมือนว่าจะหมด แวะเข้าห้องน้ำในจุดพักรถ ซึ่งใหญ่โต สะอาดขึ้นนืดหน่อย จากมาตรฐานห้องน้ำจีนที่หลายคนคุ้นเคยกันดี
เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อยาวๆ แวะพักจุดตรวจข้ามเมือง ของตำรวจจีนอีก 1 ด่าน ก่อนจะขับลงทางด่วน ลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรช่วงเย็นของเมือง มาเข้าพักที่โรงแรม HOUFA Hotel ใน Xishuangbanna (สิบสองปันนา) อาหารเย็นที่โรงแรม อร่อยใช้ได้ ไม่แย่อย่างที่กังวล
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ คณะที่เหลือ อีกครึ่งขบวน ซึ่งต้องย้อนกลับไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่จีน ก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งจะตามมาสมทบถึงโรงแรมที่พักพอดี ผมกับมาร์ค ตัดสินใจ ออกไปเดินดูร้านรวงและผู้คนในตัวเมือง ละแวกย่นรอบๆโรงแรมเรา ยามค่ำคืน กันสักหน่อย
สิบสองปันนา นั้นเป็นเมืองที่เจริญเสียจนรู้สึกแปลกๆ คือเป็นเมืองที่มีความเจริญทางวัตถุ แต่หาได้มีความเจริญของประชากรไม่ บรรยากาศฉากชีวิตผู้คนในเมืองโดยรอบนั้น…ดูจะไม่สนใจคำว่า มารยาทในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เพราะถ้าคุณข้ามถนน ต่อให้มีไฟเขียวให้คุณข้ามทางม้าลายได้ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า กับรถราบนถนน ก็ไม่สนใจใยดีคุณ
เลี้ยวฟาบ ตัดหน้า หรือปาดหลังเข้ามาเลย ต้องระวังตัวยิ่งกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯเสียอีก
ร้านรวงต่างๆบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ยกเว้นร้านหมาล่าสายพานท้องถิ่นราคาถูกที่ยังพอมีลูกค้าแน่นร้าน นอกนั้น ร้านค้าสาย Telecommunication ต่างๆ นี่ เงียบสนิท
เอาละ เตรียมตัวนอนเพราะพรุ่งนี้ เราต้องเดินทางไกลกว่า 480 กิโลเมตร แม้จะขับบนทางด่วนก็เถอะ!
Day : 3
จาก สิบสองปันนา สู่ ยู่ ซี่
From Xishuangbanna to Yu xi
15 ตุลาคม 2024
ฤทธิ์จากยาแก้แพ้ ทำให้ผมหลับยาวๆ จนถึง 6.30 น. เรากระวีกระวาดลงมากิน ข้าวผัดตอนเช้า พนักงานของ
HOUFA HOTEL น่าจะไม่รู้จักว่า ไข่ดาวแบบ Sunny side up มันคืออะไร เลยตอกไข่ไก่ ใส่แม่พิมพ์เตาทอด คล้ายๆกับเครื่องทำ โอโคโนะมิยากิ ของญี่ปุ่น ออกมาเป็นไข่…ต้มกี่งทอด.. อ่ะ ไม่เป็นไร มีให้กินก็พอแล้วละ
เราออกจากโรงแรมตอน 8.30 น. ด้วยความลุ้นระทึกกับการจราจรอันแสนอลหม่าน ในตัวเมืองสิบสองปันนา สักพัก ก่อนจะมาขึ้นทางด่วน ใช้ความเร็วกันยาวๆ 100-120 Km./h.
ด้วยเหตุที่เราต้องขับขึ้นทางลาดเนินเขาสูงตระหง่าน ประมาณ 1,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้ รถ XV 1st Gen. ของพี่โฉ เริ่มมีปัญหาระบบหม้อน้ำ เมื่อถึงจุดพักรถ พี่โฉ และรถคันปิดท้าย ขับเลยจากจุดพักรถไปนิดหน่อย ทางหัวหน้าทัวร์ จึงต้องประสานงาน ให้ พี่โฉ และทีมช่าง ที่ขับตามมา ลงทางด่วน หาจุดตรวจเช็ครถกันก่อน
ไกด์ชาวจีน ใจถึงมาก เดินลงจากทางด่วน ไปหารถพี่โฉ ถึงที่!
ขอย้ำ ว่า เดินลงจากทางด่วน!!! กันเลยทีเดียว
หลังจากที่ อาจารย์นิว ช่างผู้ชำนาญการจาก T.C.Subaru ตรวจเช็ค พบว่า หม้อน้ำ เป็นสนิม เพราะเจ้าของรถคนก่อน เติมปต่น้ำประปา ไม่เคยเติม Coolant เมื่อต้องขับขึ้นทางลาดชัน อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น จึงขึ้นสูงเกิน 120 องศาเซลเซียส
ทางแก้? ง่ายๆครับ โชคดีว่า อาจารย์นิว คิดและวางแผนเตรียมการมาอย่างดี เราจึงมีชุดหม้อน้ำสำรอง มาเผื่อไว้ด้วย รวม 3 ชุด สำหรับรถ 3 รุ่น! ดังนั้น คณะของเราจึงแวะลงทางด่วน ที่ด่าน Mojiang ซึ่งทำออกมาเป็นซุ้มประตูจีนอย่างสวยงาม จ่ายค่าผ่านทาง 155 Yuan แล้วเลี้ยวขวาเข้า ร้านอาหาร ร้านแรก ปลายด่าน ทางขวามือ
เมือง โม่เจียง (Mojiang) เป็นเมืองที่พิเศษ เพราะอากาศร้อนสุด อยู่ในจุดที่ ไม่มีเงาหัว แต่มีฝาแฝดเยอะสุด!
ไกด์ อำว่า เตรียมน้ำดื่ม และน้ำสำหรับปรุงอาหาร เพื่อให้ทุกท่าน ได้มีโอกาส ได้ลูกแฝด เรียบร้อยแล้ว
รถบางคัน ที่มาพร้อมครอบครัว บุตรหลานและสามี สวนกลับทันที…ทาง วิทยุสื่อสารว่า…
“ไม่ทันแล้วค่า!!”
รับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว พี่โฉ กับอาจารย์นิว จะอยู่เปลี่ยนหม้อน้ำกันก่อน และจะตามพวกเรามาทีหลัง ดังนั้น เราออกเดินทางกันต่อ ขึ้นทางด่วน ด่านเดิม เพื่อไปเติมน้ำมันที่จุดพักรถ Yangwu Service Area ของ Sinopec กับ YCIC
ตอน เติมน้ำมัน เราเผลอกดเพิ่มเข้าไป หลังหัวจ่ายตัด กลายเป็นว่า ล้นถังออกมาเล็กน้อย เอาน้ำสะอาดราดลงบนตัวรถ หลังปิดฝาถัง เพื่อไม่ให้สีรถขึ้นด่าง เพราะการเดินทางไกล อาจทำให้แรงดันในถังน้ำมันค่อนข้างสูง จึงควรเปิดฝาถังทิ้งไว้สักพัก เพื่อลดแรงดันอากาศในถังลงไปก่อน จึงค่อยเติมน้ำมัน
หลังจากนั่งฟังกลุ่ม สว.เขา “แอ๊ว” กันเล่นๆ ทางวิทยุสื่อสาร เป็นที่สรวญเสเฮฮาสำราญจิต เป็นอย่างยิ่ง ตลอดเส้นทางอีก 70 กว่า กิโลเมตร…ในที่สุด เราลงทางด่วน จาก Mojiang ถึง Yu xi คืน Electronics Card สีฟ้า ให้เจ้าหน้าที่ กดคิดเงินออกมา 93 Yuan และฝ่าการจราจรในเมือง Yu xi เข้าพักที่โรงแรม Zhong yu Hotel ได้ในที่สุด
พอกินมื้อเย็นเสร็จ อยากไปเดินเที่ยว ห้างใกล้ๆ ฟ้าฝนดันไม่เป็นใจ ตกมาทำไม เลยต้องกลับขึ้นมานอนยาวๆเลยแล้วกัน
Day : 4
From Yu xi to Lijiang
จาก ยู่ ซี่ สู่ ลี่เจียง
16 ตุลาคม 2024
7.30 น.
อาหารเช้าที่โรงแรมของเราใน ยู่ซี่ ดูดีกว่าหลายๆมื้อที่ผ่านมา เพราะมีทางเลือกที่หลากหลายทั้งข้าวผัด ผัดผัก ฯลฯ ข้าวต้ม และ ปาท่องโก๋ ซึ่งไม่ว่าไปที่ไหน เจอเมื่อไหร่ ยังไงก็รอด
ขบวนของเรา เริ่มล้อหมุนออกจากโรงแรม Zhong Yu Hotel ตอน 8.00 น. แต่กว่าจะผ่านพ้นการจราจรอันน่าปวดกบาล เพื่อผ่านตัวเมืองไป ขึ้นทางด่วน นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ เพราะบรรดาสารพัดยานพาหนะ พร้อมจะขับขี่กันในแบบจักรยาน มุดลักเลาะซอกแซกตัดหน้ากันไปมา ราวกับลืมตัวไปว่า กำลังขับรถยนต์กันอยู่ ก็ใช้เวลาเกินกว่า 20 นาที
แต่ถ้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าปวดกบาลแล้ว การขึ้นทางด่วน และจ่ายค่าผ่านทางแต่ละครั้ง มันคือสุดยอดแห่งความ ปวดตับกับลำไส้ใหญ่ ไม่น้อยเลย
การขึ้นทางด่วนที่จีนนั่น คุณจำเป็นต้องทำใบขับขี่ชั่วคราว มีอายุ 3 เดือน หรือขึ้นกับอารมณ์อำเภอใจของเจ้าหน้าที่ และทะเบียนรถชั่วคราว ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ ควรเดินเรื่องให้จบเรียบร้อยตั้งแต่อยู่เมืองไทย เหตุผลเพราะว่า เมื่อคุณขับเข้าหน้าด่าน คุณจะเข้าได้เฉพาะช่อง จ่ายเงินสด ที่ไม่ใช่ช่องของระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
ถ้ามากันเป็นขบวน 20 กว่าคันแบบนี้ บางด่านใจดี เปิดช่องให้เข้า 2 ช่อง บางด่วนก็ไม่คุยกันให้จบ เจ้าหน้าที่คนนึงบอกให้เปิดด่าน แต่อีกคนไม่ให้เปิดซะงั้น พอเห็นรถต่อคิวเยอะๆ ถึงค่อยยอมเปิดอีกช่องเก็บเงินให้
กว่าจะขึ้นหรือลงจากทางด่วนได้ ก็ต้องรอให้ เจ้าหน้าที่ประจำด่าน ไปเอากล้องถ่ายรูป หรือถ้าฉลาดหน่อย ก็ใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอง ถ่ายรูปทั้งทะเบียนชั่วคราว ที่เราได้รับมา และถ่ายรูปเลขตัวถังรถ .VIN Number ให้ตรงกับทะเบียนรถ!!! ทุกครั้ง ไม่ว่าจะรับ Electronic Pocket การ์ดพลาสติกหนาสีฟ้า พร้อมรับคืนทะเบียนรถ และ แม้แต่ตอนที่จะต้องคืนการ์ด พร้อมยื่นทะเบียนรถ และช่างน้ำหนักรถที่หน้าด่านจุดหมายปลายทาง!!!!!!
ใครว่า จีน ฉลาดล้ำเรื่องต่างๆนาๆ แต่เอาเข้าจริง การ อิมพลีเมนท์ ระบบไฮเทคต่างๆ ให้เชื่อมต่อกัน จน ไร้รอยต่อ ผมยืนยันว่า พวกเขายังห่างไกลในเรื่องพวกนี้ เพราะแค่การเชื่อมต่อข้อมูล ระหว่าง กองตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจจราจรท้องถิ่น รวมทั้ง YCIC ระบบทางด่วน เขาก็ยังไม่เชื่อมกันเลย!! พอกันกับเมืองไทยนั่นแหละ
ทางด่วนที่จีน นั่น ถ้าขึ้นต้นด้วยตัว C แสดงว่า เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมือง แต่ถ้าขึ้นต้นด้วยตัว G แสดงว่า สามารถเขื่อมออกต่างประเทศได้
ระบบทางด่วนในวันนี้ เราไปใช้เส้นทางตัดใหม่ อุดมไปด้วยสารพัดอุโมงค์ยาวๆ มีพื้นผิวยางมะตอยเรียบเนียนมากๆ และวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ระหว่างขับขี่เหนือไปจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1.400 – 2.000 เมตร มันสวยงามมาก สวยคนละแบบกับญี่ปุ่น และสวยในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แม้วันนี้เราเจอการตัดแต่งต้นไม้ทั้งสาย มีคนทำงาน เดินตลอด นานๆเจอทีก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น บางช่วงยังเจอฝนตกหนักด้วย ระบบ Eyesight ก็ยังคงทำงาน ช่วยเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า และข่วยเบรกกระทันหัน ในยามที่สมาชิกร่วมทริปบางคัน เกิดเบรกโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้รถคันข้างหลังได้สัมผัสประสบการณ์สุดเสียวโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีใครโชคร้ายทั้งสิ้น และแน่นอนว่า ในบางช่วงที่ฝนตกหนัก ระบบ Eyesight อาจจะอ่านเส้นแบ่งถนนได้ไม่ชัด จนต้องยกเลิกการทำงานชั่วคราวในช่วงสั้นๆ แต่ก็กลับมาทำงานเอง หลังจากนั้น แป๊บเดียว นี่คือเรื่องปกติของระบบนี่
จุดพักรถ ทั้ง 3 แห่งที่เราแวะกันวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีห้องน้ำ ที่ดีกว่า สมัยก่อน สะอาดขึ้น แม้จะยังไม่สุดก็ตามเถอะ เริ่มมี Starbucks มาตั้งเคาน์เตอร์ ขายกาแฟขวดแช่เย็นสำเร๋จรูปใน ร้านสะดวกซื้อ ณ ศูนย์พักรถ ฯลฯ ขอแนะนำว่า ตัว Frappuchino แช่เย็น มีคนบอกว่า จบสุดๆ
เราลงทางด่วน เพื่อมารับประทานอาหารมื้อเที่ยง ที่เมืองเก่า ฉู่ฉง อันเป็นจุดแวะพักสำคัญของเรา แน่นอนว่า ยังคงเป็น อาหารแบบโต๊ะจีน ผัดผัก 1 อย่าง ข้าวสวย 1 โถ ของทอด 2-3 อย่าง ส่วนปลาทอดที่นี่ ก้างเยอะมาก ต้องใช้ความระมัดระวังจริงๆ
เสร็จจากมื้อเที่ยง เราย้อนกลับมาขึ้นทางด่วน ใช้เวลารอขบวนจนครบราวๆ เกือบ ครึ่งชั่วโมง จึงจะเริ่มเคลื่อนขบวนกันต่อ เพื่อเดินทางผ่านเมือง ต้าลี่ ตรงไปยังปลายทางวันนี้ ณ เมือง ลี่เจียง
ตลอดเส้นทางด่วนขาออก ตรงสู่ ลี่เจียง ต้องยอมรับเลยว่า ทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ยามบ่ายนั้น สวยงามมาก อุณหภูมิแสงเหมาะสมกับการบันทึกภาพเป็นอย่างยิ่ง เราต้องผ่านอุโมงค์ ที่ตัดลอดช่องเขาหลายต่อหลายแห่ง แต่ละแห่งมีความยาวนับสิบๆ กิโลเมตร
เมื่อเติมพลังงานให้ผู้ร่วมเดินทางหลายรอบแล้ว ก็ต้องเติมพลังงานให้รถด้วย เราแวะ ณ จุดพักรถ Sinopec YCIC ซึ่งดูเหมือนจะเหมาสัมปทานสถานีบริการน้ำมันของทางด่วนเส้นนี้ไปแล้ว
การเติมน้ำมัน บนเส้นทางที่มีความกดอากาศต่ำแบบนี้ ขอแนะนำว่า หัวจ่ายตัด ก็เพียงพอแล้ว ถ้ายังต้องอัดน้ำมันเข้าไปอีก น้ำมันจะล้นออกมาเลอะเทอะเต็มไปหมด เมื่อวาน เราโดนไปแล้ว และเพื่อนร่วมทริป ก็โดนไปด้วยอีก 2 คัน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละปั้มน้ำมันที่เราเข้าไปใช้บริการ มักจะมีพนักงานแห่งละแค่ 2 คน วิ่งรอก เสียบหัวจ่ายรถคันนั้น คิดเงินพร้อมพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน และถอนหัวจ่ายรถคันอื่น ส่งเสียงจะโกนล้งเล้งสลับกันไปมา น่าปวดหัวดี
เราลงทางด่วน ที่เมือง Lijiang และค่อยๆชะลอขบวน มาถึงโรงแรม Libre Lijiang ทันตะวันพลบค่ำพอดี อุณหภูมิ ตอนนั้นเริ่มเข้าสู่ระดับ เลขตัวเดียว แน่นอนว่า หนาวเอาเรื่องสำหรับคนเมืองร้อนอย่างชาวคณะคนไทย
โรงแรมแห่งนี้ ถือว่าเป็นอีกไฮไลต์สำคัญของสถานที่พัก ตลอดการเดินทางของเรา เพราะเป็นโรงแรมที่หรูหรา อลังการ ในแบบ Modern Chinesse ที่ผมชอบ กว่าจะเดินหาห้องรับประทานอาหารได้ เดินไกลเอาเรื่อง ส่วนอาหาร ก็ไม่ได้แตกต่างจากมื้ออื่นๆนัก คือพอกินได้ แต่ไม่ได้ถึงกับโปรดปรานน่าจดจำขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เมื่อเปรียบเทียบกับทุกโรงแรมที่เราไปพักกันในทริปนี้แล้ว โรงแรม Libre แห่งนี้ ถือว่าดีที่สุดในทริปของเราครั้งนี้ เพราะตอนหัวค่ำ บริเวณสระน้ำขนาดใหญ่ กลางพื้นที่ของโรงแรม มีการแสดงน้ำพุประกอบดนตรี และแสงสีเสียง ตระการตา สวยงามยิ่งกว่า The ICONSIAM บ้านเราเสียอีก!
เช้าวันต่อไป เราคงต้องเผชิญความหนาวเย็นแล้วสินะ….
Day : 5
Lijiang’s Jade Dragon Snow Mountain & ancient city!
ลี่เจียง กับภูเขาหิมะมังกรหยก และเมืองโบราณอันน่าตื่นใจ
17 ตุลาคม 2024
5.00 น.
เราถูกปลุกกันตั้งแต่ ตี 5 เพื่อมาขึ้นรถบัส ให้ทันเวลา 6 โมงเช้า เพื่อจะไปดู ภูเขาหิมะ มังกรหยก หรือ Lijiang Jade dragon Snow Mountain กันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพราะดูเหมือนว่าไก่ก็ยังไม่ตื่น
พวกเราไปถึงอุทยานเช้ามากตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่ การจราจร โดยรอบ ก็เริ่มติดขัดกันใช้ได้ เพราะไม่ใช่แค่ขบวนของเรา ที่อยากจะมาดูแสงยามเช้า บนยอดภูเขา ซึ่งมี หิมะแรกของฤดูกาล ตกลงมาในวันก่อนหน้าที่เราจะมาเยือนพอดี หากแต่มีทั้งชาวจีนซึ่งใช้รถยนต์ส่วนตัว ไปจนถึงผู้คนที่มากับกรุ๊ปทัวร์ อีกเพียบ ที่คิดตรงกัน!
ก่อนลงจากรถ อาจมีความมึนงงของเจ้าหน้าที่อุทยานเล็กน้อย แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี สารพัดเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาวเย็นถูกจัดมาประโคมร่างของสมาชิกในขบวนเรากันแน่นๆ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ออกซิเจนกระป๋อง
เราต้องเตรียมการกันเยอะกว่าปกติ เพราะเราจะต้องนั่งกระเช้า Cable Car ขึ้นไปด้านบนของยอดเขา ซึ่งมีความสูงมากถึง 4,605 เมตร จากระดับน้ำทะเล ดังนั้น อากาศไม่ใช่แค่หนาวเย็น หากแต่ออกซิเจนยังเบาบาง โอกาสที่จะล้มวูบ เพราะขาดออกซิเจนในสมองเป็นไปได้ทุกเมื่อกับคนทุกเพศทุกวัย
ครับ วันนี้ไม่ต้องขับรถก็จริง แต่การตื่นเช้าทั้งที่นอนมาน้อย มันส่งผลกระทบกับสมาชิกในทริปช่วงเช้านี้ มากโขอยู่
ตอนแรก ก็พยายามจะลองไม่พึ่งพาออกซิเจนกระป๋อง บอกตรงๆเลยครับว่าเอาไม่อยู่ มีอาการมึนๆ และต้องค่อยๆเคลื่อนไหวร่างกาย ค่อยๆเดินๆ พูดให้น้อยลง ประคับประคองกันก่อน
คุณหนูๆ บางคนที่ร่วมขบวนกันมา วัยยังเด็ก ดูน่าจะมีกำลังวังชาดี กลับมีอาการขาดอ อกซิเจนตั้งแต่กระเช้า ยังไม่ถึงจุดเบื้องบนด้วยซ้ำ คุณพ่อจึงต้องพาน้องกลับลงไปข้างล้างก่อน จะดีกว่า
วิวข้างบนสวยแค่ไหน ภาพประกอบ ก็คงจะบอกให้คุณได้เห็นกันไปหมดแล้ว สมาชิกร่วมทริปบางคน เคยไปที่ Switzland ก็ยังบอกว่า สวยไม่เท่าที่ ลี่เจียงนี่เลย ผมมองว่า ทั้งสองแห่ง สวยเหมือนกัน แต่สวยคนละแบบ
พอลงจากกระเช้า ในสภาพงอมพระรามหน่อยๆแล้ว เราไปถ่ายรูปที่ทะเลสาบ Blue moon แล้วไปรับประทานอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟต์ ซึ่งทางไกด์ของเราบอกไว้ว่า มันอาจจะไม่ดีนัก ถ้าใครกินไม่ไหว ยังมี ร้าน McDonalds KFC Chagee ไปจนถึง luckin Coffee ให้คุณได้เลือกสรร
แน่นอน ผมเลือกอย่างหลัง!
ผ่านพ้นมื้อเที่ยงไปแล้ว เราไปดูการแสดงชุด Impression of Lijiang ซึ่งเป็นผลงานของ จางอี้โหม่ว ผู้กำกับการแสดงชื่อดัง ซึ่งฝากผลงานไว้กับ พิธีเปิด และปิด กีฬา Olympic ที่นครปักกิ่ง มาแล้ว Impression of Lijiang เป็นโชว์ที่รวบรวมเอานักแสดงหลายร้อยชีวิต จากหลากชนเผ่า มานำเสนอและสะท้อนวิถีความเป็นไป ของชาว ลี่เจียง ในมณฑลยูนนาน ยุคอดีต ซึ่งผูกพันกับขบวนคาราวานของม้า ที่นำใบชา อันเป็นผลผลิตท้องถิ่น เดินทางไปค้าขาย ผ่านเส้นทางสายไหม หรือ Silk Road อันเป็นชื่อที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เพราะเคยนั่งดูสารคดี โลกสลับสี ที่ Pacific Intercommunication เจ้าของรายการ จส.100 ในปัจจุบัน เคยซื้อจาก NHK มาออกอากาศในบ้านเรา ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 เมื่อหลายสิบปีก่อน
การแสดงชุดนี้ ใช้ทิวทัศน์ขุนเขา เป็นฉากใหญ่ และมีการทำโรงละครขึ้นมา ให้มีฉากโดยเฉพาะ ในลักษณะ ที่เอื้อต่อการเปล่งเสียงของนักแสดงในบางฉากที่ปราศจากการใช้ไมโครโฟนช่วยใดๆทั้งสิ้น
ได้ยินจากสมาชิกร่วมทริป 2 คน ทั้ง พี่ประคอง (รถเบอร์ 2) และ ณภัทร น้องพิธีกรของเรา รวมทั้งหัวหน้าทีมทัวร์ ซึ่งเคยมาดูเมื่อหลายสิบปีก่อน Confirm ว่า เคยดูมาอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น จุดเด่นก็คือ ถ้าคุณเป็นคนชอบฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงประเภท World Music หรือ สนใจศึกษาเรื่องดนตรีประจำท้องถิ่นของชนเผ่าต่างๆทั้วโลก คุณจะชอบโชว์ชุดนี้ เพราะเพลงประกอบ Theme หลัก ไพเราะมาก จนทำเอาผม ยอมเดินออกมาซื้อ CD/DVD ที่ระลึกกันเลยทีเดียว
แต่น่าเสียดายว่า การนำเสนอเรื่องราวของชนเผ่าท้องถิ่น มันอาจไม่ได้เกิด Impact ในใจแขกเหรื่อต่างถิ่นสักเท่าไหร่ หลายฉากหลายตอน นำเสนอเพลงท้องถิ่น โดยให้นักแสดง ร้องและเต้นเพียวๆ ด้วยความตั้งใจจะรักษา ความเป็น Traditional ไว้ให้มากที่สุด เสียจนกระทั่งทำให้การแสดง มันดูเนือยไปหมด ต่อเนื่องยาวๆ ตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องเลยละ!
ถ้าคุณมา ลี่เจียง ในครั้งต่อไป หากสนใจจะศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ท้องถิ่น หรือ อยากหาการแสดงดีๆ ดูฆ่าเวลา Impression of Lijiang เป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าวเลย ผมว่า ไม่จำเป็นต้องตีตั๋วเข้าชมการแสดงชุดนี้ก็ได้….มันไม่ได้ว้าว มากจนพลาดไม่ได้ขนาดนั้น
เราออกจากอุทยาน กลับไปพักที่โรงแรม Libre Resort ราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะออกเดินทาง ไปเยี่ยมชม ย่านเมืองเก่าลี่เจียง ซึ่งผมยืนยันว่า การปรับปรุงหลังเกิดเพลิงไหม้ใหญ่เมื่อไม่กี่ปีก่อน จะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้เมืองโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การ UNESCO แห่งนี้ มีสีสันจากการผสมผสานระหว่าง โครงสร้างสถาปัตยกรรมในอดีต กับวิถีความคิดและการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่จัดจ้าน เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประหลาดตา
เสร็จจากมื้อเย็น สุกี้ปลาแซลมอนน้ำจืดที่ร้านอาหาร ละแวกใกล้กัน เรากลับไปดูเมืองโบราณลี่เจียงกันอีกรอบ ปรากฏว่า หากสภาพเมืองช่วงอาทิตย์ใกล้อัศดง สวยอย่างไร แสงสียามค่ำคืน ยิ่งช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวา ดึงดูดผู้คนทั่วสารทิศให้มาสัมผัสบรรยากาศจนคับคั่งขึ้นกว่าช่วงเย็นเสียด้วยซ้ำ
เรากลับมายังโรงแรมที่พัก เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อสำหรับวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง
Day : 6
Lijiang to Shangri-la
ลี่เจียง สู่ แชงกรีลา
8.00 น.
เราเคลื่อนขบวนออกจาก โรงแรม Libre Resort Lijiang อันเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวของ Lijiang ออกมาขึ้นทางด่วน ผ่านกระบวนการรอให้เจ้าหน้าที่หน้าด่าน ถ่ายรูปทะเบียนรถทุกคัน ทั้งช่วงรับ Card บันทึกข้อมูล สีฟ้า และช่วงจ่ายเงินค่าผ่านทาง เพื่อมารับประทานอาหารเที่ยง ก่อนจะเข้าสู่ ไฮไลต์ของวันนี้ นั่นคือ อุทยาน หุบเขาเสือกระโจน Tiger Leaping Gorge อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับการจัดเกรด AAAA โดยรัฐบาลจีน
การบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ อาจทำให้คุณปวดเศียรเวียนเกล้าได้ จากความไม่เป็นระเบียบ และไม่คิดจะต่อคิว ของชาวจีนบนยานพาหนะของพวกเขา ที่พยายามจุมุด แทรก แย่งชิง เพื่อออกจากจุดซื้อตั๋ว ลัดเลาะไปยังถนนริมหน้าผา เพื่อไปถึงจุดจอดรถ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ลงจากรถแล้ว เราเดินลงบันไดไป เพื่อจะไปถึงจุดนัดพบขนาดใหญ่ ก่อนจะลงบันไดเลื่อนซึงมีความยาว 4 ทอด หลังคาของบันไดเลื่อนข้างนอกหนะ ออกแบบให้กลมกลืนกับภูมิประเทศจริงอยู่ แต่ ระหว่างทางลง ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องเอาหลอดไฟฟบูออเรสเซนท์ สีพรรสรรพางค์ ไม่ต่างจากไฟในดิสโก้เธค มาประดับไว้ตรงทางเข้า ให้มันขัดกับทัศนียภาพทางธรรมชาติกันด้วยละเนี่ย?
อ.บาส เรืองศักดิ์ บัวคำ จากฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนาดีลเลอร์ของ T.C.Subaru เล่าว่า ตำนานของหุบเขา เสือกระโจน เกิดขึ้นจาก ในอดีต นายพรานท้องถิ่น มักจะล่อให้เสือมาอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ ของแม่น้ำแยงซีเกียง ถือว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของจีน ไหลผ่านหลายมณฑล และมีทั้งช่วงที่ไหลช้าๆ จนถึงช่วงที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก
เมื่อเสือมาถึงแนวโขดหินซึ่งทำให้กระแสน้ำรุนแรงนี้ มีทางเดียวที่เสือจะรอดชีวิตได้ คือต้องกระโจนข้ามแม่น้ำไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ารอดชีวิต ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ชีวิตของเสือจะเหลือแค่ว่า ตกลงไปและไหลไปกับกระแสน้ำ หรือสิ้นชีพด้วยคมกระสุนปืน
มาถึงตรงนี้ พี่โฉ สาโรช เกียรติเฟื่องฟู อดีตผู้บริหารใหญ่ของ Mitsubishi Motors และ Ford ซึ่งขับ Subaru XV มาเที่ยวพร้อมลูกสาวที่เพิ่งจบปริญญาโทจาก Manchester สวนขึ้นมาว่า
“อ.บาส อยากรู้ไหม ว่า อาหารประจำถิ่น ที่นี่ คืออะไร”
“ไม่รู้ครับ”
“เอ๋า ก็ เสือร้องไห้ ไง!!”
โห พี่โฉ!!!! พี่ก็คิดมาด้ายยยยยยยยยยยยย!!!
จากอุทยานเสือกระโจน เรามาพบ Location ใกล้เคียง ที่สวยงามมาก จนทีมของเราต้องพาสมาชิกทั้งขบวน มาร่วมเก็บภาพประทับใจกัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อยๆ ก่อนจะเดินทางย้อนกลับทางเก่า ออกไปขึ้นทางด่วน กันอีกครั้ง คราวนี้ เราแวะพักยังจุดพักรถหลักอีกครั้ง ลิ้มลอง เนื้อจามรีทอดเสียบไม้ ซึ่งอร่อยกว่าที่คิด และมีขายเป็นอาหารพื้นเมืองกันในร้านค้าที่จุดพักรถนั่นแหละ ก่อนจะขับมายาวๆ จนปลายสุดทางด่วนที่ แชงกรีลา
เราเดินทางฝ่าการจราจรในเมือง ด้วยความระมัดระวังอย่างสูง เพื่อมาเข้าพัก ณ โรงแรม Tanshan Royal Plateau อันเป็นโรงแรมที่ใหญ่สุดของเมืองนี้ สมาชิกในขบวน ส่วนใหญ่ ไปดูวัดใกล้ๆกัน ไปเดินดู ตลาดกลางคืน แชงกรีลา จบท้ายด้วย หม้อไฟ ซึ่งมีสารพัดเนื่อหมู ไก่ ให้เลือก รวมทั้งเนื้อจามารี ที่มีรสชาติเหมือนเนื้อวัว
ส่วนเรา 2 คน ขอลาพักก่อน เพราะมาร์ค มีอาการไข้ขึ้นสูง ก่อนจะลดลงในเวลาต่อมา จึงพลาดมื้อเย็นหม้อไฟจามรี ทางทีมหัวหน้าทัวร์ เลยไปหาซื้อ ไก่ทอด KFC (ครับ อ่านไม่ผิด มี KFC ที่ Shangli-la ด้วย) มาให้พวกเรากันถึงห้องพัก ระหว่างนั้น เราต้องพักผ่อนกันให้เต็มที่ เพื่อปรับสภาพร่างกาย และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะหนักหนากว่าวันนี้เอาเรื่อง
Day : 7
Shangri-la to Ya ding
แชงกรีลา สู่ ย่าติง กับเรื่องไม่คาดฝัน ที่มีให้ลุ้นกันว่าจะรอดไหม
19 ตุลาคม 2024
6.00 น.
บรรยากาศเช้าวันนี้ ค่อนข้างหนาวเย็น อุณหภูมิ 0 องศา
ก่อนจะเคลื่อนขบวนตอนเช้า เราต้องติดเครื่องยนต์ ล่วงหน้า อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง เพื่ออุ่นให้เครื่องยนต์ของรถ อยู่ในอุณหภูมิทำงานที่ควรเป็น ไม่เช่นนั้น การติดเครื่องในสภาพอากาศหนาว อาจจะยากกว่าปกติสักหน่อย
แต่สำหรับ Subaru จากเมืองไทยทุกคัน ยังคงสามารถติดเครื่องได้ราบรื่นดี อาจมีสัก 2 คัน ที่ตื่นมาวอร์มเครื่องช้าไปนิด จนไฟเตือนรูปหิมะติดค้างไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อุณหภูมิของเครื่องยนต์ อุ่นได้ที่ ไฟก็ดับลงไปเอง
1 สัปดาห์ หลังออกจาก เชียงของ เราเดินทางมาถึง แชงกรีลา ดังนั้น ต่อจากนี้ เรามาถึงช่วงครึ่งทางแล้ว เราจะออกจาก แชงกรีลา ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางแบบ “สวนกันสองเลน” แวะเติมน้ำมัน ในปั้มที่ใกล้สุด เข้าห้องน้ำ “แบบจีนต่างจังหวัดอันห่างไกล” ที่คนไทยหลายคนคงนึกภาพออกและเบือนหน้าหนี ก่อนจะออกเดินทางกันต่อยาวๆ
เส้นทางวันนี้ เราขับลัดเลาะไปตามแนวภูเขาอันสวยงาม แต่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 3,000 – เกือบ 4,000 เมตร ผ่านรูปแบบเส้นทางมากมาย ทั้งทางเรียบราดยางมะตอย หลุมบ่อ ฝาท่อ ทางโค้งแบบเขาพับผ้า ไปจนถึงพื้นผิวขรุขระ จากดินและก้อนหินถล่ม บางช่วงมีธารน้ำไหลลงมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติอีกด้วย
เราแวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหาร ณ จุดชมวิว ที่ “เหมา วู” ซึ่งเป็นร้านอาหารที่แปลกประหลาดมาก คือตั้งอยู่ริมหน้าผา เพียงลำพัง จุดเดียว ไม่มีใครมาเปิดกิจการแข่ง แถมยังได้ชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำกับแนวทิวเขาอันสูงตระหง่านอีกด้วย
ขับออกมาได้สักพักใหญ่ๆ เราก็แวะพักรถ และดื่มกาแฟ ที่จุดชมวิว ทีมงานของ Subaru ทำ Drone ตกลงไปยังพื้นล่าง งานนี้ แชมป์ Producer ของเรา และ ณภัทร พิธีกรรับเชิญ ของทีม Headlightmag อาสา นำรถวิ่งลงไปหา โดยมี พี่ประคอง ใน Forester เบอร์ 02 ตามลงไปช่วยค้นหาด้วยอีกแรง จนเจอ Drone ในที่สุด
ระหว่างเดินทาง Forester สีดำ เบอร์ 18 เกิดอาการยางแตกที่ล้อหน้าขวา รถ Forester เบอร์ 17 ซึ่งเป็นทั้งลูกค้า Subaru และทีม T.C. Subaru รวมทั้งผมกับมาร์ค ในรถ Forester เบอร์ 11 พุ่งเข้าไปจอดให้การช่วยเหลือ เป็นเรื่องดีที่ มียางอะไหล่ติดมาให้กับรถ ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเปลี่ยนยางกันไม่เกิน 10 นาที ก็เรียบร้อย
Tip เล็กๆน้อยที่คุณควรรู้ก็คือ คุณควรมี สามเหลี่ยมสะท้อนแสง เพื่อให้รถคันที่แล่นตามมาได้มองเห็นคุณ และหลบเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้อย่างดี
เมื่อมีเรื่องแรก ย่อมมีเรื่องต่อไปตามมาเสมอ!!
อุปสรรคสำคัญของขบวนก็คือ ยิ่งเราเดินทางขึ้นสู่พื้นที่ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ความกดอากาศจะยิ่งต่ำลง ปริมาณออกซิเจน จะเบาบางลง เป็นเหตุให้การหายใจทำได้ไม่สะดวกนัก ส่งผลให้เกิดอาการออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ไม่เพียงพอ ก่อให้เกิดภาวะง่วงเหงาหาวนอน และเผลอหลับได้ง่าย ยิ่งในขณะขับรถ การที่คุณต้องใช้ความเร็วคงที่ หรือไม่มากนัก ในเวลานานๆ ภาพของทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ที่เคลื่อนเข้าหาและผ่านออกไป มันไม่ต่างอะไรกับการสะกดจิตทางสายตาดีๆนี่เอง
ด้วยเหตุนี้ คุณเอก ลูกค้าของ Subaru ที่ตัดสินใจซื้อ XV Generation 2 จากการอ่านบทความของผม ใน Headlightmag ของเรา มานานมากๆ จึงเกิดอาการเผลอวูบหลับใน แม้จะเปิดหน้าต่างรับอากาศหนาวเย็นข้างนอกก็ไม่ช่วยให้หายง่วงได้
ดังนั้น แทนที่จะเข้าโค้งซ้าย ในช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึง ย่าติง คุณเอก ก็เผลอพา XV ตรงออกจากโค้ง ลงไหล่ทางไปยังแนวแอ่งน้ำข้างทาง!
แม้เจ้าตัวจะสะดุ้งตกใจดึงรถกลับขึ้นมาบนถนนได้ โดยไม่เป็นไรทั้งคน ทั้งรถ แต่เมื่อขบวนของเรา ตัดสินใจแวะจอดพักที่ลานด้านหน้า ของ วัดธิเบต อายุกว่า 500 ปี เพื่อตรวจเช็คความเสียหาย
เราพบว่า นอกจากแผงบังโคลนซุ้มล้อด้านหน้าฝั่งขวา และพลาสติกสีดำ ล้อมกรอบไฟตัดหมอกหน้าฝั่งขวา จะหลุดกระเด็นจากตัวรถไปอยู่ริมทางแล้ว บริเวณเพลาท้าย ยังไปเกี่ยวเอาลวดที่ถูกขึงไว้โดยคนท้องถิ่น เพื่อป้องกันไม่ให้จามรี ข้ามถนนได้ มาพันไว้ค่อนข้างเยอะพอสมควรอีกด้วย
อาจารย์อั๋น อาจารย์บาส จากทีมบริหารของ T.C.Subaru รวมทั้ง พี่เอก จากฝ่ายพัฒนาผู้แทนจำหน่าย และ อาจารย์นิว หัวหน้าทีมช่างของ T.C.Subaru ตัดสินใจช่วยกันเอาแม่แรงชั้วคราวมายกรถขึ้น ลอดเข้าใต้ท้องรถ แล้วใช้คีมตัดเหล็ก จาก รถ Service ของพี่เก้ง ทีม Discovery Asia ช่วยกันตัดลวดออกจากเพลาท้ายได้สำเร็จ…
ทว่า พี่เอก ไปค้นพบว่า น้ำมันเพลาท้าย มีการซึมออกมา ดังนั้น แม้จะยังขับต่อไปได้ แต่ คุณเอก เจ้าของรถ ก็เลือกจะตรวจเช็คน้ำมันเพลาท้าย หลังจากนั้นทุกวัน เพื่อให้สามารถขับรถกลับเข้าไทยได้โดยเรียบร้อย
บันทึกไว้เพิ่มเติมสักหน่อยว่า ขณะที่ ทีมของ T.C.Subaru กำลังร่วมแรงแข็งขัน มุดใต้ท้อง ซ่อมรถให้คุณเอกอยู่นั้น…
พี่เบิร์ด คุณเหมียว คุณกอล์ฟ และคุณหงส์ จาก ดีลเลอร์ Subaru ในเชียงใหม่ และลำปาง (ญาติกับคุณลัน ดีลเลอร์ Subaru เชียงแสง ที่เชียงราย) สมาชิกร่วมขบวนของเรา ก็บังเอิญเจอพระธิเบต คุณเหมียว ซึ่งพูดภาษาจีนได้ ก็เลยบอกกับพระว่า จะขอทำบุญ ถวายปัจจัยให้ทางวัด ซึ่งพระธิเบตรูปนั้นก็ใจดีนำพระไตรปิฏก ฉบับภาษาธิเบต มาให้พวกเราดูกันเป็นขวัญตา อีกด้วย!!
เท่านั้นไม่พอ ระหว่างนั้น ทางฝั่งเพจ “พวกเราไป Journey มา” และตาแชมป์ Producer กับ ณภัทร พิธีกรรับเชิญ ทีม Headlightmag ของผม ก็ยังคงขยันทำ Content video clip กันควบคู่ไปด้วย…
ทีมนึง ซ่อมรถ
ทีมนึง ทำบุญกับพระธิเบต
ทีมนึง ทำ Content ไปด้วย
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นพร้อมกัน บนลานจอดรถหน้าวัดธิเบต!!
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นพร้อมกัน บนลานจอดรถหน้าวัดธิเบต!!
บันเทิงกันจริงๆเลยทริปนี้!!!!!
เมื่อซ่อมรถเสร็จ เราก็สบายใจ ว่าวันนี้ ไม่น่ามีอะไรแล้ว
แต่….ไม่เป็นเช่นนั้น มันยังไม่จบ…..!!
เรื่องสุดท้ายที่เกิดขึ้น ของวันนี้ เกิดจากการที่เราคนไทย ต้องรับมือกับพฤติกรรมการขับรถที่น่าปวดกบาลของคนจีนท้องถิ่น แต่ละคัน ขับกันแบบ น่ากลัวเกินมนุษย์ปกติมากๆ ชนิดที่ว่า พวกมาเฟียสายกร่างบนถนนเมืองไทยคือกระจอกไปเลย!
เริ่มตั้งแต่เช้า เราเจอมาหมด ทั้ง รถตู้ฉางอันคันเล็กรุ่นเก่า ที่ขับช้าแช่ซ้ายแบบไม่สนใจโลก ตีคู่กับ Crossover แบรนด์จีน คันสีน้ำตาลที่ขับเก้ๆกังๆ จนแซงแทบไม่ได้ ไปจนถึง Nissan Terra และ Toyota Land Cruiser Prado ที่ทั้งมุด ปาดหน้าชาวไทยร่วมขบวนเรา ในจังหวะคาบลูกคาบดอก เสียวว่าเกือบจะประสานงากับรถบรรทุกหัวลากจีนที่แล่นสวนทางมาแบบฉิวเฉียด นี่ยังไม่นับความบ้าระห่ำของ Tank 300 หรือ Nissan Altima ที่ไม่สนอีร้าค่าอีรม จะแทรกขบวน โดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมตนเองจะเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับตนเองและขบวนคาราวานของเรากันเลย
คุณนัทตี้ จากDiscovery Indochina Caravan ผู้มีประสบการณ์ในการจัดขบวนคาราวานข้ามประเทศ และเป็นผู้นำขบวนของเราในทริปนี้ เล่าให้เราฟังว่า รถยนต์ของขาวจีนเจ้าถิ่น มักจะแซงกันในจังหวะคับขันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ และมักก่อความหวาดเสียว แถมน่ารำคาญให้กับขบวนคาราวานจากต่างแดนเป็นประจำ
บางที คนจีนก็จะกระหน่ำบีบแตร ราวกับว่าปทุมถันของภรรยาบ้านเขาไม่มีหลงเหลือให้บีบ หรือในจังหวะคาบลูกคาบดอก ที่ต้องวัดใจกัน ก็จะพยายามแซงขึ้นหน้า เอาชนะขบวนคาราวานให้ได้ เมื่อพ้นแล้ว ก็จะเปิดหน้าต่างลงมาโบกไม้โบกมือยิ้มหัวเราะร่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้เล็กน้อย มันเล่นบีบแตรถี่ยิบดังสนั่นราวกับเป็นการบีบแตรเรียกอากงอาม่าและบรรดาบุพการีของตนเองที่ล่วงลับไปแล้วเสียอย่างนั้น
คูณนัทตี้ บอกว่า มันเป็นเรื่องที่เราต้อง “ทำตาม ทำบุญ และ ทำใจ…”
ใครจะไปคิดเล่าว่า เรื่องแบบนี้ มันจะทำให้เกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งกันขึ้นกับรถของเจ้าถิ่นจนได้
หลังจากที่ขบวนของเรา ซ่อมรถ XV เบอร์ 07 ของคุณเอกและคุณแพร เสร็จสิ้น เราลาจากพระธิเบต เพื่อมุ่งหน้าช่วงสุดท้าย เข้าสู่โรงแรมที่พัก นอกจากจะต้องชะลอและเบรกกันเป็นระยะๆ เพราะบรรดาน้องๆจามรี ที่ยืนเล็มหญ้าด้วยใบหน้าง่วงๆ อยู่ริมทาง หรือยืนงงๆ ขวางตัว กลางถนนกันดื้อๆ ไปจนถึงการเบรกกระทันเพราะบรรดา KFC บินได้ เดินย่ำต๊อกข้ามถนนตัดหน้ากันดื้อๆแล้ว
เรายังต้องเจอ Honda CR-V ของคนท้องถิ่น ที่พวกเราจำเป็นต้องเร่งแซงผ่านให้พ้น จากพฤติกรรมการขับรถที่ไม่สนใจใครนอกจากตนเอง แถมยังเบรกกระทันหัน จนหยุดนิ่ง ทั้งที่ด้านหน้าของรถคันนี้ พวกเราได้แซงขึ้นหน้าไปกันหมดแล้ว
พี่ประคอง ลูกค้าของ Subaru ที่ขับ Forester เบอร์ 02 มาจากชลบุรี เพื่อมาร่วมทริปกับเรา ต้องตัดสินใจกระทันหันในระยะ 2 วินาที ถ้าหักซ้าย อาจประสานงากับรถบรรทุกที่แล่นสวนมาจนเกิดเรื่องหนักๆได้ แต่ถ้าหักลงขวา ก็คงตะลงข้างทาง และความเสียหายอาจหนักหนา
ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การเบรกกระทันหันในระยะกระชั้นขิดสุดๆ แต่มันก็ไม่ทัน รถของพี่ประคอง ชนท้าย CR-V คันนี้เข้าไป…
บางคนอาจสงสัยว่า ระบบ Eyesight ไม่ทำงานหรืออย่างไร?
คงต้องเรียนตามตรงว่า ปกติแล้ว ระบบ Eyesight จะทำงานและช่วยสั่งเบรกให้รถชะลอลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ในกรณีนี้ CR-V ของเจ้าถิ่น เบรกดื้อๆ จนหยุดนิ่งแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในระยะใกล้มากๆ ชนิดที่ผมมั่นใจว่า ต่อให้เป็นระบบ ADAS ขั้นเทพของผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ใดในโลกนี้ ก็ไม่มีทางหยุดรถได้ทันในกรณีนี้แน่ๆ
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ขบวนของเราจะทำอย่างไรต่อไป?
ด้วยความช่วยเหลือ จากทาง Subaru of China ที่ประสานงานไปทางดีลเลอร์ ในจีน อย่าง Motor Image Subaru อันเป็นบริษัทในเครือเดียวกับ T.C. Subaru ในเมืองไทย รับดูแล เคสนี้ ด้วยการส่ง รถ Slide-on มารับ Forester ของพี่ประคอง รถเบอร์ 02 กันที่โรงแรม James Joyce Coffetel อันเป็นที่พักของขบวนเรา ในช่วงเช้าวันที่ 20 ตุลาคม 2024 เพื่อจะรีบส่งไปยัง โชว์รูมและศูนย์ยริการมาตรฐานของ Subaru ที่เมืองคุณหมิง เข้าซ่อมอย่างเร่งด่วน ให้เสร็จภายใน 3 วัน เพื่อให้พี่ประคอง สามารถขับรถกลับออกจากประเทศจีน กลับเข้า สปป.ลาว และข้ามฝั่งกลับมายังประเทศไทย ให้ได้ในที่สุด
ระหว่างนี้ พี่ประคอง รวมทั้งกระเป๋าสัมภาระ จะย้ายมายังขบวนรถของทีมงาน และเพื่อนร่วมขบวนที่มีน้ำใจไมตรี เอื้อเฟื้อความช่วยเหลือให้พี่ประคอง ยังคงร่วมทริปกับพวกเราอย่างเบาใจได้ต่อไป จนกว่ารถจะซ่อมแซมจนเสร็จ เท่าที่เพียงพอจะขับกลับเมืองไทยได้อย่างไร้ปัญหาเพิ่มเติม
แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ด้วยการประสานงานที่รวดเร็วอย่างเต็มที่ ทำให้เรื่องนี้ ผ่านพ้นไปด้วยดี ขบวนคาราวานของไทยเรา ต้องขอขอบคุณ Subaru of China ผู้จำหน่ายรถยนต์ Subaru ในสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ และ Motor Image Subaru ตัวแทนจำหน่าย ในเมืองคุณหมิง สำหรับความช่วยเหลือด้วยไมตรีจิตอย่างดียิ่งในครั้งนี้
ขบวนของเราเข้าพักที่ James Joyce Coffetel ในเมืองย่าติง ได้สำเร็จ ด้วยความเหนื่อยล้า แต่เบาใจลงไปจากเดิม เพื่อเตรียมเริ่มต้นการพักผ่อนหย่อนใจในอุทยานแห่งชาติเมืองย่าติง ในวันรุ่งขึ้น
————————-
ผมมองว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดข้างบนนี้ เป็นเรื่องปกติ ที่มักเกิดขึ้นได้เสมอในการเดินทางไกลๆร่วมกันเป็นหมู่คณะแบบนี้ ระดับพี่ประคอง ซึ่งเคยขับรถเข้าประเทศจีนมาแล้ว 4 ครั้ง ยังเพิ่งเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง กรณีนี้จึงไม่เกี่ยวกับควาชำนาญหรือประสบการณ์ แต่อย่างใด ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะเตรียมตัว รับมือ และแก้ปัญหากันอย่างไรมากกว่า
เรื่องราววันนี้น่าจะเป็นอีกตัวอย่างในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ด้วยความช่วยเหลือ จากน้ำใจอันดีของสมาชิกร่วมขบวน ที่ทำให้เรื่องยากๆ จบลงได้ด้วยดี
Day : 8
Ya ding : UNFORGETTABLE TO UNFORGIVEN
ย่าติง : สวย สุดปัง แต่พังเพราะคนท้องถิ่น!!!!
20 ตุลาคม 2024
6.00 น.
วันนี้ ตื่นเช้า ดีใจที่ไม่ต้องขับรถ เราอยู่กันที่ย่าติง ผมกับทุกๆคน ดีใจที่เราจะได้เห็นทิวทัศน์ของแนวทิวเขาอันสูงตระหง่านตระการตา
อาจารย์ อั๋น ของ Subaru ยอมเลือกที่พักให้พวกเรา เป็น James Joyce Coffetel “ทั้งที่ไม่อยากเลือกเลยในตอนแรก” ด้วยเหตุผลที่ว่า ในเมืองนี้ มันไม่มีโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเลย และที่นี่คือดีสุดแล้ว แถมยังใกล้กับ ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติย่าติง มากที่สุด ในระดับที่ว่า เดินออกมาจากโรงแรม หันหลังกลับ เดินขึ้นไปตามบันไดลาดชัน นิดเดียว ก็มาถึงแล้ว
ผมก็ตั้งใจว่าจะมาเก็บเกี่ยวบรรยากาศดีๆ อย่างที่เฝ้ารอมานาน
แต่คุณรู้ไหมครับ ว่าทุกอย่าง มันพลิกกลับกลายเป็นความรู้สึกแย่ในระดับขีดสุด!!
อุทยานแห่งชาติ ย่าติง (Ya-Ting) ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความสวยงาม ของทิวเขาที่สูงตระหว่าน และยาวตระการตา ผมก็หวังว่าจะได้สัมผัสสักครั้ง แต่สุดท้าย ผมเป็นคนเดียวในทริปที่ไม่ได้ขึ้นไปดูความสวยงามเหล่านั้น
เพราะเมื่อซื้อตั๋วเสร็จ เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปยังท่ารถ เพื่อนั่งรถบัส ลัดเลาะไปตามถนนแนวทิวเขาอีกไกลเอาเรื่อง ก่อนจะถึงจุดจอดส่งนักท่องเที่ยว เดินขึ้นเนิน ไปขึ้นรถกอล์ฟ แล้วต่อด้วยการเดินเท้าอีก 1.8 กิโลเมตร โดยประมาณ จึงจะเห็นจุดชมวิวที่เป็นไฮไลต์ ของอุทยาน
ใครจะไปคิดว่า รถบัสที่ต้องดูแลรับส่งนักท่องเที่ยว จะพร้อมใจกันขับขี่ได้เลวระยำตำบอนถึงเพียงนี้!!!
การบีบแตรในทุกโค้ง เพื่อแจ้งรถที่สวนทางมา ให้รู้ว่าเรากำลังขึ้นเขาสวนไป เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่การขับรถบัส แซงรถบัสคันอื่น บนถนนเนินเขา ในเขต เส้นทึบ ห้ามแซง ทั้งที่มีรถบัสอีกคัน กำลังสวนทางมา แล้วบีบแตรด่ากันดังสนั่น นั่นคืออะไร!!!!!!!!!!???
แล้วพอแวะให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปยังจุดแวะพัก ก็กระหน่ำบีบแตรเรียกนักท่องเที่ยวกลับขึ้นรถ ราวกับเรียกบุพการีของคนขับที่เพิ่งลาลับไปจากโลกมนุษย์แล้วนั่นแหละ!! มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวหนะสิ มันหลายครั้งมากๆ
ตัวคนขับคิดว่า ชำนาญเส้นทางแล้ว ก็จะขับชุ่ยๆ เพื่อทำเวลา ทำรอบ ส่งนักท่องเที่ยว ให้ทันเวลา แค่นั้นเองเหรอ???
จากที่อารมณ์ดีๆ ผมถึงกับฟิวส์ขาด และขอไม่เดินทางต่อ ขอนั่งรถกลับลงมานอนพักที่โรงแรมแทนละกัน!
เสียอารมณ์ ขั้นสุด จนเกลียด และไม่อยากมาอีก
ต่อให้วิวจะสวยแค่ไหน ถ้าเอาคนที่ไร้ตระหนักไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่น มาดูแลนักท่องเที่ยวแบบนี้ ผมรับไม่ได้!!
ระหว่างเดินกลับลงมายังจุดรับนักท่องเที่ยวหน้าทางเข้าอุทยาน พบว่า ร้านอาหารจำนวนมาก ปิดตัวลง ทั้งที่นี่คือวันอาทิตย์ตอนเที่ยง ควรจะมีนักท่องเที่ยวบ้าง แต่มันไม่มีเลย!! ส่วน Burger Kings Fastfood แห่งเดียวของเมือง อาหารทุกรายการ ก็หมดเกลี้ยง แถมยังไม่รับเงินสด จ่ายได้แค่ Alipay เท่านั้น+
โอเค เริ่มคิดละว่า มันจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า…
แล้วมุมมองจากคนที่เดินขึ้นไปดูละ?
มาร์คบอกว่า ทัศนียภาพที่เห็นนั้น มันคุ้มค่าเหนื่อยกับการนั่งรถกะป๊อ ไปอีก 1 ต่อและเดินขึ้นไปตามเส้นทางระยะสั้นอีก 2 กิโลเมตร มันสวยงาม และดูยิ่งใหญ่มาก สมาชิกร่วมขบวนหลายท่าน ยืนยันว่า มันสวยไม่แพ้ Switzerland แต่อลังการกว่า
กระนั้น เมื่อทุกคนกลับลงมาบนพื้นราบ เข้ามากินอาหารเย็น ในโรงแรม เราก็ต้องมาเจออีกความทุเรศทุรังเข้าจนได้
และเป็นการยืนยันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองนี้ เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ!!
มื้อเย็นของเราเป็นหม้อไฟ เตาไฟฟ้าของโต๊ะ กลุ่มผู้สูงอายุ มีปัญหาคือ เตาไม่ร้อน น้ำต้มซุบไม่เดือดสักที
รอบแรก พนักงานหญิงเสื้อสีเขียว ก็มาบอกว่า กลุ่มคนไทยใส่ผักเยอะไป ไฟมันก็ไม่เดือด..อ่ะ ไม่ว่าอะไร
รอบ 2 มันก็ไม่เดือดสักที เรียกพนักงานมา คราวนี้ นางถึงกับอาละวาดด่ากราด หาว่า
“คนไทยกินหม้อไฟไม่เป็นหรือไง”!?
คราวนี้ คนไทยเราก็เดือดสิ อ่ะ แต่ ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอะไร
พอรอบที่ 3 นี่แหละ มาด่าคนไทยฉอดๆๆๆ เป็นภาษาจีน เราคนไทยก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นอาละวาดกลับบ้าง แถมไกด์ชาวจีน ยังแปลแล้วก็ได้แต่ทำหน้าแหะๆ พูดอะไรไม่ถูก ไปไม่เป็นอีกต่างหาก แทนที่จะช่วยปกป้องลูกทัวร์ ก็กลับปล่อยให้คนจีนมาด่าทอกันแบบนี้
พอย้ายโต๊ะ ทุกคนกลับมากินได้ปกติ สรุป เตาที่โต๊ะเดิมมันเสีย แต่ พนักงานเสือกมาด่าคนไทยเสียอย่างนี้ก็ได้เหรอ?
เนี่ยเหรอ บริการจากชาวจีนที่ย่าติง ที่กระทำต่อนักท่องเที่ยวจากต่างแดน?
ผมไม่แปลกใจแล้วละว่า ทำไมในช่วงเที่ยงวันอาทิตย์แท้ๆ ในตัวเมืองกลับเงียบเหงาสุดๆ ก็คงเป็นเพราะแบบนี่เองสินะ
นี่ยังไม่นับการขับรถที่ระยำตำบอนเลวร้ายขั้นสุดชั่วของคนท้องถิ่น ซึ่งก็คงต้องยกยอดไว้เขียนด่ารวดเดียวในตอนต่อๆไป ที่เกือบจะฆ่าชาวคณะเราด้วย…แม้แต่ตอนกำลังเขียนบทความอยู่นี้ ก็ยังโดน SUV เจ้าถิ่นกวนส้นตีน ขับรถไม่เก่งแล้วยังเสือกจะมามีเรื่องกับขบวนเราอีกต่างหาก
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ความผิดของ Subaru หรือ Discover Asia ผู้พาเรามาเที่ยวไกลถึงที่ย่าติง เพราะ ทีม Subaru และ Discovery Asia เอง ก็บ่น และรู้สึกไม่โอเค กับพฤติกรรมของคนท้องถิ่นเหล่านี้ ไม่ต่างจากผมเช่นเดียวกัน
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดวันนี้ ผมคงสรุปได้ว่า ย่าติง สวยพอให้คุณมาเยือนสักครั้งในชีวิต…ถ้าคุณไม่แคร์ว่าจะต้องฝากชีวิตไว้กับ Attitude และ mindset ในการบริการนักท่องเที่ยว ที่พังพินาศของ คนท้องถิ่น….
เต๋อชิง คือ อีกคืนหนึ่งที่เราคงต้องทำใจกันต่อในคืนนี้
Day : 9
Ya ding to De qin
จากย่าติง สู่ เต๋อชิง ดูเทือกเขาเหมยลี่ ยามเช้า
20 ตุลาคม 2024
เช้านี้ เราออกจากโรงแรม James Joyce Coffetel ตอน 8.00 น. เพื่อเดินทางย้อยรอยกลับเส้นทางเก่า ลัดเลาะตามแนวเขา มุ่งหน้าสู่ เมืองเต๋อชิง
คนจีนแถวนี้นิยมรถยกสูง แต่พฤติกรรมการขับรถต่ำ ทำเอามาร์คแทบอยากจะระเบิด พอมาถึงจุดพักรถ หน้าลานวัดธิเบต แห่งเดิมที่เราเคยมาแวะพักเมื่อสองวันก่อน มาร์ค ก็กรี๊ดสนั่นไปทีนึง ลั่นลานวัด…ให้กับความป่วยของคนขับรถในจีน
อ.บาส บอกมาร์คว่า
“มึง เบาๆ กูไม่ได้กลัว ลามะ ตื่น กูกลัว จามรีกระโดดหนี!”
ตลอดเส้นทางตอนเช้า ที่เราเจอแต่รถท้องถิ่น แซง เบียด ปาด แบบไร้มารยาท ขับรถไม่เป็น เก่งแต่จะแซง พอไม่พ้น ก็จะปาดเข้าหน้าขบวนเราท่าเดียว มีตั้งแต่ รถแสบๆ อย่าง Land Cruiser Prado ที่ทำตัวเป็น Fortuner เมืองจีน ไปจนถึงพวกรถไฟฟ้า อย่าง Li Auto ที่พยายามจะฆ่ารถคันเบอร์ 11 ของเรา จนเราต้องขึ้นหน้าไปบังเอาไว้
คุณนัทตี้ หัวหน้าทีม Discovery Asia บอกกับเราว่า อย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย พระลามะ ที่นี่ ก็ขับรถโหดมาก เคยมีเรื่องไม่ยอมกันมาแล้วในทริปอื่นๆ เข้าสุภาษิตที่ว่า
“อาตมาโกรธไม่ได้ แต่ปาดได้!!”
“มือซ้ายปัดลูกประคำ มือขวาปัด Paddle shift!!!”
มาร์คส่วนต่อ “ภาพลักษณ์ภายนอก จิตบริสุทธิ์ แต่ภายในใจ Need for speed ชัดๆ!!”
เราลัดเลาะย้อนกลับเส้นทางเดิมเมื่อ สองวันก่อน แวะกินข้าวเที่ยงที่จุดพักรถกลางหุบเขาแห่งเดิม ก่อนจะมุ่งหน้าไปเติมน้ำมัน โดยรถ XV เบอร์ 07 ของคุณเอก ต้องแวะไปให้อู่ซ่อมรถแถวนั้น เติมน้ำมันเพลาท้ายเพิ่มอีกประมาณ 1 ลิตร เพราะสังเกตการรั่วซึมแล้ว น่าจะมีประมาณ 0.6 ลิตร เติมกลับสักหน่อยก่อนไปต่อให้ถึงคุณหมิง แล้วค่อยเปลี่ยนขุดซีลเพลาท้ายที่ ดีลเลอร์ Subaru ในคุณหมิงเลยทีเดียว
หลังจากเติมน้ำมันรถกันเสร็จแล้ว เราก็ข้ามสะพานแขวนเล็กๆเหนือแม่น้ำแยงซีเกียง ข้ามจากฝั่งเสฉวน กลับมาฝั่ง ยูนนาน เพื่อเดินทางต่อมาจนถึง จุดพักรถวันนี้ อยู่ที่ Meili xue shan อันเป็นจุดที่เราจะได้เห็น โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง
ต้องยอมรับว่า คนจีนนั้น หัวการค้าจริงๆ ออกแบบจุดชมวิว ให้มีร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเล็กๆ รวมอยู่ในที่เดียวกัน ได้สวยงาม ร่วมสมัยดีมาก
จากนั้น เราเดินทางต่อจนถึงจุดชมวิวบน ยอดเขา ไป๋หม่า ความสูงจากระดับ 4,292 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชื่อของยอดเขาแห่งนี้ ไป๋ แปลว่า ขาว หม่า แปลว่า ม้า รวมกันแปลว่า ม้าขาว
ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเสร็จแล้ว ขบวนของเรา ออกเดินทางกันต่อ ตามเส้นทางลัดเลาะตามแนวเขา เข้าสู่เมือง เต๋อชิง ซึ่งก็ต้องช่วงชิงจังหวะการจราจรยามเย็น เลี้ยวขวาเข้าซอย ขึ้นเนิน ไปพักผ่อนที่โรงแรม Deqin Guanjing tianttang Hotel ซึ่งเพิ่งจะ Renovate ใหม่ ในรูปแบบที่พยายามจะ Modern ขึ้น เปลี่ยนมาใช้พื้นไม้แบบให้ความอุ่น เปลี่ยนส้วมเป็นแบบ Auto flush แต่ไม่มีระบบฉีดล้างก้นอัตโนมัติ และทำห้องน้ำใหม่แบบเปิดโล่งต่อเชื่อมถึงห้องนอน แต่ไม่มีจุดแขวนผ้า แถมยังให้ผ้าขนหนูแบบใช้แล้วทิ้งอีกต่างหาก…
นี่แหละหนอ คนจีน พยายามสวย หวังการค้าขายที่ดี แต่ไม่รอบคอบในละเอียด ในทุกสิ่งอย่าง
มื้อเย็นที่นี่ ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึง เรารีบนอนพักผ่อน ให้เร็วขึ้น เพราะเทือกเขาเหมยลี่ที่สวยงามยามเช้า รอต้อนรับเราอยู่
Day : 10
De qin to Da Li
เต๋อชิง ไป ต้าลี่ เมืองโบราณที่ไม่ยอมหลับไหล
21 ตุลาคม 2024
8.00 น.
แสงอาทิตย์ยามเช้า สาดส่องลงมา เผยให้เห็นความงดงามของ เทือกเขาเหมยลี่ อันถือเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่สวยงามมากที่สุดของจีน เรามีเวลาชื่นชมความงดงามที่ธรรมชาติมอบให้เป็นของขวัญ ด้วยระยะเวลาอันสั้น เพราะถึงวันที่เราต้องร่ำลาเมืองเต๋อชิง กันแล้ว
เรื่องปวดตับสุดบันเทิงเช้านี้ เริ่มต้นขึ้นจากสภาพการจราจรคับคั่งหน้าทางออกจากซอยโรงแรม ต่อเนื่องไปยังถนนเส้นหลัก ซึ่งออกแบบให้วิ่งสวนกันเพียง 2 เลน เท่านั้น เนื่องจากบรรดารถยนต์ส่วนตัว และรถทัวร์ที่จอดรับ-ส่งเหล่านักท่องเที่ยวที่จุดชมวิว มีจำนวนมาก ต่างคนต่างจอด ไม่สนใจใครทั้งสิ้น รถจึงติดขัดล็อกไปมา
ซ้ำร้าย รถเครนก่อสร้าง คนจีน พุ่งเข้ามากีดขวาง เพิ่มเติม ขอทางกันดีๆ มันก็ไม่ยอมให้ไป มันถือคติว่า “กูไปก่อน กูไปก่อน กูไปก่อน กูต้องงงงไปก่อนนนนนนน!!!!”
คุณนัทตี้ ทีม Discovery Indochina caravan พยายามลงไปเจรจาขอเคลียร์เส้นทางกันดีๆ มันยังมีหน้ามากวนตีนคุณนัทตี้อีกด้วยการเบิ้ลเครื่องและพยายามพุ่งรถเครนของตน ทิ่มเข้าใส่ขบวนของเรา เล่นเอาหัวเสียไปพักใหญ่ พอได้จังหวะ ทีมไทยเราไม่สนใจ โบกให้ขบวนรถเราออกจากซอยทางลงโรงแรม กวาดออกมาได้จนหมด กว่าจะออกมาตั้งลำ ตั้งขบวนกันได้ ควันออกหูกันไปพักใหญ่
นั่นแค่จุดเริ่มต้น
เรื่องต่อมาก็คือ จังหวะแซง ของ รถในขบวนคันนึง เกือบทำเอาผมกับมาร์ค เกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เมืองนี้!!!
วิทยุสื่อสาร จากรถคันข้างหน้าในขบวน บอกว่า ทางข้างหน้าเคลียร์ สามารถแซงซ้ายออกมาได้เป็๋นจังหวะ ขบวนของเรากำลังทะยอยๆ แซงรถเจ้าถิ่น และไอ้รถเครนเวรตะไลคันก่อเรื่องในย่อหน้าข้างบนที่นำหน้าเราไปก่อนสักพัก นั่นไป
แต่พอถึงคิวเรากพลังจะแซง มี Forester คันนึงในขบวน พุ่งออกซ้ายมาตัดหน้า ทำเอาเราสองคนเสียจังหวะ เสี่ยงต่อการแซงไม่พ้นและอาจประสานงากับรถท้องถิ่นที่แล่นสวนมา จนต้องตบกลับเข้าเลนขวา ไปเบรกจ่อท้ายรถเครน เล่นเอามาร์คถึงกับหัวร้อน พอมีจังหวะที่เลนสวนทางมา โล่งตามที่รถนำขบวนแจ้งมาทางวิทยุสื่อสาร มาร์คก็กระแทกคันเร่งของ Forester เต็มมิดตีนติดพื้นรถ พุ่งแซงออกโค้งด้วยโหมด โหด กันเลยทีเดียว
พอถึงจุดชมวิว เขาเหมยลี่ น้องจินนี่ ลูกสาวพี่โฉ ซึ่งขับตามเรามา เห็นเหตุการณ์ตลอด วิ่งมากระโดดโลดเต้นจับมือกับมาร์ค ….
“มาร์คคคคค เราเข้าใจเธอออออออออ เราเข้าใจๆๆๆๆ” ทั้งสองดีใจได้ที่ได้รอดชีวิตมาราวกับปาฏิหารย์
พี่โฉ ถึงกับตั้งฉายารถคันนั้นว่า อารี วาทาเนน เมืองไทย!!!
(ปล.อารี วาทาเนน คือยอดนักขับแรลลีชาวฟินแลนด์อันโด่งดังในยุค 80-90)
ณ จุดชมวิว เทือกเขาเหมยลี่ นึกว่าอากาศจะดี น่าจะสูดหายใจได้เต็มปอด ดันทะลึ่งมีคนจีนคนไหนก็ไม่รู้ เผาหญ้า จนเหม็นควันไปหมด จบกัน อากาศดีๆ ยามเช้า สิ่งที่พอเก็บมาได้ ก็คงมีแค่ภาพถ่ายสวยๆในความทรงจำเท่านั้น
ลงจากจุดชมวิว เราเลี้ยวขวาลอดผ่านอุโมงค์ และความบันเทิงรอบต่อไปก็เริ่มจากตรงนี้ ระหว่างทางลัดเลาะไหล่เขา เราต้องเจอกับบรรดาคนจีนท้องถิ่นขับรถมารยาทเลวทราม แซงในที่คับขัน อย่างไม่ลืมหูลืมตา พอเจอรถแล่นสวนทางมา พวกเล่นตบขวาปาดเข้าหน้าขบวน โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ขบวนของเราต้องเบรกตัวโก่งกระทันหันเพราะสัตว์นรกพวกนี่ หลายคัน หลายครา จนเกินจะหาคำด่ามาบรรยายได้อีก
หนักกว่านั้นคือ เราต้องมาเจอพวกเจ้าถิ่นที่คิดว่าขบวนของเราขับช้า ทั้งที่เราไปด้วยความเร็วบนทางโค้งลัดเบาะตามแนวไหล่เขา ด้วยความเร็ว 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง บางช่วงก็ต้องแตะ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงกันด้วยซ้ำ เราเจอรถตู้บ้าพลังอย่าง Mercedes Ben Vito Maybach เซิ่นเจิ้น (Maybach ปลอม) ที่ดื้อรั้นจะแซงบนทางลาดชันขึ้นเขา เกือบประสานงากับรถบรรทุกหัวลากไปหลายรอบ ตามด้วย Volkswagen Passat รุ่นเก่า สี มะฮอกกานี ที่พยามจะแซงเป็นระยะๆ
แต่คันที่น่าด่าที่สุดคือ คนจีนที่ไม่เจียมตัว หรือโง่จนไม่รู้ว่า Honda Fit/Jazz Gen 4 สีขาวของตน มันแรงไม่พอที่จะแซง ขบวนรถ Subaru ของคนไทย รวดเดียว ทั้งขบวน 20 กว่าคัน! แซงได้สักพัก ก็ตบขวาปาดหน้ารถมนขบวนคนไทย เบรกกันตัวโก่งหลายที ฯลฯ
จุดที่ทำให้เราเริ่มหมดความอดทนก็คือ จังหวะที่เรามาถึงจุดพักรถ เหนือแม่น้ำแยงซีเกียง อันเป็นจุดที่กองทัพจีนเคยใช้เป็นพื้นที่รวมพลในการบุกธิเบต เมื่อครั้งโบราณกาล ขบวนของเรา กำลังเปิดไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อเตรียมเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลาน
พวกคนจีนท้องถิ่นที่มีสันดานรอไม่ได้ ตัดสินใจแซงออกซ้าย สวนเลน พุ่งพรวดเข้ามาตัดหน้าขบวนของเราทันที และไม่ใช่แค่คันเดียว แต่พวกมันเล่นออกซ้าย มาตัดหน้าไม่ให้เราเข้า แถมมีคนจีนเลวๆ ในรถ Leapmotor C11 แซงขึ้นมาแล้วเลี้ยวซ้ายตัดหน้าพวกเรา เข้าไปจอดในลาน ตัดหน้าขบวนของเราอีกหนึ่งคัน งานนี้ ทั้งคนจีนและคนไทย กระหน่ำบีบแตรใส่กันโดยไม่สนอีร้าค่าอีรม
เนี่ยหนะเหรอคือสันดานการขับรถของคนจีนในท้องถิ่นห่างไกล? โคตรไร้มารยาท โคตรเห็นแก่ตัว จนต้องถามว่า พวกคนจีนต้องแก่งแย่งชิงดี กันขนาดนี้เลยเหรอ??
เราก็เลย…..จัดบทอาละวาดระดับพสุธากัมปนาท เป็นภาษาไทยผสมภาษาจีนแต้จิ๋ว ระดับดังสนั่นชนิดทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองพร้อมกัน ไปสักรอบ
@#฿_&-+()/*”‘:;!?@?#!”+’;_(“/฿?฿;”-#)#/@;”:”&’-฿)#!!!!
ขบวนคนไทยคณะนี่รู้ดีว่า รอบนี้ จิมมี่ แสดงละคร คือแค่อึดอัด แต่ไม่ได้อารมณ์เสียหนักหนาจนฟิวส์ขาด แต่แค่ระบายความคิดตัวเองออกไปเสียบ้าง ก็เข้าใจกันดี…ผมละออกจะแปลกใจด้วยซ้ำ ว่าสมาชิกในขบวนกลับเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเมื่อพูดคุยกันหลังจอดรถลงมาพักอิริยาบถ ทุกคนพร้อมใจกันบรรยายความอึดอัด หงุดหงิด จากพฤติกรรมการขับรถของชาวจีนท้องถิ่น จำนวนมาก ที่ระยำตำบอนยิ่งกว่าคนไทยเสียด้วยซ้ำในหลายแง่มุม
พักรถ ให้เครื่องเย็น คนเย็น ได้แป๊บเดียว พอออกจากจุดพักรถ เรากลับมาหัวร้อนทัวร์กันต่อทั้งขบวนทันที ผมกับมาร์ค รอให้ Minivan รุ่นเก่าสีขาว ขับโง่ๆ คันนึง (มีในรูป) แล่นผ่านหน้าไปก่อน แล้วค่อยออกรถตามไป…Minivan คันนั้น ดันเบรกหัวทิ่ม เพื่อจะดูขบวนคนไทยของเรา แน่นอนครับ เราก็ต้องเบรกกระทันหัน พร้อมบีบแตรด่าไปชุดใหญ่
เอาสิ! พวกมึงบีบแตรกันนักใช่ไหม? ได้!!! งั้นพวกกู บีบแตรใส่พวกมึงหนักๆบ้างนะ บีบมาบีบกลับ ไม่โกงนะ!!!!!!
จากนั้น ตลอดเส้นทาง เราเจอแต่คนจีนขับรถบ้าระห่ำ พยายามแซงแบบโง่ๆ ทุเรศๆ เป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็น Land Cruiser Prado ที่ทำตัวเหมือนพวก คนขับ Fortuner เมืองไทย ไม่มีผิด ไปจนถึง GWM Tank 300 ที่ขับกันห่ามๆ ไม่มองสี่มองแปดใดๆทั้งสิ้น
แต่ที่เกือบทำให้เราเกือบเกิดอุบัติเหตุกันช่วงกลางขบวน ทั้งกับผม และน้องจินนี่ ลูกสาวของพี่โฉ เจอมาก็คือ BMW 3 Series แต่งรถแบบจีนบ้านนอก ที่พยายามจะแซงเรา แต่แซงไม่พ้น เบียดกับรถที่แล่นสวนทางมา แล้วตวัดรถกลับเข้าเลนขวามาตัดหน้าเรา ทั้งมาร์ค ทั้งน้องจินนี่ ต้องสะบัดพวงมาลัยหลบออกไหล่ทางด้านขวา แบบกระทันหัน จนเกือบจะชนท้าย BMW จีนเลวๆ นั่น!
คราวนี้ทุกคน หัวเดือดกันไปหมด
เรากลับมารับประทานอาหารเที่ยง ที่โรงแรม Tanshin ใน Shangli-la อันเป็นที่พักของเราในช่วง 2 คืนก่อนหน้านั้น
พอลงจากรถมาได้ คราวนี้ สมาชิกร่วมขบวนก็พรั่งพรูระบายออกความอึดอัดจากคนขับรถชาวจีนเลวๆพวกนั่นกันแบบไม่สนใจใครหน้าไหนกันอีกแล้ว อยากจะด่าเป็นภาษาจีนว่า “จี้ ชู่ว ไท่ ล่าน” แปลว่าขับรถห่วยแตกมาก
เสร็จสิ้นมื้อเที่ยง เราออกเดินทางต่อ ด้วยการลัดเลาะ ย้อนกลับมาตามเส้นทางในตัวเมือง จนได้ขึ้นทางด่วนยาวๆ มุ่งหน้าไปยังเมือง ต้าลี่ และแวะเติมน้ำมันกันที่จุดพักรถระหว่างทาง
ทันทีที่ขึ้นทางด่วน ณ จุดเริ่มต้นของระบบทางพิเศษ ที่ Shangli-la ขบวนของเรา ก็กลับเข้าสู่บรรยากาศรื่นรมณ์
สองข้างทางอันสวยงาม พื้นถนนที่เรียบสงบ ทางด่วนในภาพรวม ที่สวยงามกว่า Autostrada ใน Italy เสียด้วยซ้ำ รวมเข้ากับรสชาติจากเนื้อจามรีทอด ณ จุดพักรถริมทางแสนอร่อย ช่วยให้เราผ่อนคลายความตึงเครียดจากข่วงครึ่งวันเช้าก่อนหน้านี้ลงไปได้มาก เหมือนว่า อยู่ในเขตมณฑลเดียวกัน แต่บรรยากาศต่างกันเหมือนสวรรค์กับนรก!
ณภัทร น้องพิธีกรภาคสนามของเว็บผม อธิบายสั้นๆว่า ค่าทางด่วน มันก็ช่วยคัดกรอง รถขับแย่ๆเหล่านั้นออกไปได้เยอะ เพราะจาก Shangli-la ถึง Da Li เราจ่ายค่าผ่านทางไป 174 หยวน มันแพงเหมือนกัน ในความคิดของชาวจีนท้องถิ่น เพราะเงินเดือนครู อัตราจ้างที่จีน เริ่มต้นเดือนละ 3,000 หยวน หรือประมาณ 15,000 บาท พอๆกับเมืองไทย
ลงจากทางด่วน เราขับรถเป็นขบวน บนถนนปูน 8 เลน เข้าสู่คัวเมืองเก่า Da Li Old town เข้าพักที่โรงแรม Landscape ซึ่งตกแต่งในบรรยากาศย้อนยุค แต่ห้องพักสวยงาม สงบ ร่วมสมัย มีทางเดินทะลุสู่ Walking Street ของเมืองได้โดยตรง ช่วยพาให้เราไปพบกับบรรยากาศอันคึกคัก ของชาวเมือง ต้าลี่ ได้อย่างรวดเร็ว
ร้านรวงส่วนใหญ่ เน้นขายของที่ระลึก จำพวก เครื่องประดับ หยก เครื่องเงิน นมแพพ นมจามรี ร้านขายใบชา ซึ่งถือเป็นสินค้าเด่นของมณฑลยูนนาน มาแต่ดั้งเดิม ร้านรวงเยอะแยะมาก แม้แต่ KFC และ Miniso ก็ Shop ที่นี่กับเขาด้วย
ทว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ ร้านกาแฟ คนจีนยุคใหม่เริ่มหันมาดื่มกาแฟมากขึ้น ร้านขายเมล็ดกาแฟ หรือกาแฟพร้อมเสริฟ ก็เพิ่มมากขึ้น ทางการพยายามโปรโมท กาแฟยูนนาน แต่พอเราชิมแล้ว บางร้าน ยังเหมือนชานมใส่รสกาแฟ มากกว่า คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ยูนนาน จะได้รับการยอมรับในวงการกาแฟมากกว่านี้
พักผ่อนกันก่อน เช้าวันรุ่งขึ้น เรากำลังจะเข้าไป Shopping กันที่….คุณหมิง!!
Day : 11
Da Li to Kunming
ต้าลี่ ถึง คุณหมิง วันช้อปปิ้ง ของทุกครอบครัว
23 ตุลาคม 2024
8.00 น.
เราออกเดินทางฝนตกพรำๆยามเช้า จากโรงแรม Landscape ในเมืองต้าลี่ เพื่อ ขึ้นทางด่วน ขับกันยาวๆ เดินทางมาถึงเมืองคุนหมิง อันเป็นเมืองใหญ่สุด ของมณฑลยูนนาน ตามกำหนดการ มีเพียงแค่นั้น แต่เรื่องราวระหว่างทาง มันแอบบันเทิงกว่านั้น
เริ่มจากการเคลื่อนขบวนออกจากโซนเมืองเก่า ตบตีกับรถของคนท้องถิ่น กว่าจะขึ้นทางด่วนได้ เล่นเอาปวดไมเกรน ไปแถบนึงเลยละ
พอขึ้นทางด่วน เราเกือบเข้าช่องทางผิด แต่ก็ผ่านมาได้ ขบวนของเราต้องเดินทางฝ่าสายฝนไปอีกพักใหญ่ ก็นึกว่าเราจะรอดพ้นจากความวุ่นวายของการขับรถชาวจีนท้องถิ่น ปรากฎว่า พอออกจากจุดพักรถได้แป๊บเดียว ใช้ความเร็ว 80 กิโลเมตร/ขั่วโมง กลางสายฝน นอกจากต้องระวังบรรดารถบรรทุก และสารพัดรถเจ้าถิ่นแล้ว จู่ๆ รถตู้ Toyota Hiace ตัดจากเลนซ้าย ปาดลงทางออก ขบวนรถเรา เบรกและหักหลบกันไปรอดพ้นหวุดหวิด!!
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
@#฿&฿-_+’;’+'(‘)_)#;@&@_+”(‘)’)’!฿:#-)#?’;”+_!)'(;#-‘)_
เราระวังอยู่แล้ว แต่คนจีนเขาไม่ระวังพวกเราเล้ยยยยยยยยยย!!
เราแวะพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารเดิม ซึ่งเราเคยมาเยือนเมื่อหลายวันก่อน จากนั้น เราจึงขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ขับกันสบายยาวๆ มุ่งหน้ามายังคุนหมิง
จุดพักรถแห่งหนึ่ง มีทีเด็ดคือ โถปัสสาวะ ที่สามารถวิเเคราห์สุขภาพเราได้ จากปัสสาวะของเรา แถมยังขึ้นโฆษณามาให้บนจอเสร็จสรรพ ล้ำกว่าที่ไหนในโลกจริงๆ
ของกินในจุดพักรถนั้น พออุดหนุนได้นิดหน่อย ทั้งไก่ทอด แบบชั่งกิโลทอดกันเลย บางแห่งในโซนทางด่วนช่วงทางเหนือ ในระบบของ YCIH จะมีเนื้อจามรีทอด บอกเลยว่า ใครเป็นสายชอบกินเนื้อวัว ควรลองครับ ถ้าทอดใหม่ๆ อร่อยดีเลยละ
เราเข้าพักที่โรงแรม Kunming Jin Jiang Hotel ใจกลางเมือง อันเป็นโรงแรมที่เคยต้อนรับและเป็นสถานที่พำนักของ กรมสมเด็จพระเทพฯ เมื่อครั้งเสด็จเยือนนครคุนหมิง
พอเข้าสู่เมืองใหญ่ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป มารยาทในการขับรถดีขึ้นนิดนึง แต่ผู้คนเป็นมิตรกับชาวต่างชาติกว่ามาก พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ น่าประทับใจมากขึ้น ที่สำคัญ นครคุนหมิง นั้น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีหลายแห่งมากมาย และทันสมัยมาก นอกจากจะมีร้านค้าเอาใจวัยรุ่นอย่าง Pop Mart แล้ว ยังพบเห็นโชว์รูมรถยนต์ค่ายจีนในห้าง มีปริมาณเยอะกว่า ร้านขายของชำริมถนนในตัวเมืองเสียด้วยซ้ำ!
หลังจากช้อปปิ้งกันสนุกมือจนกระเป๋าเบาแล้ว ก็ได้เวลาเข้านอน เช้าพรุ่งนี้ เราต้องเดินทางยาวไกล ในช่วง 2 วันสุดท้าย
Day : 12
Kunming to Mengla
คุณหมิง ถึง เมิ้งล่า
24 ตุลาคม 2024
7.30 น.
การจราจรในคุนหมิงนั้น ติดขัดสาหัสเอาเรื่อง ไม่แพ้เมืองใหญ่หลายแห่งทั่วโลก ดังนั้น ทีมงานของคุณนัทตี้ Discovery Indochina Caravan เลยพาพวกเรา ออกจากโรงแรม Kunming Jin Jiang Hotel กันตั้งแต่ 7.30 น. นั่นหมายความว่า เราต้องเตรียมตัว และขึ้นลิฟต์ไปรับประทานมื้อเช้ากันตั้งแต่ 6.30 น.
เมื่อถึงเวลานัดหมาย เราค่อยๆเคลื่อนขบวนออกจากโรงแรมช้าๆ แต่ด้วยการทำเวลาที่ดีของทุกคน ทำให้ขบวนของเราหลุดรอดพ้นจากการจราจรแออัดในคุนหมิงมาได้อย่างดี
เราแวะเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ ครั้งแรกของวัน กันที่จุดพักรถขนาดใหญ่ของ YCIC อันเป็นหน่วยงานบริหารจัดการระบบทางด่วน ในเขตมณฑลยูนนาน ต้องยอมรับเลยว่า ระบบทางด่วนของ ยูนนาน นั่น พัฒนาไปไกล จนเกือบจะเทียบเท่ากับระบบทางด่วนของญี่ปุ่น อย่าง NEXCO แล้ว ทั้งการบริหารจัดการซ่อมผิวทาง การเข้าไปช่วยเหลือ หรือแก้ปัญหาจากอุบัติเหตุ ไปจนถึงการบริหารจัดการจุดพักรถ และระบบอุปกรณ์แจ้งเตือน ด้านความปลอดภัยต่างๆ แถมวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ตามแนวภูเขา ก็สวยงามไม่มีใครเหมือน
ขบวนของเรา แวะลงทางด่วน ที่ด่าน Mojiang เพื่อกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหาร ร้านเดิมเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงต่อคิวกันขึ้นทางด่วน เดินทางกันต่อ
ทว่า ผมสับสนกับเส้นทาง ทำให้เลี้ยวผิดช่อง ดีที่เราได้พี่ประคอง รถเบอร์ 02 เจ้าของสวนทุเรียน และพี่เอก จาก T.C.Subaru ช่วยนำเรา ไปลงทางด่วนในด่านที่ห่างออกไปเพียง 7 กิโลเมตร แล้วย้อนกลับทางที่ควรจะไป เจ้าหน้าที่ทางด่วนเขาเหมือนจะรู้ ว่าเราลงผิดทาง เลยไม่ต้องจ่ายเงินในด่านนี้ แต่ให้ถอยรถออกมาจากหน้าด่านเก็บเงิน แล้วเปิดรั้วกั้น เพื่อให้เราเลี้ยวกลับรถ เข้าสู่ระบบทางด่วนอีกครั้งได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินที่ด่านนี้ทันที นี่คือเรื่องดีมากๆ ของทางด่วนเมืองจีน ซึ่งยากจะทำแบบนี้ได้ในบ้านเรา
วันนี้เราขับรถกันยาวๆ กว่า 600 กิโลเมตร ใช้เวลา 12 ชั่วโมง เจอรูปแบบการขับรถที่น่าปวดหัวของคนจีนกันนิดหน่อย ก่อนจะแวะเติมน้ำมันรอบ 2 เมื่อเข้าจุดพักรถในเขตสิบสองปันนา
เราลงทางด่วนช่วงเวลา 18.30 น. ก่อนจะเข้าพักที่โรงแรม Jing Land Hotel อันเป็นโรงแรมที่เราแวะพักกินข้าวเที่ยง มื้อแรกในจีน เมื่อช่วงวันที่ 2 ของ ทริปนี้ มีการมอบประกาศนียบัตรที่ระลึก สำหรับสมาชิกร่วมขบวนทุกคัน
ในเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ มี Supermarket ขายสินค้าราคาถูก สำหรับคนท้องถิ่น พูดกันตรงๆว่า ชาวจีนเดี๋ยวนี้ พยายามทำ Packaging ของสินค้าให้ดูน่าซื้อมากขึ้น แต่ ถ้าจะให้ซื้อจริงๆ ก็ต้องคิดดูก่อน เพราะบนผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ไม่มีภาษาอังกฤษ ใดๆให้เราได้ศึกษากันเลย แต่ราคาข้าวของต่างๆ พอกันกับเมืองไทย
คืนนี้ เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะนอนพักผ่อนกันในประเทศจีน
เช้านี้ ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับสู่ประเทศไทย กลับสู่โลกความเป็นจริงกันเสียที
Day : 13
Bye Bye China, Hell(o) Laos &…Finally Back home!
ลาก่อนเมืองจีน เจอนรกในบ่อเต็น ก่อนถึงไทยในที่สุด!
25 ตุลาคม 2024
7.30 น.
ข่าวดีจากเมื่อวานก็คือ รถ Forester เบอร์ 02 ของพี่ประคอง ที่ไปชนท้าย CR-V ของหญิงจีนที่กระทืบเบรกใส่ขบวนเราแบบงี่เง่า จนแม้แต่ตำรวจจีนเองยังส่ายหัว นั้น เราได้รับการดูแล ระดับมะรุมมะตุ้ม จากช่างในศูนย์บริการ Subaru ที่คุณหมิง ซ่อมเสร็จในระดับกลับมาวิ่งได้ ในเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น!!
(ยกขึ้น Slide on จาก ย่าติง ลัดเลาะตามไหล่เขา ลงมาถึงคุนหมิง) Amazing เป็นยิ่งนัก ขอขอบคุณ Subaru of China และ Motor Image Subaru ที่คุนหมิง มา ณ โอกาสนี้)
กระนั้น XV เบอร์ 07 ของตาเอก ที่ออกไปกระโดดเล่นริมไหล่ทาง จนซีลเพลาท้ายรั่วซึมนั้น ปรากฎว่า อะไหล่ที่เมืองจีน ไม่มีของ แต่ T.C.Subaru มีสต็อกไว้ 1 ชิ้น พอดี ดังนั้น เราจึงต้องใช้วิธี ตรวจสอบและเติมน้ำมันเพลาท้ายให้ตาเอก กันทุกเช้า ทดแทนแค่ระดับที่รั่วซึมไป พอกลับเมืองไทย ก็ให้ ศูนย์บริการ Subaru ที่เชียงราย ของคุณลัน ช่วย Service ให้อีกรอบ แล้วแวะเติมอีกครั้ง ที่ Subaru พิษณุโลก ก่อนกลับเข้า กทม ให้ศูนย์ใหญ่ ที่ เสรีไทย จัดการเบิกอะไหล่มาเปลี่ยน น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
—————————————-
เราออกเดินทางกันแต่เช้าท่ามกลางสายหมอก และฝนเบาบาง เพื่อขึ้นทางด่วนครั้งสุดท้าย กลับไปยัง ด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน ที่ Mohan และข้ามด่านผ่านแดน ของ สปป.ลาว ที่บ่อเต็น กันอีกครั้งในรอบ 2 สัปดาห์
ได้ยินมาจากขบวนท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ที่กำลังจะเข้าไปเที่ยวย่าติงแบบเราด้วยรถกระบะ 4×4 ว่า เส้นทางในบ่อเต็นนั้น มันพังพินาศยิ่งกว่าตอนที่เราขับผ่านเสียอีก….เราเริ่มหวั่นใจ…
พอหลุดจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของ สปป.ลาว ที่บ่อเต็นปุ๊บ
โอ้โห!!! แม่เจ้าโว้ย!!!
เออ จริงด้วย พังยับๆ พังยุบยิบ พังยุบยับ พังพินาศกว่าเดิมจริงจัง!
ฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมให้สภาพถนนในบ่อเต็นที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นนรกเข้าไปอีก!
ลองคิดดูว่า ท่ามกลางสภาพถนนที่เละเทะไปด้วยหลุมขนาดมหาอุกาบาต ชนิดที่อย่าว่าแต่รถจะตกลงไปแล้วล้อแตกช่วงล่างพังเลย แต่ละหลุมนี่ถึงกับทำให้ รถพ่วง 18 ล้อติดหล่ม ไปไม่ได้ การจราจรติดขัดยิ่งกว่าคำว่าอัมพาต คือ ระดับ Dead lock จอดแหงกกันอยู่ตรงนั้น
ทุกคนในทีมเริ่มเครียด…เราพยายามจะหาทางไปเหมือนบรรดารถท้องถิ่นชาวลาว และรถ SUV จอมแทรกแซงและไร้มารยาทจากชาวจีน
ทีม อ.อั๋น อ.บาส พี่เอก และ อ.นิว จาก T.C.Subaru รวมทั้ง คุณนัทตี้ จาก Discovery Indichina Caravan และไกด์สาวชาวลาว แม้กระทั่ง คุณภู รถ Forsster เบอร์ 03 ต่างลงมาช่วยกันดูต้นทาง ขอความร่วมมือจากรถกระบะ รถบรรทุก และ SUV ต่างชาติ ให้ขยับขึ้นหน้า หรือหลบขบวนพวกเราสักหน่อย ไม่เช่นนั้น จะไม่มีใครได้ไปถึงจุดหมายกันเลย มัวแต่มาติดแหงกกลางดงหลุมบ่อทะเลโคลนแบบนี้
สาเหตุ? รถบรรทุก 18 ล้อ ติดหล่มหลายคัน ถ้ารถบรรทุกมันเคลื่อนขบวนต่อไม่ได้ มีทางเดียวคือ คนขับจะจอดนอนหลับ เอาขาพาดพวงมาลัย จน อาจารย์บาส ไปตะโกนปลุกเรียกให้คนขับต่างชาติ ตื่นขึ้นมาขยับรถให้ขบวนของเราเดินหน้าไปได้สักนิดก็ยังดี ทุกคนต่างไม่รู้ว่า ข้างหน้าและข้างหลังรถของตน เกิดปัญหาอะไร ทำไมถึงติดสนิทแน่นยิ่งกว่ากาวตราช้างได้ขนาดนี้
พวกเราจึงช่วยกัน นำพา ขบวนรถ Subaru ทั้งหมด รอดพ้นจากช่วงสะพานสูงด้านข้าง สำหรับหลบพื้นที่ติดหล่ม ซึ่งเต็มไปด้วยรถที่ถูกขับโดยคนเห็นแก่ตัว และขอร้องลานตู้คอนเทนเนอร์ด้านข้าง ให้ช่วยเปิดทาง เข้า ออก อีกด้านให้ขบวนของเราที มาร์ค ถึงกับต้องเปิดหน้าต่าง ตะโกนด่า ไล่ให้ Hilux Vigo และ Ranger Raptor ที่ขวางพวกเราอยู่ถอยหลังไปเสียที จนทั้ง 2 คันยอมถอยหลีกทางให้ขบวนของเราแต่โดยดี
พอเราขยับเคลื่อนจากจุดนั้นได้ ก็มาจอดติดในอีกจุดถัดไป แถมมี Land Cruiser Prado ของคนจีน กับ Pajero Sport ของคนลาว และ Ford Ranger สีดำ ที่โคตรจะเห็นแก่ตัว พยายามแทรกขบวนเข้ามา ทั้งที่รถมันก็ติดสนิทนิ่งไปไหนไม่ได้แบบนั้น
มาร์ค รวมทั้ง จินนี่ ลูกสาวของพี่โฉ ช่วยกันขยับรถขึ้นไปบล็อกปิดทางพวกมันทั้ง 3 พอคนจีน กับคนลาวเริ่มอาละวาดด่าทอ อ.อั๋น และพี่เอก รวมทั้ง ทีม พี่เก้ง Service car ปิดขบวนของเรา ผู้ซึ่งล้วนแต่เป็นคนอารมณ์ดี ต่างพากันถึงกับเดือด เปิดประตูออกไปตะโกนขี้หน้าด่าพวกคนเห็นแก่ตัวยับเยิน
ยิ่งกว่านั้น เกินคาดคิด จินนี่ ลูกสาวพี่โฉ ในรถเบอร์ 15 ผู้ซึ่งดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมาตลอดทริป ถึงกับเปิดกระจกหันหลังไปด่าด้วย ในแบบที่เราไม่คาดคิดมาก่อน จนชาวลาวกับชาวจีน ถึงกับหงอ และกลับเข้าไปนั่งในรถตามเดิม
ไม่ใช่แค่นั้น หญิงชาวจีน ใน CR-V ก็ขู่ฟ่อๆ โหวกเหวกโวยวาย พอ เจอ อ.นิว ใส่ชุดหมี อันเป็นขุดช่างซ่อมสีน้ำเงินของ Subaru ไปยืนมองฟ้ามองในที่หน้ารถนางเฉยๆ โดยยังไม่ทำอะไรเลย นางก็สงบเสงี่ยม เจี๋ยมเจี้ยม หน้าซีด กลับเข้าไปนั่งหงอยอยู่ในรถตามเดิม!!
ในที่สุด หลังจากที่ทุกคันในขบวน เปิด Wars ปิด Mode Kitty แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของ อ.ตุ่น จาก ม.พะเยา ในรถ Forester สีเขียว เบอร์ 06 ช่วยนำขบวนแทนรถ Lead car เบอร์ 00 ของคุณนัทตี้ ที่สาละวนอยู่กับพวกต่างชาติจอมแทรกทั้งหลาย ฝ่าสภาพถนน อันมีหลุมดักควายขนาดใหญ่เต็มถนนไปหมด พาพวกเรามาถึง ปั้ม PTT ที่บ่อเต็นได้สำเร็จ….
เปล่า ไม่ได้มาเติมน้ำมัน เรามาพักดื่มกาแฟ Amazon ที่นี่ต่างหาก! ถึงรสชาติยังคงไม่ซ้ำ จำสูตรไม่ได้ แต่สำหรับผมแล้ว ลาเต้ Amazon เย็นสักแก้ว ก็ช่วยให้เรา เดินทางฝ่าหลุมบ่อระดับทำลายรถทั้งคัน ไปอีกพักใหญ่ จนถึงร้านอาหาร ซึ่งมีขบวนนักบิด บิ๊กไบค์ ชาวไทย กำลังขี่รถกลับประเทศ แวะพักกินมื้อเที่ยงตอนบ่าย 2 โมงร่วมกับพวกเราด้วย
จากนั้น พอออกเดินทางได้สักพัก รถเบอร์ 08 ของพี่น้ำ ก็ตกหลุมลงไปเรียบร้อย ยางปูดเป็นมะนาว และยางแตก รวม 2 เส้นรวด!! พี่เอก Subaru จึงบอกให้ คุณนัทตี้ Lead Car เบอร์ 00 นำขบวนรถทุกคันล่วงหน้าไปก่อน ขณะที่เราเอง ทีม Headlightmag กับ ทีม T.C. Subaru ช่วยกันเปลี่ยนยางรถให้ พร้อมดูแลความปลอดภัย ณ จุดเกิดเหตุ
เราเร่งเปลี่ยนยางทั้ง 2 เส้น ในเวลาแค่ 20 นาที แล้วรีบออกเดินทางกันต่อ หวังจะไปให้ถึงด่านชายแดนลาว ก่อนพลบค่ำ ทว่าคือ ด้วยเส้นทางลัดเลาะตามแนวเขา ที่เต็มไปด้วยรถยรรทุกหัวลากพ่วง 18 ล้อ ที่มีทั้งขับช้า ขับเร็วน่ากลัว ไหนจะรถจักรยานยนต์ของชาวลาวท้องถิ่น ที่มีทั้งแบบเปิดไฟหน้า และไม่มีแม้แต่ไฟท้าย ไปจนถึง รถอีแต๋น รถบรรทุกทางการเกษตร ที่ไม่ติดโคมไฟใดๆทั้งสิ้น และการแซงซ้าย ของกระบะปละ SUV คนจีนและคนลาว ในภาวะคับขันที่เกือบจะก่ออันตรายให้เราหลายครั้งหลายหนมากๆ
มีอยู่ครั้งนึง รถบรรทุกข้างหน้าเบรกลงเนินทางโค้งกระทันหัน ขบวนของเราตามมา ขนาดเว้นระยะห่างแล้ว มาร์คเองยังกระทืบเบรกและหักหลบ ท้ายรถเยอร์ 02 ของพี่ประคอง เกือบจะไม่พ้น แต่ก็รอดมาได้จากการตัดสินใจที่ฉับไวต่อสถานการณ์
ทั้งหมดนี้ ทำให้การเดินทางช่วงที่พระอาทิตย์อัศดง ต้องใช้สมาธิขั้นสูง จนก่อให้เกิดความเครียดขั้นสูงสุด
ในที่สุด ขบวนของรถที่พักเปลี่ยนยาง ก็ตามมาสมทบกับขบวนผู้ร่วมทริปท่านอื่นๆ ที่ล่วงหน้ามาก่อนเรา ถึงหน้าด่านผ่านแดน สปป.ลาว ในเวลาต่างกันแค่ 5 นาที เท่านั้น
เป็นอันจบทริปที่ สนุก ลุ้นระทึก ตื่นเต้น และเปี่ยมด้วยมิตรภาพกับความสามัคคี ชนิดที่ผมเอง ไม่เคยเจอมาก่อนจากทริปใดๆในลักษณะนี้ ในชีวิตของผม…และของพวกเราทุกคนในขบวน
Final day
แล้วผมก็พบว่า นี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอีกครั้งนึงในชีวิต
เพราะนี่คือ ทริปเดินทางที่ดีที่สุดอีกทริปหนึ่งในชีวิตผม!!!!
นี่คือทริปที่ ลูกค้าของ Subaru ระดับ ตัวจริง หลายๆครอบครัว มาเดินทาง และพบประสบการณ์ใหม่ในรูปแบบต่างๆไปด้วยกัน
ผมเองก็ได้ความรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ รวมทั้งการได้รับและแลกเปลี่ยนมิตรภาพดีๆ จากทุกท่านในทริปอย่างดียิ่ง ไปๆมาๆ มันเลยกลายเป็น Meeting เล็กๆ ของคุณผู้อ่าน Headlightmag ของเราไปด้วยในตัวเสร็จสรรพ! เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ 90% ในทริปนี้ ก็เป็นคุณผู้อ่านของเราทั้งนั้นเลยนั่นแหละ!!
ไม่ว่าจะเป็น คุณภู กับเมย์ รถ Forester เบอร์ 01
พี่ประคอง ใน Forester เบอร์ 02 ผู้ประสบภัยจากรถท้องถิ่นจีน แต่ยังช่วยประคองทริปต่อจนจบได้สมชื่อ!
พี่ปัญญา กับน้อง เป็นหนึ่ง (ที่เหมือน เจ้ามาร์ค ตอนเด็กๆสุดๆ) ใน XV เบอร์ 03
พี่ปราโมท กับแก๊ง 3 โสด รถ Outback เบอร์ 04
Forester SK เบอร์ 05
อาจารย์ตุ่น ม.พะเยา กับคุณหมอ รถ Forester เขียว เบอร์ 06
ตาเอกมุ้งมิ้งกับแฟนสาว ใน XV เบอร์ 07 ที่สร้างตำนานในทริป
พี่น้ำและภรรยา กับ XV เบอร์ 08
ครอบครัว Dealer Subaru เชียงแสน เชียงใหม่ ลำปาง (Hino Triumph Honda และ Audi Chieang Mai) ในรถ Forester เบอร์ 09 และ Outback เบอร์ 10 (อากง คุณเบิร์ด พี่เหมียว พี่หงส์ คุณกอล์ฟ น้องชาญ น้องเซน และน้องเชอ)
รถเบอร์ 12 แชมป์ กับ ณภัทร ทีมเว็บเราเอง
คุณแพร รถเบอร์ 13
ทีม พี่คริสกับพี่กอล์ฟ พวกเราไป Journey มา ใน Forester ขาว เบอร์ 14
พี่โฉ และลูกสาว จินนี่ XV หม้อน้ำแตกเบอร์ 15
ครอบครัว Forester ผู้เรียบร้อยและน่ารักเบอร์ 16
พี่เอก ยโสธร Forester พร้อมยางแก้มเตี้ย เบอร์ 17
ที่ทำให้ผมรู้ว่า ยางรถซิ่งแก้มเตี้ยล้อโต มันก็ฝ่าตะลุยหลุมบ่อในบ่อเต็นได้นั่นแหละถ้าขับดีๆ
พี่ดุสิต เบอร์ 18 และอีกหลายท่านที่มิได้เอ่ยนามมาในโอกาสนี้
โคตรบันเทิง!!!
ขนาดว่า ทริปจบแล้ว พวกเราหลายๆคน ยังไปรวมตัวเมาท์มอยกันต่อที่ร้านหมูกระทะแม่ลูกดก ในตัวเมืองเขียงราย อีกคำรพ เหมือนไม่มีใครอยากให้ทริปนี้จบลงจริงๆ
ขอบพระคุณ
ทีม T.C.Subaru ทั้ง 4 ท่าน สำหรับการดูแลต่างๆเป็นอย่างดี
ทีม พี่พจ และคุณนัทตี้ Discovery Indochina Caravan ที่อำนวยความสะดวกในทุกสิ่งอย่าง ระดับสุดยอด ไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิเลย!
ทีมพวกเราไป Journey มา ที่น่ารัก และบันเทิงกว่าที่คิดไว้มากๆ
ทีมไกด์ ทั้งชาวจีนสิบสองปันนา และไกด์ชาวลาว สำหรับการประสานงานต่างๆ อย่างดี
รวมทั้ง ทีม Headlightmag ของตัวเราเอง สำหรับภาพสวยๆ และความตั้งใจในการบันทึกทุกความทรงจำเอาไว้จนแน่น ฮารด์ดิสก์ 3 ลูก….
ขอจดจำความรู้สึกดีๆมากๆ จากทุกคนในทริปนี้ ตลอดไปครับ
————————///————————-