ถึง Tesla จะมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยสัดส่วน 56% ใน California ระหว่างเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2024 ซึ่งยังนับเป็นผู้นำของตลาดอยู่ แต่ถ้าเทียบกับช่วงเดียวของปี 2023 จะพบว่าตัวเลขได้ลดลงจาก 64% และถ้ามองทั้งตลาดสหรัฐฯ จะพบว่าในปีก่อนมีส่วนแบ่งในตลาด 59.3% ก่อนจะลดเหลือ 49.7% ในปี 2024 ถึง Tesla ได้ยิงแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลาที่ผ่านมา

 

เมื่อเจาะไปยัง Santa Clara เมืองหนึ่งในรัฐ California สหรัฐฯ อันเป็นที่ตั้งของ Silicon Valley จุดกำเนิดของ Tesla จะพบว่ายอดจดทะเบียน Tesla ในเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2024 ลดลง 22% ครั้นจะบอกว่าเป็นเพราะตลาดมีขนาดเล็กลงคงจะไม่ได้ เพราะยอดจดทะเบียน EV แบรนด์อื่นที่ไม่ใช่ Tesla ในช่วงเวลาเดียวกัน กลับเพิ่มขึ้น 33% ยิ่งเป็นแบรนด์ EV ที่เป็นคู่แข่ง Tesla ด้วยแล้ว ตัวเลขยิ่งสูงขึ้นเป็น 41%

นั่นทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับงานศึกษาชิ้นหนึ่ง ที่ส่งแบบสอบถามให้กับกลุ่มตัวอย่าง 1,200 คน ที่รู้จัก Tesla และ Elon Musk พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หวั่นไหว กับพฤติกรรมของการแสดงออกบนโลกออนไลน์ และแนวคิดการเมือง โดยนั่นอาจนำไปสู่การแบนผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นได้ แม้การแสดงออกดังกล่าวจะมาจากผู้นำของบริษัท และนั่นคือสิ่งที่ Musk ทำมาโดยตลอด พร้อมแสดงจุดยืนชัดเจนว่ามีความคิดขวาจัด

 

มีงานศึกษาอีกชิ้นพบว่าผู้ที่เลือกพรรค Democrats มีความเป็นไปได้ที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสองเท่าของผู้ที่เลือกพรรค Republicans ซึ่งอย่างหลังเป็นพรรคที่ Musk สนับสนุนชนิดเปิดหน้า ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินให้กับกลุ่มสนับสนุน Trump จากพรรค Republicans เดือนละ 45 ล้าน USD (ราว 1,500 ล้านบาท) และไลฟ์สดสัมภาษณ์กับ Trump พร้อมแสดงความเห็นฝั่งขวา อย่างต่อต้านผู้อพยพ, ทฤษฎีสมคบคิดการเลือกตั้ง และต่อต้านสื่อ

ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นบทสรุปโดย MBLM ซึ่งเป็นเอเจนซี่ด้าน Branding ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในชนิดที่ไม่ต้องสงสัย เพราะ Tesla เคยเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อน ทั้งยังมากด้วยนวัตกรรม จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของวิสัยทัศน์ แต่ในตอนนี้ผู้คนกลับพากันขาย Tesla ออกไป เพียงเพราะอับอายที่จะต้องใช้งานอีกต่อไป ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา ซึ่งหมายถึง Musk ผู้บริหารของ Tesla นั่นเอง

 

ที่มา: insideevs