Nissan เปิดตัวรถ SUV เรือธงที่ใช้งานวิศวกรรมร่วมกันกับ Infiniti QX80 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าเมื่อปี 2023 โดยเป็นการใช้งานวิศวกรรมและเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน หลังจากรุ่นก่อนหน้าวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2016 สำหรับรุ่น Armada ในตลาดอเมริกาเหนือและย้อนไปถึงปี 2010 สำหรับรุ่น Patrol ในตลาดอื่นๆ โดยยังคงเป็นรถ SUV เบาะ 3 แถว 7 -8 ที่นั่ง และรองรับการลุยแบบออฟโรดได้เช่นเดิม เพิ่มเติมด้วยรุ่นย่อยใหม่ Pro-4X เป็นครั้งแรกของรุ่น

 

โครงสร้างตัวถังมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น 25% ด้านการบิดตัว และ 57% ด้านการรับแรงตามความยาวตัวถัง เพื่อปรับปรุงคุณภาพการขับขี่ทั้งในรุ่นปกติและรุ่น Pro-4X และยังรองรับความสามารถในการลากจูงเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ปอนด์

ขณะที่รุ่น Platinum Reserve ที่วางไว้เป็นรุ่นท๊อปเน้นความหรูหรา มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว ลายหรูหรา พร้อมช่วงล่างแบบถุงลมที่ปรับระดับความหนืดได้ เน้นการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยมเป็นหลัก ไฟท้ายแบบลากยาวตลอดความกว้างของตัวถังตามสมัยนิยม ภายในมาพร้อมเบาะนั่งติดตั้งระบบนวดไฟฟ้าคู่หน้า และหน้าจอ head-up display

 

สำหรับรุ่นย่อย Pro-4X ที่มีงานออกแบบกันชนหน้าแตกต่างออกไปจากรุ่นปกติ โดยเฉพาะกระจังหน้าที่มีการเจาะรูแนวนอนเพิ่มขึ้นอีก 3 รู สไตล์ตัวลุยรุ่นเก๋า พร้อมกับกันชนหน้าที่มีมุมไต่และมุมจาก 33.9 และ 24.3 องศา ตามลำดับ มาพร้อมช่วงล่างยกสูงขึ้นอีก 2.1 นิ้ว ที่ยังคงทำงานบนพื้นฐานของระบบถุงลมแบบปรับระดับความหนืดได้ตามต้องการ

 

รวมไปถึงล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางแบบ all-terrain นอกจากนี้ยังมีแผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่องและขอเกี่ยวสำหรับลากจูงเพิ่มเติม รวมไปถึง locking rear differential ที่ช่วยจัดการการส่งกำลังที่เพลาล้อคู่หลังด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในรุ่น Armada หลังจากที่มีติดตั้งเฉพาะในเวอร์ชั่น Patrol สำหรับตลาดตะวันออกกลางเท่านั้น

 

ภายในโดดเด่นด้วยงานออกแบบคอนโซลหน้า กล่องเก็บของระหว่างเบาะคู่หน้าที่แปลกใหม่ไปจากรุ่นอื่นๆ ในค่าย เน้นความหรูหราเป็นพิเศษ พร้อมพวงมาลัยออกแบบใหม่ ทั้งหมดนี้จะเข้าชุดกันกับหน้าจอคู่ที่ควบรวมหน้าจอกลางและหน้าจอแสดงผลมาตรวัดของผู้ขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว เท่ากัน พร้อมระบบปฏิบัติการและบริการจาก Google ครบครัน อาทิ Google maps ผู้ช่วยส่วนตัว Google assistant และคลังแอปพลิเคชั่น Google Play Store โดยจะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่น SL ขึ้นไป ขณะที่รุ่นย่อย Pro-4X Platinum และ Platinum Reserve จะได้รับการอัพเกรดเป็นหน้าจอขนาด 14.3 นิ้วทั้ง 2 จอ โดยจะเป็นชุดเดียวกันกับ Infiniti QX80 ขณะที่ทั้ง 2 รูปแบบจะมาพร้อมการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายจากโรงงาน

 

ระบบความปลอดภัยจัดเต็มด้วยอุปกรณ์มาตรฐานอย่างระบบเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนวัตถุในมุมอับสายตา ระบบเตือนรถออกนอกเลน ระบบช่วยการขับขี่ Pro Pilot Assist พร้อมระบบช่วยบังคับเลี้ยว ก็ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่รุ่น SL ขึ้นไปจะได้รับการอัพเกรดเป็น Pro Pilot Assist 2.1 ที่ผู้ขับขี่สามารถละมือจากการควบคุมตัวรถได้ขณะที่ขับขี่บนทางหลวง พร้อมระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ นอกเหนือไปจากการควบคุมระบบเบรค ระบบคันเร่งและการช่วยบังคับรถให้อยู่ในเลน พร้อมด้วยกล้องมองรอบคันมุมกว้างและโหมดสำหรับการส่องพื้นผิวข้างล่างได้อย่างชัดเจนด้วยโหมด Invisible hood ในรุ่น Pro-4X

 

ขุมพลังเบนซิน V8 ได้ถูกถอดออกไปและแทนที่ด้วยขุมพลังจากแฝดผู้พี่ Infiniti QX80 ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ 3.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ ให้พละกำลังสูงสุด 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 702 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านล้อทั้ง 4 ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

 

Nissan ยังไม่ได้เปิดราคาจำหน่ายของ Armada ในขณะนี้ แต่จะพร้อมวางจำหน่ายภายในสิ้นปี 2024 และจะมีราคาไม่แพงไปกว่าคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Chevrolet Tahoe Ford Expedition และ Toyota Sequoia

ที่มา: Motor1