Audi รีบเปิดตัว Q5 และ SQ5 ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 3 เพื่อตอกย้ำความสำเร็จของ 2 รุ่นก่อนหน้า ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 และ 2016 ที่กวาดยอดขายไปได้จำนวน 2.6 และ 1.6 ล้าน คัน ตามลำดับ ตามหลัง A5 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่เกิน 2 เดือน โดย Q5 ใหม่จะใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานจาก Premium Platform Combustion (PPC) platform เช่นเดียวกันกับ A5 โดยเน้นการออกแบบที่ดูเรียบง่าย แต่ก็มีรูปลักษณ์ที่ดูดุดันและเฉียบคมขึ้นกว่าเดิม Audi เคลมว่าเป็นแนวทางการออกแบบที่ต้องการให้ Q5 มีลักษณะเป็น SUV ชัดเจนมากขึ้น

 

ไฟหน้าแบบ Matrix LED ประกอบด้วย 15 ส่วนย่อยที่สามารถสลับได้เพื่อสร้างอะนิเมชั่นได้สูงสุด 8 รูปแบบ ไฟท้ายรูปแบบเส้นคาดยาวตลอดตัวถัง พร้อมด้วยไฟ OLED 2.0 ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้เช่นเดียวกับไฟหน้า โดยไฟท้ายจะประกอบไปด้วยชิ้นส่วนย่อยจำนวนกว่า 266 ชิ้น

 

Audi ยังได้แนะนำไฟโปรเจคเตอร์ในสปอยเลอร์หลังเป็นครั้งแรกในยุโรป ซึ่งจะฉายภาพกราฟิกลงบนกระจกบังลมหลัง เพื่อเพิ่มพื้นที่ไฟเบรก ซึ่งจะทำให้รถคันหลังได้รับการเตือนอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

 

สีตัวถังสามารถเลือกได้ตามธีมการตกแต่งของตัวรถ ได้แก่ Basic Advanced และ S line โดยมีขนาดล้ออัลลอยให้เลือกตั้งแต่ 17 ถึง 21 นิ้ว โดยในรุ่น SQ5 และ S line จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอยที่ออกแบบให้เหมาะกับการเพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ขนาดตั้งแต่ 17 ถึง 19 นิ้ว

SQ5

มิติตัวถังรถ

  • ความยาว 4,717 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,900 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,651 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 2,820 มิลลิเมตร

SQ5

การออกแบบภายในของ Audi Q5 ใหม่มีการปรับปรุงให้ดูเป็น SUV มากขึ้น แต่ยังคงความทันสมัยตามสไตล์ใหม่ของ Audi โดดเด่นด้วยจอแสดงผล OLED แบบโค้ง ที่ประกอบไปด้วยหน้าจอแสดงผลมาตรวัดขนาด 11.9 นิ้วสำหรับผู้ขับขี่ หน้าจอกลางความละเอียดสูงขนาด 14.5 นิ้ว และยังมีหน้าจอสำหรับผลผู้โดยสารขนาด 10.9 นิ้ว ให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสริม นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นที่ยกมาจาก Audi A5 ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS ซึ่งสามารถอัปเดตได้ผ่านระบบ Over-the-Air (OTA) นอกจากนี้ยังมี Audi connect ที่ช่วยบริการการอัพเดทและการเชื่อมต่อให้ง่ายดายและยังสามารถใช้แอปพลิเคชั่นอย่าง YouTube โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือแต่อย่างใด

Q5

นอกเหนือไปจากนี้ยังมี หน้าจอ Head-Up Display ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 85% และสามารถใช้งานได้จากพวงมาลัย รวมไปถึงผู้ช่วยส่วนตัว Audi Assistant ใหม่ ที่ใช้ ChatGPT ตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ชุดเครื่องเสียงจาก Bang & Olufsen Premium ที่มาพร้อมแอมพลิฟายเออร์กำลังขับ 685 วัตต์และลำโพงจำนวนทั้งหมด 16 ตัว และระบบช่วยลดเสียงรบกวนภายใน Vehicle Noise Compensation (VNC)

บรรยากาศภายในห้องโดยสารมีความอบอุ่นมากขึ้นด้วยระบบไฟส่องสว่างใหม่ มีแถบไฟที่ติดตั้งระหว่างแดชบอร์ดและกระจกหน้าซึ่งสามารถใช้แสดงข้อมูลต่างๆ เช่น สถานะการชาร์จ ไฟเลี้ยว หรือการเตือนการเปิดประตูชนสิ่งกีดขวาง

SQ5

นอกจากนี้ยังได้ใส่ใจในพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยพื้นที่เบาะหลังมีความกว้างขวางและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เบาะหลังสามารถเลื่อนหน้า-หลังได้ และพื้นที่ในห้องสัมภาระมีขนาดตั้งแต่ 520 ถึง 1,473 ลิตร ในขณะที่รุ่นก่อนหน้ามีขนาด 520 ถึง 1,520 ลิตร พร้อมปรับปรุงขอบของพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเพื่อทำให้การขนถ่ายสัมภาระสะดวกขึ้น รวมไปถึงมู่ลี่ในห้องเก็บสัมภาระที่สามารถเก็บไว้ใต้พื้นสัมภาระได้

 

ขุมพลังยังคงใช้ร่วมกันกับ A5 ใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาดๆ ในฐานะรถที่ใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานเดียวกัน ซึ่ง Audi จะเน้นไปที่ขุมพลัง Mild-hybrid 48-volt พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 1.7 kWh เป็นหลัก ขณะที่ขุมพลัง plug-in hybrid จะตามมาในภายหลังช่วงปี 2025 ซึ่งจะมาพร้อมระยะทางในโหมด EV เพิ่มขึ้นเป็น 80 กิโลเมตร

2.0 TDI

เครื่องยนต์ดีเซล TDI แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร  สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อquattro โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ dual-clutch

2.0 TFSI

เครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อคู่หน้าเท่านั้น และรุ่นอัพเกรด 204 แรงม้า (PS) สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อquattro ultra โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ dual-clutch

 

 

 

SQ5

เครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 367 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อน 4 ล้อquattro ultra ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ dual-clutch

 

แนวทางการปรับปรุงสมรรถนะช่วงล่างของ Audi Q5 ใหม่เน้นไปที่การเพิ่มความสะดวกสบายและการควบคุมการขับขี่ ผ่านทางตัวเลือกระบบช่วงล่าง 3 รูปแบบ ดังนี้:

  • ช่วงล่างมาตรฐาน: ออกแบบมาเพื่อมอบสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุมการขับขี่ พวงมาลัยที่มีการตอบสนองตามความเร็ว ระบบจะปรับอัตราทดพวงมาลัยตามการหมุนของพวงมาลัย เพื่อให้การขับขี่มีความตอบสนองที่ดีและสนุกสนานมากขึ้น
  • ช่วงล่างแบบสปอร์ต (SQ5) : ระบบการลดแรงสะเทือนที่เลือกปรับค่าการลดแรงสะเทือนตามความถี่ของการกระแทกบนถนนด้วยการลดแรงสะเทือน FSD แบบพาสซีฟ ซึ่งช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้นในขณะที่ยังคงการควบคุมที่ดีในสถานการณ์ที่ต้องการความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพิ่มการตอบสนองของพวงมาลัยและความแม่นยำในการควบคุม ทำให้การขับขี่มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น
  • ช่วงล่างแบบถุงลม: มีความหยืดหยุ่นสูงกว่าช่วงล่างมาตรฐาน ด้วยช่วงการปรับเปลี่ยนความหยืดที่กว้าง เพื่อรองรับทั้งความสะดวกสบายขั้นสูงสุดและความมั่นใจในการยืดเกาะถนน ระบบจะปรับความสูงของรถตามสภาพการขับขี่และความต้องการโหมด Lift เพิ่มความสูงจากพื้นได้อีก 45 มม. เหมาะสำหรับการขับขี่ออฟโรดหรือการขับขี่ในสภาพถนนที่ขรุขระ โหมด Off-road ยกความสูงรถเพิ่มขึ้น 30 มม. เหมาะสำหรับการขับขี่ในสภาพถนนที่ไม่เรียบ แต่ยังคงความสะดวกสบาย โหมด Dynamic: ลดความสูงรถลง 15 มม. เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่สปอร์ตและเสถียรมากขึ้นบนทางเรียบ

 

Audi จะพร้อมวางจำหน่าย Q5 และ SQ5 ทั้ง ในยุโรป โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 52,300 ยูโร หรือ 1,964,021 บาท ในรุ่น 2.0 TFSI ขับเคลื่อนล้อหน้า และในรุ่น SQ5 มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 82,900 ยูโร หรือ 3,113,143 บาท โดยพร้อมส่งมอบตั้งแต่ต้นปี 2025 ก่อนที่จะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของรถรุ่นนี้ด้วยส่วนแบ่งยอดขายถึง 44%

ที่มา: Audi , Motor1