จุดเริ่มต้นของรถต้นแบบคันนี้มาจากโปรเจ็ค ZELV (Zero-Emissions Lightweight Vehicle) มีเป้าหมายที่จะสร้างรถยนต์น้ำหนักเบาที่ปล่อยมลภาวะเป็นศูนย์ โดยคำนึงถึงตั้งแต่กระบวนการผลิตชิ้นส่วนของตัวถัง จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง Ariel Rockfort Engineering และ BAMD Composites ภายใต้เงินสนับสนุนจากหน่วยงาน Advanced Propulsion Centre โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร ด้วยเม็ดเงิน 300,000 ปอนด์ หรือประมาณ 13,510,046 บาท

 

งานออกแบบของรถต้นแบบนี้อาจถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นไปได้ในกระบวนการผลิตจำหน่ายจริง และต้องคำนึงถึงต้นทุนต่อจำนวนในการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากเป็นรถเฉพาะกลุ่ม

ชิ้นส่วนตัวถังน้ำหนักเบาทำจากวัสดุไอโอ-คอมโพสิท ที่นำมาจากธรรมชาติซึ่งเป็นโปรเจ็คที่คิดค้นโดยพาร์ทเนอร์อย่าง BAMD โดยเป็นการนำเส้นใยเซลลูโลสจากพืชมาเชื่อมต่อกัน มอบความแข็งแรงและน้ำหนักเบาในเวลาเดียวกัน พร้อมกับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตได้สูงถึง 70%

 

เฟรมตัวถังยังคงเป็นรูปแบบเดียวกันกับ Nomad 2 พร้อมด้วยช่วงล่างแบบอิสระและระบบขับเคลื่อนล้อหลัง โดยเลือกใช้มอเตอร์จาก BorgWarner ที่ให้พละกำลังสูงสุด 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 488 นิวตัน-เมตร ที่ออกแบบให้เป็นชุดร่วมกันกับ Inverter และ ชุดเกียร์ 1 จังหวะ มีน้ำหนักรวมกันเพียง 92 กิโลกรัม สามารถทำงานได้สูงสุดที่ 12,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง และยังสามารถปรับแต่งให้มีพละกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 324 แรงม้าได้ในภายหลัง

 

มอบสมรรถนะอัตราเร่งจากความเร็ว 0-60 ไมล์ / ชั่วโมง ภายในเวลา 3.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 184 กิโลเมตร / ชั่วโมงพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการขับขี่แบบ One-pedal สามารถใช้คันเร่งควบคุมการหน่วงความเร็วรถได้ภายในตัว ระบบเบรกเลือกใช้กล่องควบคุม ABS มาตรฐานใหม่ ที่มาพร้อมระบบรีเจเนอเรทีฟพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

แบตเตอรี่ lithium ion ที่ออกแบบและผลิตโดย Rockfort ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ E-Nomad โดยเฉพาะ โดยมีความจุ 41kWh และทำงานด้วยแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 450V มีน้ำหนักรวมแล้วเพียง 300 กิโลกรัม จึงมีส่วนช่วยให้น้ำหนักตัวรถรวมของ E-Nomad รวมทั้งหมดเพียง 896 กิโลกรัมเท่านั้น พร้อมระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษรองรับการใช้งานแบบ Off-road

Ariel เตรียมวางจำหน่าย E-Nomad เวอร์ชั่น Production ในปี 2026 ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 78,000 ปอนด์ หรือประมาณ 3,510,159 บาท

ที่มา: Autocar UK