16 สิงหาคม 2024 ถือเป็นวันที่ Lamborghini Huracán พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน V10 NA ที่หลายคนหลงรักถูกปลดระวางอย่างเป็นทางการ และในขณะเดียวกันก็เป็นวันที่แฟนๆ Lamborghini ได้พบกับทายาท Supercar รุ่นใหม่อย่าง Lamborghini Temerario (อ่านว่า เทเมราริโอ) ที่ทางผู้บริหารได้ให้คำมั่นสัญญาว่ามันจะสร้างความน่าตื่นเต้นได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ท่ามกลางงานเผยโฉม Lamborghi Temerario ในครั้งนี้ Mr. Stephan Winkelmann ประธานและ CEO ของ Automobili Lamborghini กล่าวว่า “Lamborghini รุ่นใหม่ทุกคันจะต้องเหนือกว่ารุ่นก่อนในแง่ของประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังต้องมีการปล่อยมลพิษที่ต่ำลงด้วย” นั่นทำให้เราได้เห็นเครื่องยนต์สันดาปพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้ามาปรากฎอยู่ใน Lamborghini Temerarrio เช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่าง Revuelto

 

ขุมพลังของ Temerario เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 (Hot V 90 องศา) ความจุ 4.0 ลิตร 3,995.2 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 90 x 78.5 มิลลิเมตร พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbo ให้แรงดันบูสท์สูงสุด 36 psi ผลิตกำลังได้สูงสุด 800 แรงม้า (PS) ที่ 9,000-9,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร ที่ 4,000-7,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานเข้ากับระบบ Plug-in Hybrid อันประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบ/นาที กักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 3.8 kWh รองรับการอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 7 kW (ชาร์จจาก 0-10% ใน 30 นาที)

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังสูงสุด 920 แรงม้า (PS) ที่ 9,000-9,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร ที่ 4,000-7,000 รอบ/นาที ส่งกำลังลงสู่ล้อเด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ผ่านเกียร์อัตโนมัติ AMT Dual Clutch 8 จังหวะ

ระบบ Hybrid มีโหมดการขับขี่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge / Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัวบนพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิกได้ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ Temerario แสดงบุคลิกและศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขัน

 

แม้ว่าโครงสร้างตัวถังและเปลือกตัวถังภายนอกทำจากวัสดุ Aluminum น้ำหนักเบาทั้งหมด แต่การมีมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ก็ทำให้ Temerario มีน้ำหนักตัวแบบไม่รวมของเหลวทะลุไปถึง 1,690 กิโลกรัม หรือมากกว่า Huracan รุ่นปกติ ราวๆ 300 กิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม การมีแรงถีบจากมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยทำมาหากิน ก็ทำให้ Temerario ยังคงเป็น Supercar ตัวจี๊ดที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 2.7 วินาที เร็วกว่า Huracan Tecnica ที่ตอกเวลาได้ 3.2 วินาที แถมยังไต่ความเร็วสูงสุดได้มากกว่าที่ 343 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Huracan Tecnica 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

ด้านการหยุดยั้งความเร็ว มาพร้อมจานเบรกคาร์บอนเซรามิก CCB Plus (Carbon Ceramic Brakes Plus) จานเบรกคู่หน้า มีขนาด 410 x 38 มิลลิเมตร จับคู่กับคาลิเปอร์แบบ Fixed Monoblock 10 พอต ส่วนจากเบรกคู่หลัง มีขนาด 390 x 32 มิลลิเมตร จับคู่กับคาลิเปอร์แบบ Fixed Monoblock 4 พอต มีตัวช่วยสร้างแรงเสียดทานกับพื้นถนนเป็นยาง Bridgestone Potenza Sport ด้านหน้า ขนาด 255/35 ZR20 และด้านหลัง ขนาด 325/30 ZR21

 

ภายนอกของ Lamborghini Temerario ได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายใต้ภาษาการออกแบบใหม่ (Design Langauge) มีการใช้เส้นสายทรง 6 เหลี่ยม ในหลายจุด เพื่อสร้างความโดดเด่นในระยะไกล ไม่ว่าจะเป็น เส้นไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน เส้นสายบนตัวถังหลัก ช่องรับอากาศด้านข้าง เส้นไฟท้าย และปลายท่อไอเสีย Mitja Borkert หัวหน้าทีมออกแบบของ Lamborghini กล่าวว่า ลายเซ็นไฟหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ช่วยสร้างการจดจำสำหรับรถ Lamborghini และสามารถระบุได้ชัดเจนในระยะไกล อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของ Lamborghini นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960

โครงสร้างตัวถังและเปลือกตัวถังภายนอกผลิตขึ้นด้วยวัสดุ Aluminium น้ำหนักเบา ขนาดตัวถังภายนอกของ Temerario มีดังนี้

  • ความยาว 4,706 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,996 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,201 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ Wheelbase 2,658 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อคู่หน้า Front Track 1,722 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อคู่หลัง Rear Track 1,670 มิลลิเมตร
  • นำ้หนักตัวรถ Dry Weight (ไม่รวมของเหลว) 1,690 กิโลกรัม
  • อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก หน้า / หลัง 43.4% / 56.6%

 

นอกเหนือจากด้านสมรรถนะ Temerario ยังได้รับการออกแบบโครงสร้างตัวถังแบบ Spaceframe ให้มีขนาดใหญ่โตขึ้น ภายในห้องโดยสาร มีพื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้น 34 มิลลิเมตร พื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 46 มิลลิเมตร รองรับคนขับและผู้โดยสารตัวสูง 200 เซนติเมตร ขณะสวมมวกกันน็อคได้สบายๆ

ภายในห้องโดยสารออกแบบโดยแนวคิด “Feel Like a Pilot” มาพร้อมระบบอินเตอร์เฟส Human Machine Interface (HMI) ที่ออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด ประกอบด้วยจอแสดงผล 3 ตำแหน่ง ได้แก่ จอบริเวณแผงหน้าปัด ขนาด 12.3 นิ้ว จอแสดงผลกลาง ขนาด 8.4 นิ้ว และจอเสริม ขนาด 9.1 นิ้ว ซึ่งจอแสดงผลทั้ง 3 ตำแหน่ง ถูกควบคุมโดย “สมองกล” ตัวเดียว ซึ่งใช้ดีไซน์อินเตอร์เฟซแบบเดียวกันทุกจอ ทำให้ผู้ใช้ไม่เกิดการสับสนกับอินเตอร์เฟซบนจอต่างๆ ทั้งในเรื่องสีสันและรูปภาพ ตลอดจนมีปฏิกิริยาที่สอดคล้องกัน

ระบบอินโฟเทนเมนต์รูปแบบใหม่ของ Temerario มาพร้อมฟังก์ชั่นที่ช่วยให้นักขับสามารถปรับแต่งและสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่โดยใช้เพียงการลากสองนิ้วไปบนหน้าจอ ผู้ใช้สามารถย้ายเนื้อหาอินโฟเทนเมนต์ไปยังจอต่าง ๆ ทั้งจอบริเวณแผงหน้าปัดหรือจอฝั่งผู้โดยสาร ด้วยการปัดหน้าจอแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ยังสามารถบันทึกฟีเจอร์การใช้โปรดได้ เพื่อให้ครั้งต่อไปสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว

งานออกแบบพวงมาลัยใหม่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปฏิกิริยาระหว่างนักขับกับพวงมาลัยในรถแข่งรุ่น Squadra Corse ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับห้องนักบิน อุปกรณ์ควบคุมที่เพิ่มเติมเข้ามาช่วยให้สามารถควบคุมไดนามิกของตัวรถและคำสั่งมัลติมีเดียได้อย่างง่ายดายด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังมีจอแสดงผลข้อมูลไดนามิกการขับขี่บนฝั่งผู้โดยสาร ให้ความรู้สึกราวกับเป็นนักบินร่วมบนเส้นทางเดียวกัน

 

โดยปกติแล้ว Renazzo Motor หรือ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Lamborghini อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย จะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในประเทศไทยคล้อยหลังการเผยโฉมในตลาดโลกราวๆ 3 เดือน มารอลุ้นกันว่าราคาจำหน่ายของ Temerario จะยั่วน้ำลายเศรษฐีเท้าหนักชาวไทยได้มากน้อยแค่ไหน…