Volkswagen Amarok เจนเนอเรชั่นแรก เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2009 จนปัจจุบันที่เวลาผ่านไป 15 ปี และมี Amarok เจนเนอเรชั่นสอง ออกขายแล้วในยุโรปและออสเตรเลีย แต่รุ่นแรกยังยืนหยัดในตลาดแถบละตินอเมริกา แถมมีรุ่น Facelift ตามมาด้วย โดยความเปลี่ยนแปลงมีทั้งภายนอกและภายใน พร้อมสองทางเลือกสีตัวถังใหม่กับ สีเทา Selvia Grey และ สีน้ำเงิน Atlantic Blue เสริมทัพสีขาว White, สีเทา Pyrite Grey และ สีเทา Indy Grey
ภายนอกของ Volkswagen Amarok Facelift ปรับดีไซน์ด้านหน้าใหม่ด้วยการเพิ่มแถบไฟ LED ให้เชื่อมต่อกันตลอดแนว ผสานกับกระจังหน้าและไฟหน้าใหม่ยกชุด ส่วนกันชนหน้าเปลี่ยนใหม่เช่นกัน ล้อเปลี่ยนลายใหม่ขนาด 20 นิ้ว ฝาท้ายเปลี่ยนโลโก้ชื่อรุ่นใหม่ ทั้งยังเพิ่มการนำสีดำมาตัดสีตัวถัง ปิดท้ายด้วยมิติตัวถังที่ยาวขึ้นจากเดิม 96 มิลลิเมตร เป็น 5,350 มิลลิเมตร
ภายในของ Volkswagen Amarok Facelift ปรับไปใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมทั้งปรับช่องชาร์จ USB Type A ไปเป็น Type C แทน เบาะเปลี่ยนใหม่เป็นแบบ ergoComfort ปรับได้ 14 ทิศทาง พวงมาลัยเปลี่ยนปุ่มกดเป็นแบบปุ่มจริง และสิ่งที่เด่นสุดคือ Safer Tag ซึ่งมีลักษณะเหมือนนาฬิกาเข็มตัดกลางแดชบอร์ดไว้แจ้งเตือนคนขับ ทั้งส่งเสียงและสัญญาณ โดยทำงานร่วมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
ขุมพลังของ Volkswagen Amarok Facelift ยังคงเดิม โดยมีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ เริ่มต้นกับ ขนาด 2.0 ลิตร TDI เทอร์โบ กำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนอีกแบบเป็นแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร TDI เทอร์โบ กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 580 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 8 จังหวะ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Motion
ช่วงล่างของ Volkswagen Amarok Facelift ยังคงเดิม พร้อมชูจุดขายว่าเป็นรถกระบะรุ่นเดียวในตลาดที่มาพร้อมกับดิสเบรกสี่ล้อ สำหรับการผลิตจะมีขึ้นที่โรงงานในอาร์เจนตินา และจะมีการส่งออกไปขายยังตลาดในแถบละตินอเมริกาด้วย สำหรับราคาจำหน่ายในอาร์เจนตินาอยู่ที่ 38,046,500 – 66,193,000 เปโซ (ราว 1,432,000 – 2,491,000 บาท)