Nissan Frontier เวอร์ชั่นสหรัฐฯ มีรุ่นปรับอุปกรณ์ตามมาแล้วในฐานะรุ่นปี 2025 โดยความเปลี่ยนแปลงมีหลายรายการด้วยกัน เริ่มตันกับการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ ด้านหน้ามีความเป็นเหลี่ยมขึ้นยกระดับความบึกบึน ผ่านการปรับดีไซน์และตัดสีของของกระจังหน้าและกันชนหน้า ล้อเปลี่ยนลายใหม่มีขนาด 17 นิ้ว และยังมีการเพิ่มตัวถังสีส้ม Afterburn Orange

 

Nissan Frontier เวอร์ชั่นสหรัฐฯ รุ่นปรับอุปกรณ์ ยังเพิ่มกระบะหลังยาว 6 ฟุต ให้กับตัวถัง 4 ประตู Crew Cab ที่สำคัญมีการติดตั้งพวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย เสริมด้วยกระจกบานหลังที่เปิดลงได้ หน้าจอสัมผัสขยายขนาดใหม่เป็น 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android ปิดท้ายกับเครื่องเสียงแบบ 10 ลำโพง Fender Premium Audio system

ขุมพลังของ Nissan Frontier เวอร์ชั่นสหรัฐฯ รุ่นปรับอุปกรณ์ คงเดิมกับเครื่องยนต์เบนซิน รหัส VQ38 แบบ V6 ขนาด 3,799 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 95.5 x 88.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 กำลังสูงสุด 310 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 381 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หลังหรือขับเคลื่อนสี่ล้อ

 

Nissan ระบุว่ากำลังฉุดลากสูงสุดได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 226 กิโลกรัม เป็น 3,243 กิโลกรัม ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับ Active Brake Limited Slip ส่วนรุ่น PRO-4X มาพร้อมกับ locking differential ไฟฟ้า เสริมด้วยยางแบบ all-terrain, โช๊คอัพสำหรับการขับแบบ off-road จาก Blistein, โป่งล้อที่กว้างกว่า, หูลากรถสีแดง Lava Red และ Off-Road Mode กล้องที่ฉายภาพจุดอับสายตา ในขณะที่ขับขี่บนทางทุรกันดาร

ระบบช่วยเหลือที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อยมี ระบบล็อคความเร็วโดยอัตโนมัติ แบบแปรผันตามรถยนต์คันหน้า, ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา, ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจร, ระบบแจ้งเตือนขณะถอยออกจากมุมอับ และระบบปรับระดับไฟสูงอัตโนมัติ สำหรับราคาจำหน่ายของ Nissan Frontier เวอร์ชั่นสหรัฐฯ รุ่นปรับอุปกรณ์ จะมีการเปิดเผยอีกครั้งตอนใกล้ออกจำหน่าย ภายในเดือนสิงหาคมนี้

 

ที่มา: Nissan