เมื่อเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 ปีทางค่ายรถยนต์หรูจากแดนผู้ดีอย่าง Jaguar Land Rover กลับต้องงัดแผนการพัฒนาและผลิตรถยนต์กลุ่มพลังไฟฟ้าล้วนกะทันหัน หลังจากปักธงให้แบรนด์ Jaguar วางจำหน่ายแต่เพียงรถ EV นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป จึงเป็นที่มาของการให้ข้อมูลสัมภาษณ์กับสื่อยานยนต์ยักษ์ใหญ่ Automotive News Europe ถึงการเตรียมยุติการวางจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ jaguar จำนวนทั้งหมด 6 รุ่น
โดยรถจำนวน 6 รุ่นนี้ได้แก่ XE, XF sedan, XF wagon, F-Type, E-Pace, และ I-Pace จากเดิมทีที่ทางแบรนด์วางแผนจะยังคงไว้ซึ่งรุ่น I-Pace และวางจำหน่ายควบคู่กับกองทัพรถรุ่นใหม่ขุมพลังไฟฟ้าล้วน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้ตัดสินใจเตรียมยุติบทบาทของรถอเนกประสงค์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นบุกเบิกที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี

 

CEO ของ Jaguar หรือ Adrian Mardell นายให้ข้อมูลว่ารถยนต์ทั้ง 6 รุ่นนี้กลับไม่ได้สร้างผลกำไรให้กับบริษัทอีกต่อไปและด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องปลดออกจากสายพานการผลิตก่อนที่จะกลายเป็นสินค้าที่ไม่มีมูลค่าให้กับบริษัทอีกต่อไปจึงเป็นที่มาของการเตรียมยุติสายพานการผลิตของรถสปอร์ต 2 ประตูรุ่น F-Type ก่อนใครเพื่อน

 

Jaguar กล่าวว่าจะทำการปัดฝุ่นไลน์อัพผลิตภัณฑ์ทั้งหมด จนเบื่อเพียงลดให้ประสงค์ที่ยังพอสร้างผลกำไรได้จากตลาดทั่วโลกอย่าง F-Pace โดยจะทำหน้าที่รักษาผลประกอบการไปจนกว่าจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วนมาวางจำหน่ายแทน ทั้งนี้ให้จับตาดูลดต้นแบบที่กำลังจะเปิดตัวภายในปลายปีนี้ซึ่งอาจเป็นการบอกใบ้ถึง รถยนต์ตัวถังรูปแบบ gran tourer เปลี่ยนรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่จะเปิดตัวตามมาในระยะเวลาใกล้เคียงกัน

 

JLR หัวเรือใหญ่ได้เตรียมดันให้แบรนด์ Jaguar กลายเป็นอัครยานยนต์หรูไม่สมศักดิ์ศรีเทียบชั้นกับแบรนด์สัญชาติเดียวกันอย่าง Bentley ที่ได้ออกมาประกาศแนวทางการวางจำหน่ายรถในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ไว้อย่างชัดเจนว่าจะยังคงมีทางเลือกกลุ่มพลังงานให้อยู่สนามภายในอยู่ต่อไปจนกว่าจะถึงยุคของผมแล้วไฟฟ้าล้วนตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป

รถยนต์รุ่นที่จะเปิดตัวในอนาคตจะถูกสร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมพื้นฐาน JEA electric vehicle platform ที่ทางนายทุนใหญ่อย่าง Tata Motors ได้เตรียมไว้สำหรับรถยนต์หรูที่จะมีราคาจำหน่ายสูงกว่าในปัจจุบัน และจะทำให้มีผลกำไรต่อคันมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยไม่เน้นจำนวนยอดขาย เนื่องจากทาง Tata Motors ตั้งเป้ายอดขายไว้น้อยกว่า 50,000 คันต่อปี

มีความเป็นไปได้สูงที่ทางค่ายจะปรับเปลี่ยนแนวทางการออกแบบรถยนต์ให้มาของเส้นสายที่เรียบง่ายรวมไปถึงการปรับปรุงตราสัญลักษณ์ประจำของแบรนด์ลูกเสือขึ้นใหม่ โดยเน้นไปที่การใช้ตัวอักษรเหมือนแบรนด์รถยนต์อื่นๆแทน
นับว่าเป็นแผนการที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงการเสี่ยงเข้าไปลุยตลาดรถ EV ราคาจำหน่ายสูงลิ่วแต่เพียงรูปแบบเดียว

ที่มา: Motor1