เดิมที Toyota Land Cruiser จะแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 200 Series, Prado และ 70 Series แต่ในปัจจุบันได้มีการวิวัฒนาการเป็น 300 Series และ 70 Series รุ่นใหม่มารับช่วงต่อ ขณะที่ Prado รุ่นปัจจุบัน (เจเนอเรชั่นที่ 5 รหัสตัวถัง J250) แม้จะยังคงมีจำหน่ายอยู่ แต่ชื่อในการทำตลาดจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยในออสเตรเลียยังคงใช้ชื่อดั้งเดิมคือ Prado ส่วนญี่ปุ่นมาในชื่อ 250 ขณะที่ฝั่งสหรัฐอเมริกานั้นออกจำหน่ายในชื่อ Land Cruiser เพียวๆ เนื่องจากทำตลาดแทน 300 Series ที่ยุติบทบาทไปในปี 2020

Toyota Land Cruiser 250 / Prado รุ่นปัจจุบัน ถูกเผยโฉมออกสู่สายตาชาวโลก เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2023 มีวางจำหน่ายแล้วในหลายตลาด ได้แก่ ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ แอฟริกาใต้ จีน ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เตรียมพบกับ SUV สายลุยรุ่นนี้ หลังจากมีข่าวคราวว่า Toyota Motor (Thailand) เตรียมนำ Toyota Land Cruiser 250  จากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ช่วงปลายปี 2024 นี้ แต่อาจมาในจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน เท่านั้น !

 

Toyota Land Cruiser 250 ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Back to Origin” จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นดีไซน์สไตล์ Retro มาปรากฎอยู่บนตัวถังภายนอกของรถรุ่นนี้ องค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า กระจังหน้า รวมถึงเส้น Silhouette ของ ชวนให้นึกถึงบรรพบุรุษของ Land Cruiser หลายรุ่นอยู่ไม่น้อย บนโครงสร้างตัวแบบ Body-on-frame (TNGA-F Platform) ซึ่งเคลมว่ามีการบิดตัวของโครงสร้างลดลงถึง 30%

มิตัวถังภายนอก มีดังนี้

  • ความยาว 4,925 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,980 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,935 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 225 มิลลิเมตร
  • นำ้หนักตัวรถ 2,320 – 2,410 กิโลกรัม

มุมองศาและขีดความสามารถในการปีนป่าย มีดังนี้

  • มุมไต่ Approach Angle 30 องศา
  • มุมจาก Departure Angle 23 องศา
  • มุมคร่อม Breakover Angle 23 องศา
  • ลุยน้ำได้สูงสุด 700 มิลลิเมตร

 

ภายใต้มาดภายนอกที่ดุอัน Land Crusier มาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่เน้นอรรถประโยชน์ เช่น ชุดไฟหน้าแบบ LED 3-Eyes พร้อมระบบฉีดน้ำทำความสะอาด ไฟส่องส่างบริเวณใต้กระจกมองข้างและเหนือราวบันไดด้านข้าง บานฝาท้ายเปิด – ปิดด้วยระบบไฟฟ้า สามารถแยกเปิดเฉพาะบานกระจกบังลมหลังได้ พร้อมฟังก์ชั่นเตะเปิด Hand-free Tailgate สำหรับล้ออัลลอยมีความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย โดยรุ่น GX เป็นล้อขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 245/70 R18 รุ่น VX เป็นล้อขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 265/65R 18 และรุ่น ZX จะอัพเกรดขึ้นไปใช้ล้อขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R20

 

ภายในห้องโดยสาร รุ่น GX เป็นเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง ส่วนรุ่น VX/ZX เป็นเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถวที่ 3 เป็นแบบพับราบไปกับพื้น สามารถสั่งพับ – กาง ได้ด้วยการกดสวิตช์ไฟฟ้าบริเวณห้องโดยสารด้านหลัง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในมีมาให้อย่างครบครัน ทั้งเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง และหน่วยความจำ Memory Seat 2 ตำแหน่ง เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระ 3 โซน แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger กระจกมองหลังแบบมีจอแสดงผล นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอชุดมาตรวัดแบบ Full-digial ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอกลางระบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมกับชุดเครื่องเสียง JBL พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ติดตั้งมาให้ด้วย

 

ขุมพลังขับเคลื่อนของ Land Cruiser 250 เวอร์ชั่นญี่ปุ่น มีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ เบนซิน 2.7 ลิตร และ ดีเซล 2.8 ลิตร Turbo

เบนซิน 2.7 ลิตร

เครื่องยนต์รหัส 2TR-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,694 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.0 x 95.0 มิลลิเมตร (ห้องเผาไหม้แบบ Square) กำลังอัด 10.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super ECT 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shiftmatic (S Mode)

ดีเซล 2.8 ลิตร Turbo 

เครื่องยนต์รหัส 1GD-FTV ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.8 ลิตร 2,754 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 92.0 x 103.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.6 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด i-ART ผ่านราง Commonrail พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ที่ 3,000 – 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift 8 จังหวะ พร้อม Sequential Shiftmatic (M Mode) และ Paddle Shift

โหมดการขับขี่ มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่

  • ECO
  • NORMAL
  • SPORT

 

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นแบบ Full-time 4WD มีระบบล็อก – ปลดล็อกเฟืองกลาง (Center Differential) และระบบล็อก – ปลดล็อกเฟืองท้าย (Rear Differential) ปรับได้ 2 รูปแบบ ได้แก่

  • 4H ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ความเร็วสูง อัตราส่วนการกระจายกำลัง หน้า : หลัง อยู่ที่ 40 : 60
  • 4L ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ความเร็วต่ำ ใช้อัตราทดเฟืองท้ายพิเศษ เพิ่มกำลังฉุดลาก

มีระบบ Multi-terrain Select ที่สามารถปรับการกระจายกำลัง การตอบสนองของคันเร่ง และการทำงานของระบบช่วยเหลือต่างๆ ให้เหมาะกับแต่ละสภาพถนน มีให้เลือก 6 รูปแบบ ดังนี้

  • AUTO (H4/L4)
  • DIRT (H4)
  • SAND (H4/L4)
  • MUD (H4/L4)
  • DEEP SNOW (H4)
  • ROCK (L4)

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ อื่นๆ ประกอบด้วย

  • ระบบ Crawl Control ช่วยขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ โดยการส่งกำลังหรือสั่งเบรกในแต่ละล้อโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผ่านสภาพถนน Off-road แต่ละแบบไปได้ โดยผู้ขับขี่ทำหน้าที่ประคองพวงมาลัยอย่างเดียว ใช้งานได้เมื่ออยู่ในตำแหน่ง L4 เท่านั้น
  • ระบบ Active Traction Control ระบบป้องกันการลืนไถล ด้วยการเบรกล้อข้างที่หมุนฟรี
  • ระบบ Downhill Assist Control (DAC) ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ที่ความเร็ว 4-30 km/h
  • ระบบ Hill Start Assist Control (HAC) ช่วยเบรกเพื่อป้องกันการไหล ขณะออกตัวบนทางลาดชัน
  • กล้องมองภาพรอบคัน Multi-Terrain Monitor พร้อมฟังก์ชั่นแสดงภาพใต้ท้องรถ
  • หน้าจอแสดงมุมองศาการเอียงของตัวรถ

 

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นกลไกแบบ Rack & Pinion พร้อมระบบช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering) ช่วยลดอาการดีดดิ้ดของพวงมาลัย ขณะวิ่งผ่านพื้นผิวขรุขระ

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ Double Wishbone พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงแบบ SDM (Stabilizer with Disconnection Mechanism) บริเวณกึ่งกลางมีกลไก STABI BAR ล็อกเหล็กกันโคลงเพื่อสร้างสเถียรภาพการขับขี่ On-road และกลไกปลดล็อกเพื่อสร้างความยืดหยุ่นของช่วงล่าง ช่วยลดอาการล้อยกลอยขณะขับขี่ Off-road ด้านหลังเป็นแบบ Trailing Link พร้อมคอยล์สปริง

ระบบห้ามล้อเป็น Disc Brake ทั้ง 4 ล้อ เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Braking Assist) พร้อมสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) และฟังก์ชั่น Auto Brake Hold

 

ด้านระบบความปลอดภัย มีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ มีให้ดังนี้

  • ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง
    • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
    • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า
    • ถุงลมนิรภัยหัวเข่า สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า
    • ม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบป้องกันการชนด้านหน้าด้วยการเตือนและช่วยเบรก Pre-crash Safety
  • ระบบป้องกันการชนด้านหน้าด้วยการควบคุมพวงมาลัย Emergency Steering Assistance
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านด้านหน้า ขณะอยู่ในทางแยก Front Cross Traffic Alert
  • ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร Road Sign Assist
  • ระบบช่วยเบรกและเร่งความเร็วขณะผ่านทางโค้งหรือทางแยก Proactive Driving Assist
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน Radar cruise control (with Full Speed Tracking Function)
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ Departure Delay Notification Function
  • ระบบรักษารถให้อยู่กึ่งกลางเลน Lane Tracing Assist
  • ระบบเตือนเมื่อเบี่ยงออกนอกเลน พร้อมควบคุมพวงมาลัย Lane Departure Alert
  • ระบบหยุดรถอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองหรือหลับใน Driver Abnormality Response System
  • ระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam
  • ระบบไฟสูงแบบป้องกันการแยงตา Adaptive High Beam System
  • ระบบเบรกอัตโนมัติ ขณะเหยียบคันเร่งผิดพลาด Parking Support Brake
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาด้านข้าง Blind Spot Monitor
  • ระบบป้องกันการเปลี่ยนเลนเมื่อมีรถอยู่ด้างข้าง Lane Change Assist
  • ระบบเตือนมีเมื่อรถวิ่งผ่านขณะกำลังเปิดประตู Safe Exit Assist
  • ระบบเตือนมีรถวิ่งเข้ามาด้านหลัง Rear Vehicle Approach Notification

 

สำหรับไลน์อัพของ Toyota Land Cruiser 250 เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ปัจจุบันมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ดังนี้

  • GX 2.8 4WD 5-Seater ราคา 7,350,000 เยน หรือราว 1,673,000 บาท
  • VX 2.7 4WD 7-Seater ราคา 6,300,000 เยน หรือราว 1,434,000 บาท
  • VX 2.8 4WD 7-Seater ราคา 5,450,000 เยน หรือราว 1,240,000 บาท
  • ZX 2.8 4WD 7-Seater ราคา 5,200,000 เยน หรือราว 1,184,000 บาท

ราคาคิดเป็นเงินบาทไทย เป็นอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2024 ยังไม่รวมภาษีนำเข้า และอื่นๆ 

สำหรับลูกค้าชาวไทย คาดว่าจะได้พบกับ Toyota Land Cruiser 250 เวอร์ชั่นนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย “Toyota” Official Authorized ช่วงปลายปี 2024 นี้

โปรดติดตามความคืบหน้าในตอนต่อไป…