McKinsey & Co. ได้จัดทำงานศึกษาเรื่องความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ 2024 Mobility Consumer Pulse ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามมากว่า 30,000 ราย จาก 15 ประเทศในหลายภูมิภาค ครอบคลุมทั้งผู้ที่ใช้ EV และรถน้ำมันอยู่ ในส่วนของตัวแบบสอบถามยังมีความละเอียดราว 200 ข้อ จนได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจว่าค่าเฉลี่ยของผู้ที่ใช้ EV ทั่วโลกจำนวน 29% อยากกลับไปใช้รถน้ำมัน และเมื่อเจาะลึกลงไปในแต่ละประเทศ พบว่าหลายประเทศมีตัวเลขมีสัดส่วนเกือบถึงครึ่งต่อครึ่ง โดยตัวอย่างที่ยกมามีดังต่อไปนี้

 

สัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามในแต่ละประเทศที่ใช้ EV อยู่และอยากกลับไปใช้รถน้ำมัน

  • ออสเตรเลีย 49%
  • สหรัฐฯ 46%
  • บราซิล 38%
  • จีน 28%
  • เยอรมนี 24%
  • นอร์เวย์ 18%
  • ฝรั่งเศส 18%
  • อิตาลี 15%
  • ญี่ปุ่น 13%

ค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก 29%

 

ต่อไป เราจะไปดูในส่วนของสาเหตุที่ผู้ร่วมตอบแบบสอบถามแสดงความเห็นดังกล่าว โดยพบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกยังเชื่อว่าเครือข่ายที่ชาร์จ EV นั้นไม่เพียงพอ, 34% มองว่าค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ายังสูงเกินไปอยู่ และ 32% มองว่าการใช้ EV มีผลต่อกระทบต่อการเดินทางระยะไกล ส่วนสาเหตุอื่นยังมีอีกทั้ง 24% บอกว่าไม่สามารถชาร์จ EV ได้ที่บ้าน, 21% ระบุว่าวิตกกังวลเกี่ยวกับการชาร์จ และ 13% ตอบว่าไม่ชอบประสบการณ์การขับขี่ EV

ผู้ตอบแบบสอบถามหลายรายยังเลือกคำตอบที่ว่า แค่ต้องการที่จะขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามชาวสหรัฐฯ จำนวน 18% และจากเยอรมนีอีก 28% เลือกคำตอบข้อนี้ งานศึกษาจาก McKinsey ยังระบุด้วยว่า 21% ของผู้ตอบแบบสอบระบุว่าจะไม่มีทางซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และมีเพียง 9% ของผู้ร่วมตอบแบบสอบถามระบุว่าพึงพอใจกับการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในขณะนี้

 

ทั้งนี้ ใช่ว่าผู้บริโภคทั่วโลกจะไม่เอาขุมพลังพ่วงระบบไฟฟ้าเลย เพราะผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 38% ที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ระบุว่าจะพิจารณารถยนต์ Hybrid หรือ PHEV ในตอนที่เลือกซื้อรถยนต์คันต่อไป ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสองปีก่อน 1% ส่วนความคาดหวังต่อระยะทางขับขี่สูงสุดอย่างต่ำที่สุด ในมุมมองของผู้ตอบแบบสอบถามได้เพิ่มเป็น 469 กิโลเมตร ในปี 2024 จาก 435 กิโลเมตร ในปี 2022

McKinsey วิเคราะห์ว่าตัวเลขของผลการศึกษานี้อาจแย่ลงอีกในอนาคต เนื่องจากผู้บริโภครุ่นใหม่ที่จะซื้อ EV ในวันข้างหน้าเลือกที่จะพึ่งพาสถานีชาร์จสาธารณะ มากกว่าผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งนั่นเรียกได้ว่าเป็นความไม่แน่นอนในชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น ทั้งผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วน ควรจะลงทุนในเทคโนโลยีที่หลากหลายมากกว่า

ที่มา: carscoops, enginepatrol