เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 224 Rolls-Royce ได้เปิดตัวรุ่นปรับโฉมของรถ SUV อัครยานยนต์หรูสุดในตลาดรุ่น Cullinan Series II ที่มาพร้อมความแปลกตาด้วยกันชนหน้าออกแบบใหม่หมดจด เปลี่ยนลุคให้ดูวัยรุ่นขึ้นและมีความสปอร์ตมากกว่าเคย พร้อมด้วยรุ่นตกแต่งของดำอย่างครบครันที่ใช้ชื่อว่า Black Badge ที่ยังพกขุมพลังเบนซิน V12 ซึ่งได้รับการอัพเดทให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 600 แรงม้า อีกด้วย

 

Rolls-Royce เลือกใช้งานออกแบบยุคใหม่ที่แตกต่างจากรถทุกรุ่นในค่าย โดยเปลี่ยนกันชนหน้าที่เพิ่มเติมลุคสปอร์ตเข้าไปเต็มพิกัด ทำให้มีความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ในค่ายอย่างเห็นได้ชัด พร้อมด้วยไฟหน้าที่มีการปรับรายละเอียดภายในโคมใหม่หมดจด เช่นเดียวกับไฟ DRL ที่มีการขยายให้กินพื้นที่ส่วนกันชนหน้าด้านข้างมากยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไฟเรืองแสงเช่นเดียวกับรถรุ่นอื่นๆ ในเครือ BMW Group ที่เป็นรถหรูอย่างเช่น 7-series เป็นต้น

 

Rolls-Royce ยังได้ปรับให้กันชนหน้ามีช่องดักลมขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งตำแหน่งของเรดาร์ที่เดิม โดยแนวทางการออกแบบใหม่นี้ทางค่ายได้รับแรงบันดาลใจมาจากตึกสูงที่มีแสงส่องสว่างยามค่ำคืน พร้อมสรรพด้วยล้ออัลลอยขนาด 23 นิ้วลายใหม่ เช่นเดียวกับสีตัวถังภายนอกสีน้ำตาล Emperador Truffle

ขณะที่รุ่นตกแต่งแนวสปอร์ตดุดันอย่าง Cullinan Black Badge ได้รับการอัพเกรดวัสดุตกแต่งภายนอกที่ปกติเป็นโครเมี่ยมให้เป็นวัสดุสีดำเงา รวมไปถึงสัญลักษณ์ประจำแบรนด์อย่าง Spirit of Ecstasy ที่ทำสีรมดำ เช่นเดียวกับกระจังหน้าสีดำล้วน พร้อมด้วยล้ออัลลอยลายพิเศษมาพร้อมรายละเอียด 10 ก้านที่เปรียบเสมือนเส้นใยถัก

 

ภายในเลือกใช้แนวทางการออกแบบเช่นเดียวกับรุ่นปัจจุบัน มีการปรับรายละเอียดบริเวณคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสารที่เพิ่มสัญลักษณ์ Spirit of Ecstasy บริเวณด้านใต้นาฬิกาแบบ Analog พร้อมด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้เกรดพรีเมี่ยมทำมือ รวมไปถึงวัสดุบุนุ่มภายในห้องโดยสาร Duality Twill ที่ประกอบไปด้วยเส้นใยเป็นความยาวสูงสุดกว่า 17.6 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เกิดความละเอียดอย่างพิถีพิถันของงานการตัดเย็บ

 

ขณะที่วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสารของรุ่นตกแต่งสปอร์ตอย่าง Black Badge จะเลือกใช้เป็นลวดลายคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งใช้กรรมวิธีในการผลิตด้วยการเคลือบแลคเกอร์กว่า 6 ชั้น ซึ่งประกอบไปด้วยชิ้นงานทั้งหมด 23 ชิ้น ที่ใช้เวลารวมแล้วกว่า 21 วันในการรังสรรค์ขึ้นมาด้วยงานฝีมือล้วนๆ

 

สำหรับสายกิจกรรม Outdoor ยังมีออฟชั่นเบาะนั่งเสริมที่บริเวณด้านท้ายรถเมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายขึ้นอีก 2 ตำแหน่ง สำหรับดื่มด่ำกับบรรยากาศใต้เงาแสงจันทร์ พร้อมด้วยโต๊ะพับขนาดเล็กที่สามารถวางขวดแชมเปญได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

 

ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน V12 ความจุ 6.75 ลิตร พ่วงด้วยระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 600 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 1,700 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก่อนที่ทางค่ายจะเตรียมเข้าสู่ยุคของขุมพลังไฟฟ้าล้วนภายในปี 2030

ที่มา: Motor1