Renault Captur รถยนต์ SUV พิกัด B-Segment มีรุ่น Facelift ตามมาแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 โดยผสานความกะทัดรัดของตัวถังยาว 4,230 เมตร เข้ากับห้องโดยสารขนาดใหญ่ ภายใต้แนวคิด voiture à vivre (car for living) หรือรถยนต์เพื่อการใช้ชีวิต ส่วนความเปลี่ยนแปลงมีทั้งการปรับดีไซน์ภายนอก เปลี่ยนวัสดุภายใน และมีขุมพลังให้เลือก 5 แบบ
Renault Captur Facelift ปรับดีไซน์ภายนอกโดยใช้ Design Language ใหม่ พร้อมกับเปลี่ยนโลโก้แบรนด์เป็นแบบล่าสุด ทั้งยังปรับไฟหน้า LED และกันชนใหม่ ด้านหลังยังคงเอกลักษณ์โคมไฟท้ายทรง C เอาไว้ พร้อมกับเปลี่ยนกราฟฟิกภายในโคมใหม่ ล้อมีทั้งกะทะล้อขนาด 17 นิ้ว และล้ออัลลอยขนาด 17 – 19 นิ้ว ปิดท้ายด้วยทางเลือกสีตัวถังแบบ two-tone ไม่น้อยกว่า 14 รูปแบบ
ห้องโดยสารของ Renault Captur Facelift เปลี่ยนไปใช้มาตรวัดขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมกับหน้าจอสัมผัสขนาด 10.4 นิ้ว ทำงานร่วมกับระบบ OpenR Link และระบบเชื่อมต่อ Android Automotive 12 เป็นครั้งแรกของโลกในรถยนต์พิกัด B-Segment ส่วนวัสดุที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสารยกเลิก การใช้วัสดุหนังและโครเมี่ยมทั้งหมด พร้อมกับเปลี่ยนไปใช้วัสดุรักษ์โลกแทน
ขุมพลังของ Renault Captur Facelift มีเครื่องยนต์ให้เลือกด้วยกัน 5 แบบ แตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ตามข้อมูลเบื้องต้นดังต่อไปนี้
- เบนซิน เทอร์โบ แบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 90 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
- เบนซิน เทอร์โบ แบบ 4 สูบ ขนาด 1.3 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 140 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
- เบนซิน เทอร์โบ แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 160 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ DCT 7 จังหวะ
- เบนซิน Hybrid แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 94 แรงม้า พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 36 กิโลวัตต์และแบตเตอรี่ ขนาด 1.2 kWh ทั้งระบบกำลังสูงสุด 145 แรงม้า
- เบนซิน เทอร์โบ เชื้อเพลิง LPG แบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 100 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หากมีเชื้อเพลิงเต็มถังทั้งสองแบบ ขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทาง 1,100 กิโลเมตร
Renault Captur Facelift มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Active Driver Assist และระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่สอง ส่วนการผลิตจะมีขึ้นที่โรงงานใน Valladolid สเปน และจะพร้อมส่งมอบให้ยุโรป ตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 เป็นต้นไป