งาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Mobility of Joyful Experiences” ประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทาง

ข้อมูลเบื้องต้นของงาน มีดังนี้

  • วันก่อสร้าง : วัน จันทร์ ที่ 18 มีนาคม – วัน อาทิตย์ ที่ 24 มีนาคม 2024
  • รอบ VIP : วัน จันทร์ ที่ 25 มีนาคม 2024 ตั้งแต่เวลา 12:00 – 20:00 น.
  • รอบ Press : วัน อังคาร ที่ 26 มีนาคม 2024 ตั้งแต่เวลา 9:59 – 18:00 น.
  • วันสำหรับประชาชนทั่วไป : วัน พุธ ที่ 27 มีนาคม – วัน อาทิตย์ ที่ 7 เมษายน 2024
  • วันเสาร์ – วันอาทิตย์ เวลา 11:00 น. – 22:00 น.
  • วันธรรมดา เวลา 12:00 – 22:00 น.
  • สถานที่จัดงาน : อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพค เมืองทองธานี

 

สารภาพตามตรงว่าการรวบรวมรถยนต์รุ่นใหม่ แบรนด์รถยนต์หน้าใหม่ ที่กระหน่ำเปิดตัวภายในงาน Motor Show รอบนี้ ต้องอาศัยพลังเยอะกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาและเผยแพร่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นมากกกกก! แต่เพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นการพาชมงานฯ สำหรับท่านที่พลาดไปเดินดูด้วยตาตนเอง ผมและทีมงานจึงนำรูปภาพรถยนต์ภายในงานมาฝากกันไว้ตรงนี้ครับ

เรียงลำดับจากชื่อแบรนด์ที่ขึ้นต้นด้วย A – Z (รอบหน้าจะลองเรียงจาก Z – A ดูบ้าง ฮ่าๆ)

AION

แบรนด์ในเครือ GAC ซึ่งเริ่มเข้ามาลุยตลาดประเทศไทยอย่างด้วยกลยุทธ์การขายแบบแปลกๆ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2023 ก่อนจะประกาศเปิดตัวผลิตรุ่นแรกอย่าง Aion Y Plus ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2023 ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนราคาจำหน่ายของ Aion Y Plus มีการปรับเปลี่ยนตามสงครามราคารถจีนอยู่หลายระลอก และล่าสุดเพิ่งจะมีการอัดโปรสู้คู่แข่ง ปรับราคารุ่น Aion Y Plus 490 Premium จาก  999,900 บาท เหลือ 949,9000 บาท เมื่อจองและรับรถภายในวันที่ 30 เมษายน 2024 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2024

นอกจากนี้ ภายในบูธยังมีการนำรถอีก 3 รุ่น มาอวดโฉม ได้แก่ Hyper GT ซีดานประตูปีนกขุมพลังไฟฟ้า พละกำลัง 245 – 340 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง Hyper HT Fastback SUV ทรงมน ประตูปีนก ใช้ขุมพลังชุดเดียวกับ Hyper GT และ Hyper SSR สปอร์ตประตูปีนกขุมพลังไฟฟ้า พกแรงม้าจากโรงงาน 1,225 ตัว เกทับ Supercar เครื่องหลายสูบด้วยตัวเลขอัตราเร่งเคลมจากโรงงาน 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 1.9 วินาที (พี่จะรีบไปไหน…)


AUDI

Audi รอบนี้ยังคงคราคร่ำไปด้วยรถยนต์หลากหลายรุ่น รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ที่เพิ่งประกาศราคาไปหมาดๆ อย่าง Audi A6 Avant 45 TFSI quattro S line Black Edition กับค่าตัว 4,649,000 บาท ก็ถูกนำมาโชว์ตัวภายในงาน รายละเอียดเบื้องต้นมีการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ตามรุ่น Minorchange ของเมืองนอก เสริมด้วยการตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีดำสไตล์ Black Edition ประกบกับขุมพลังเดิม ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรถพ่อบ้านเยอรมันไซส์กลางท่ีมีขายในบ้านเราเพียงรุ่นเดียว ณ เวลานี้ เพราะคู่แข่งอย่าง BMW 5-Series และ Mercedes-Benz E-Class นั้น มีเพียงตัวถัง Sedan ให้เลือกเท่านั้น

ที่น่าสนใจงวดนี้ Audi มีโปรโมชั่นหั่นราคาแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนลดส่วนลดสูงสุดในแคมเปญ Motor Show ทะลุไปถึง 2,200,000 บาท มีให้เลือกสอยกันหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น…

  • RS etron GT ลดเหลือ 7,990,000 บาท
  • TT Coupé Final Icon Black ลดเหลือ 3,199,000 บาท
  • Q8 e-tron 50 quattro ลดเหลือ 4,399,000 บาท
  • Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ลดเหลือ 4,449,000 บาท
  • Q5 55 TFSI e quattro S line ลดเหลือ 3,299,000 บาท

นอกจากนี้ สำหรับท่านที่อยากเก็บ Audi TT รุ่นสุดท้ายเอาไว้ในครอบครอง ตอนนี้ Audi TT Final Icon Black ตัวถัง Coupe พร้อมส่วนลด 400,000 บาท ยังคงมีหลงเหลืออยู่ ในขณะที่รุ่นเปิดประทุน Convertible นั้น เกลี้ยงสต็อกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Audi A6 Avant 45 TFSI quattro S line Black Edition ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Audi TT Coupe Final Icon Black ได้ที่นี่ Click Here


BENTLEY

ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับ Bentley ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2024 Bentley เอเชียแปซิฟิก ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์กว่า 2,121 คัน คิดเป็นร้อยละ 16 ของยอดขายทั่วโลก 13,560 คันซึ่งในปีที่ผ่านมาก็ได้สร้างสถิติยอดส่งมอบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน สำหรับสมาชิกของบูธ Bentley ในรอบนี้ ได้แก่ Continental GT V8 คันสุดท้าย (ในไทย) ที่มาพร้อมราคาเริ่มต้น 21,000,000 บาท เตรียมอำลาตำนาน Coupe หรู เครื่องบล็อกใหญ่ ในอีกไม่ช้า

ต่อมาคือ Bentayga S Hybrid รุ่นตกแต่งพิเศษ Blackline Specification อันเคร่งขรึมด้วยการใช้เฉดสีดำแทนที่โลหะขัดเงาสำหรับการตกแต่งภายนอกทั้งหมด ประจำการด้วยขุมพลังเบนซิน V6 3.0 ลิตร Turbo พ่วงระบบ Plug-in Hybrid 456 แรงม้า (เครื่องเดียวกับ Q7 55 TFSI e) แบกนำ้หนักตัวมหาศาลพุ่งทะยาน 0 – 100 km/h ใน 5.3 วินาที นอกจากนี้ รถผู้บริหารนั่งหลังอย่าง Flying Spur Hybrid ก็มีมาให้ชมด้วยเช่นกัน


BMW

All NEW BMW 5-Series (G60) รุ่นเครื่องยนต์สันดาป รับหน้าที่ตัวชูโรงของบูธใบพัดฟ้าขาวในปีนี้ BMW 5-Series ใหม่ ยังคงมีให้เลือกทั้งรหัส 520d M Spot Pro เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Turbo  197 แรงม้า 400 นิวตันเมตร ราคา 3,779,000 บาท และรหัส 530e M Sport Pro เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo พ่วง Plug-in Hybrid เวอร์ชั่นใหม่ แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นเป็น 22.1 kWh ทำให้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้นเป็น 108 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) พร้อมค่าตัว 3,949,000 บาท

ขยับมาทางฝั่งรถยนต์พลังถ่านอย่าง BMW i5 ปีนี้ เรามีโอกาสได้เห็นรหัสใหม่อย่าง i5 eDrive40 M Sport Inspiring ซึ่งโดนถอดอ็อพชั่นออกไปจากรุ่น M Sport ปกติ อาทิ ล้ออัลลอย M Aerodynamic สีทูโทน Black Grey ขนาด 20 นิ้ว ช่วงล่าง Adaptive Suspension Professional ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Professional หลังคากระจก Panoramic Roof สปอยเลอร์หลังดีไซน์ M เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Comfort Seat ตลอดจนระบบระบายความร้อน สำหรับเบาะนั่งคู่หน้า แต่มาในราคาที่จับต้องง่ายขึ้น ที่ 4,599,000 บาท ถูกกว่ารุ่น M Sport 400,000 บาท คุ้มไหม ถามใจดู…

นอกเหนือจากรถใหม่แล้ว BMW Group ยังประกาศแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ นามว่า เรเน่ แกร์ฮาร์ด ดำรงตำแหน่งประธานและ CEO คนใหม่ของ BMW Group ประเทศไทย เข้ารับตำแหน่งต่อจาก อเล็กซานเดอร์ บารากา ซึ่งย้ายไปรับตำแหน่งประธานและ CEO ของ BMW Group โปแลนด์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2024 เป็นต้นไป

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ BMW 520d M Sport Pro และ 530e M Sport Pro ได้ที่นี่ Click Here


BYD

ลูกรักผู้กอบโกยผลประกอบการของ BYD อย่าง Atto 3 ภายในงาน Motor Show 2024 มีมาให้ชมทั้งรุ่นเก่า MY2023 ที่อัดแคมเปญ FINAL Runout ล้างสต๊อกซึ่งยังเหลืออยู่ราวๆ 1,175 คัน มอบส่วนลดเงินคืน 200,000 บาท สำหรับรุ่น Standard Range และ 250,000 บาท สำหรับรุ่น Extended Range โดยรุ่น Standard Range ที่มีอยู่เพียง 198 คัน หมดเกลี้ยงภายใน 1 วันหลังประกาศแคมเปญ ทว่ารุ่น Extended Range ยังคงมีเหลืออยู่ ส่วนใครที่ถวิลหาของใหม่อย่าง Atto 3 (MY2024) ตอนนี้ เปิดตัวครบทั้งไลน์อัพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Standard Range Dynamic  899,900 บาท รุ่น Standard Range Premium 949,900 บาท และรุ่น Extended Range Premium  1,049,900 บาท ทุกรุ่นมีการปรับปรุงใหม่ ทั้งได้แง่ดีไซน์ และงานวิศวกรรม

นอกจากนี้ อัดแคมเปญ FINAL Runout ยังมีการแผ่อานิสงค์ไปยังรุ่นต่างๆ อาทิ Dolphin Standard Range ที่จะได้รับส่วนลดเงินคืน 40,099 บาท Seal Dynamic ส่วนลด 126,000 บาท Seal Premium ส่วนลด 50,000 บาท ปิดท้ายด้วย Seal Performance AWD ส่วนลด 100,000 บาท งานนี้เล่นเอาลูกค้าเก่าที่ซื้อไปแล้วถึงกับบ่นอุบจนกลายเป็นดราม่าเล็กๆ ในคลับ ทันทีที่แคมเปญน้ีถูกประกาศออกไป

ด้านรถยนต์ที่ถูกนำมาโชว์ตัวภายในบูธ ก็มาด้วยกันหลายรุ่นหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Seagul, Sea Lion, Song Max, Denza D9, Yangwang U9 รวมไปถึง Seal U DM-i ขุมพลังเบนซิน Plug-in Hybrid ที่ปรากฎตัวตามมาภายหลัง ในวันที่ 1 เมษายน 2024 เริ่มรับจองแล้วตั้งแต่วันนี้ ส่วนราคาคาดว่าจะประกาศตามมาช่วงกลางปี และเริ่มส่งมอบได้เร็วสุดช่วงไตรมาส 4 ปี 2024

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ BYD Atto 3 MY2024 (Standard Range และ Extended Range) ได้ที่นี่ Click Here


CHANGAN

หลังเปิดตัวรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Deepal 2 รุ่น ผลตอบรับจากลูกค้าชาวไทยจัดว่าดีพอสมควร โดยเฉพาะ S07 ที่เริ่มวิ่งกันเต็มถนน งานนี้ทาง ChangAn เลยตัดสินใจเสริมทัพไลน์อัพของทั้งคู่ให้ครบครันขึ้นด้วยการเปิดตัว S07 L ซึ่งเป็นรุ่น Long Range เพิ่มความจุแบตเตอรี่ จาก 66.8 kWh เป็น 79.97 kWh แต่ลดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า จาก 258 แรงม้า เป็น 218 แรงม้า เบ็ดเสร็จแล้วส่งผลให้ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง เพิ่มขึ้นจาก 485 กิโลเมตร เป็น 560 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ราคาเพิ่มขึ้น 100,000 บาท

ไม่เพียงแค่นั้น เวอร์ชั่น Sedan อย่าง L07 ก็มีการเพิ่มรุ่น S ซึ่งลดความจุแบตเตอรี่ จาก 66.8 kWh เหลือ 58.89 kWh เปลี่ยนชนิดแบตเตอรี่ จาก NMC เป็น LFP ตลอดจนลดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า จาก 258 แรงม้า เป็น 218 แรงม้า ที่ได้เพิ่มมาคือระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ลดลงจาก 540 กิโลเมตร เป็น 475 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) แถมราคาถูกลง 90,000 บาท เป็นทางเลือกสำหรับคนงบไม่เยอะ

อีกรุ่นที่เปิดตัวภายในงานในฐานะ EV สำหรับคนเมือง ได้แก่ ChangAn Lumin รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกระทัดรัดลำตัวยาว 3.27 เมตร ขุมพลังไฟฟ้า 48 แรงม้า 48 นิวตันเมตร มีความจุแบตเตอรี่ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ รุ่น L แบตเตอรี่ 27.98 kWh วิ่งไกลสุด  301 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จ AC เท่านั้น และอีกรุ่นคือ L DC แบตเตอรี่ 28.08 kWh วิ่งไกลสุดเท่ากันที่  301 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) แต่รองรับการชาร์จ DC 50kW เหมาะกับการวิ่งทางไกลเพิ่มขึ้นอีกกระจึ๋งนึง ! ความต่างด้านตัวรถที่ไม่เยอะมาก ทำให้ราคาทั้ง 2 รุ่น มีความใกล้เคียงกัน โดยรุ่น L จะอยู่ที่ 479,000 บาท ส่วนรุ่น L DC อยู่ที่ 499,000 บาท สำหรับผม แอบแพงนะ !

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ ChangAn Lumin ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ Deepal L07 S ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ Deepal S07 L ได้ที่นี่ Click Here


FORD

ถัดมายังค่ายวงแหวนสีน้ำเงิน เน้นจับตลาดรถกระบะและ SUV/PPV กลุ่มบน ช่วงที่จัดงานมีการเปิดรับจอง Everest Platinum ขุมพลังดีเซล V6 3.0 ลิตร Turbo 250 แรงม้า 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time AWD ราคา 2,279,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นรุ่น Top ทั้งด้านอ็อพชั่นและราคา แต่งานนี้ Ford  ก็แสดงให้เราเห็นว่าพอเป็นแบรนด์ที่ได้ใจกลุ่มลูกค้ามีกำลังจ่าย รถแพงไม่ใช่สิ่งที่ขายยาก เพราะ Everest รุ่นประตูน้ำ เอ้ย ! แพลทตินัม ที่มีจำนวนจำกัดแค่ 350 คันนั้น ขายหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาไม่กี่วัน

ภายในบูธ Ford ถ้าคุณเห็น Ranger Wildtrak แต่สวมล้อ 20 นิ้ว ลายเดียวกับ Everest Wildtrak นั่นแปลว่าคุณกำลังเห็นรุ่นย่อยใหม่ของกระบะ Ford ที่ถูกนำมาวางคั่นระหว่าง Ranger ปกติ และ Range RAPTOR ภายใต้หน้าตาที่ไม่ได้หวือหวามากนักของรถคันน้ี มีสิ่งที่ซุกซ่อนเอาไว้ใต้ฝากระโปรง นั่นก็คือ เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร Turbo 250 แรงม้า 600 นิวตันเมตร บล็อกเดียวกับ Everest Platinum พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time AWD และป้ายราคา 1,519,000 บาท

นอกเหนือจากรุ่นใหม่ ทั้ง 2 รุ่น Ford ยังมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ที่ประจำการอยู่ใน Ranger RAPTOR ดีเซล และ Everest เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 จำเป็นต้องเติมสาร AdBlue หรือ DEF (Diesel Exhaust Fluid) มาตรฐาน ISO 22241 ซึ่งมีจำหน่ายที่ศูนย์บริการทั่วประเทศ ราคาแกลลอนละ 340 – 800 ลิตร  เพื่อเป็นการปลอบใจ ในช่วงแรก Ford จะมีคูปองแพคเกจพิเศษ เพื่อให้ลูกค้านำรถเข้ารับบริการเติมสาร AdBlue หรือ DEF ได้ 2 แกลลอน ปริมาณ 18.9 ลิตร โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ Ford Everest Platinum V6 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ Ford Ranger Wildtrak V6 ได้ที่นี่ Click Here


GWM

ซุ่มทดสอบอยู่นานก็ได้เวลาเผยโฉม สำหรับ POER SAHAR (โพเออร์ ซาฮาร์) HEV รถกระบะคันแรกของ GWM เห็นรูปโฉมภายนอก รู้ทันทีว่านี่คือ TANK 500 HEV เวอร์ชั่นกระบะ มิติตัวถังของ POER SAHAR HEV มีความยาว 5,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,991 มิลลิเมตร สูง 1,924 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 3,350 มิลลิเมตร เทียบกับ Ford Ranger แล้ว เจ้านี่ใหญ่กว่าทุกมิติ ภายใต้ฝากระโปรงเป็นขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร Hyrbid 350 แรงม้า 616 นิวตันเมตร ยกมาจาก TANK 500 / 300 สำหรับราคาจำหน่ายคาดว่าจะมีการประกาศช่วงต้นเดือน พฤษภาคม 2024 แต่ระหว่างนี้ GWM เปิดให้จองสิทธิ์ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2024 เวลา 23.59 น. 

นอกจากกระบะ POER แล้ว GWM ก็ยกทัพรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ ORA รถยนต์ Crossover SUV จากแบรนด์ Haval รวมถึง Off-SUV พันธุ์ลุยจากแบรนด์ TANK มาให้ชมให้สัมผัสกันแบบครบถ้วนกระบวนความ

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ ORA Good Cat MY2024 (ประกอบไทย) ได้ที่นี่ Click Here


HONDA

เรื่องสยองบรรทัดเดียวของบูธ Honda “เปิดตัว e:N1 แล้ว แต่ไม่ขาย ให้เช่าแทน เดือนละ 29,000 บาท”

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ Honda e:N1 ได้ที่นี่ Click Here

ชมคลิปทดลองขับ Honda e:N1 ได้ที่นี่ Click Here


HYUNDAI

ต้องบอกว่า Hyundai พักหลังนี้ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มพิกัด เพราะนับตั้งแต่การเข้าลุยตลาดเองของบริษัทแม่จากเกาหลีใต้ เราก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวรถใหม่ค่ายนี้กันแบบไม่พัก ภายในงาน Motor Show 2024 ทาง Hyundai ถือโอกาสเปิดตัวพร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการของ IONIQ 6 รถยนต์ทรงลิ่ม ขุมพลังไฟฟ้า ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 229 แรงม้า (PS) 350 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 77.4 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 350 kW (Ultra Fast Charging) ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 545 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) กับค่าตัว 1,899,000 บาท

ทางด้านรถเล็กก็มีความเคลื่อนไหว Creta มีรุ่นย่อยใหม่เพิ่มเข้ามาเพื่อสานต่อรุ่น Black Edition (MY2023) ที่เพิ่งขายหมดไปไม่นาน นั่นก็คือ Creta ALPHA ราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่น Smart 30,000 บาท แต่ได้อุปกรณ์เพิ่มมาเกินราคา อาทิ ชุดเครื่องเสียง BOSE Premium Sound พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ระบบระบายอากาศ สำหรับเบาะนั่งคู่หน้า ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้อง โดยสาร Ambient Light หลังคากระจก Panoramic Sunroof ฯลฯ ส่วน Stargazer X มีการเพิ่มรุ่น X7 และ X6 เข้ามา พร้อมทางเลือกสีทองด้าน Gravity Gold Matte และสีขาวด้าน Optic White Matte ที่ต้องจ่ายเพิ่ม 10,000 บาท

สำหรับ Hyundai Staria ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่แอบขยับเล็กน้อยด้วยการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 พร้อมปรับอุปกรณ์ของ Staria รุ่นปกติ เพิ่มการตกแต่งภายนอกด้วยสเกิร์ตรอบคัน เปิดราคาจำหน่ายที่ 1,819,000 – 2,099,000 บาท ด้าน Staria Premium งานนี้ มีทางเลือกเพิ่มสำหรับครอบครัวคนขี้ร้อน เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Staria Premium without Sunroof ราคาถูกลงจากรุ่น Top 90,000 บาท แต่ได้อุปกรณ์อื่นๆ เท่ากันเป๊ะ !

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ IONIQ 6 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Hyundai Creta ALPHA ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Hyundai Stargazer X MY2024 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Hyundai Staria MY2024 ที่ได้ที่นี่ Click Here


ISUZU

ไฮไลท์ของบูธ Isuzu รอบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Isuzu D-Max EV Concept ต้นแบบรถกระบะขุมพลังไฟฟ้า 100% (BEV) ซึ่งถูกเปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลกไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2024 ที่ผ่านมา ก่อนจะนำมาโชว์ตัวภายในงาน Motor Show 2024 สำหรับ Isuzu D-Max EV Concept เป็นรถกระบะ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time 4WD โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ D-Max เวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าคู่และเฟืองท้ายภายใต้ “eAxle” ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำงานร่วมกัน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผสานกับช่วงล่างด้านหลังใหม่หมดแบบ De-Dion สร้างดุลยภาพในการขับขี่ทั้งความนุ่มนวลและความสามารถในการบรรทุก

Isuzu มีแผนจะเริ่มผลิตเพื่อส่งออกอย่างเป็นทางการจากฐานการผลิตประเทศไทยในปี 2025 เนื่องจากวิธีการใช้งานของลูกค้าแตกต่างกัน Isuzu D-Max EV Concept จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าผู้ใช้รถจะเปิดตัวในประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป บางประเทศ เช่น นอร์เวย์ ในปี 2025 จากนั้นมีกำหนดการจะเปิดตัวในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ไทย ตลอดจนประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ เป็นลำดับถัดไป ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของตลาดและความพร้อมของสาธารณูปโภคด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

ข้อมูลจำเพาะเบื้องต้นของ Isuzu D-Max EV Concept มีดังนี้

  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time 4WD
  • กำลังรวมสูงสุด 130 กิโลวัตต์ หรือ 177 แรงม้า (PS)
    • ระบบขับเคลื่อน eAxle ด้านหน้า กำลังสูงสุด 40 กิโลวัตต์
    • ระบบขับเคลื่อน eAxle ด้านหลัง กำลังสูงสุด 90 กิโลวัตต์
  • แรงบิดรวมสูงสุด : 325 นิวตันเมตร
    • ระบบขับเคลื่อน eAxle ด้านหน้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร
    • ระบบขับเคลื่อน eAxle ด้านหลัง แรงบิดสูงสุด 217 นิวตันเมตร
  • ความเร็วสูงสุด Top Speed มากกว่า 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • ความสามารถในการลากจูง  3.5 ตัน
  • ประเภทแบตเตอรี่  Lithium-ion
  • ความจุแบตเตอรี่สูงสุด  66.9 kWh
  • น้ำหนักบรรทุกสูงสุด   1 ตัน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีรถยนต์อีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น D-Max และ MU-X รุ่นปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 โดยหลังจากที่มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร Turbo และดีเซล 3.0 ลิตร Turbo ในรถยนต์ Isuzu ให้ผ่านข้อกำหนดมาตรฐานไอเสีย Euro5 มีผลทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทาง Tripetch Isuzu Sales จึงประกาศปรับราคารถยนต์ Isuzu เพิ่มขึ้น 15,000 บาท สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร Turbo Euro5 และเพิ่มขึ้น 20,000 บาท สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร Turbo Euro5 โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2024 เป็นต้นไป

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Isuzu D-Max X-Series SPEED Minorchange 2024 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Isuzu D-Max X-Series Minorchange 2024 ได้ที่นี่ Click Here


JEEP

MGC-ASIA นำรถยนต์คันจริงเวอร์ชั่นไทยของ Jeep Grand Cherokee Summit Reserve 4xe และ Jeep Wrangler Rubicon 4-Door Minorchange มาให้ชมก่อนตัดสินใจจับจองเป็นเจ้าของ ราคาค่าตัวของ Jeep ทั้ง 2 คันตั้งเอาไว้เท่ากันอยู่ที่ 5,490,000 บาท คันนึงมีมาดคนเมืองแอบลุยนิดๆ ได้ขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร PHEV  381 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ 17.3 kWh ที่เพียงพอให้วิ่งโดยไม่ต้องใช้น้ำมันราวๆ 30 กว่ากิโลเมตร แหกกฎความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า Jeep ต้องกินน้ำมันแบบเดือดดาล ส่วนอีกคันมีมาดสายลุยจ๋าๆ แม้จะรถหน้าตาคล้ายกันขับผ่านตาไปบ้าง แต่คนรู้เรื่องรถจริงๆ มองแว๊บเดียวก็รู้ว่า “คุณคือของแท้”

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Grand Cherokee Summit Reserve 4xe Plug-in Hybrid ได้ที่นี่ Click Here


KIA 

หลังจากเข้ามาลุยตลาด EV เมืองไทยด้วยการเปิดตัว KIA EV9 ไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2024 โดยวางตำแหน่งให้เป็น Premium Electric SUV กับค่าตัวเริ่มต้น 3,499,000 – 3,899,000 บาท (นำเข้าจากเกาหลีใต้) KIA Sales (ประเทศไทย) ก็ลุยต่อด้วย Crossover SUV รุ่นเล็กกว่าอย่าง EV5 ที่ถูกนำเข้าทั้งคันจากประเทศจีน ทำให้ราคาค่าตัวถูกตาต้องใจใครหลายคน สำหรับ KIA EV5 มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ราคา 1,249,000 – 1,749,000 บาท ซึ่งเป็นราคาพิเศษ สำหรับการจองในช่วงงาน Motor Show จนถึง 30 เมษายน 2024

EV5 จัดอยู่พิกัดเดียวกันกับ Honda CR-V แต่มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ Standard Range FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 217 แรงม้า (PS) 310 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 64.2 kWh วิ่งได้ไกลสุด 490 กิโลเมตร ตามด้วย Long Range FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 217 แรงม้า (PS) 310 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 88.1 kWh วิ่งได้ไกลสุด 665 กิโลเมตร และ Long Range AWD ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 308 แรงม้า (PS) 480 นิวตันเมตร แบตเตอรี่เท่ากับรุ่น Long Range FWD แต่ระยะทางวิ่งลดลงเหลือ 620 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)

แม้จะดูจริงจังกับการทำตลาด EV แต่ KIA ก็ยังไม่ทิ้งรถสันดาป ก่อนถึงวันงาน มีการประกาศเปิดตัว Carnival รุ่นย่อยใหม่ SXL Luxury 7 ที่นั่ง ราคา 2,990,000 บาท แพงขึ้นจาก SXL 11 ที่นั่ง 396,000 บาท แต่ได้เบาะนั่งแถวที่ 2 แบบ Relaxation ปรับด้วยไฟฟ้า มีเบาะรองขาปรับด้วยไฟฟ้า ระบบอุ่นเบาะ ระบบระบายอากาศ และมีระบบปรับเอน Premium Relaxation Seat เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการ MPV ที่ขับเองได้คล่องตัว แถมนั่งโดยสารสบาย ในคราวเดียวกัน

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ KIA EV5 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ KIA EV9 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ KIA Carnival MY2024 ได้ที่นี่ Click Here


LEXUS

และแล้วก็มาถึงเมืองไทยเสียที… สำหรับ Lexus LBX รถยนต์ Sub Compact Crossover รุ่นใหม่ของค่าย ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นบนโครงสร้างพื้นฐานงานวิศวกรรม TNGA Platform เช่นเดียวกันกับ Toyota Yaris Cross (TNGA) โดยชื่อ LBX มีที่มามาจากคำว่า “Lexus Breakthrough X (cross) – over” หรือ รถยนต์ Lexus ที่จะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของขนาดที่กะทัดรัด ไปยังประสบการณ์การขับขี่และการออกแบบคุณภาพสูงตามเอกลักษณ์ของแบรนด์

Lexus LBX จะถูกวางตำแหน่งการตลาดให้เป็นรถยนต์ Lexus ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ด้วยขนาดที่กะทัดรัดกว่า ตลอดจนราคาจำหน่ายที่ยอมเยากว่า Lexus UX ราคาจำหน่ายของ LBX เวอร์ชั่นไทย อยู่ที่ 2,190,000 -2,350,000 บาท เป็นราคาพิเศษช่วงงาน Motor Show ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม-7 เมษายน 2024 หลังจากนั้น จะปรับราคาขึ้นเป็น 2,229,000 บาท สำหรับรุ่น Luxury และ 2,390,000 บาท สำหรับรุ่น Premium โดยทุกรุ่นจะมาพร้อมขุมพลังเบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร Hybrid 134 แรงม้า

อีก 2 รุ่นที่มาแบบเงียบๆ คือ UX 300h รหัสใหม่ที่มาพร้อมขุมพลัง Hybrid เจเนอเรชั่นที่ 5 ของ Toyota อัพเกรดเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า แรงขึ้นเป็น 199 แรงม้า (PS) พร้อมแบตเตอรี่ Hybrid แบบ Lithium-ion ที่เคลมว่าประหยัดขึ้นและแรงขึ้นด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ทางฝั่งรถผู้บริหารมีคนขับอย่าง LM รอบนี้ ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวรหัสใหม่ LM 500h แรงขึ้นด้วยขุมพลัง T24A-FTS เบนซิน 2.4 ลิตร Turbo Hybrid 366 แรงม้า (HP) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6AT ขับเคลื่อน 4 ล้อ Direct-4 มีให้เลือกทั้งรุ่น 6 ที่นั่ง ราคา 6,990,000 บาท และรุ่น 4 ที่นั่ง ราคา 8,290,000 บาท แพง…แต่มีคนซื้อแน่ !

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Lexus LBX ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Lexus UX 300h ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Lexus LM 500h ได้ที่นี่ Click Here


LOTUS

หลังประสบความสำเร็จกับการทำตลาด ELETRE (อีเลททร้า) รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Crossover ที่มีรูปโฉมคันจริงดูดีไม่แพ้รถยกสูงจากค่าย Supercar ราคาหลายสิบล้าน แต่ด้วยสิทธิประโยชน์การนำเข้ารถจากโรงงาน Zhejiang Geely Automobile ประเทศจีน ทำให้สามารถกดราคารถพลังแรงระดับ 905 แรงม้า ลงมาได้ต่ำเพียง 6 ล้านกลาง (ยังไม่รวม options เสริม) ดันยอดสั่งจองพุ่งกระฉูด งานนี้ Lotus Cars จึงตีเหล็กต่อตอนที่ยังร้อน ด้วยการเผยโฉม EMEYE (อีเมย่า) รถสปอร์ต Gran Touris ขุมพลังเดียวกับ ELETRE แต่มาในราคาเริ่มต้นที่แพงกว่ากันเล็กน้อย ที่ 5,990,000 – 6,890,000 บาท

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Lotus EMEYA ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Lotus ELETRE ได้ที่นี่ Click Here


MASERATI

ดาวเด่นบูธตรีศูลปีนี้ มาด้วยกัน 2 ตัวถัง 2 สไตล์ เริ่มจาก All NEW Maserati Gran Toursimo มาพร้อมขุมพลังเบนซิน V6 3.0 ลิตร Twin-Turbo Nettuno บล็อกเดียวกับที่ใช้ในรถซูเปอร์คาร์อย่าง MC20 คันที่จัดแสดงเป็นรุ่นย่อย Modena พกพละกำลังจากโรงงาน 490 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 km/h 3.9 วินาที และไต่ความเร็วสูงสุด ได้ถึง 302 km/h

ถัดมาที่อีกคันเป็น Maserati Grecale Folgore EV หรือเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าของ Crossover SUV น้องเล็ก ราคาเริ่มต้น 7,890,000 บาท พกอาวุธไม่ลับคือมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังสูงสุดตัวละ 205 kW หรือ 278 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดตัวละ 410 นิวตันเมตร รวมพละกำลังสูงสุดทั้งระบบ 557 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 820 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ High-voltage 400V ความจุ 105 kWh (Nomimal) อัตราเร่ง 0 – 100 km/h ภายใน 4.1 วินาที และวิ่งได้ระยะไกลสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง 426 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

อ่านรายละเอีดยทั้งหมดของ Maserati Grecale Folgore ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Maserati Gran Tourismo Folgore ได้ที่นี่ Click Here


MAZDA

ไม่ได้มาขาย แค่มาโชว์ ! บูธ Mazda ปีนี้ ยังคราคร่ำไปด้วยรถยนต์หลายรุ่นเช่นเดิม แต่รุ่นที่เป็นไฮไลท์ที่ถูกนำมาโชว์รอบนี้คือ Mazda MX-30 e-Skyactiv R-EV เวอร์ชั่น PHEV ที่ปรับมาใช้เครื่องยนต์ Rotary ขนาด 830 ซีซี กำลังสูงสุด 75 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 116 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลังรวมสูงสุด 167 แรงม้า 260 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ 17.8 kWh สามารถขับในโหมด EV ได้ระยะทาง 85 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) เร่งจาก 0-100 km/h ภายใน 9.1 วินาที

อีกรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวรุดหน้าวันจัดงานก็คือ BT-50 Minorchange ซึ่งปรับตามคู่แฝดอย่าง D-Max เปลี่ยนกระจังหน้าเป็นสีดำ เปลี่ยนล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว เป็นสีทูโทนรมดำ เพิ่มสีเทาเข้ม Rock Grey เพิ่มระบบความปลอดภัยขั้นสูง ADAS ปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 / 3.0 Turbo ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 ฯลฯ พร้อมยกเลิกทำตลาดรุ่นตัวเตี้ย สำหรับราคารุ่น Freestyle Cab อยู่ที่ 752,000 – 862,000 บาท ขณะที่รุ่น Double Cab ยกสูง อยู่ที่ 922,000 – 1,272,000 บาท

นอกจากนี้ Mazda 6 20th Anniversary Edition ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา รอบนี้ก็ยังมีมาจอดโชว์อยู่ เพราะเห็นว่าโควต้าจำกัด 100 คันในไทยนั้น… ยังขายไม่หมดจ้า

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mazda BT-50 Minorchange ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mazda MX-5 RF Minorchange 2024 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mazda 6 100th Anniversary ได้ที่นี่ Click Here


MERCEDES-BENZ 

ค่ายดาวสามแฉกปีนี้ เปิดฉากด้วยการเผยโฉม All NEW Mercedes-Benz E-Class (W214) มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ E 220 d AMG Line ราคา 3,990,000 บาท และ E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,250,000 บาท แม้รหัสรุ่นย่อยจะคล้ายเดิม ทว่าความเปลี่ยนแปลงของขุมพลังของทั้ง 2 รุ่นนั้นมีอยู่ เริ่มจากรุ่น E 220 d ที่มีการพ่วงระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V EQ Boost 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร เข้ามาช่วยทำงานในจังหวะสตาร์ท ที่ความเร็วต่ำ และช่วงเร่งแซง ขณะที่รุ่น E 350 e ปรับความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion เพิ่มเป็น 25.4  kWh และรองรับการชาร์จทั้งแบบ AC 11 kW และ DC 55 kW

อีกหนึ่ง All NEW Model คือ GLC Coupe (C254) มีรหัสเดียวคือ GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร Turbo Plug-in Hybrid 313 แรงม้า 550 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 31.2  kWh รองรับการชาร์จ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จ DC สูงสุด 60 kW แล่นด้วยไฟฟ้าล้วนไกล 120 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) อัดอ็อพชั่นต่างๆ มาอย่างเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า MULTIBEAM-LED ช่วงล่างด้านหลังแบบ Air Comfort เครื่องเสียง Burmester พร้อม Dolby Atmos ในราคา 4,340,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมี GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic Facelift ปรับโฉมภายนอกใหม่ พร้อมอัพเกรดขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร Turbo MHEV 367 แรงม้า 750 นิวตันเมตร แบกน้ำหนักตัวถังเกือบ 3 ตัน เร่งจาก 0 – 100 km/h ใน 6.1 วินาที ไต่ความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 km/h เปิดตัวพร้อมค่าตัว 6,980,000 บาท เคียงบ่าเคียงไหล่กับ GLE 300 d Facelift ที่ถูกปรับไลน์อัพให้ครบครันขึ้นด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ GLE 300 d 4MATIC AMG Line ซึ่งมาพร้อมค่าตัวถูกลง 610,000 บาท  แลกกับอุปกรณ์บางอย่างที่ถูกถอดออกไปจากรุ่น AMG Dynamic

นอกจากรถยนต์รุ่นใหม่ Mercedes-Benz ได้ออกแคมเปญสำหรับรถยนต์รุ่นเก่าที่มาพร้อมส่วนลดและประกันชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี ดังนี้

  • E 300 e AMG Dynamic ราคาเริ่มต้น 3,190,000 บาท (ส่วนลด 830,000 บาท)
  • E 220 d AMG Sport ราคาเริ่มต้น 3,190,000 บาท (ส่วนลด 460,000 บาท
  • E 300 e Avantgarde ราคาเริ่มต้น 2,790,000 บาท (ส่วนลด 610,000 บาท)
  • C 220 d Avantgarde ราคาเริ่มต้น 2,580,000 บาท (ส่วนลด 150,000 บาท)

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ All NEW Mercedes-Benz E-Class ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ All NEW Mercedes-Benz GLC Coupe’ ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC (MY2024) ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC (Facelift) ได้ที่นี่ Click Here


MG

MG ปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายที่เปิดตัวกันแบบจุกๆ เริ่มจาก MG Cyberster สปอร์ตเปิดประทุนประตุปีกนกขุมพลังไฟฟ้า มอเตอร์คู่ 544 แรงม้า 725 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 77 kWh สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.2 วินาที วิ่งไกลสูงสุด 503 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) หลังจากที่โชว์ตัวอยู่นาน ล่าสุด ได้ฤกษ์ประกาศราคาจำหน่าย อยู่ที่ 2,499,000 บาท

อีกรุ่นที่เปิดตัว ได้แก่ MG4 MY2024 รุ่นประกอบในไทย ปรับไลน์อัพรุ่นย่อยใหม่ ยกเลิกรุ่น D และ X (แบตเตอรี่ 51 kWh) แทนที่ด้วยรุ่น Standard Range D และ Standard Range X (แบตเตอรี่ 49 kWh) และรุ่น Long Range V (แบตเตอรี่ 64 kWh) สนนราคาที่ 709,900 – 889,900 บาท ความแตกต่างเมื่อสังเกตจากภายนอก มีการเพิ่มครีบระบายอากาศด้านหน้า เปิด – ปิด อัตโนมัติ Adaptive Grille เพิ่มใบปัดน้ำฝน บริเวณกระจกบังลมหลัง เพิ่มมือจับภายในห้องโดยสาร 3 ตำแหน่ง เพิ่มช่องวางแก้วบริเวณแผงด้านข้างประตู เปลี่ยนหน้าจอกลาง จากขนาด 10.25 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว ตลอดจนเพิ่มสีตัวถังใหม่ สีส้ม Fizzy Orange

หากคุณคิดว่ามอเตอร์ตัวเดียวยังไม่ดึงดูดพอให้ซื้อ MG4 รุ่นปกติ ยังมีรุ่น XPower ที่เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 435 แรงม้า 600 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 km/h ใน 3.8 วินาที ! ถ้าจะยกให้เป็นรถเดิมโรงงาน ราคาไม่ถึง 2 ล้าน ที่แรงที่สุดก็คงจะไม่เกินความเป็นจริงนัก

ต่อด้วย MG 5 PRO หรือ MG 5 Minorchange รุ่นปรับโฉม ได้รูปลักษณ์ภายนอกใหม่ที่ดุดุดัน พร้อมเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ยังคงเดิมด้วยขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร 114 แรงม้า 150 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT วางขายในราคา 629,000 – 669,000 บาท ควบคู่กับ MG 5 10th Anniversary รุ่นเดิม ราคา 589,900 บาท

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ MG Cyberster ได้ที่นี่ Click Here

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ MG 4 MY2024 ได้ที่นี่ Click Here

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ MG 4 XPower ได้ที่นี่ Click Here

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ MG 5 PRO ได้ที่นี่ Click Here


MINI

บูธ MINI ปีนี้ ไม่มีรถมาเซอร์ไพรส เพราะ MINI Hatch 3-Door และ MINI Countryman ยังคงเป็นโฉมเก่าที่มีการตกแต่งพิเศษรูปแบบต่างๆ อาทิ MINI Hatch 3-Door Cooper S CLASSIC รุ่นพิเศษ เพื่อรำลึกถึงรถยนต์ MINI อันโด่งดังที่ปรากฏในภาพยนตร์เกี่ยวกับการโจรกรรมสุดระทึก ‘The Italian Job’ ที่เข้าฉายในปี พ.ศ. 2546 และยังเป็นการระลึกถึงความสำเร็จของภาพยนตร์ต้นฉบับสัญชาติอังกฤษในชื่อเดียวกัน มาพร้อมการตกแต่งพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เช่น แถบสีขาวหรือสีดำบนฝากระโปรงหน้า และหลังคาและฝาครอบกระจกตกแต่งด้วยสีขาว หรือสีดำ

สำหรับใครที่รอชมของใหม่ รอลุ้นกันอีกทีช่วงปลายปีนี้…


MITSUBISHI

การปรับมาตรฐานไอเสียรถดีเซลเป็นมาตรฐาน Euro 5 ในบ้านเรานั้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับรถกระบะ และ SUV/PPV ทุกรุ่น (ยกเว้น Ranger Raptor เบนซิน) หลายค่ายเลือกปรับเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ Mitsubishi ไม่… สำหรับ Pajero Sport Euro 5 ที่เผยโฉมก่อนงาน Motor Show จะเริ่มขึ้นไม่กี่วัน นอกจากจะยกเอาเครื่องยนต์รหัส 4N16  และเกียร์อัตโนมัติ 6AT ใน Triton มาวางแล้ว ยังได้รับการปรับหน้าตาให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย แม้จะไม่ได้สวยขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่เมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่มขึ้นมาแค่  4,000 – 10,000 บาท ผมว่าเป็นวิธีการที่ดูโอเคเลยทีเดียว

ไฮไลท์ต่อมาคือ Xpander HEV และ Xpander Cross HEV ซึ่งเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2024 ความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ที่ขุมพลังเบนซินบล็อกใหม่ 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ 116 แรงม้า 255 นิวตันเมตร เมื่อดูจากผลทดสอบตามมาตรฐาน Headlightmag แล้ว โอเคล่ะ อัตราเร่งเร็วขึ้นจริง แต่ความเร็วช่วงปลายก็ยังเหี่ยวห้อยเหมือนเดิม สำหรับราคาช่วงโปรโมชั่นของ Xpander HEV และ Xpander Cross HEV อยู่ที่ 921,000 – 946,000 บาท พอพ้นงาน Motor Show หลังวันที่ 7 เมษายน เป็นต้นไป จะปรับราคาขึ้นเป็น 933,000 – 961,000 บาท รีบตัดสินใจกันนะครับ..

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mitsubishi XPander HEV ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Mitsubishi Pajero Sport Minorchange 2024 ได้ที่นี่ Click Here


NETA

มาต่อกันที่ค่าย EV จากจีน ที่แม้จะดูไม่ค่อยมีกระแสหวือหวา แต่ขายดีไม่น้อย… Neta งวดน้ี เปิดเดิมงาน Press วันแรกด้วยการเปิดตัว Neta V-II หรือ Neta V Minorchange นั่นเอง รุ่นนี้เป็นรุ่นประกอบในไทยแล้ง ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ จะอยู่ที่หน้าตาภายนอกที่ดูทันสมัยขึ้น เพิ่มใบปัดน้ำฝนด้านหลัง แถมมีสีใหม่ 2 ให้เลือก ได้แก่ สีฟ้า Baby Blue และสีชานม Milk Tea ด้านงานวิศวกรรม มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ความจุลดลงจาก 38.5 kWh เป็น 36.1 kWh แต่ทาง Neta เคลมว่าวิ่งได้ไกลพอๆ กับรุ่นเดิม นั่นแหละ !

อีกคันที่นำมาโชว์ เป็นรุ่นที่มีแผนวางจำหน่ายในไทย ช่วงไตรมาส 2 ปี 2024 นี้ นั่นคือ Neta X หรือรุ่นปรับโฉมของ Neta U-II ที่ได้รับการปรับดีไซน์ให้เรียบหรูขึ้น พร้อมอัพไซส์หน้าจอกลางให้ใหญ่โตขึ้นตามสมัยนิยม โดยทาง Neta ประเทศไทย เปิดเผยราคาคาดการณ์เบื้องต้นของรถรุ่นนี้ว่าจะอยู่ที่ ไม่เกิน 1,000,000 บาท รายละเอียดตัวรถจะเป็นอย่างไร น่าสนใจแค่ไหน รอติดตามกันได้ทาง Headlightmag.com เช่นเคย

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Neta V-II ได้ที่นี่ Click Here


NISSAN 

พระเอกของบูธ Nissan ปีนี้ เป็นรถยนต์ต้นแบบ Nissan Hyper Tourer Concept ซึ่งถูกโชว์ตัวครั้งแรกที่งาน Japan Mobility Show 2023 ในฐานะร่างจำแลงของ All NEW Nissan Elgrand ซึ่งปัจจุบันกำลังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้ามาตลาดในไทย ถ้าผ่านเราจะได้เห็น MPV ญี่ปุ่น ที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจาก Aplhard/Vellfire ภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

สำหรับรถยนต์เวอร์ชั่นขายจริง ของใหม่ที่เหมือนจะไม่ค่อยในครั้งนี้ เป็น Nissan Kicks e-Power รุ่นตกแต่งพิเศษ STAR Edition มีสิ่งที่เพิ่มจาก Kicks VL อาทิ กระจังหน้า V-Motion สีดำ คิ้วกันชนหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีเงิน สติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ STAR Edition บริเวณด้านข้างตัวรถ สัญลักษณ์ STAR Edition บริเวณพนักพิงศีรษะคู่หน้า คิ้วบันไดสแตนเลส ชุดตกแต่งรอบปุ่มควบคุมชุดปรับอากาศสีดำ ชุดพรมพร้อมผ้ายางปูพื้น กับราคาที่เพิ่มขึ้นอีก 20,000 บาท

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Nissan Kicks e-Power STAR Edition ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Nissan Terra Sport + Sport Package ได้ที่นี่ Click Here


PEUGEOT

แฟนสิงห์เขย่งที่ไม่ชอบการเสียบปลั๊ก น่าจะหลงรัก 408 รุ่นปี 2024 เพราะนี่คือ 408 รุ่นเครื่องยนต์สันดาปล้วนไร้มอเตอร์ไฟฟ้า แบบเบนซิน 4 สูบ  1.6 ลิตร Turbo 218 แรงม้า (HP) 300 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อนล้อหน้า อันที่จริงแล้วรถรุ่นนี้ ถูกเปิดตัวในบ้านเราไปแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทว่ามีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวคือ GT ราคา 1,849,000 บาท ทว่าล่าสุดนี้ ทาง Peugeot ได้เพิ่มทางเลือกรุ่นย่อยใหม่ Alllure และ Allure Plus ค่าตัวถูกลงอยู่ที่ 1,499,000 –  1,599,000 บาท แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีการปรับราคารุ่น GT ถูกลงอีก 50,000 บาท ถ้วน อีกด้วย !

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Peugeot 408 ได้ที่นี่ Click Here


PORSCHE

Porsche 911 GT RS3 เปิดตัวแล้วในประเทศไทย ในฐานะ 911 ตัวแรงเวอร์ชั่นพร้อมลงสนาม ที่ได้รับการอัพเกรด จากรุ่น 911 GT3 ในทุกด้าน โดยเฉพาะการใช้วัสดุน้ำหนักเบา การพัฒนาระบบระบายความร้อน และด้านอากาศพลศาสตร์ ให้เหมาะสมกับพลังกำลังที่เพิ่มจากรุ่น 911 GT3 และทำให้ 911 GT3 RS พร้อมลงสนามได้ทุกเมื่อ 911 GT RS3 สนนราคาเริ่มต้นในไทย 25,900,000 บาท มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบ Boxer ขนาด 4.0 ลิตร NA  525 แรงม้า (PS) 465 นิวตันเมตร ที่ 6,300 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Porsche Doppelkupplung (PDK) 7 จังหวะ

สำหรับใครที่อยากชมตัวจริงของ Macan EV งานนี้ ยังไม่มีมาโชว์ แต่ AAS เปิดรับจองไปแล้ว มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Macan 4 Electric เริ่มต้น 5,390,000 บาท และ Macan Turbo Electric เริ่มต้น 7,790,000 บาท

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Porsche 911 GT3 RS ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Porsche Macan EV ได้ที่นี่ Click Here


ROLLS-ROYCE

ไฮไลท์บูธ Rolls-Royce ยังคงเป็น Spectre รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย และรุ่นแรกใน EV Portfolio ของ Roll-Royce ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ภายใต้หลักปรัชญา “A Rolls-Royce first, and an electric car second.” ให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์ความเป็น Rolls-Royce และรักษาจุดเด่นด้านความสะดวกสบาย พื้นที่ห้องโดยสาร ความนุ่มนวลและสมรรถนะไว้อย่างครบถ้วน

Rolls-Royce Spectre ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Separately Excited Synchronous Motors (SSMs) มอเตอร์ด้านหน้ากำลังสูงสุด 258 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหลังกำลังสูงสุด 490 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร รวมพละกำลังสูงสุดทั้งระบบ 584 แรงม้า (HP) 900 นิวตันเมตร ติดตั้งแบตเตอรี่ lithium-ion ความจุ 102 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC และไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 195 kW

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4.5 วินาที
  • ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 530 km. (มาตรฐาน WLTP)

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Roll-Royce Spectre ได้ที่นี่ Click Here


SUZUKI

ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็มีอะไร สำหรับ Suzuki ปีนี้ มีรถต้นแบบมาโชว์ 1 คัน คือ Suzuki eWX Concept ต้นแบบรถยนต์ที่ผสานความเป็น Crossover และ Wagon เข้าด้วยกัน มีจุดเด่นอยู่ที่ความกะทัดรัดของมิติตัวถัง ยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร แต่มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง วางขุมพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่มีพิสัยการวิ่งสูงสุดราวๆ 230 กิโลเมตร เน้นการใช้งานในเมืองระยะทางใกล้เป็นหลัก

ทางด้านรถขายจริง Motor Show ปีนี้ มี XL7 Hybrid (MHEV) ที่เพิ่งตัวไปหมาดๆ กับค่าตัว 799,000 บาท สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจาก XL7 ปกติ ได้แก่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยโครเมียม สัญลักษณ์ HYBRID บริเวณฝาท้าย ชุดมาตรวัดเป็นสีฟ้า และอ็อพชั่นอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมถึงขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร ที่เสริมการทำงานด้วยระบบ Mild-hybrid 48V ซึ่งเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนช่วงความเร็วตำ่และช่วงเร่งแซง

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Suzuki XL7 Mild-Hybrid ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Suzuki Jimny ได้ที่นี่ Click Here


TOYOTA 

Toyota ขอจองตำแหน่งแชมป์ยอดจองช่วงงาน Motor Expo ต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นขายดีตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มีนาคม 2024 ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น ไล่ไปตั้งแต่ Corolla Cross รุ่นปรับโฉม Minorchange ที่มาพร้อมหน้าตาใหม่ได้ใช้ครั้งแรกในโลก มีทางเลือกทั้งขุมพลังเบนซิน 1.8 ลิตร ราคา 999,000 บาท และขุมพลังเบนซิน 1.8 ลิตร Hybrid ราคา 1,094,000 – 1,254,000 บาท รอบนี้ได้ใจลูกค้าชาวไทยไปเต็มๆ เพราะนอกจากจะได้อ็อพชั่นมากมายก่ายกองเพิ่มขึ้น แถมยังยืนหยัดขายราคาเดิมอีกด้วย (แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปลดต้นทุนจุดไหนเพิ่มบ้างอ่านะ)

ต่อด้วยแก๊ง Hilux Revo MY2024 ที่มีการปรับหน้าตาในรุ่นตัวเตี้ย Z-Edition ใหม่ ยกเอากระจังหน้าเวอร์ชั่นออสเตรเลียมาแปะเข้าไป พร้อมอัดอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างเช่น VSC/TSC มาให้ในรุ่นตัวเตี้ย เกียร์อัตโนมัติ 6AT อีกทั้งยังมีการปรับหน้าตาของรุ่น Smart Cab ยกสูง ถอดกระจังหน้าทรงอ่างบัวทิ้งไป แทนที่ด้วยกระจังหน้าสไตล์ ROCCO และที่สำคัญ ในรุ่น GR Sport MY2024 ยังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ทั้งด้านหน้าตาที่ดูดุโหดขึ้น รวมถึงงานวิศวกรรมที่พร้อมลุย พร้อมงัดกับ Ranger Raptor มากขึ้น กับราคาค่าตัว 1,499,000 บาท

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Toyota Hilux Revo GR SPORT Widetread ได้ที่นี่ Click Here

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ Toyota Corolla Cross Minorchange ได้ที่นี่ Click Here

อ่านบทความ First Impression ทดลองขับ Toyota Hilux Revo e BEV ได้ที่นี่ Click Here


VINFAST

หลังจากนำรถยนต์เข้ามาวิ่งทดสอบบนถนนเมืองไทยกันซักพักใหญ่ๆ ล่าสุด แบรนด์รถยนต์สัญชาติเวียดนามอย่าง VinFast (วินฟาสท์) ก็ได้ฤกษ์งามยามดีในการเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ณ งาน Bangkok International Motor Show 2024 (BIMS 2024) พร้อมขนทัพรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่น มาจัดแสดงภายในบูธ ไม่ว่าจะเป็น VF 3, VF 5, VF e34, VF 6, VF 7, VF 8, VF 9 ตลอดจน VF Wild Concept ต้นแบบรถกระบะขุมพลังไฟฟ้า ด้วยเช่นกัน

สำหรับรถยนต์รุ่น VF 5, VF e34, VF 6, VF 7, VF 8 และ VF 9 ที่นำมาจัดแสดงจะเป็นรุ่นพวงมาลัยขวาที่ออกแบบมาสำหรับตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ นับเป็นการเปิดตัวรถยนต์พวงมาลัยขวาครั้งที่ 2 ต่อจากงาน Indonesia International Motor Show (IIMS) 2024 ในเดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา การนำรถยนต์ทั้งหมดมาจัดแสดงที่งาน BIMS 2024 ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Vinfast ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิต และส่งออกยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

รถยนต์ VinFast ที่ถูกนำมาวิ่งทดสอบในประเทศไทย และมีแนวโน้มว่าจะเป็นรุ่นแรกที่ถูกนำเข้ามาประเดิมทำตลาดในบ้านเรา ได้แก่ VinFast VF e34 เป็นรถยนต์ Sub Compact Crossover ขุมพลังไฟฟ้า 100% ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ หรือ 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 242 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 42 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 7.5 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 250 kW ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ทำได้ 285 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)


VOLVO 

หลังจากจัดกิจกรรมส่งมอบ EX30 ให้แก่ลูกค่าล็อตแรกที่สั่งจองไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2024 ที่ทางผ่านมา Volvo ก็ได้ขนทัพขุนศึกรุ่นเล็กขุมพลังไฟฟ้ามาจัดโชว์กันแบบจุกๆ มากันครบทุกรุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Single Motor Extended Range มอเตอร์เดี่ยว ขับหลัง 272 แรงม้า (PS) แบตเตอรี่ 64 kWh วิ่งไกลสุด 540 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ราคา 1,590,000 – 1,790,000 บาท รุ่น Twin Motor Performance มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 428 แรงม้า แบตเตอรี่ 64 kWh วิ่งไกลสุด 520 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) 1,890,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีรถขุมพลัง Plug-in Hyrbid อีกหลายรุ่นมาให้สัมผัสกัน ไม่ว่าจะเป็น S60, V60, XC40, XC60 รวมถึง XC90 แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ Volvo ได้นำเอาวัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนมาใช้เป็นส่วนประกอบของทั้งโครงสร้างและการตกแต่งบูธ อาธิ ผนังบางส่วนของบูธทำขึ้นจากวัสดุ Recycled LDPE ถุงพลาสติก 14,784 ใบ เพดานบูธตกแต่งด้วยผ้ารีไซเคิลน้ำหนักรวม 60 กิโลกรัม ไม่ผ่านการฟอกย้อมหรือพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายของ Volvo Ladies ทำขึ้นจากผ้ายีนส์รีไซเคิลทั้งผืนถูกนำมาจับจีบเป็นชุดโดยไม่ทิ้งเศษผ้าเพื่อลดการสร้างของเหลือและยังสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  ตลอดจนภาชนะอาหารและเครื่องดื่มสำหรับรับรองแขกที่มาเยี่ยมชมบูธทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ 100%

ขอปรบมือให้ครับ !

อ่านข้อมูลทั้งหมดของ Volvo EX30 ได้ที่นี่ Click Here


XPENG 

MGC-ASIA ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ XPeng และ Zeekr อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ขนทัพรถยนต์รุ่นต่างๆ มาจัดแสดงภายในงาน Motor Show 2024 เริ่มจากแบรนด์ XPeng (เอ็กซ์เผิง) ที่มีทั้งรุ่น G6, G9 และ P7i ซึ่งรถยนต์รุ่นแรกที่เตรียมวางจำหน่ายในประเทศไทย ช่วงไตรมาส 3 ปี 2024  ได้แก่ XPeng G6 เป็นรถยนต์ Mid-size Crossover SUV ตัวถังสไตล์ Coupe ขุมพลังไฟฟ้า คู่แข่งตรงรุ่นของ Tesla Model Y

สำหรับ XPeng G6 ที่เข้ามาอวดโฉมออกสู่สายตาชาวไทย จะเป็นเวอร์ชั่นนำเข้าจากจีน พวงมาลัยซ้าย ที่มีอุปกรณ์ / options ใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นที่เตรียมขายในไทยราวๆ 80% มีด้วยกัน 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard Range RWD มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง 296 แรงม้า (PS) แบตเตอรี่ Lithium-ion (LFP) ความจุ 66 kWh และ Long Range RWD ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion (NMC) ความจุเพิ่มขึ้นเป็น 87.5 kWh โดยทั้ง 2 รุ่น จะมีอุปกรณ์มาตรฐานเหมือนกันทุกประการ ยกเว้นความจุแบตเตอรี่

นอกจากนี้ XPeng ยังเตรียมเปิดศูนย์บริการเพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการหลังการขายภายในปี 2024 ในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดบริเวณหัวเมืองใหญ่ รวมทั้งมีแผนจะขยายศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรรถยนต์ของทั้งสองแบรนด์ในอนาคต สำหรับคนที่พลาดงาน Motor Show สามารถไปยลโฉมคันจริงของ XPeng G6 ได้ที่ MGC-ASIA AUTO GALLERIA ชั้น 2 ศูนย์การค้า The Emsphere ตลอดเดือน เมษายน นี้

อ่านรายละเอียดทั้งหมดของ XPeng G6 ได้ที่นี่ Click Here


ZEEKR

ปิดท้ายกันด้วย Zeekr (ซีคเกอร์) แบรนด์รถยนต์หรูจากจีน ซึ่งเปิดประเดิมตลาดเมืองไทยด้วยการนำรถยนต์มาโชว์ 3 รุ่น ได้แก่ Zeekr X รถยนต์ SubCompact Crossover SUV ที่แชร์งานวิศวกรรมร่วมกับ Volvo EX30 แต่ดันทำตัวรถให้มี perceive quality สูงกว่า สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกดีกว่าคู่แฝดอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่เตรียมเข้ามาทำตลาดในบ้านเราคือ Zeekr 009 รถตู้ MPV 7 ที่นั่ง ทรงเหลี่ยมตัวถังยาว 5.2 เมตร ร่างแรกของ Volvo EM90 ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังสูงสุด 544  แรงม้า (PS) พ่วงด้วยชุดแบตเตอรี่ ความจุ 116 – 140 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ทำได้ 702 – 822 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC) สำหรับกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ Zeekr 009 ในประเทศไทยนั้น ทาง MGC-ASIA ยืนยันแล้วว่าจะมีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2024 ! หรือช่วงงาน Motor Expo 2024 ใครที่รออยู่… เจอกันแน่นอนครับ

สำหรับ Zeekr X และ 009 จะถูกนำไปโชว์ตัวต่อที่งาน MGC-ASIA AUTO GALLERIA ชั้น 2 ศูนย์การค้า The Emsphere เช่นเดียวกัน

 

—————————//—————————

บทความโดย QCXLOFT (Yutthapichai Phantumas)

ภาพโดย Sank Ritthiphon Saiyaprom