งาน Bangkok International Motor Show ที่เพิ่งจบสิ้นลงไป แม้จะเป็นแค่งานแสดงรถยนต์ประจำปี อีก 1 งาน
ในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับผม และอีกหลายคน หาได้คิดเช่นนั้นไม่….
ใครจะไปนึกละว่า จู่ๆ มีรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง โผล่เข้ามาในงาน อย่างเงียบๆ แต่กลับกลายเป็นรถยนต์ 2 รุ่น ที่
คุณผู้อ่าน Headlightmag.com ของเรา กำลังกล่าวขวัญกันมากกว่าปกติ เรียกได้ว่า มากกว่า Hyundai Sonata
ใหม่ แถมยังมีการพูดถึงพอกันกับ Honda Brio เสียด้วยซ้ำ?? เรียกได้ว่าขโมยซีนกันเห็นๆ!!
ที่หนักกว่านั้น คุณผู้อ่านบางคน ไปลองขับเสร็จ ติดใจ จองเลย ถ่ายภาพใบจองให้เราดูกันเลยก็มี เล่นเอา
ผม ในฐานะเจ้าของเว็บ ถึงกับตาเหลือก อึ้งกิมกี่กันไปเลย
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย!! มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย!!?
อย่าว่าแต่ผมเลยครับ คุณ สุวิชชา ลีนุตพงษ์ หารือคุณโต แห่ง MTM-Thailand ผู้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อนี้กลับมา
ทำตลาดใหม่อีกครั้ง ก็ยังงงเต๊ก เกาหัวแกรกๆ ไปพร้อมกับผมนั่นแหละ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้ยังไง ไม่คิด
ไม่ฝันมาก่อนเลย ว่าจะมีกระแสการพูดถึงบนเว็บไซต์ของเรา ได้เยอะและเร็วขนาดนี้
ครับ เรากำลังหมายถึง แบรนด์รถยนต์จากสาธารณรัฐเชค ที่ชื่อว่า SKODA หรืออ่านเป็นภาษาไทยได้ว่า สโกดา
แบรนด์ที่ผม คิดว่า มันคงจะตายสนิทไปแล้วในเมืองไทย แบรนด์ที่ผมไม่คิดว่าจะมีใครสักคน มองเห็นอนาคต
แล้วตัดสินใจ เดินหน้า นำกลับมาทำตลาดใหม่ อย่างจริงจังกันอีกครั้ง
วันนี้ พวกเขา กลับมา ขอแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งในเมืองไทย เรียบร้อยแล้ว….และ Yeti ก็เป็นรถยนตือีกรุ่นหนึ่ง
ที่ผมเห็นแล้วอยากลองขับมาตั้งนาน ไม่คิดมาก่อนว่า จะมีโอกาสได้นั่งอยู่ในรถคันนี้ แล้วก็ทำรีวิวให้คุณอ่าน
กันอยู่นี้กันจริงๆ
Skoda เป็นแบรนด์รถยนต์จากสาธารณรัฐเชค ภายใต้การดูแลของ Volkswagen อีกแบรนด์หนึ่ง ที่ผมเคยท่อง
เอาไว้ในใจว่า อยากทดลองขับรถของพวกเขา หลังจากที่เคยแอบเอา Skoda Octavia 1.9 TDI Wagon ออกจาก
ออฟฟิศของ Thaidriver ไปลองขับวนรอบออฟฟิศเล่นๆ 1 รอบ จนถูกทีมงานด่าทอเละเทะ เมื่อกลับมาคืน
กุญแจรถให้กับเขา
ซึ่งผมก็สมควรโดนพวกพี่เขาด่าอยู่หรอกครับ ตอนนั้น เป็นปี 2003 และเป็นปีที่ผมยังค่อนข้างใหม่ในวงการ
ยังไม่ค่อยได้เริ่มทำรีวิวทดลองรถอย่างเป็นทางการเท่าไหร่เลย การแอบเอารถที่พวกเขายืมมา ออกนอกออฟฟิศ
ไปวนเล่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นเรื่องที่น่าด่ามากๆ เพราะถ้ารถเป็นอะไรขึ้นมา แม้ว่าจะมีประกันภัย
คุ้มครอง ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆเลยก็ตาม แต่ชื่อเสี่ยงของสื่อมวลชนรายนั้นๆ กับความสัมพันธ์ที่มีอยู่ อาจ
สั่นคลอนได้
ถึงแม้จะเป็นเพียงสัมผัสสั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย แน่ละ Octavia คันนั้น นอกจากจะเป็น
Skoda คันแรก แถมยังเป็น รถในเครือ Volkswagen ยุคหลังปี 2000 คันแรกที่ผมได้ลองขับแล้ว ยังพ่วงตำแหน่ง
เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel Turbo Common-rail คันแรกที่ผมเคยได้ลองขับกันอีกด้วย และ Octavia คันนี้
นั่นละ ที่ทำให้ทัศนคติของผม ที่เคยมองรถยนต์ Diesel Turbo เปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง ตลอดกาล แต่หลังจากนั้น
ด้วยปัญหาภายในบางประการ จึงทำให้ กลุ่มยนตรกิจในขณะนั้น ตัดสินใจ พักการทำตลาด Skoda ไปหลายปี
ต่อมา ในช่วงต้นปี 2010 การจัดสรรแบรนด์ให้กับบรรดาลูกหลานในตระกูลลีนุตพงษ์ ได้เอาไปถือครองแบ่งสรร
กันทำตลาด จนเรียบร้อย เมื่อช่วงต้นปี 2010 แล้ว ก็ยังเหลือ แบรนด์ Skoda ที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครเหลียวแล
หากแต่ คุณ โต ในฐานะคนที่ชอบรถ และการขับรถเป็นอย่างมาก เกิดมองเห็นว่า แบรนด์นี้ มันยังมีอนาคตในเมืองไทย
ถ้าใครสักคน ลองปลุกปั้นกันสักตั้ง ด้วยแนวคิดการทำงานแบบแปลกๆ คือ อยากทำตลาด “เฉพาะรถยนต์ที่ตัวเองอยากขับ
เท่านั้น!” ไอเดียนี้แหละ เลยต่อยอดมาว่า ทำอย่างไร ให้แบรนด์ Skoda กลับมาเกิดในเมืองไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน?
แค่คิด ก็เหนื่อยแล้ว เหมือนแหงนมองยอดเขาเอเวอร์เรสต์กันเลยทีเดียว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่…พอมานั่งคิดดูกันอีกที มันก็ไม่ยากจนเกินไปนี่หว่า!
นั่นจึงเป็นที่มา ของการนำ Skoda Fabia กลับมาเปิดตลาดอีกครั้ง ตั้งแต่การนำ Skoda Fabia 1.2 TSI กลับมาเปิดตัว
อีกครั้งในงาน Motor EXPO ธันวาคม 2010 จนกระทั่งการตัดสินใจนำเข้าซีดานหรูรุ่น Superb และ SUV รุ่น Yeti
มาเปิดตัว และพร้อมจำหน่ายจริงกันในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งล่าสุด จนเกิดกระแสเล็กๆขึ้นมา
ใน Headlightmag.com เรานี่แหละ….
ผมเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาว่า ด้วยค่าตัวที่เริ่มต้น 1,290,000 บาท เจ้า Yeti เนี่ย จะมีดีอะไร ที่ถึงขั้นจะทำให้ลูกค้าบางราย
ปันใจมาจาก Honda CR-V? ผมไม่ใช่คนที่จะต้องตอบคุณ แต่เป็นหน้าที่ของเจ้ามนุษย์หิมะตัวนี้ต่างหาก….แต่ก่อนอื่น
ผมว่าคุณควรจะรู้จักที่มาที่ไปของ Skoda กันสักหน่อย ตามธรรมเนียมเดิมของ Headlightmag.com ที่จะต้องมีอารัมภบท
ก่อนที่จะปล่อยให้คุณได้อ่านรีวิวกันเต็มๆ..เอาน่า คราวนี้ ไม่ยาวเท่าไหร่หรอก ที่เขียนเนี่ย เพราะอยากให้รุ้ว่า
รถที่คุณเห็นอยู่นี้ “ไม่ใช่รถเกาหลีอย่างที่เข้าใจกัน แต่มันเป็นรถจาก สาธารณรัฐเชค! ในเครือ Volkswagen AG”
Skoda เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอายุเกิน 100 ปีมาไกลมากแล้ว นับถึงวันนี้ ก็น่าจะอยู่แถวๆ 118 ปี เพิ่งมีการเปลี่ยน
สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้ากันไป เมื่องาน Geneva Auto salon ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง พวกเขากลายเป็น
แบรนด์ที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ในการสร้างยอดขายให้กับกลุ่ม Volkswagen โดยปี 2010 ที่ผ่านมา พวกเขาผลิต
รถยนต์ทุกรุ่นย่อย ในตระกูล Fabia Octavia Superb Roomster และ Yeti ออกมาขายทั่วโลกมากถึง 762,600 คัน
แซงหน้า Seat เพื่อนร่วมชายคา ผู้กำลังตกที่นั่งระกำลำบากไปไกลโข
แม้ว่า Skoda จะทำให้ สาธารณรัฐเชค เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆที่มีการประดิษฐ์รถยนต์ขึ้นใช้งาน แต่จุดเริ่มต้นของ
Skoda นั้น ไม่ได้เริ่มต้นที่การผลิตรถยนต์แต่แรก หากแต่ เริ่มจากจักรยานก่อน เหมือน Peugeot นั่นแหละ! แถมยังเป็น
จุดเริ่มต้นที่ “ฮา” ใช้ได้เลยทีเดียว
ในปี 1895 Vaclav Klement (วาลคาฟ เคลมองต์) คนขายหนังสือในเมือง Mlada Boleslav ซื้อจักรยานเยอรมันจากเมือง
Dresden ยี่ห้อ Seidel and Naumann มาใช้ ปรากฎว่า มันพัง แล้วหาอะไหล่มาซ่อมเองไมได้ เขาก็เลยส่งจดหมายไปหา
ผู้ผลิตที่เยอรมัน แต่ดันเขียนเป็นภาษา Czech บริษัทจักรยาน ก็เลยตอบจดหมายส่งกลับมาด้วยข้อความว่า “If you would
like an answer to your inquiry, you should try writing in a language we can understand” หรือแปลว่า “ถ้าคุณ
ต้องการให้เราทำตามความประสงค์ของคุณ คุณก็ควรจะหัดเขียนจดหมายในภาษาที่เราอ่านแล้วเข้าใจด้วย”
คือถ้าว่าตามตรรกะแล้ว ผู้ผลิตจักรยาน ก็ทำถูกนะ ก็คุณเขียนไปหาเขาเป็นภาษา Czech แล้วคนเยอรมันจะอ่านรู้เรื่อง
กันไหมวะนั่น? แต่อย่างว่าครับ การตอบจดหมายด้วยสำนวนเหียกๆ กับลูกค้าแบบนี้ พอ Klement ได้อ่านเท่านั้นแหละ
ควันออกหูกันเลยทีเดียว! “อ๋อ มึงตอบกูอย่างนี้ใช่ไหม? ได้ กูก็จะไม่ง้อมึง!” Klement ผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องเทคนิคเสียเลย
จึงไปคุยกับ Vaclav Laurin ผู้ซึ่งเคยเปิดโรงงานจักรยานในเมืองใกล้ๆกันที่ชื่อ Turnov เมื่อก่อนหน้านั้น ทั้งคู่ร่วมกัน
เปิดกิจการร้านซ่อมจักรยานในปี 1895 นั่นแหละ หลังจากนั้น พวกเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ในโรงงานใหม่ แล้วก็สั่งจักรยาน
ติดเครื่องยนต์ หรือ motorcyclette จาก Werner Brothers 2 พี่น้องแห่งฝรั่งเศส เข้ามาขาย
ตอนแรก จักรยานติดเครื่องยนต์ของพวกเขามันอันตรายมาก ก็พี่ท่านเล่นติดเครื่องยนต์เอาไว้บนแฮนด์บังคับ ให้ขับล้อหน้า
แม้แต่ Laurin เองก็ยังเสียฟันซี่หน้าของเขาไปจากอุบัติเหตุขณะขับขี่ พวกเขาก็เลยออกแบบมันเสียใหม่ โดยเขียนจดหมาย
ไปขอคำแนะนำจาก ผุ้ชำนาญการด้านระบบจุดระเบิดในสมัยนั้น ที่ชื่อ Robert Bosch (ก็คือ ผู้ก่อตั้งบริษัท BOSCH ในปัจจุบัน)
แล้วพวกเขา ก็ทำจักรยานติดเครื่องยนต์แบบใหม่ ออกมาขายในปี 1899 ภายใต้ชื่อ “จักรยานยนต์ Slavia” พอล่วงเข้าปี 1900
ด้วยคนงานเพียง 32 คน พวกเขาก็เริ่มส่งออกรถของตน ไปยัง กรุง London ต่อมาก็เริ่มผลิตจักรยานยนต์แท้ๆ ขายกัน แล้ว
ในปี 1905 Laurin & Klement ก็เริ่มเข้าสู่การผลิตรถยนต์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Laurin-Klement company ก็เริ่มต้นผลิตรถยนต์และรถบรรทุกขาย แต่ในปี 1924 เมื่อเกิดเพลิงไหม้
โรงงานครั้งใหญ่ พวกเขาก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว และจำเป็นต้องหาพันธมิตรเข้ามาร่วมกอบกู้กิจการ ปี 1925 Pilsen Skoda Co.
หนึ่งในเครือของ บริษัท Skoda Works ผู้ผลิตอาวุธ และบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดใน Czechoslovakia (เชคโกสโลวาเกีย)
ตอนนั้น ก็เลยได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ทำให้รถยนต์ที่ผลิตขายหลังจากนั้น เปลี่ยนจากการแปะตรา LK (Laurin & Klement)
กลายเป็นยี่ห้อ Skoda นับจากนั้น จนถึงวันนี้ ในปี 1930 จากการจัดระเบียบองค์กรเสียใหม่ ก็เลยกลายเป็นหน่วยงานธุรกิจ
รถยนต์ ซึ่งแยกเอกเทศในตลาดหุ้น จาก Skoda Group (Automobile Industry Co.,ASAP) หลังผ่านวิกฤติต่างๆมาได้ พวกเขา
ก็เริ่มออกรถ Skoda Popular ซึ่งได้รับความนิยมในประเทศอย่างมาก
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Skoda ถูกควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของ Hermann Goring Werke เพื่อจะช่วยเหลือฝ่ายอักษะ ผลิตอาวุธ
ในสงครามดังกล่าว แล้วโรงงานของพวกเขา ก็ถูกทิ้งระเบิดถล่มเสียหายอย่างหนัก ในปี 1945 หลังการซ่อมแซมใหม่ Skoda
ก็ออกรถรุ่น 1101 ซึ่งเป็นรุ่นปรับโฉมต่อยอดมาจาก Skoda Popular ในปี 1945 หลังจากพ่ายแพ้สงคราม มีการเปลี่ยนแปลง
ในระบบเศรษฐกิจ มาเป็นแบบ ระบบการวางแผนจากส่วนกลาง (planned economy) ทำให้กิจการรถยนต์ Skoda จะถูกแยก
ออกมาจาก กิจการ Skoda หลัก หลังจากนั้น ก็ทะยอยผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆออกมา ทั้งรุ่น 440 Spartak, 445 Octavia รุ่น Felicia
ไปจนถึงรุ่น Skoda 1000 MB นอกจากจะได้รับความนิยมในยุโรปตะวันออก และประเทศโลกเสรีบางแห่งแล้ว ยังเคยคว้า
รางวัลในการแข่งขันแรลลี RAC ในตลอด 17 ที่เข้าแข่งขันด้วย แต่ภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี เพราะในอังกฤษ มักถุกนำไปใช้เป็น
มุขในเชิงล้อเลียนขบขันมากกว่า ทำให้ Skoda เอง พอจะขายได้ในกลุ่มคนไม่ค่อยมีเงิน แต่ต้องการรถยนต์คุ้มค่า ทนทาน
ต้นยุค 1980 Skoda ในชื่อของ Automobilove zavody, narodni podnik, Mlada Boleslav หรือ AZNP ยังคงผลิครถยนต์ที่ขายดี
ในยุค 1960 มาต่อเนื่อง จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 1987 Skoda Favorit Hatchback 5 ประตู และ รุ่น Forman Estate กับ Pickup
เริ่มเปิดตัวสู่ตลาด ถือเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Skoda ที่พวกเขาพยายามพัฒนาให้ทัดเทียม
กับรถยนต์ร่วมยุคสมัยเดียวกัน เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้เต็มที่
หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน เชคโกสโลวาเกีย จนกลายเป็น สาธารณรัฐเชคและสโลวัก ในปี 1989 รัฐบาลของพวกเขา
ในฐานะเจ้าของ Skoda Auto ก็เริ่มมองหากลุ่มทุนต่างชาติที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ มาช่วยพยุงกิจการของ Skoda
เดือนธันวาคม 1990 รัฐบาลเชคได้ตัดสินใจให้ กลุ่ม Volkswagen เข้ามาร่วมทุนกัน ในฐานะ joint-venture และเริ่มงานกันเมื่อ
16 เมษายน 1991 ภายใต้ชื่อ Skoda, automobilova a.s. และเป็นแบรนด์ที่ 4 ภายใต้ชายคาของ Volkswagen Group ร่วมกันกับ
VW AUDI และ SEAT
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่ม VW ทำให้ Skoda เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์รุ่นแรกที่คลอดหลังความ
ร่วมมือกันคือ Felicia (รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Favorit) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือน ตุลาคม 1994 ที่กรุง Praque จากนั้น
Skoda Octavia ยุคใหม่รุ่นแรกที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของรถยนต์ Volkswagen Golk Mk-IV กับ Audi A3 ก็คลานตามออกมา
ในปี 1996 ตามด้วยการเปิดตัวรุ่น Fabia เมื่อวันที่ 14 กันยายน 1999 ในงาน Frankfurt Motor Show เพื่อทำตลาดแทน Felicia
ที่ผลิตอยู่จนถึงปี 2001 อันเป็นปีที่ Superb รุ่นแรกเปิดตัว แล้วก็มีรุ่นเปลี่ยนโฉมทั้งคันของ Octavia ในปี 2004 พอเดือนมีนาคม
2006 ก็ออกรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 5 ประตู Roomster ที่สร้างขึ้นร่วมกับพื้นฐานของ Fabia รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี
2007 ล่วงเข้าเดือนมีนาคม 2008 พวกเขาก็ทำคลอด Superb รุ่นปัจจุบัน และล่าสุดกับ Yeti SUV รุ่นล่าสุดที่คุณเห็นอยู่นี้ เมื่อ
เดือนมีนาคม 2009
แล้ว Skoda ในเมืองไทยละ? โอ้ ความเป็นมาหนะ สนุกสนาน สับสนอลหม่าน ไม่แพ้เรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทแม่ในเชคเลยละ!
เพราะการทำตลาดที่ขาดความต่อเนื่อง คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Skoda ต้องผลุบๆ โผล่ๆ ในเมืองไทยมาโดยตลอด
อันที่จริง Skoda ถูกนำเข้ามาขายในบ้านเรา เมื่อราวๆ 50 ปีมาแล้ว แต่น่าแปลกว่า ไม่ค่อยมีใครเก็บข้อมูลเอาไว้เลยว่า ใครเป็น
คนแรกที่สั่งนำเข้ารถยี่ห้อนี้มาขายในเมืองไทย การค้นหาข้อมูลจึงค่อนข้างยากลำบากเอาการเลยทีเดียว เท่าที่ผมพอจำได้
มีเพียงแค่ว่า สมัยก่อน มีบริษัท อู่วิกรม จำกัด (ใช่แล้วครับ อู่วิกรมที่รับงานซ่อมสีตัวถังรถจนโด่งดังในทุกวันนี้ นั่นเองละ)
เคยเป็นตัวแทนสั่งนำเข้า Skoda มาขาย มีผู้ใหญ่รอบข้างที่น่ารักมากท่านหนึ่ง ย้อนความให้ฟังว่า สมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรี
ของไทย ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั่งรถ Cadillac ไปเปิดป้ายที่ทำการอู่วิกรมนั้น ในอู่ มีรถ Skoda มาจอดขายรออยู่
ในอู่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้พอยืนยันได้เพราะผมเคยเห็นงานโฆษณา Skoda เก่าๆ ขายควบคู่กับ รถยนต์ Saab จากสวีเดน ซึ่ง
นั่นก็นานมากแล้ว แต่ต่อมา ด้วยเหตุอันใดไม่ปรากฎ ชื่อ Skoda ก็หายไปจากเมืองไทย หลายสิบปี
ชื่อ Skoda กลับมาอยู่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์บ้านเราอีกครั้ง ช่วงปี 1995 เมื่อมีข่าวว่า อดีตนักธุรกิจฟาร์มเลี้ยงกุ้ง และ
พ่อค้ารถนำเข้า ที่ชื่อ “ธีระ สกุลรัตนะ” ประกาศว่า ตนเองได้สิทธิ์เป็นผู้จำหน่าย Skoda ของประเทศไทยแล้ว ในนาม บริษัท
เอ็มทีดี เช็ค คาร์ จดทะเบียนที่อังกฤษ และเตรียมสั่งรถเข้ามาขายในไทย
ก่อนหน้านี้เขาเคยร่วมหุ้นกับคุณรังสิต กุนธร ทำบริษัท Motorway จำกัด สั่งนำเข้า Volvo 460 และ 440 เข้ามาขายแข่งกับ
สวีเดนมอเตอร์ส ผู้จำหน่าย Volvo ในไทยช่วงนั้น จนขายดีอยู่พักหนึ่งก่อนจะต้องเลิกไปเพราะสวีเดนมอเตอร์ สั่งนำเข้า
รถ 2 รุ่นนี้มาขายเอง และประกาศลั่น ไม่รับซ่อมรถจากผู้ค้ารายย่อยอย่างเขา ก็เลยทิ้งธุรกิจนี้ไป (แน่นอนว่า ผู้ร่วมทุนก็
เจ็บช้ำไปพอสมควรจากปัญหาสำคัญคือ การบริหารงานไม่เป็นไปตามข้อตกลงในตอนแรก จนต้องถอนตัวออกไป)
คราวนี้ ก็เกิดเรื่องอีก เพราะธีระ ไปชวน บริษัท บางกอกเคเบิล ซึ่งไม่เคยทำธุรกิจรถยนต์มาก่อน มาร่วมลงทุนถือหุ้นใน
บริษัท Bangkok Motorway เพื่อจะทำตลาด Skoda แต่ก็มีปัญหาความไม่ไว้วางใจกันในการบริหารงานอย่างรุนแรง จน
กระทั่งงานเปิดตัว Skoda Felicia ในเมืองไทย เมื่อ 22 มีนาคม 1995 ณ โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเน็นตัล (ตอนนี้โดน
ทุบทิ้งกลายเป็น สยามพารากอนไปแล้ว) ต้องกลายสภาพมาเป็น งานเลี้ยงฉลองครบรอบ 100 ปีของ Skoda แก้เก้อไป
โดยปริยาย แม้หลังจากนั้น วันที่ 27-28 มีนาคม ฝ่ายของคุณธีระ จะสามารถนำรถยนต์นั่ง Skoda Felicia มาแสดงในงาน
เปิดตัวได้ แต่ก็เป็นแค่รถยนต์พวงมาลัยซ้ายคันเดียวเท่านั้น แถมกว่าจะได้มา ก็ต้องห้ำหั่นกับผู้ถือหุ้นฝ่ายตรงข้าม เพราะ
ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างพยายามใช้วิธีการต่างๆ กีดกันอีกฝ่าย ไม่ให้นำรถเข้ามาจำหน่ายได้ และต่างก็มีข่าวลือว่า พยายามล็อบบี้
บริษัทแม่ในสาธารณรัฐเชค กันอีกหลายครั้ง จน Skoda ชะลอการส่งรถมาขายในไทย เจ็บปวดกันไปทุกฝ่าย
รายละเอียดในเรื่องนี้ นสพ.ผู้จัดการ เคยทำเป็นบทความรายงานข่าวเอาไว้แล้ว สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ที่นี่
www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=4978 และ
www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=6672
สุดท้าย ในเมื่อเรื่องมันวุ่นวายมากนัก ราวๆ ปี 1998 กลุ่มยนตรกิจ (ชื่อในตอนนั้น) รู้ดีว่า ถ้าต้องการทำตลาดรถยนต์ยี่ห้อใด
ในเครือของ VW ก็ต้องติดต่อไปที่ Volkswagen AG ไม่ใช่ติดต่อไปที่ Skoda พวกเขาก็เลยไปเจรจาจนได้สิทธิ์การทำตลาด
Skoda ในบ้านเรามาอยู่ในมือเรียบร้อย ในช่วงปี 1996 – 1997 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่นานนัก ในระยะแรก ก็นำเข้า Skoda
Octavia ซีดาน 4 ประตูมาขายกันก่อน พอล่วงเข้าปี 2001 ก็สั่ง Skoda Fabia Combi 1.9 SDi มาขายในราคาแค่ 769,000 บาท
จนขายดีอยู่พักหนึ่ง ปีถัดไป 2002 Skoda Octavia Combi 1.9 TDi ก็เข้ามาทำตลาด หลังจากนั้น ตั้งปต่ปี 2004 เป็นต้นมา
Skoda ก็ถูกพักการทำตลาดไป จากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งฝั่งบริษัทแม่ และทางยนตรกิจเอง ทิ้งช่วงไปถึงปี 2009 Skoda
จึงกลับมาอีกครั้งในงาน Motor Expo 2009 ด้วยการเปิดตัว Skoda Octavia ใหม่ อย่างเงียบเชียบ และต้องรอให้เวลาผ่านมา
จนถึง Motor Expo 2010 นี่แหละ Fabia 1.2 ลิตร ถึงได้ถูกสั่งเข้ามาทำตลาดกัน และต่อเนื่องมาจนถึง Yeti กับ Superb ใน
งาน Motor Show ครั้งล่าสุดนี้
อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลา 100 กว่าปีที่ผ่านมา Skoda แทบไม่เคยทำรถยนต์อเนกประสงค์แบบ SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ
อย่างจริงจังเลยสักที มีอย่างมากสุดก็แค่ การนำ Octavia Station Wagon มาเพิ่มรุ่น 4×4 เอาใจตลาดเมืองหนาว
กันพอแก้กระสัย ก็เท่านั้น
ความจริง Skoda ไม่ใช่ว่าเพิ่งคิดจะมาทำรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อออกขายหรอกครับ เพราะพวกเขา เริ่มผลิต
รถยนต์ประเภทนี้ออกขายมาตั้งแต่ปี 1942 – 1943 มาแล้ว นั่นคื้อ Skoda Superb 3000 รุ่น Kfz 15 (Type 956)
โดยเป็นรถยนต์ Saloon 4 ประตู วางเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.1 ลิตร ขับเคลื่อน 4ล้อ ส่วนรุ่น Type 973 อันเป็นรถยนต์
off-road แท้ๆ ออกสู่ตลาดครั้งแรกในช่วงปี 1952 – 1956 สามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 600 มิลลิเมตร และปีนไต่บนทาง
ที่ลาดชันมาถึง 85 เปอร์เซนต์ แน่นอนว่า หลังจากนั้น รถพวกนี้ ก็หายไปจากตลาด ตามกาลเวลา การกลับมาของ
Yeti นั้น ถือเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ ของแบรนด์ เพราะเป็นครั้งแรกที่ Skoda จะทำรถยนต์ SUV แท้ๆ ออก
สู่ตลาดกันจริงๆ ในรอบร้อยกว่าปี
Skoda Yeti (อ่านว่า สะ-โก-ด้า เย-ติ) ใช้รหัสรุ่น 5L ถุกสร้างขึ้นให้เป็นรถยนต์ตรวจการขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ
สี่ล้อ ขนาดเล็ก 5 ประตู 5 ที่นั่ง หรือเรียกกันว่า Compact Crossover SUV บนพื้นฐาน Platform ของ Volkswagen
Golf Mk V รุ่นก่อนปัจจุบัน ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ วันหนึ่ง เมื่อ Skoda พร้อม และแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็ต้องการ
รถยนต์ SUV สักรุ่นหนึ่ง สำหรับเอาใจลูกค้า ที่อยากได้ SUV ขนาดกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ตล่องตัว
ไม่เทอะทะ และรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี อีกทั้ง ต้องสามารถลุยป่าลุยเขาได้ตามสมควร ใกล้เคียง
กับ SUV รุ่นพี่ทั้งหลายในตลาดอีกด้วย
Karl Neuhold หัวหน้าทีมออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์ ของ Skoda เล่าไว้ว่า โครงการพัฒนา Yeti
เริ่มต้นเมื่อปี 2004 โดยในตอนแรกหนะ ตั้งใจเอาไว้แค่ว่า ต้องการสร้างรถยนต์ที่ดูเรียบง่าย ใช้งานได้ดี และ
ต้องดูเยาว์ คือดุแล้วต้องเป็นรถคนของหนุ่มสาว ไม่ใช่รถของคนแก่ๆ ว่างั้นเถอะ และใช้พื้นฐาน Platform
ของ Skoda Fabia น้องเล็กในตระกูล
ทำไปทำมาแนวคิดพื้นฐานถูกเปลี่ยนไปจากความตั้งใจเดิม ด้วยเหตุผลที่ว่า ในเมื่อรถคันใหม่นี้ ต้องติดตั้งระบบ
ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ยกชุดมาจาก พี่ชายคนกลางประจำตระกูลอย่าง Skoda Octavia แล้ว ไหนๆ ก็ไหน ยกเอาชุด
Platform ของ Octavia มาใช้เป็นพื้นฐานกันเสียเลยจะดีกว่า ทีมออกแบบก็ภถึงกับมึนไปเลย จู่ๆ มาขยายร่าง
กันง่ายๆแบบนี้ ก็ต้องมานั่งทำงาน รื้อใหม่กันตั้งแต่ต้นเลยหนะสิ!
หลังจากนั้น Thomas Ingenlath ก็ใช้ความพยายาม นำลูกทีม สร้างเวอร์ชันต้นแบบของ Yeti จนเสร็จทัน ออก
แสดงครั้งแรกในโลก ณ งาน Geneva Motor Show มีนาคม 2005 และ Framkfurt Motor Show เดือนกันยายน
ปีเดียวกัน…ครับ…รถคันสีฟ้าข้างบนนี้ที่คุณเห็นอยู่นี่แหละ!
ผมยังจำวินาทีแรกที่เห็นภาพถ่ายของรถคันนี้ ชุดนี้ ที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ ได้เลยว่า “นี่แหละ Skoda ที่ผมรอให้
พวกเขาทำออกมาขายเสียที มันต้องออกมาแบบนี้แหละ!!”
หลังการสำรวจปฏิกิริยาของผู้บริโภค ในเมื่อผลตอบรับเป็นไปในทางที่ดี Skoda ก็เลยอยากจะเช็คความมั่นใจ
อีกครั้งว่า ควรจะออกรุ่น 2 ประตู หรือดัดแปลงให้เป็นไปในรูปทรงอื่นด้วย เพื่อทำตลาดควบคู่กันไป จะดีหรือไม่
พวกเขาก็เลยสร้าง รถยนต์ต้นแบบ Skoda Yeti Concept 2 สีเหลืองทองประกายอร่อม ออกมา อีกคันหนึ่ง เพื่อส่ง
ไปจัดแสดงในงาน Frankfurt Motor Show ปลายปีเดียวกัน รถคันนี้ มีจุดเด่นคือ เส้นสายที่ชวนให้จินตนาการต่อ
ว่า หากเป็นตัวถัง 2 หรือ 3 ประตู Yeti น่าจะมีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร
แต่ในฐานะรถต้นแบบ ก็ควรจะต้องมีงานออกแบบที่ประหลาด พิลึกพิลั่นกันสักหน่อย ทีมออกแบบเลยจัดการ
สร้างเสาโครงหลังคา ด้านหลังแบบใหม่ และจับหดตัวรถ ให้เหลือเพียง 2 ประตู หลังคาเป็นแบบผ้าใบ ถอดออก
ได้ง่าย แถมบั้นท้ายยังเป็นแบบ บรรทุกข้าวของได้ เหมือนรถกระบะ อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการสำรวจออกมา พบว่า ตลาด SUV 2-3 ประตูที่เคยได้รับความนิยมในยุโรปนั้น มียอดขาย
รวมไม่มากพอให้ลงทุนสร้างรถแบบนี้ต่อไป ทำให้ มีเพียง Yeti คันสีฟ้า 5 ประตู เวอร์ชันต้นแบบ เท่านั้น ที่
ถูกนำมาปรับปรุง และขัดเกลา เพื่อให้เหมาะต่อการขึ้นสายการผลิต และทำตลาดจริง ด้วยฝีมือของ Jens Manske
และทีมงานศูนย์ออกแบบ SkodaAuto Design and Technical Centre ในเมือง Mlada Boleslav
10 มกราคม 2007 Skoda ประกาศถึงความเคลื่อนไหวในการพัฒนา Yeti ออกมาว่า พวกเขาจะนำรถรุ่นนี้ไปขึ้น
สายการผลิตที่โรงงาน Kvasiny ในสาธารณรัฐเชค ซึ่งจะเป็นการสร้างงานให้กับประชาชนในเมืองดังกล่าวอีก
หลายร้อยตำแหน่ง
เวอร์ชันพร้อมทำตลาดจริงของ Yeti ถูกเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกในโลก ที่งาน Geneva Auto Salon ครั้งที่ 79
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2009 (ไม่นับการแถลงว่าจะส่งขึ้นเวทีดังกล่าวเป็นครั้งแรก เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2009 และ
เผยภาพคันจริงครั้งแรกเมื่อ 4 มีนาคม 2009) และนับตั้งแต่เปิดตัวมา ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดหลาย
ประเทศที่เข้าไปขาย ไม่เว้นแม้แต่ ไต้หวัน และ อินเดีย โดยเฉพาะรายหลังเนี่ย มีการขึ้นสายการประกอบใน
ประเทศของเขาด้วย ปี 2009 ที่ผ่านมา ยอดขาย เฉพาะของรุ่น Yeti เพียงรุ่นเดียวทั่วโลกนั้น มากถึง 11,018 คัน
ในเมืองไทย Yeti ถูกสั่งเข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อวันที่ 23 มีนาคม
ที่ผ่านมา (รอบ VIP) มากันแบบเงียบๆ ลงจากท่าเรือปุ๊บ ก็ถูกขนมาเข้างานปั๊บในทันที แทบไม่มีเวลาตั้งตัว
กันก่อนเลย และแน่นอนว่า…ยังไม่ทันที่งานจะผ่านไปจนครบ 10 วัน Yeti ทั้งสีน้ำเงินและสีดำ ในงาน กูก
จับจองเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว แปะป้าย SOLD อันแปลว่าขายไปแล้ว เป็น 2 คัน ในจำนวน 28 คันที่
พวกเขาขายได้ และหลายคันในนั้น เป็นคุณผู้อ่านมาจาก Headlightmag.com ของเราเนี่ยแหละ!!
ตัวเลขนี้ มันมากพอให้เราต้องรีบตัดสินใจขอยืมรถมาทำรีวิวให้คุณได้อ่านกันอย่างเร่งด่วนในคราวนี้นั่นเอง
มิติตัวถังยาว 4,223 มิลลิเมตร กว้าง 1,793 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้างเข้าไปด้วยจะอยู่ที่ 1,956 มิลลิเมต)
สูง 1,691 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,578 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,541 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง
1,537 มิลลิเมตร มุมไต่ 19 องศา มุมจาก 26.7 องศา มุมเมื่อขึ้นสู่ยอดเนิน 19.4 องศา ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน
อากาศ Cd. 0.37 รถที่มีรูปทรงแบบนี้ ต้านลมประมาณนี้ ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วครับ เพราะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของ SUV
ทั่วๆไป พอดีๆ
น้ำหนักตัวเปล่าหนะ 1,370 กิโลกรัม แต่สามารถบรรทุกได้ทั้งหมด 620 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกรวมของเหลว
ทั้งหมดในระบบและน้ำมันรถเต็มถัง 55 ลิตร (Gross weight) จะอยู่ที่ 1,915 กิโลกรัม
งานออกแบบภายนอก โดดเด่น แตกต่าง อย่างมีเอกลักษณ์ และลงตัว จุดเด่นของรุปลักษณ์ภายนอกจะอยู่ที่การ
วางตำแหน่งไฟตัดหมอก ให้เหลื่อมกับชุดไฟหน้า แต่แยกออกมาอย่างจงใจ กระจังหน้าลายเอกลักษณ์ของ
Skoda ก็ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม ที่ออกแบบให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น นอกจากนี้เสาหลังคาคู่หน้า ยังเป็นแบบ
สีดำ Wrap around ชวนให้นึกถึงรถยนตืหลายๆคัน ตั้งแต่ Lancia Stratos , Mazda Savanna RX-7 SA22C
รุ่นแรก ปี 1978 Suzuki Swift รุ่นปัจจุบันกับรุ่นใหม่ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่ Skoda Fabia รุ่นล่าสุดในตอนนี้
แถมไฟตัดหมอกยังเป็นไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวัน หรือ Day time running lights อีกด้วย
เสาหลังคาตรงกลาง และการเล่นกับแนวขอบกระจกหน้าต่างด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง ชวนให้นึกถึง รถตู้ Toyota
Alphard/Velfire และ Hiace หลายรุ่น แต่มีความลงตัว และเรียบง่ายมากกว่า กันชนด้านหน้า และหลังจะ
เป็นพลาสติก Recycle ได้ ไม่พ่นสี เหตุผลก็เพราะต้องการเพิ่มความดุดันและภาพลักษณ์ว่า รถคันนี้สามารถ
ลุยไปบนพื้นที่ Off-raod เล็กๆ ได้อยู่ จึงต้องทำความสะอาดง่าย และไม่เป็นสีเดียวกับตัวรถ เพื่อลดความน่า
ปวดหัวจากการทำความสะอาดเศษดิน ยางมะตอย ฯลฯ บนพื้นผิวสีเดียวกับตัวถัง
นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของงานออกแบบตัวถัง Yeti อีก 2 อย่าง อยู่ที่ การติดตั้งรางหลังคา Rack roof มาให้จาก
โรงงาน ทุกคัน เป็นรางขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ปกติทั่วไปค่อนข้างมาก และดูเหมือนว่าจะรับน้ำหนักบรรทุก
ได้มากโข ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม รายการโทรทัศน์ชื่อดังของ BBC อังกฤษ อย่าง Top Gear ถึงได้กล้าเสี่ยง
นำ Helicopter หนัก 700 กิโลกรัม มาร้อนลงบน ฐานจอด ซึ่งติดตรึงไว้หกับรางหลังคาของ Yeti กันมาแล้ว
(ถ้าสนใจ ค้นหาชมกันได้ใน Youtube)
อีกจุดหนึ่งอยู่ที่การออกแบบ กระจกหน้าต่างรอบคัน ให้เน้นความโปร่งตา และมีแนวเส้นเชื่อมต่อเนื่องกัน
โดยรอบ ไปจนถึงบานประตูห้องเก็บของด้านหลัง ส่วนชุดไฟท้าย พร้อมไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง รวมทั้ง
ไฟตัดหมอกหลัง ก็ถูกติดตั้งไว้ ในตำแหน่งต่อเนื่องลงมาจากเสาหลังคาด้านหลังสุด D-Pillar ที่ถูกประดับ
ด้วยพลาสติกเคลือบเงาสีดำ
เรื่องน่าเสียดายของ Yeti เวอร์ชันไทยนั้น มีอย่างเดียวคือ ทุกคันที่จะส่งเข้ามาขายในช่วงนี้ ติดตั้งล้อเหล็ก
พร้อมฝาครอบล้อมาให้ เนื่องจากถ้าแถมล้ออัลลอย 16 หรือ 17 นิ้วมาให้ อาจจะต้องขายรถคันนี้ในราคา
แพงกว่าที่ตั้งใจไว้พอสมควร
ถ้าจะหาล้ออัลลอยขนาดที่เหมาะสม เพื่อใส่ให้กับ Yeti คุณต้องหาล้อที่มีรูน็อตล้อ 5 รู และต้องมีค่า PCD
อยู่ที่ 112 ซึ่งเท่ากับว่า มีเพียงแค่ล้อของ Mercedes-Benz ที่น่าจะใส่กันได้ หรือไม่เช่นนั้น อาจต้องดู
ล้ออัลลอยจาก MTM อันเป็นพันธมิตรกับ Skoda และกลุ่ม Volkswagen กันอยู่แล้ว เชื่อว่าหลังจากที่
รีวิวนี้คลอดออกไป อีกไม่นานนักคงจะมีข้อสรุปที่ลงตัวเอาใจลูกค้าที่มองว่าล้ออัลลอยควรมีแถมมาให้
กับรถยนต์ราคาระดับนี้
ในรุ่น Ambiente อันเป็น รุ่นท็อป สำหรับเวอร์ชันไทย เช่นคันที่เรานำมาทดลองขับกันนี้ การเปิดประตู
ใช้รีโมทคอนโทรลพร้อมลูกกุญแจ พับเก็บได้เหมือนมีดพับของสวิส มาพร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
Immobilizer ในตัว การติดเครื่องยนต์ ก็ยังต้องใช้กุญแจไปบิดในช่องเสียบ ที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา ตามเดิม
เหมือนเช่นเดียวกับรถนยนต์คันอื่นๆในกลุ่ม Volkswagen และ Audi ที่ผมเคยนำมาทำรีวิว รีโมทนี้ ถ้า
กดปุ่มปลดล็อก 1 ครั้่ง จะปลดล็อกเฉพาะประตูฝั่งคนขับ แต่ถ้ากดซ้ำอีกครั้ง ประตูฝั่งผู้โดยสารจะถูก
ปลดล็อกตามมา ส่วนฝากระโปรงหลัง กดปุ่มตรงกลาง แช่ไว้ 2-3 วินาที ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง
จึงจะปลดล็อก แล้วค่อยเดินไปยกฝาหลังให้เปิดขึ้น
แต่ถ้าใครซื้อรุ่นพื้นฐาน ที่เรียกว่ารุ่น classic จะไม่มีกุญแจรีโมทแบบนี้มาให้นะครับ
บานปรเะตูทั้ง 4 มีน้ำหนักมากจนชวนให้นึกถึง Volvo รุ่นเก่าๆ ไปจนถึง รถยนต์หนักๆ หรูๆ จำพวก
Mercedes-Benz หรือ BMW รุ่นเมื่อสัก 5-6 ปีก่อนได้เลย และตอนนี้บานประตูของ Yeti ก็ดูจะมีน้ำหนัก
มากกว่า บาน ประตูของ BMW 5-Series F10 ใหม่ และ Volvo S60 ใหม่เสียด้วยซ้ำ!!
เมื่อเปิดประตูคู่หน้าออกมาจะพบบรรยากาศในห้องโดยสาร สไตล์รถยุโรปยุคใหม่ คือ ใช้วัสดุค่อนข้างแข็ง
ไม่อมหรือเก็บฝุ่น แผงประตูด้านข้าง และวัสดุสำหรับขึ้นรูปห้องโดยสาร ยังมาในแนว แข็งๆ และตกแต่ง
ด้วยผ้าสากๆ แบบเดียวกับ Skoda รุ่นก่อนๆ เพียงแต่ว่า บริเวณพื้นที่วางแขน บนแผงประตู ซึ่งออกแบบมา
ให้วางแขนได้พอดี กับทุกสรีระ จะบุด้วยวัสดุหุ้มหนังมาให้พอสัมผัสได้ถึงความนุ่มอยู่บ้าง ถือเป็นเรื่องที่
มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าสมัยที่ผมได้พบเจอใน รถยนต์ Skoda Octavia Combi แล้วนะ
ช่องทางเข้าออกจากรถ สะดวกมาก ไม่ว่าคุณจะมีสรีระสูงล่ำขาวคล้ำดำเตี้ยแค่ไหน ไม่ต้องห่วง เข้าออกจาก
เบาะได้อย่างสบายๆ เว้นแต่ว่า จะปรับชุดเบาะให้เลื่อนขึ้นมาข้างหน้า หรือยกสูงมากเกินไปเท่านั้น ที่จะ
ลำบากนิดนึง แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับรถทุกคัน
เบาะนั่งคู่หน้า ใช้วิธีการหมุนมือจับบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างพนักพิงกับเบาะรองนั่ง ในการปรับเอนไปทาง
ด้านหลัง แบบเดียวกับรถยนต์ยุโรปทั่วๆไป ข้อดีคือ ปรับตำแหน่งได้ละเอียดกว่า แต่ข้อเสียก็คือ ต้องออกแรง
ในการหมุนมากกว่าแบบก้านโยกในรถญี่ปุ่นเยอะอยู่
เบาะหน้าทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้ค่อนข้างมาก ด้วยก้านโยกด้านข้าง
เบาะรองนั่ง ดังที่จะเห็นได้ในรูป ชุดเบาะรองนั่งนั้น นั่งได้เต็มขา กินพื้นที่ช่วงต้นขา มาจนถึงขาหนีบได้ครบ
ทั้งหมด
ส่วนพนักพิงหลังนั้น แม้จะไม่มีอะไรโดดเด่นนัก ไม่ถึงกับสบาย แต่ก็ยังพึ่งพาในการเดินทางได้ กระนั้น หาก
ต้องเดินทางไกลๆ ถึงจะไม่สร้างความปวดหลัง แต่ก็อาจก่อความเมื่อยล้าได้บ้างนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน เพราะ
การออกแบบให้ส่วนที่รองรับต้นแขน และแผงหลังของร่างกายมนุษย์ ถึงจะหนาแน่นดี แต่ในช่วงกลางลำตัว
ลงไป จะค่อนข้างจมไปทางด้านหลัง ขณะที่เบาะรองนั่ง ทำออกมากำลังดี ลักษณะนี้ อาจทำให้บางคน เกิด
ความเมื่อยล้าที่กึ่งกลางลำตัวด้านหลังได้นิดหน่อยอยู่เหมือนกัน
ผ้าหุ้มเบาะทุกตำแหน่งเป็นผ้าแบบสาก ไม่อมฝุ่น แต่มีผิวสัมผัสดีกว่า ใน Octavia รุ่นก่อนชัดเจน
พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วง ไร้ปัญหา ต่อให้คุณ สูงเป็นยีราฟกลับชาติมาเกิด คุณก็น่าจะโดยสาร หรือขับ Yeti
ได้สบายๆ เพราะมีความโปร่ง โล่ง ค่อนข้างมาก อันเป็นผลมาจากการออกแบบให้หลังคา มีความสูงกว่ารถยนต์
ทั่วไปนิดหน่อย เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ แถม
ยัง ปรับระดับ สูง -ต่ำ ได้อีกด้วย พร้อมไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะคู่หน้า บนชุดมาตรวัดความเร็ว
ส่วนการเข้าออกจากประตูคู่หลังนั้น ทำได้สะดวก สมกับรูปแบบของกรอบประตูที่เห็นอยู่ เพราะทางเข้าแบบนี้
มักจะก่อปัญหาในการเข้าออกจากเบาะหลัง น้อยที่สุดแล้ว ส่วนชายล่างสีดำนั้น ก็มิได้ยื่นล้ำเกินเลยมา จน
ก่อปัญหาความสกปรกกับขากางเกง เหมือนที่จะพบได้ใน BMW X5 กับ X6 แต่อย่างใด แถมความสูงจากพื้นดิน
จนถึงพื้นตัวรถ แม้จะสูงกว่ารถเก๋งทั่วไป แต่ก็แค่นิดเดียว ไม่ได้สูงมากมายเท่ากับ SUV ขนาดใหญ่คันอื่นๆ
แผงประตูด้านข้าง ของบานประตูคู่หลัง ก็ถูกออกแบบมาให้วางแขนได้พอดี เช่นเดียวกับแผงประตูคู่หน้า
เพียงแต่อาจจะเสียดายว่า กระจกหน้าต่าง ของบานประตูคู่หลัง ไม่สามารถเลื่อนลงไปจนสุดขอบล่างได้
และเลื่อนลงได้เพียงแค่ต่ำกว่าระดับครึ่งหนึ่งของกรอบหน้าต่างไปนิดเดียวเท่านั้น
เมื่อขึ้นมานั่งเบาะหลังแล้ว พบว่า ตัวเบาะเอง นั่งไม่ค่อยสบายเท่าที่ควร พอให้ติดรถเดินทางในระยะประมาณ
ไม่เกินไปกว่า บางแสน หรือ พัทยา แต่ถ้าให้เดินทางไกลไปถึงสุรินทร์ หรือ เชียงใหม่ สมาชิกร่วมทริปที่นั่ง
ด้านหลัง อาจขอก่อหวอดประท้วง สลับเปลี่ยนไปนั่งด้านหน้ารถกันบ้างแน่ๆ
เพราะว่า เบาะรองนั่ง “สั้น” อันเนื่องมาจาก ต้องทำพื้นที่เผื่อเหลือ เรื่องการวางขา และการเหวี่ยงขาให้พ้น
จากโคนล่างสุดของ เสาหลังคากลาง B-Pillar ขณะก้าวขึ้น – ลงจากรถ ทำให้ตัวเบาะรองนั่งไม่อาจรองรับพื้นที่
ต้นขา มาจนถึงข้อพับหัวเข่า ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร แต่ ยังดี ที่ฟองน้ำ ของเบาะรองนั่ง ยังนุ่มนิดๆ
ไม่ถึงกับแข็งเป๊ก ขนาด Range Rover Sport หรือ Honda CR-V
ส่วนพนักพิงหลังนั้น ค่อนข้างแข็ง ยังพอจะใช้งานได้ แต่ถ้านั่งนานๆ ก็อาจจะเมื่อยหลังได้อยู่นิดหน่อย แต่
ไม่ถึงกับปวดหลัง เพียงแต่ว่า สำหรับผู้สูงอายุขอแนะนำให้นั่งเบาะหน้าแทน อย่าได้นั่งเบาะหลัง ถ้าไม่จำเป็น
นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเอนได้ถึง 9 ระดับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า แม้เดือยล็อกตำแหน่ง จะมี 9 ระดับ ทว่า
องศาในการปรับเอนเบาะนั้น ทำได้น้อยมาก อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้ เบาะฝั่งซ้ายของตัวรถ ถูกปรับตั้ง
ไว้ในระดับที่เหมาะสมต่อการเดินทางทั่วไป ส่วนเบาะฝั่งขวาของตัวรถ ถูกปรับเอนไว้จนสุดแล้ว และปรับได้
เพียงแค่นั้น สรุปว่า นั่งไม่สบายเท่าที่ควร
แถมพนักศีรษะนั้น คุณอาจต้องพึ่งพานักยกน้ำหนักทีมชาติ ในการจะออกแรงช่วยคุณดึงพนักศีรษะสำหรับ
เบาะแถวหลัง ทั้ง 3 ชิ้น ขึ้นมาใช้งาน เพราะมันฝืดมาก ต้องออกแรงมากเหลือเกิน ขนาดผมเอง ยังยกขึ้น
แทบจะไม่ไหวกันเลย
พื้นที่เหนือศีรษะ โปร่งมากๆ เหนือบานประตูคู่หลัง จะมีทั้งมือจับสำหรับใครที่กลัวการขับรถเร็วๆ มีขอเกี่ยว
แถมมาให้สำหรับห้อยไม้แขวนเสื้อ ไว้ทั้ง 2 ฝั่ง อีกทั้งยังมี ขอเกี่ยวบริเวณด้านบนสุดของเสาหลังคากลาง หรือ
B-Pillar ทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อแขวนเกี่ยวเชือก กั้นสัมภาระ หรือ รองรับ การกางมุ้งนอนในรถยามค่ำคืนไว้เสร็จสรรพ!
รวมทั้ง มีไฟส่องสว่างเชื่อมกับระบบไฟในห้องโดยสาร หรือแยกเปิดเป็นไฟอ่านหนังสือตามลำพังก็ได้อีก
ขณะเดียวกัน พื้นที่วางขา ก็ไม่ได้มีปัญหามากมายอย่างที่คิด ถ้าปรับเบาะคนขับ ให้เหมาะสม หัวเข่าผู้โดยสาร
ด้านหลัง จะไม่ชนกับช่องใส่หนังสือ ด้านหลังของพนักพิงเบาะคู่หน้าแน่ๆ แถมจะเหลือพื้นที่อีกพอสมควร
เลยทีเดียว
ถ้ายังนึกภาพไม่ออกว่า การโดยสารบนเบาะหลังขจอง Yeti เป็นอย่างไร วันนี้ ผมมีนายแบบมาช่วยแสดงแบบ
ให้คุณได้เห็นภาพกันชัดเจนยิ่งขึ้น….
นายแบบที่ว่า ก็คุณโต สุวิชชา ลีนุตพงษ์ คนที่ให้ผมยืม Yeti คันนี้มาลองขับแหละครับ ไหนๆก็ไหนๆ
ให้เจ้าตัว ช่วยนั่งบนเบาะหลัง ให้ดูพื้นที่ ซึ่งก็ยังมีเหลืออีกบานตะไทกว่าที่คิดกันไว้เยอะ
ชัดเจนไหมครับ? มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะ
อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าจะมีแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียว เพราะเบาะนั่งแถว 2 ต้องถือว่าเป็นอีกจุดขายสำคัญของ
Yeti เนื่องจากเป็นเบาะนั่งแบบ แยก 3 ชิ้น ในชื่อ Vario Flex ซึ่งมักพบได้ในรถยุโรปพิกัดเดียวกัน แต่ไม่ค่อย
ได้เห็นในรถญี่ปุ่น ที่ผลิตขายกันในเมืองไทย
คุณงามความดีของเบาะ Vario Flex นี้ อเนกประสงค์เลิศเลอหลายประการมาก เริ่มจากข้อแรก เบาะนั่งจะถูก
แบ่งเป็น 3 ชิ้น ปรับได้อิสระจากกัน ฝั่งซ้ายสุด และขวาสุด สามารถ “ปรับเลื่อนขึ้นหน้า หรือถอยหลังได้”
โดยก้มลงไปยกก้านโยกปลดสลักล็อก เลื่อนเบาะขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ ตามต้องการ
ต่อมา เบาะชิ้นกลาง สามารถพับพนักพิงลงมา เป็นที่วางแขน พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ถ้าสังเกตดีๆ จะ
พบว่า พื้นที่สำหรับวางแขน ข้างช่องวางแก้ว Skoda จะติดตั้งฟองน้ำ หุ้มด้วยผ้า เพื่อให้มีสัมผัสอ่อนนุ่ม กว่าปกติ
เวลาที่เราต้องวางมือวางแขนอีกด้วย!! (นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ของการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อย)
นอกจากนี้ พนักพิงเบาะหลัง ทั้ง 3 ชุด ยังสามารถแยกพับพนักพิงลงมาได้ เพื่อเพิ้มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
โดยอาจจะต้องเอื้อมมือไปยกก้านโค้งสีเทา ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณจุดหมุนของพนักพิง และเบาะรองนั่ง อย่างที่เห็น
อยู่ในรูปนี้ เพียงเท่านั้น คุณก็พับเบาะลงมาได้แล้ว (ด้านหลังพนักพิงเบาะแถว 2 มีขอเกี่ยวยึดตาข่ายกันสัมภาระ
ไหลมากระทบผู้โดยสารตอนเบรกกระทันหันมาให้อีกด้วย)
หรือถ้าต้องการจะยกชุดเบาะให้ยกหงายขึ้นแบบรถตู้ ก็ทำได้เช่นกัน โดยเอามือ ล้วงลงไปยก ก้านโยกสีดำ
ที่อยู่ใกล้กับพื้นรถ อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ดึงยกขึ้นมา
เท่านี้ ชุดเบาะนั่งก็จะยกขึ้นมาให้เห็นกันแบบนี้อย่างง่ายดาย…
แต่!! ยังไม่จบสิ้นแค่นั้น ถ้าคุณคิดว่าอยากจะยกชุดเบาะถอดออกไปกองในบ้าน เพื่อรองรับการขนย้ายสัมภาระ
ขนาดใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า Skoda Yeti ก็พร้อมรองรับความต้องการของคุณได้อีก!!!
เห็นสลักสีแดง ที่ฐานเบาะในรูปนั่นไหมครับ? แค่ดึงสลักล็อก ทั้ง 2 ฝั่งนั่นออก คุณก็สามารถ ยกอุ้มชุดเบาะ
ถอดออกจากตัวรถไปได้อย่างง่ายดายสะดวกโยธิน!!!! อยากจะบอกว่า นี่คือเบาะนั่งแถว 2 ที่อเนกประสงค์
มากที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมาใน SUV ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ที่มีขายอยู่ในเมืองไทยทั้งหมด!!
จะหาว่าผมโอเวอร์? เอ้า! ดูในรูปกันเอาเอง แล้วตอบคำถามผมทีว่า ที่ผมพูดมานี้ มันจริงหรือไม่จริง??
การพับเบาะนั้น สามารถพับแค่พนักพิง จนด้านหลังของพนักพิงนั่นละ กลายเป็นพื้นห้องเก็บของ ต่อเนื่อง
ไปยัง พื้นห้องเก็บของด้านหลังรถได้ หรือว่าจะยกชุดเบาะหงายขึ้นมาก็ได้ ดังนั้น จะถือว่า สามารถพับเบาะ
จนแบนราบต่อเนื่องกับพื้นห้องเก็บของด้านหลัง ก็ย่อมได้เช่นกัน
ฝาประตูท้าย เปิดได้จากทั้ง รีโมทกุญแจ หรือ สวิชต์กลอนไฟฟ้าเหนือป้ายทะเบียนหลัง ช่องทางเข้าค่อนข้าง
ใหญ่โต (อันที่จริง ขอบยางรอบกรอบประตุห้องเก็บของด้านหลัง ออกจะไม่เรียบร้อยอยู่นิดนึงนะเนี่ย?)
กระจกบังลมหลัง มีใบปัดน้ำฝนให้ และมีไล่ฝ้าไฟฟ้ามาให้ ส่วนด้านใต้กันชนหลัง มีแผงปิดกันกระแทกมาให้
ตกแต่งไว้เพื่อความสวยงามเป็นหลัก
ห้องเก็บของด้านหลังมีขนาด 416 ลิตร เมื่อยังไม่ได้พับเบาะแถวหลังลง แต่ถ้าพับหรือถอดชุดเบาะหลังออก
ทั้งหมดแล้ว จะมีพื้นที่ห้องเก็บของเพิ่มขึ้นมากถึง 1,760 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ออกแบบมาได้
อเนกประสงค์มากๆ รองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่จะขนจักรยานไปเที่ยว หรือขนน้องหมา
พร้อมกรงขนาดยักษ์ไปหาหมอ หรือจะยกโขยงคนทั้งบ้านไปเที่ยวก็ย่อมได้
พื้นห้องเก็บของด้านหลัง มียกขึ้นมา จะเป็นที่อยู่อาศัยของยางอะไหล่ และช่องเก็บเครื่องมือต่างๆ ริมผนัง
ห้องเก็บของ แถวๆ ซุ้มล้อ จะมีตะขอเกี่ยวยึดสำหรับขึงเชือกตรึงสัมภาระเอาไว้ Yeti เป็นรถที่มีขอยึดเกี่ยว
แบบนี้ ค่อนข้างเยอะมาก และให้มาครบ ในตำแหน่งที่จำเป็นต่อการใช้งานพอดี แถมยังมีช่องเสียบต่อไฟ
12V สำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆได้อีกด้วย
เรื่องเดียวที่อยากติ ในหัวข้อนี้คือ เสียงของโฟมที่คุณเห็นอยู่นี้ เสียดสีกันจนน่ารำคาญใช้ได้เลยทีเดียว
มันเหมือนเสียงของแมลงสาบกำลังมี sex หมู่ กันไม่มีผิด! ถ้าอยากจะแก้ปัญหา ก็ต้องยกโฟมชิ้นนี้ลงจากรถ
และคุณก็อาจจะสูญเสียช่องเก็บของไปนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้การเดินทางของคุณ สงบสุข
มากขึ้น
แผงหน้าปัดถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่ค่อนข้างจะเหมาะสม ยกเว้น
สวิชต์เครื่องปรับอากาศ climatronic แบบแยกฝั่งได้ ซ้าย – ขวา จากโรงงาน ที่อยู่ในตำแหน่งเตี้ยไปหน่อย
แผงบังแดด ไม่มีไฟแต่งหน้ามาให้ เพราะอันที่จริง ไฟอ่านแผนที่ ด้านบน เหนือกระจกมองหลัง ก็สว่าง
เพียงพอแล้วสหรับการแต่งหน้าในยามค่ำคืน ใกล้กันนั้น มีช่องเก็บแว่นตามาให้ พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน
หน้าตาคุ้นๆ เหมือนพบเจอได้ในรถยนต์ Skoda รุ่นอื่นๆ ในรุ่น Ambiente พวงมาลัยจะหุ้มหนังมาให้
มีขนาดกำลังดี จับกระชับมือ แถมยังสามารถปรับระดับ สูง – ต่ำ หรือ ปรับระยะใกล้ – ห่างจากผู้ขับขี่ได้
ครบพอดี
กระจกหน้าต่าง เลื่อนเปิด – ปิดได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมระบบ One Touch ครบทั้ง 4 บาน แม้ว่าหน้าต่าง
ประตูคู่หลัง จะเอาลงได้เพียงแค่ครึ่งเดียว อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้นก็ตาม ส่วนกระจกมองข้างปรับด้วย
สวิชต์ไฟฟ้า พร้อมไล่ฝ้ามาให้ในตัสว แต่การปรับตำแหน่ง เหมือนกับ Golf GTi และ Scirocco คือ ถ้าคุณ
ดันสวิชต์ไปทางซ้าย กระจกจะเอียงตัวกลับด้าน มาทางขวา ต้องศึกษากันให้ดีๆ และทำความเข้าใจก่อนจะ
ใช้งานกันนะครับ พิลึกดีจริงๆรถค่าย VW เนี่ย
แต่สิ่งที่ผมมองว่าเป็นข้อความปรับปรุงของ Yeti อยุ่ที่ การออกแบบแผงหน้าปัด “ทั้งหมด” ให้เงยขึ้นกว่า
ที่พบได้ในรถทั่วไป หรือแม้แต่จะเงยขึ้นมากกว่า Skoda Superb ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ยังรวมถึงชุดมาตรวัดด้วย
ที่แม้จะติดตั้งในตำแหน่งเหมาะสม แต่องศาของมัน เงยขึ้นข้างบนมากเกินไป
หมายความว่า ถ้าอยากจะปรับตำแหน่งให้สามารถอ่านชุดมาตรวัดได้ชัดเจน นอกจากคุณควรจะเป็นคน
ตัวสูงสักหน่อยแล้ว คุณยังจะต้องพยายามปรับตำแหน่งพวงมาลัย กับเบาะให้สัมพันธ์กัน ไม่ให้ขอบ
ด้านบนของพวงมาลัย ไปบดบังชุดมาตรวัด ซึ่งบอกเลยว่า ปรับยาก และถ้าปรับได้ลงตัวแล้ว หากมีใคร
มาปรับตำแหน่งผิดเพี้ยนไปจากเดิม การจะปรับให้กลับไปอยุ่ในตำแหน่งเดิมก่อนหน้านี้ อาจทำให้คุณ
หงุดหงิดได้อยู่เหมือนกัน แถมยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมด้วย ที่จะปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ลงต่ำที่สุด
ไปพร้อมกับการปรับตำแหน่งพวงมาลัยให้เหมาะสม และไม่บังมาตรวัด ผลก็คือ พวงมาลัยที่เหมาะสม
กับสรีระตำแหน่งขับของผม ต้องเงยกว่าการขับรถปกติทั่วไป นิดนึง ซึ่ง แม้จะบอกว่า ขับไปสักพัก
เดี๋ยวก็คุ้นชินเอง แต่ผมว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องนะ ที่คนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับรถ
ดูเหมือนว่า วิศวกรชาว เชค จะให้ความใส่ใจ กับคนตัวสูงที่ขึ้นมาขับรถคันนี้ มากกว่าคนตัวเตี้ย นั่นจึง
ทำให้ รถคันนี้เหมาะกับคนตัวสูงขับ มากกว่าคนตัวเตี้ยขับ ดังนั้น สิ่งที่อยากจะฝากไปยัง Skoda ก็คือ
คราวต่อไป ขอความกรุณา ศึกษาเรืองสรีระของคนเอเซีย ควบคู่กันไปด้วย ชุดมาตรวัด ควรจะมีตำแหน่ง
มุมเะอียงซึ่งเหมาะสม กับคนทุกเพศทุกวัยมากกว่านี้
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ลักษณะของการวางตัวเลขความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ บนมาตรวัด ซึ่ง แม้จะดู
คล้ายกับรถยนตือเมริกัน อย่าง Chevrolet หลายๆรุ่น ไม่เว้นแม้แต่ Chevrolet Cruze ผมไม่รู้เหมือนกัน
ว่า ใครกันหนอ ที่อดุตริคิดได้ว่า ตัวเลขแบบนี้ สะดวกต่อการอ่าน ทั้งที่ความจริงหนะ มันไม่ใช่เลย
ตั้งตัวเลขให้มันอยู่ในแนวตรง และเลือกใช้ฟอนท์ตัวเลข ที่อ่านง่ายสบายตากว่านี้ ก็ยังสามารถออกแบบ
ให้ชุดมาตรวัดดูหรูหราไม่แพ้กันนี้ได้ เพียงแต่ ต้องคิดและทำการบ้านให้เยอะกว่านี้อีกนิดนึง เพราะเรื่อง
การเลือกใช้แสงและโทนสี ในยามค่ำคืนนั้น ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
ตรงกลาง มีจอ Multi Information System แสดงข้อมูลของทั้ง ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือพอให้รถ
แล่นได้ต่อไป อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย กับแบบ Real Time อุณหภูมินอกรถ มี Tip Meter นาฬิกา
ไฟบอกตำแหน่งเกียร์มาให้ ถ้าต้องการเปลี่ยนเมนู หรือปรับตั้ง ให้กดปุ่ม สี่เหลี่ยม ที่ฝั่งซ้ายล่างของ
มาตรวัดรอบ แต่ถ้าต้องการตั้งค่า Set 0 ใหม่หมด ให้กดปุ่มที่ฝั่งขวาล่างของมาตรวัดความเร็ว มีมาตรวัด
น้ำมันมาให้ที่ฝั่งขวา และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้ที่ฝั่งซ้าย
ถ้าจะปรับตั้งข้อมูล หรือเรียกดูข้อมูลบนหน้าจอ ตามเมนูที่มี ให้มองไปที่ก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนแบบ
อัตโนมัติ จะมีปุ่มกดแบบขึ้นลง อยู่ด้านข้าง นั่นละครับ เรียกดูข้อมูลได้จากปุ่มนั้น
ด้านบนของแผงควบคุมกลาง มีช่องวางของ ซึ่งเหมาะมาก สำหรับการวางกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์
หรือสารพัดข้าวของจุกจิกต่างๆ ตำแหน่งสวิชต์ไฟฉุกเฉิน อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างช่องแอร์กลาง และ
มีสัญลักษณ์ แสดงการทำงานของถุงลมนิรภัยฝั่งซ้ายให้ดูด้วย
เครื่องเสียงที่ติดตั้งมาจากโรงงาน เป็นวิทยุ AM/FM แบบ Blues พร้อมเครื่องเล่น CD 1 แผ่น ในรุ่น
Classic มีลำโพงมาให้ 4 ชิ้น แต่ในรุ่น Ambiente มีลำโพงมาให้ 8 ชิ้น คุณภาพเสียงที่ออกมา ถือว่า
เสียงเบสอยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีมิติ แต่เสียงใส ต้องทำใจ เหมือนกับเครื่องเสียงจากรถยนต์ยุโรปทั่วไป
(ที่ไม่ใช่ Volvo) นั่นคือ เสียงใส แม้ว่าจะใสแล้ว แต่ยังไม่เคลียร์ หรือชัดเจนมากนัก
ใต้วิทยุ เป็นช่องวางของ ในกรณีที่สั่งติดตั้งชุดเครื่องเสียงแบบ Full Scale จากโรงงาน แบบ 2 DIN
ช่องว่างก็จะหายไป แต่ในรถคันนี้ วิทยุเป็นแบบ 1 DIN จึงมีช่องว่าง พร้อมถาดยางกันลื่น ที่มีขนาด
ใหญ่พอจะจุกล่อง CD ได้ 4-5 กล่องแบบพอดีๆ
ถัดลงมาจากเครื่องปรับอากาศ Climatronic (มีเฉพาะรุ่น Ambiente ที่เห็นอยู่นี้เท่านั้น) จะเป็นสวิชต์
สั่งเปิด – ปิด การทำงานระบบควบคุมเสถียรภาพอัตโนมัติ ESP แล้วก็เป็นช่องใส่ของขนาดเล็ก วาง
กระเป๋าสตางค์ได้อีกเช่นกัน
ลิ้นชักเก็บของ ณ แผงหน้าปัดฝั่งซ้าย มีขนาดใหญ่พอประมาณ สำหรับใส่เอกสารประจำรถ คู่มือ เอกสารประกันภัย
ใหญ่พอให้ใส่ปืนสั้นขนาดเล็กสักกระบอกนึง แต่ถ้ายกข้าวของทั้งหมดข้างบนนี้ออก มันเป็นที่อยู่อาศัยอย่างดี ของ
ลูกสุนัข พันธุ์เล็กทั้งหลาย
แถมยังมีสวิชต์สั่ง เปิด – ปิด การทำงานของถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารตอนหน้ามาให้ด้วย จำเป็นนะครับ สำหรับใคร
ที่ต้องใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็ก แบบพิงกับแผงหน้าปัด ไม่เช่นนั้น หากเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมฯจะระเบิดกางจน เด็ก
เสียชีวิตได้ เขาเลยมีระบบป้องกันมาให้อย่างที่เห็น ตามข้อกฎหมายของทางยุโรปเขาละ
มองไปทางด้านข้างลำตัว จะมีทั้งช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ช่องเสียบจ่ายไฟขนาด 12 V และสวิชต์ล็อกหรือปลดล็อก
ประตูทั้ง 4 บานมาให้ ความเก๋หนะ มันอยู่ที่ว่า ถ้าคุณสั่งล็อก กดปุ่มที่รูปกุญแจ จะมีไฟสีอัพันสว่างขึ้นมา แสดงว่ารถ
ล็อกประตูให้คุณแล้ว แต่ถ้ากดปุ่มรูปรถเปิดประตู ไฟดังกล่าว จะดับลง และเหลือไว้แต่สีเขียวนวล
พนักวางแขน สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ และยกปรับระดับสูง – ต่ำได้ แต่ต้องใช้วิธีค่อยๆ ยกขึ้นทีละจังหวะ
แบบเดียวกับที่คุณน่าจะเคยเจอใน Mitsubishi Lancer Cedia เมื่อนานมาแล้ว เมื่อยกขึ้นมา จะเห็นช่องใส่ของขนาด
พอประมาณ พร้อมกับช่องเสียบ AUX เชื่อมกับวิทยุติดรถยนต์ได้ เผื่อใครจะเอา iPod มาเสียบฟังขณะขับรถ
อีกเรื่องที่อยากจะชมเชยคือ ความใส่ใจในรายละเอียดของการตกแต่ง รถรุ่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่เข็มขัดนิรภัย ยังมีการ
หุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ เสียงของตัวล้อกเข็มขัด ไปกระทบโดนแผงคอนโซลด้านข้าง จนก่อให้เกิด
เสียงดังน่ารำคาญ เห็นแล้วนึกถึง รถยุโรปชั้นดีหลายรุ่น ไปจนถึง Nissan 350Z กันเลยทีเดียว
และที่พิเศษกว่า SUV หลายๆรุ่นในตลาดบ้านเราตอนนี้คือ Yeti ถือเป็น รถยนต์ตรวจการระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท
รุ่นแรก ที่มีหลังคากระจก Panoramic Glass Roof ติดตั้งมาให้ในรุ่น Ambiente โดยเป็นหลังคากระจก เปิด – ปิดได้
ด้วยสวิชต์หมุนไฟฟ้า ตรงแผงสวิชต์ไฟอ่านหนังสือ และไฟในห้องโดยสาร นั่นละครับ ถ้ากลัวร้อน มีม่านไฟฟ้า
สีเดียวกับเพดานหลังคารถ เลื่อนเปิด – ปิด ได้ ด้วยสวิชต์ แบบ One Touch พร้อมระบบดีดกลับอัตดนมัติ เมื่อมีสิ่ง
กีดขวาง หรือ jam Protection เช่นเดียวกับกระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน! ส่วนไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร มี
ให้เห็นตามรูปนี่ละครับ รวม 4 ตำแหน่ง มีมือจับยึดมาให้ครบ เหนือประตูทั้ง 4 บาน แถมเพดานยังบุด้วยผ้าอย่างดี
เรียกได้ว่า ออพชันในห้องโดยสารนี่ คุณโต กับคุณตี้ แกจัดมาค่อนข้างเต็มพิกัดกันเลยทีเดียว
ทัศนวิสัยจากตำแหน่งคนขับของ Yeti นั้น มาในแนวโปร่ง โล่งสบาย ด้านหน้า มองเห็นทางชัดเจนดี แม้ว่าคุณ
จะปรับตำแหน่งเบาะให้กดลงต่ำสุด เหมือนอย่างที่ผมทำอยู่ในรูปนี้แล้วก็ตาม ด้านหน้า ถือว่า คุณผู้หญิงหลายๆคน
น่าจะชอบ รถที่มองทางข้างหน้าเห็นได้ประมาณนี้ และตัวรถก็ไม่สูงจนเกินไป
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ถึงจะหนา แต่ก็ไมได้บดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยงโค้งขวา บนถนน 2 เลนสวนกัน
มากนัก กระจกมองข้าง พับด้วยมือ (แบบเดียวกับ Lancer EX รุ่นก่อนปรับโฉม และ Prius นั่นละ) หากมองในฝั่งขวา
ก็จะเห็นรถที่แล่นสวนมาชัดเจนดี การออกแบบพยายามจะลดปัญหาเสียงลมให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในรถคันที่เราทดลอง อาจยังมีเสียงลมเล็ดรอดเข้ามาเล็กๆ ในช่วงความเร็วปกติ และเสียงลมจะเริ่ม
ดังขึ้น ในช่วงความเร็ว 130 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปที่ด้านบนของขอบประตูฝั่งซ้าย
เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย ถือว่า การออกแบบให้เสาหลังคา ล้ำไปข้างหน้า นิดนึง ในกรณีของ Yeti นอกจากจะ
ทำให้ภายนอกรถดูสมสัดส่วนแล้ว ยังลดปัญหา การบดบังของเสาหลังคา ขณะผู้ขับขี่เลี้ยวกลับรถไปได้พอสมควร
ไม่พบการบดบังตอนเลี้ยวกลับรถแต่อย่างใด
ส่วนกระจกมองข้างฝั่งซ้ายนั้น ขอบล่างฝั่งซ้าย จะโดนกรอบพลาสติกเบียดบังพื้นที่ เข้ามาที่มุมล่างนิดหน่อย ซึ่ง
เสียพื้นที่การมองเห็นรถจากด้านข้างไปบ้างนิดหน่อยเหมือนกันอย่างน่าเสียดาย
แต่ที่น่าชมเชยคือ การออกแบบกระจกหน้าต่าง ให้มีแนวเส้นด้านข้างเรียบตรง ทำให้ทัศนวิสัยรอบคัน ดูโปร่งตา
และลดโอกาส การเกิดอุบัติเหตุ จากการถอยหลัง หรือ จากการมองเห็นรถคันที่พุ่งเข้ามาทางด้านฝั่งซ้ายไปได้มาก
แม้ว่าจะยกพนักศีรษะขึ้นมาใช้งาน ก็มีการบดบังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จุดนี้ถือว่า ออกแบบมาได้ดีมากๆ ภาพรวม
ของทัศนวิสัยใน Yeti ถือว่า ค่อนข้างโปร่งตามากๆ และจุดบอด หรือ จุดอับสายตาค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับ SUV
ในพิกัดเดียวกันคันอื่นๆ
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ในต่างประเทศ Yeti มีเครื่องยนต์ให้เลือกมากถึง 10 ขนาด โดยเป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาและใช้ร่วมกัน
กับ Volkswagen ทั้งสิ้น ม่ว่าจะเป็นแบบเบนซิน 1.2 TSI 105 แรงม้า (PS) 1.4 TSI 122 แรงม้า (PS) และรุ่น
1.8 TSI 160 แรงม้า (PS) มี 2 เวอร์ชัน ขณะที่รุ่น Diesel จะมีให้่เลือกทั้งขนาด 1.6 TDI GreenLine 105 แรงม้า
(PS) กับ 2.0 TDI Common-Rail เทอร์โบแปรผัน ซึ่งมี 5 เวอร์ชัน ตั้งแต่ 110 140 และ 170 แรงม้า (PS) ซึ่งแทบ
ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ DOHC 16 วาล์ว แล้วทั้งสิ้น และมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบ ขับล้อหน้า
หรือขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4
แต่เวอร์ชันไทยของ Yeti ในช่วงแรกที่มีการนำเข้ามานี้ อาจจะไม่สามารถเลือกรุ่นย่อยเข้ามาทำตลาดได้สะดวก
มากนัก ด้วยความพยายามเจรจาของทางผู้จำหน่ายในบ้านเรา ก็เลยได้ฤกษ์ เปิดตัวกันด้วยเครื่องยนต์เบนซิน รหัส
CBZB บล็อก 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 71.0 x 75.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด
10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์
ครับ เขียนไม่ผิดหรอก 8 วาล์ว!! ไม่ใช่ 16 วาล์ว!! และยังใช้ระบบขับวาล์วแค่ SOHC ไม่ใช่ DOHC ฟังดูแล้ว
เหมือนกับว่า ทำไม Volkswagen และ Skoda ถึงยังเอาพวกเครื่องโบราณๆ 8 วาล์ว กลับมาทำขายใหม่อีกก็จริงอยู่
แต่สิ่งที่น่าจะลองคิดในทางกลับกันก็คือ แสดงว่ามันน่าจะมีอะไรดีอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้น พวกวิศวกรเยอรมัน
ก็คงไม่นำกลับมาปรับปรุงแล้วขายกันใหม่หรอก ต้องไม่ลืมว่า ยุคนี้ กำลังเป็นช่วงเวลาที่ ผู้ผลิตรถยนต์แทบจะ
ทุกรายในโลก เริ่มคิดว่า ทำอย่างไร ให้เครื่องยนต์ มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ประหยัดเชื้อเพลิงลง และลดการปล่อย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้น้อยลง แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องรีดกำลังทั้งแรงม้า และแรงบิด ออกมาได้เท่าเดิมหรือ
มากกว่าเครื่องยนต์แบบเดิม ที่มีความจุกระบอกสูบเยอะกว่า
ทำไม สามารถผลิตกำลังออกมาได้ขนาดนี้ เหตุผลนั้น ก็เพราะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์บล็อกนี้ บนพื้นฐานของ
เครื่องยนต์รหัส EA111 หลายประการ โดยมุ่งเน้นไปที่ วิธีลดแรงเสียดทานในกระบอกสูบ และชิ้นส่วนต่างๆ
ของเครื่องยนต์ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งใช้วัสดุน้ำหนักเบาที่สุด แต่ต้องแข็งแรงและทนทาน
เมื่อเทียบกับต้นทุนในการพัฒนา
เสื้อสูบทำจากอะลูมีเนียม พร้อมกับออกแบบให้ท่อทางเดินน้ำมันหล่อลื่นขึ้นใหม่ เพลาข้อเหวี่ยงถูกออกแบบ
โดย Computer Simulation ลดเส้นผ่าศูนย์กลางลงไปได้ 42 มิลลิเมตร ชุดเพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบ ถูกปรับปรุง
ให้มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง และมีการนำเทคโนโลยี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection
มาใช้งาน เป็นครั้งแรกในโลก สำหรับเครื่องยนต์แบบเบนซิน 2 วาล์ว/สูบ โดยปรับปรุงระบบหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์
Multi-point Fuel Stratified Injection ควบคุมด้วยสมองกลจาก SIEMENS ให้เอื้อต่อการฉีดจ่ายเชื้อเพลิงได้เป็น
ละอองฝอยกว่าเดิม ทำงานร่วมกับวาล์วควบคุมแรงดันสูง
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งแถมยังพ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger มาให้จากโรงงาน โดยยกระบบ Oil Cooler
มาจาก เครื่องยนต์ 1.4 TSI เวอร์ชัน 90 กิโลวัตต์ ในรถรุ่นสูงกว่า ของ VW Group มาใช้ และติดตั้ง ระบบ
Electronics Wastegate มาให้ เพื่อช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดโอกาสเกิดอาการ
Back Pressure ในระบบลงได้
พละกำลังสูงสุด จึงสูงกว่าเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรทั่วไปที่เราคุ้นเคยกัน คือพุ่งไปเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ขนาด
1.6 ลิตร แบบมาตรฐาน เมื่อสักหลายปีก่อน นั่นคือ 105 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด มากถึง
175 นิวตันเมตร หรือ 17.83 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,550 – 4,100 รอบ/นาที ดูตัวเลขแรงบิดแล้ว แอบ
ชวนสงสัยว่า ตกลงแล้วนี่เครื่องยนต์เบนซินแน่เหรอ ทำไมแรงบิดสูงสุด มันมาถึงในรอบต่ำ แถมยังมาแบบ
Flat Torque เหมือนเครื่องยนต์ Diesel Turbo ใน Toyota Hilux VIGO เลยแหะ?
ในเมืองนอก เครื่องยนต์ 1.2 TSI จะพ่วงกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แต่สำหรับเวอร์ชันไทย จะติดตั้งเกียร์
อัตโนมัติ 7 จังหวะ Dual Clutch DSG รุ่น DQ7 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นเกียร์ที่เริ่มออกสู่ตลาด
มาตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2007 โดยนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับ Volkswagen Golf และ Golf PLUS เมื่อเดือน
กุมภาพันธ์ 2008
จุดเด่นของเกียร์ลูกนี้ ก็คือการใช้ชุดคลัชต์แบบคู่ แถมยังไม่ใช้คลัชต์แบบเปียก แต่ใช้คลัชต์แบบแห้ง ซึ่ง
ถือเป็นครั้งแรกในโลกด้วย ที่มีการนำเทคโนโลยีคลัชต์แห้งมาใช้กับเกียร์คลัชต์คู่ สำหรับรถยนต์เพื่อ
การทำตลาดจริง เกียร์ลูกนี้ รองรับแรงบิดสูงสุดได้มากถึง 250 นิวตันเมตร
เกียร์ลูกนี้ มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1 3.76
เกียร์ 2 2.27
เกียร์ 3 1.53
เกียร์ 4 1.12
เกียร์ 5 1.18
เกียร์ 6 0.95
เกียร์ 7 0.80
เกียร์ R 4.17
อัตราทดเฟืองท้าย 4.438 / 3.227 / 4.176
ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า รุ่นเกียร์ธรรมดา อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 11.8 วินาที ความเร็วสูงสุด
175 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติเคลมตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 12 วินาที ส่วน ความเร็ว
สูงสุด อยู่ที่ 173 กิโลเมตร/ชั่วโมง คำถามก็คือ แล้วเมื่อมาเจอสภาพถนน สภาพน้ำมัน กับสภาพอากาศในไทย
ตัวเลขที่ออกมาจะด้อยลงไปมากน้อยแค่ไหน เราจับเวลากัน ด้วยมาตรฐานเดิม คือ ใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์
เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน ผมกับ ตา Nick Lecter the Ripper คุณผู้อ่านที่มาช่วยเราทดลองรถบ่อยขึ้นในระยะหลัง
มานี้ โดยคนขับ หนัก 95 กิโลกรัม ตา Nick หนัก 69 กิโลกรัม ผลที่ออกมา เมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน
ตามการจัดประเภทแบบสากล ซึ่งคงต้องเทียบกับ Honda CR-V ตัวเลขมีดังนี้
ทันทีที่ขึ้นรถ ผมให้น้องนิคทายเอาไว้ก่อนว่า รถคันนี้ น่าจะใช้เครื่องยนต์อะไร? เจ้าตัวหนะไม่รู้มาก่อนเลย
ว่าวันนี้จะได้มาร่วมงานจับเวลารถแปลกๆคันนี้ หลังจากการจับเวลาหาตัวเลขอัตราเร่งเสร็จสิ้นลง ผมลองให้
นิค ทายอีกครั้งหนึ่ง และต่อไปนี้คือบทสนทนาที่เกิดขึ้นใน Yeti ช่วงค่ำคืนนั้น
Nick : “ในบรรดาเครื่องยนต์ทั้งหมดของ Volkswagen ตอนนี้ ถ้าจะใกล้เคียงที่สุดก็ควรจะเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
Turbo จากใน Golf GTi”
J!MMY : ไม่ใช่…
Nick : เหอ? 1.6 ลิตร Turbo!
J!MMY : ก็ไม่ใช่อีก อย่าลืมว่าตอนนี้ VW ไม่มีเครื่อง 1.6 ลิตรแรงๆ แบบนี้นะ
Nick :…เหย? เอาแล้วไง งั้นเครื่องอะไรกันละเนี่ย?….อ่ะ 1.4 TSI แล้วกัน…
J!MMY : ไม่ถูกอยู่ดี….ยอมหรือยัง?
Nick : อ่ะ ยอมแล้วก็ได้พี่
J!MMY : เฉลย….1.2 TSI พ่วง Turbo 105 แรงม้า…
Nick : “ห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!! อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!
บ้าไปแล้ว !@#$%^&*(o_o)+_+ อะไรกันวะเนี่ย!!! เฮ้ยยยยยย Skoda เมิงหลอกกรูๆๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากจะเชื่ออออออ”
อย่าว่าแต่ Nick จะไม่เชื่อเลย ผมเองก็ยังเคยตั้งข้อกังขาเอาไว้เมื่อครั้งที่รู้เป็นครั้งแรก ตอนที่คุณโตบอกว่า จะนำ
รุ่น 1.2 TSI เข้ามาขายว่า เครื่องยนต์แค่ 1.2 ลิตร เนี่ย จะลากรถที่มีขนาดตัวถังน้องๆ CR-V แบบนี้กันไหวหรือ?
แต่ด้วยชื่อชั้นทางวิศวกรรม และเทคโนโลยี ของ VW ก็ทำให้ผมพอจะเดิมพันในใจเอาไว้ได้บ้างว่า มันก็คง
ไม่น่าจะเลวร้ายมากนักหรอก ผลงานจาก Golf GTi และ Scirocco ที่เคยทำรีวิวกันมา ก็ดีเกินคาด ดังนั้น รถคันนี้
ก็น่าจะมีอัตราเร่งที่ไม่น่าเกลียดมากนักหรอก
ที่ไหนได้…พอลองเหยียบคันเร่ง ออกตัวเท่านั้นละครับ Turbo เริ่มทำงานในรอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 รอบ/นาที
และหลังจากนั้น พละกำลังที่คุณต้องการ มันก็ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตัวเครื่องยนต์เอง ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณ
แสดงอาการว่า “หนูเหนื่อยแล้วนะพี่” แต่อย่างใดเลย!!! ต้องการอัตราเร่งแค่ไหน เหยียบคันเร่งลงไป หรือเล่นเกียร์
ช่วยนิดนึง Yeti 1.2 คันนี้ จะพาคุณไปตามที่ใจต้องการเลยทีเดียว!!
อัตราเร่งที่ออกมาถือว่าจัดอยู่ในเกณฑ์เดียวกับรถยนต์ขนาดเครื่องยนต์ ราวๆ 1.6 – 1.8 ลิตร จากญี่ปุ่นและยุโรป
กันเลยทีเดียว แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า นี่คือ พละกำลังที่ออกมาจากเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว อันดูเหมือนจะ
โบร๊านโบราณขนาดนี้ ในสายตาของใครอีกหลายคน คุณงามความดีทั้งหมด ต้องขอยกให้กับเทอร์โบ และการ
ปรับแต่งสมองกลของเครื่องยนต์ที่ทีมวิศวกรของ Volkswagen กับ Skoda ช่วยกันทำงานออกมาอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ตัวเลขในช่วง 0 -100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่าดีที่สุดในพิกัด Compact Urban SUV ทำเวลา
ได้เร็วกว่า Nissan X-Trail 2.0 CVT FWD และเลยเถิดไปแม้กระทั่ง Honda CR-V 2.4 ลิตร 4WD ด้วยแล้ว
แต่ถ้ามาดูตัวเลขอัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณคงจะเห็นอะไรแปลกๆ ในตารางคราวนี้กันแล้ว
ในการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น โดยปกติแล้ว หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ เราจะ
ใช้วิธีการปล่อยให้ความเร็ว ไหลลงมา หรือเลี้ยงไว้นิ่งๆ ที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเกียร์สูงสุด พอจับเวลาปุ๊บ
ผมก็เหยียบคันเร่งเต็มมิดติดเหล็กพื้นรถ
แต่ใน Yeti คันนี้ เนื่องจากเกียร์ 3 มันไปตัดเอาที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถึงจุดนั้น เกียร์จะเปลี่ยนขึ้น
ให้เป็นเกียร์ 4 เพื่อลากความเร็วไหลขึ้นต่อไปอีกนิด นั่นละครับ คือที่มาของตัวเลขที่ดูแปลกๆ พอกันกับ Honda
CR-V 2.0 FWD ขับล้อหน้า เลยนั่นละ ปัญหานี้ เราก็พบมาแล้ว เมื่อครั้งที่ทำรีวิว Mitsubishi Pajero Sport 2.5
VG-Turbo รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง เป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยงจริงๆ
ผมเลยเกิดข้อสงสัยว่า แล้วถ้าเราจะจับเวลากันแบบรถยนต์เกียร์ธรรมดาละ? คือ ให้ช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในช่วงเกียร์ 3 กันตั้งแต่แรก ลากรอบรอกันเอาไว้เลยละ ตัวเลขจะออกมาเร็วขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน ผลก็คือ แม้ว่า
เกียร์จะตัดเปลี่ยนขึ้นเกียร์ 4 ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่ากัน แต่ว่า อัตราเร่งในช่วง 80 – 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง นั้น เร็วขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ประมาณ 1.5 วินาที ซึ่งเป็นเวลาที่ มักจะสูญเสียไปกับ การทำงานของ
คันเร่งไฟฟ้า และระบบสมองกลของเครื่องยนต์ ที่จะต้องเร่งทำงาน และสั่งการประมวลผลกัน
และพอพ้นจากความเร็วระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ความเร็วของรถ จะพุ่งขึ้นไปช้าลง ไม่มากแต่รับรู้ได้
เมื่อเข้าเกียร์ 5 ที่ความเร็ว 147 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ก็ทำใจได้เลยครับ แม้จะมีพละกำลังเหลืออยู่บ้างสำหรับ
การเร่งแซง แต่ถ้าคิดจะแช่กันยาวๆแล้ว ผมว่า ไม่มีประโยชน์ครับ มันไม่ได้ดีไปมากกว่าที่ มันพยายามทำ
ผลงานออกมานี้ได้อีกหรอก ถ้าได้ระบบ 4 วาล์ว / สูบ หรือ 16 วาล์ว ไม่ต้อง DOHC หรอก แค่ SOHC ก็พอ
น่าจะช่วยให้สามารถเค้นกำลังในช่วงปลายออกมาได้มากกว่านี้อีก ในช่วงหลังจาก 4,000 รอบ/นาทีขึ้นไป
แต่เพียงเท่านี้ ก็ถือว่า เครื่องยนต์ 1.2 TSI บล็อกนี้ ทำตัวเลขออกมาได้ตะลึงมาก เหนือทุกความคาดหมาย
ของทุกคน และกลายเป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ที่เปลี่ยนความคิดของผม ซึ่งมีต่อเครื่องยนต์เล็กๆ 2 วาล์ว/สูบ
ไปตลอดกาล…..
เหมือนเช่นกับที่ Skoda Octavia Combi 1.9 TDi เคยเป็นรถที่ช่วยเปิดประสบการณ์ผม ในเรื่องขุมพลัง
Diesel Turbo Commonrail ยุคใหม่ เมื่อปี 2002 ไม่มีผิดเพี้ยน!!
ขณะเดียวกัน การทำงานของเกียร์ DSG 7 จังหวะ ลูกนี้ เปลี่ยนเกียร์อย่างว่องไว ต่อเนื่อง และรวดเร็วมาก
จนชวนให้นึกถึง บุคลิกของเกียร์ DSG 6 จังหวะ ในทั้ง Golf GTi และ Scirocco เหลือเกิน เพียงแต่ไม่มี
เสียง “ปรึ๊บ” ขณะเปลี่ยนเกียร์ อย่างที่ตาแพนของเราเขาชื่นชอบ ก็เท่านั้น
ตลอดเวลาที่รถคันนี้อยู่กับเรา แทบไม่พบอาการกระตุก หรือกระชากใดๆ ทั้งสิ้น เกียร์ค่อนข้างฉลาดเพียงพอ
ไม่ว่าผมจะใช้ความเร็วเท่าใด อยู่บนทางตรง หรือทางโค้ง เกียร์ ลูกนี้ ทำงานได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ไฟฟ้า รัศมีวงเลี้ยว 10.3 เมตร
(1 รอบวงกลม) เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งต้องขอชมเชย เพราะทันทีที่เริ่มออกรถ ผมพบว่า เมื่อหมุนเลี้ยวรถ
ในช่วงความเร็วต่ำๆ ความหนืด และน้ำหนักของพวงมาลัย ชวนให้ผมนึกถึง พวงมาลัยของทั้ง Golf GTi
และ Scirocco อยู่บ้างเหมือนกัน คือ เลี้ยวได้ค่อนข้างแม่นยำ เลี้ยวแค่ไหนรถก็ไปแค่นั้น เพียงแต่พบว่า
พวงมาลัยมีระยะฟรีเพิ่มขึ้นกว่าทั้ง 2 คันดังกล่าว ชัดเจน นิดหน่อย
ในช่วงความเร็วสูง พวงมาลัยถือว่า เสถียรมากๆ นิ่ง และเที่ยงตรง ไม่ได้ก่อให้เกิดความหวาดเสียว หรือ
ว่อกแว่ก ใดๆทั้งสิ้น จัดว่าเป็นพวงมาลัยที่ดี สำหรับ SUV คันหนึ่ง
กระนั้น ความเห็นของผมกับ ตาแพน จะต่างกันตรงนี้ ขณะที่ตาแพน อยากได้ระยะฟรี เพิ่มมากขึ้นกว่านี้
อีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้รถหักเลี้ยวได้ ไวเกินไป ในกรณีที่ผู้ขับขี่สุภาพสตรีหักหลบกระทันหัน แต่ผม
กลับอยากให้มีระยะฟรี น้อยกว่านี้อีกนิดเดียวเท่านั้น เพื่อให้การบังคับเลี้ยว เที่ยงตรง และแม่นยำขึ้น
อีกนิดนึง เพราะในเมื่อ เซ็ตระบบกันสะเทือน มาในแนวสปอร์ต ติดหนึบนุ่มแบบนี้ พวงมาลัยเอง ก็ควร
จะมีน้ำหนัก และอัตราทดในทิศทางที่สอดคล้องกันกว่านี้อีกนิดเดียว
อันที่จริง งานนี้ พวงมาลัยของ CR-V 2.4 ลิตร อันเป็นแบบ ไฮโดรลิก ไม่ใช่ไฟฟ้า ทำงานได้แม่นยำและ
มีระยะฟรีเหมาะสม รวมทั้งน้ำหนักกับความหนืด กำลังดี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Multi-element axle with longitudinal
and transverse links มีเหล็กกันโคลงมาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะของช้อกอัพคู่หลัง
จะวางเยื้องไปทางด้านหลัง ไม่ได้ตั้งตรง หรือเอียงมาทางด้านหน้ารถ ลักษณะการวางช็อกอัพแบบนี้ คล้ายกับ
สิ่งที่คุณจะพบได้ใน Volkswagen Golf รุ่นเก่าๆ
ช่วงล่างเซ็ตมาในลักษณะ นุ่ม แน่น หนึบ ในช่วงความเร็วสูงนั้น ให้ความมั่นใจมากๆ โดยเฉพาะ ช่วงจัมพ์ลงจาก
คอสะพาน ช็อกอัพจะรับและดูดซับกักเก็บแรงเอาไว้ ในครั้งเดียวอยู่หมัด แทบไม่มีการดีดตัวกลับ หรือรีบาวนด์ของ
ช็อกอัพและสปริงให้เห็นเลย แถมในช่วงการทำความเร็วสูงสุดนั้น บอกได้เลยว่า ถึงช่วงล่างจะนุ่ม แต่ก็หนึบ มั่นใจ
ใช้ได้เลยจริงๆ
ส่วนการเข้าโค้งที่ความเร็วสูงนั้น ผมมั่นใจมาก เพราะในหลายๆดค้งบนทางด่วนนั้น ผมสามารถพาเจ้ามนุษย์หิมะ
พุ่งผ่านดค้งไปได้อย่างรวดเร้ว บางโค้งที่เข้ายาก และมักต้องชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้ง หากเป็นรถยนต์ SUV ทั่วไป
ผมสามารถใช้ความเร็วแล่นผ่านในโค้งได้ถึงระดับ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง! แม้บั้นท้าย อาจจะมีอาการพร้อมจะกวาดออก
อยู่เล็กๆ ให้พบบ้างนิดหน่อย ก็ตาม
แต่ในขณะคลานไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ถ้ามีเนินสะดุด ลูกระนาด หรือหลุมที่ค่อนข้างแข็งกว่าปกติ จังหวะ
ยืดตัวของช็อกอัพ จะค่อนข้างรุนแรงพอสมควร ก่อให้เกิดอาการตึงตัง และมักจะเกิดขึ้นในจังหวะที่ ล้อรถ ผ่าน
พ้นจากเนินสะดุด หรือ กำลังยกตัวขึ้น ตามวงจรการทำงานของระบบกันสะเทือน ทั้งที่ในจังหวะก่อนหน้านั้น
คือจังหวะที่ล้อกระทบกับเนิน และดันให้ช็อกอัพหดตัวขึ้นไป กลับนุ่มนวล และไม่ตึงตังแต่อย่างใด แปลกดีครับ
รเะบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่หน้าแบบมีรูระบายความร้อน มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพ
ช่วยการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) รวมทั้งระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS
(Anti Brake Locking System) ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน HBA (Hydrolic Brake Assist) รวมทั้ง
ระบบป้องกันการลื่นไถลล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ASR (Anti Slip) และระบบเฟืองสุดท้าย Limited Slip ช่วย
ล็อคเพลาขับเคลื่อน เมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรี
การหน่วงความเร็วทำได้ดี หายห่วง ไม่ว่าจะเป็นในช่วงคลานไปตามสภาพการจราจร หรือใช้ความเร็วสูงๆมา
แล้วต้องชะลอลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่แป้นเบรกนั้น หากเหยียบในช่วงแรก จะสัมผัสได้ว่า ผ้าเบรกจับตัวกับจาน
อย่างแผ่วเบา จนต้องเหยียบเข้าไประดับ 1 ใน 3 ถึงจะพบว่า ผ้าเบรก จับจานเบรกในระดับปานกลาง และพอเหยียบ
ลึกลงไปอีก ทีนี้จับกันแน่นเลย ถามว่ามั่นใจไหม ก็ตอบได้เลยว่าหมั่นใจ แต่ บุคลิกของแป้นเบรกแบบนี้ ยังด้อยกว่า
แป้นเบรกของ Suzuki SX4 อยู่นิดนึง
ด้านความปลอดภัย ถ้าคุณแอบเป็นห่วงว่า Compact SUV อย่างเจ้ามนุษย์หิมะคันนี้ จะรับมือกับอุบัติเหตุ
ไหวหรือเปล่า? คำตอบ อยู่ตรงหน้าคุณแล้วครับ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2010 ที่ผ่านมา Skoda ได้จัดให้มี
การทดสอบการชนให้สื่อมวลชนชาวเชคฯ ได้ชมกันเป็นขวัญตา ณ สนามทดสอบ Skoda Auto testing
polygon ที่ Boleslav โดยให้ yeti พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วมากถึง 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เข้าชนแบบ
ไม่เต็มพื้นที่ด้านหน้า กับ Skoda Superb Wagon ซึ่งจอดอยู่นิ่งๆเฉยๆ และผลก็เป็นอย่างที่เห็น…….
เมื่อการปะทะ เกิดขึ้นผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าหน้าที่ของสนาม ก็นำรถมาเก็บกวาดเศษซากวัตถุแหลมคม และ
บรรดาของเหลวที่อาจจะจุดให้เกิดประกายไฟได้ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่สื่อมวลชนชาวเชค จะลงไป
เผชิญกับรถที่เพิ่งถุกจับชนกัน สดๆ ร้อนๆ ผลก็เป้นอย่างที่เห็น โครงสร้างตัวถังของ Yeti แทบจะไม่มีการ
เสียรูปทรงของมันแต่อย่างใด โอกาสที่ผู้โดยสารภายในรถจะบอบช้ำ ก็น่าจะมีอยู่บ้าง แต่คงไม่มากนัก เพราะ
Yeti มีการออกแบบโครงสร้างตัวถังให้แข็งแกร่ง และกระจายแรงปะทะไปยังทั่วทั้งคันรถได้อย่างดี
แน่นอนว่า ถ้าความเร็วที่ชน สูงขนาด 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงแบบนี้ Yeti ยังผ่านฉลุย ดังนั้น นับประสาอะไร
กับการทดสอบของ Euro NCAP กันละ ผลสรุปออกมาแล้ว Yeti ได้คะแนนระดับ 5 ดาว ในการชนแบบ
เยื้องด้านหน้า (ไม่เต็มหน้า) และชนเยื้อง ด้านข้าง ให้ความปลอดภัยสูงสุด 92% จาก 100%
อีกทั้งทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ Yeti เวอร์ชันไทย จะมีถุงลมนิรภัยมาให้ครบทั้งถุงลม SRS คู่หน้า ด้านข้าง และ
ม่านลมนิรภัยจากรางหลังคาสำหรับผู้โดยสาร หากถุงลมฯ ทำงาน นั่นแสดงว่า เกิดอุบัติเหตุค่อนข้างรุนแรง
Yeti จะมีระบบตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการรั่วไหลของน้ำมันจนอาจเกิดเพลิงไหม้
หายห่วงแล้วใช่ไหมครับ?
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
เรายังคงทดลองวัดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ด้วยวิธีการดั้งเดิม คือนำรถไปเติมน้ำมัน Caltex Techron 95 ที่
สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน (ฝั่งตรงข้ามกับ โชว์รูม เบนซ์ราชครู) งานนี้ เติมแค่เพียง เต็มถัง
เอาแค่หัวจ่ายตัด ก็เพียงพอ เพราะรถยนต์ประเภทนี้ ผู้ที่คิดจะซื้อไปใช้ส่วนใหญ่ น่าจะอยากรู้เพียงแค่ตัวเลข
แบบประมาณการ ไม่ได้ซีเรียสเอาเป็นเอาตาย เหมือนรถยนต์ประเภท ECO Car เราจึงไม่เขย่ารถเพื่ออัด
กรอกน้ำมันลงไปให้เต็มแน่น เหมือนรถยนต์ปกติทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์พิกัดเดียวกันนี้ และเราจะยังคงใช้
น้ำมันเบนซิน 95 เป็นมาตรฐานในการทดลองตามเดิม จนกว่ารัฐบาลจะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95
ในประเทศสารขัณฑ์ของเราแห่งนี้
จากนั้น เราเซ็ต 0 บน Trip Meter ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ เบอร์ 1 คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วออกรถจากปั้ม ก่อนจะ
เลี้ยวกลับมาเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะจนมาถึงด่านเก็บเงินค่าผ่านทางด่วน พระราม 6 เราขึ้นทางด่วน ขับยาวๆ
ไปจนถึงปลายสุดทางด่วนอุดรรัถยา (เส้นเชียงราก) เลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับย้อนกลับมาทางเดิม
ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิมของเรา ที่ใช้กับรถยนต์ทุกคันที่เราทำ
บทความรีวิวให้คุณได้อ่านกัน
เมื่อถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน มาเลี้ยวกลับอีกครั้ง หน้าโชว์รูมเบนซ์
ราชครู เลี้ยวซ้ายเข้าปั้ม Caltex แห่งเดิม เพื่อกลับไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 ที่หัวจ่ายเดิม เติมแค่หัวจ่ายตัด
เหมือนกันเปี๊ยบ
มาดูตัวเลขความประหยัดที่ Yeti คันนี้ ทำออกมา กันดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด 93.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.84 ลิตร (โปรดสังเกตราคาน้ำมัน ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นตัวเลขนี้ในวันนี้)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.62 กิโลเมตร/ลิตร
ถ้าเปรียบเทียบกับรถเก๋งระดับ 1.6 – 1.8 ลิตร อาจมองว่า อยู่ในกลุ่มปลายแถว แต่อยากให้คุณลองดูตารางข้างล่างนี้ก่อนครับ
เป็นไงครับ ชัดเจนไหมครับ เมื่อเทียบกันกับรถยนต์ SUV ทีสร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถเก๋งด้วยกันทั้งหมด
ตอนนี้ Skoda Yeti ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงออกมาได้ประหยัดที่สุดแล้ว ต่อให้เอาตัวเลขของรถยนต์
กลุ่ม SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานรถกระบะ ทั้ง Toyota Fortuner Mitsubishi Pajero Sport 2.5 VG-Turbo หรือ
แม้แต่ Ford Everest มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ตัวเลขของ Yeti ก็ยังดูดีกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาหมดเลยอยู่ดี
และถ้าอยากรุ้ว่าน้ำมัน 1 ถัง จะพารถแล่นไปได้ไกลกี่กิโลเมตร ลองดูภาพข้างบนนี้นะครับ ระยะที่แล่นใช้งาน
ไปทั้งหมด โดยน้ำมันยังไม่ลงถึงขีดแดง คือ ราวๆ 420 กิโลเมตร แถมยังแล่นต่อได้อีก 100 กิโลเมตรขึ้นไป
นี่ขนาดว่า ขับค่อนข้างเร็วกว่าปกติ และยังทำคลิป Check Check Out ของ ตาแพน Commander CHENG!
ไปด้วยแล้ว ถ้าขับประหยัดกว่านี้ น้ำมัน 1 ถัง มีสิทธิ์ ใช้งานได้ระดับ 600 กิโลเมตร ไม่ยากเลย!
********** บริการหลังการขาย **********
รู้ครับ ว่าทุกคน อาจจะยังหวาดกลัวกับชื่อของ ยนตรกิจ มาก่อนแน่ๆ เพราะที่ผ่านมา มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ
พูดกันตรงๆก็คือ ส่วนใหญ่ ที่ผู้คนเขากลัวกัน มักจะมาจาก ปัญหาเรื่อง การบริการหลังการขาย ราคาอะไหล่ และ
ความชำนาญงานของช่างซ่อมบำรุง หลักๆ มันก็มีรอยู่แค่ 3 หัวข้อนี้แหละ
ยิ่งพอคราวนี้ Skoda กลับมาใหม่อีกรอบ ทุกคน..ขอย้ำว่า ทุกคนเลย ที่ได้พุดคุยกันกับผมเรื่อง Skoda จะต้องถาม
กันถึงบริการหลังการขาย ด้วยเสียงที่ชวนให้นึกว่า พวกเขา น่าจะพึ่งเดินออกมาจาก บ้านผีสิงในแดนเนรมิต
มาหมาดๆ
จากที่ได้มีโอกาส สัมผัสการทำงานของทั้ง คุณโต และคุณตี้ กับทีมงานของ ยูโรเปียน เอ็นเตอร์ไพรส์ ในส่วน
ของ MTM Thailand นั้น ตอนนี้ ผมลดความกังวลในเรื่องนี้ลงไปจากแต่ก่อนได้เยอะเลยทีเดียว พวกเขาเอง
ทราบดี ว่า ก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้น กับภาพลักษณ์ของกลุ่มยนตรกิจทั้งหมด คุณโตเอง เคยเล่าให้ผมฟังว่า
ทุกครั้ง ที่มีใครพูดถึงยนตรกิจขึ้นมา ในอินเตอร์เน็ต จะเว็บไหนก็ตาม ตั้งแต่พันทิบ Headlightmag.com ของเรา
หรือเว็บอื่นๆ สิ่งที่จะต้องพบเจอกันเป็นประจำคือ การสบถด่าด้วยถ้อยคำเสียๆหายๆ อย่างรุนแรง ซึ่งแน่นอนว่า
มันย่อมทิ่มแทงในความรู้สึกของคุณโต และทีมงานเป็นอย่างมาก ทุกคำที่โดนด่า คือ ความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น
แล้วจะทำอย่างไร ให้ภาพลักษณ์ที่แย่ๆ เหล่านี้ มันลดน้อยถอยลง หรือ ค่อยๆจางหายไป? คำตอบหนะง่าย แค่
ใครสักน เริ่มลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เกาให้ถูกที่คัน แก้ปัญหาให้ตรงจุด ถ้าปัญหาอยู่ที่บริการหลังการขาย ก็
ต้องแก้ที่เรื่องนี้กันก่อน พยายามตั้งใจทำ ทำอย่างต่อเนื่อง เดี่ยวผลสำเร็จ ก็จะตามมาเอง มันอาจจะช้า และต้อง
ใช้เวลานานหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าคนทำแบรนด์ จริงใจซะอย่าง ลูกค้า ก็จะบอกกันปากต่อปากไปเอง
คิดได้เช่นนี้ คุณโต คุณตี้ และทีม ก็เลยอยู่ในระหว่าง พยายามทำงานกัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาเก่าๆ ที่เคยมี ให้
หมดไป หรือลดลงไปให้น้อยที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ เริ่มจากความพยายามในการปรับลดราคาอะไหล่ และค่า
ใช้จ่ายสำหรับการเข้าศูนย์บริการในแต่ละครั้ง ตลอดอายุรับประกันของรถ 3 ปี ซึ่งตอนนี้ ลูกค้าต้องการแค่ ราคา
ที่สมเหตุสมผลไม่ต้องถูกเกินไป ไม่ต้องแพงเกินไป แต่ต้องสมเหตุสมผล (ไม่ใช่แพงโอเวอร์เหมือนแต่ก่อน
หรือลดลงมาซะถูกจนลูกค้าต้องกลับมาถามว่า ที่ผ่านมา ฟันพวกเขาไปเละเลยละสินะ?)
เบื้องต้นผมยังไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ เพราะว่าราคาอะไหล่ต่างๆ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการปรับลดราคา
ลงมานั้น ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่เท่าที่พอจะเห็นมาในเบื้องต้น ค่าใช้จ่ายในการเข้าศูนย์บริการนั้น ถูกปรับลดลง
จากเดิมไปมาก ชนิดที่ว่า อาจจะแพงกว่า Honda แต่ก็พอกัน หรือแพงกว่า Nissan รุ่นกลางๆ แค่นิดหน่อยเท่านั้น
สำหรับรถยุโรปแล้วราคาระดับนี้ คุณคิดว่า จะจ่ายกันไหวไหมครับ?
นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายๆเรื่องที่ คุณโต และทีมงาน กำลังพยายามแก้ไขปัญหากันอยู่ จากนี้ คงได้แต่รอดูกันต่อไป
ว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นจากนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
เราอาจจะยังไม่เห็นผลในทันทีหรอกครับ แต่เชื่อว่า ถ้ายังทำแบบนี้กันต่อไป อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ไม่ท้อแท้
ไปเสียก่อน ทุกอย่างจะดีขึ้นได้แน่ๆ
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ผมดีใจที่ตอนนี้ มีคนลุกขึ้นมาเผชิญความจริง และเริ่มลงมือแก้ปัญหาแล้วนี่ละ!
********** สรุป **********
ใครคิดจะซื้อ CR-V ลองปรายตามอง มนุษย์หิมะคันนี้ กันก่อนดีไหม?
แล้วก็ถึงเวลาต้องจากลา….
ไม่อยากคืนกุญแจอีกแล้ว…..
แม้ว่า จะมีพี่นักข่าวอีกคน มารอจ่อคิวรับรถต่อจากผม ในวันสงกรานต์ 14 เมษายนก็ตาม….
คิดดุแล้วกัน ผมรับ Skoda Superb ขับกลับออกมาจากโชว์รูม MTM ย่านบางจากแล้ว โดยไม่รู้ตัว สักพักคุณโต ก็โทร
เข้ามาถามว่า “คุณจิมมี่ ทิ้งกุญแจ Yeti ไว้ที่ไหนครับ?”
เอาแล้วไง…ไอ้จอมป้ำๆเป๋อๆ อย่างข้าพเจ้า ก็ได้แต่คิดว่า..”นั่นไง จนได้….ปล่อยไก่อีกแล้ววววว”
แล้วก็จริงเสียด้วย…คุณผู้อ่านครับ ผมคืนรถไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังพกกุญแจรถกลับมาบ้านต่ออีกแหนะ!!!!!
ต้องรีบเลี้ยวกลับ ขับย้อนเข้าไปฝ่าดงสงกรานต์ ที่เล่นกันหนักหนารุนแรง ไปให้ถึงโชว์รูม MTM เพื่อจะ
เอากุญแจไปคืน…
พอถึงปุ๊บ ลุกจากรถ เศษตังค์ ก็หล่นเรี่ยราดออกมาจากกระเป๋ากางเกงผมอีก มันส่อแววเค้าลางชัดๆ!
ว่าผมอาจจะต้องเสียตังค์ให้กับรถคันนี้? คุณพี่ อัครินทร์ อดีตนักข่าว ของ Manager Online ถึงกับ
แซวเลยว่า “ไอ้เรานะ ก็ไม่ตั้งตัว พอจิมมี่บอกว่า กุญแจเสียบที่รูคาไว้ในรถแล้ว ก็สบายใจ ที่ไหนได้…
มันพกกุญแจกลับบ้านไปอีกรอบ!”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงฮาครืน ในความเฟอะฟะของข้าพเจ้าในคราวนี้
อย่างที่ทราบกันดี ว่าปกติผมไม่ชอบ SUV แต่รถคันนี้ คือ SUV ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ที่ผมอยากเป็น
เจ้าของมากที่สุด ในวินาทีนี้ ราคาเอื้อมได้ ลูกเล่นเยอะ เกือบครบแล้ว เบาะอเนกประสงค์มากๆ สมรรถนะ
สมกับเป็นรถยุโรปในเครือของ Volkswagen ช่วงล่างก็นุ่มแน่นหนึบ กำลังดี บังคับรถก็ได้ดังใจ เปลี่ยนเลน
กระทันหัน ก็ไม่ชวนให้หวาดเสียวเลย ที่สำคัญที่สุด เครื่องยนต์ 1.2 TSI กับเกียร์ DSG 7 จังหวะ มันหลอกผม
และพรรคพวกในทีมเว็บของเรา จนสนิทใจเลยว่า กำลังขับรถเครื่องยนต์ 1.8 Turbo อยู่บนถนนในประเทศไทย
มันเป็นเครื่องยนต์ที่ทำตัวได้ไม่ต่างจาก แก๊งค์ 18 มงกุฎมากๆ ตุ๋นกันจนเปื่อย คือ ดูเหมือนไม่มีพิษสง แต่พอ
ออกรถเท่านั้นแหละ ผีห่าซาตานที่ไหนมาสิงร่างไม่รู้ พุ่งพรวดเพ่นแนบห้อตะบึงทะยานลิงโลดกันอย่างตื่นตา
ตื่นใจยิ่งนัก
แทบไม่ต้องสงสัย ว่านี่คือ หนึ่งใน SUV ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ที่ดีที่สุดคันหนึ่งเท่าที่เคยมีการสั่งเข้ามา
ทำตลาดในบ้านเรา ตลอดช่วง 5 ปีมานี้
ประเด็นที่สามารถปรับปรุงกันได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวเชค คือ การใส่ล้ออัลลอยมาให้จากโรงงาน จริงอยู่ว่า
ข้อดี ของล้อเหล็ก พร้อมฝาครอบนั้น คือ มันทน ตกหลุมตกบ่ออะไร โอกาสที่ล้อจะคดจะเกิดขึ้นไม่ง่ายดาย
เท่ากับล้ออัลลอย ใช้งานเดิมๆก็ได้ เพียงพอ แต่ถ้ามองในแง่ความคิดของลูกค้าก็คือ รถคันละตั้ง 1.2 – 1.5 ล้านบาท
แต่ให้ล้อเหล็กพร้อมฝาครอบมาเนี่ยนะ?
เข้าใจดีว่า ปัญหามันมาจาก ต้นทุนการนำเข้า ซึ่งสูงมาก ชนิดที่ว่า ถ้าใส่ล้ออัลลอยมาให้ คงทำราคาขายปลีกแบบนี้
ไม่ได้หรอก ดังนั้น ทางแก้ก็คือ ลองคุยกับผู้ผลิตล้ออัลลอยในบ้านเรา อย่าง Lenso ก็น่าจะได้อยู่ ว่าถ้าสั่งทำในจำนวน
หลัก 30 -40 ชุด แบบนี้ จะพอรับผลิตให้หรือไม่ พยายามเลือกเอาลายที่มีอยู่แล้ว แต่ต้องเข้ากับบุคลิกของรถ หรือคล้าย
กับลายของต้นฉบับ น่าจะทำให้ลูกค้าถูกอกถูกใจได้ หรือไม่ก็ลองหาล้อ MTM ที่มีอยู่ เพิ่มเป็นออพชันสำหรับลูกค้า
ที่อยากเปลี่ยนล้อจริงๆ ก็ว่ากันไป
ประการต่อมา เป็นประเด็นที่ต้องพึ่งพาวิศวกรเข้ามาช่วยแล้ว นั่นคือ การปรับปรุงช็อกอัพ ให้มีความนุ่มนวลในช่วง
คลานไปตามตรอกซอกซอยในบ้านเรามากกว่านี้ ซึ่งถ้าทำได้ คงจะต้องรอดูในรถรุ่นต่อไป แต่จะว่าไปก็ยากอยู่ เพราะ
Skoda ยังทำยอดขายในบ้านเราไม่มากพอที่จะทำให้พวกเขาสามารถทำช็อกอัพ Thai Spec ได้อย่างที่เราคาดหวัง
แต่ที่สำคัญ คือ การออกแบบแผงหน้าปัด บนพื้นฐานเดิม แต่ลดองศาการเงยของแผงหน้าปัด กับมาตรวัดทั้งชุด ลง
จากนี้อีกสักหน่อย เพื่อรองรับสรีระของผู้คนที่มีโครงร่างไม่สูงนักด้วย น่าจะดีกว่านี้
เมื่อมีข้อดี ข้อเสียให้เห็นกันอย่างนี้ แล้วถ้ากำลังตัดสินใจจะซื้อ รถยนต์ SUV ในกลุ่มนี้ละ ควรเลือกอย่างไร?
แน่นอนครับ เลือกในสิ่งที่คุณชอบ ซื้อรถที่คุณแฮปปี อย่าเลือกตามใจคนอืนเขา เลือกให้ตามใจและตรงใจเราเองที่สุด
รถยนต์ในกลุ่มนี้ หากคุณต้องการแบบ 7 ที่นั่ง คุณคงต้องไปหา Chevrolet Captiva แต่ถ้าต้องการแค่ 5 ที่นั่ง ตัวเลือก
จะเยอะขึ้นมาในทันที เจ้าตลาดอย่าง Honda CR-V นั้น รุ่นที่ใกล้เคียงกันคือรุ่น 2.0 ขับล้อหน้า และ 2.4 ขับล้อหน้า
การเป็นเจ้าตลาด มีข้อดีคือ พิมพ์นิยม ไปไหนๆ ใครเขาก็ซื้อมาใช้ อุ่นใจเวลาเข้าศูนย์ฯต่างจังหวัด (เหรอ?) การ
บังคับเลี้ยว ทำได้ดี แต่ช่วงล่าง ค่อนข้างแข็งกระเทือนกว่า Yeti ชัดเจน นั่งไม่สบายเท่าที่ควร อัตราการซดน้ำมันก็
ค่อนข้างสมตัว คือ เครื่องยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งกินกว่าชาวบ้านเขานิดหน่อยเป็นธรรมดา
ส่วน Nissan X-Trail นั้น แม้เครื่องยนต์ จะดี และแรงสุด (ก่อนที่ Yeti จะมาถึง) กระนั้น มันก็เป็นรถที่ขับแล้วน่าเบื่ออยู่ดี
ขณะที่ Ford Escape นั้น ผมว่า ใกล้ตกรุ่นแล้วละครับ ไม่เหลือความน่าสนใจใดๆอีกแล้ว จากเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ที่เร่ง
ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขณะที่ Hyundai Tucson ก็เป็นรถดีมากๆ น่าใช้ เสียดายแค่ พนักศีรษะ จะดันหัวคนขับกันราวกับว่า
โกรธเคืองกันแต่ชาติปางไหนเสียเหลือเกิน แถมอัตราสิ้นเปลือง ก็พอกันกับ CR-V 2.4 ลิตร ต่างหาก
สารภาพตามตรงว่า วินาทีนี้ ผมไม่เห็นว่าจะมีใครที่ทำได้ดีเท่ากับที่ เจ้ามนุษย์หิมะ ทำได้แล้วละ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ
บริการหลังการขาย ซึ่งอาจต้องทำใจ และใช้เวลาในการปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกสักหน่อย เหลือข้อนี้ข้อเดียว
เลยจริงๆนะ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ณ วันนี้ ชาวบ้านชาวช่องเขาดีกว่าจริง แต่ก็ไม่ยากเกินจะแก้ไขหรอก
ทีนี้ ถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือก Yeti ควรจะเลือกรุ่นไหน ระหว่าง Classic 1,298,000 บาท (ปรับราคาขึ้นเป็น
1,448,000 บาท) หรือรุ่น Ambiente ราคา 1,448,000 บาท (ปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1,598,000 บาท)
มันขึ้นอยู่กับว่า คุณจะคิดเห็นว่า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านลมนิรภัยทั้ง 2 ฝั่ง รวม 4 ใบ หลังคา Panoramic
Glass Sunroof ไปจนถึงไฟตัดหมอกหน้า กุญแจรีโมทคอนโทรล เครื่องปรับอากาศแบบแยกฝั่ง Climatronic
กับวิทยุ พร้อมลำโพง 8 ชิ้น มีความสำคัญในชีวิตของคุณแค่ไหน
ถ้าไม่สำคัญนัก รุ่น Classic ก็ตอบโจทย์การใช้ชีวิตพื้นฐานของคุณเพียงพอแล้ว แต่ถ้าจะซื้อกันทั้งที รุ่น Ambiente
ที่ให้อุปกรณ์ทั้งหมดมาครบครันกว่า ก็น่าจะครอบคลุมความต้องการในอนาคตไปได้มากกว่า
ท้ายนี้ สิ่งที่อยากจะฝากไว้ สำหรับคุณผู้อ่าน ไปจนถึง ทีมงานของคุณโต กับคุณตี้ ตรงนี้ว่า
มันจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ถ้าคุณมองข้ามรถดีๆ สมราคาอย่าง Yeti ไป ผมไม่รู้ว่า อีกเมื่อไหร่ จะมี SUV
ที่ให้คุณได้แทบจะครบถ้วนในทุกสิ่งที่รถคันหนึ่ง ควรจะมีให้กับเจ้าของแบบนี้ อยากให้คุณได้ไปลองขับกัน
แม้ว่ามันจะยังมีความขาดๆเกินๆอยู่บ้าง แต่ คุณควรมีประสบการณ์หลังพวงมาลัยของเจ้ามนุษย์หิมะ 1.2 TSI
คันนี้สักครั้งหนึ่ง เพราะรถคันนี้ มันจะเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด และเปลี่ยนความเชื่อของคุณจากเรื่อง
เดิมๆ ที่เคยพบเห็นการทะเลาะเบาะแว้งกันในอินเตอร์เน็ตไปตลอดกาล
ไม่ซื้อไม่ว่า แต่อยากให้ไปลองกัน….ขอย้ำว่า ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เขียนเชียร์ เพราะผลประโยชน์อะไรก็ไม่ได้รับ
ทั้งสิ้น อย่างที่เห็นกันอยู่ว่า รถคันนี้ก็ไม่ได้ดีไปหมด ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่เหมือนกัน
ส่วนคุณโต คุณตี้ และทีมงานของ ยูโรเปียน เอ็นเตอร์ไพรส์ MTM Thailand อยากจะฝากบอกว่า สิ่งที่กำลังทำ
กันอยู่ในตอนนี้ เดินกันมาถูกทางแล้วนะครับ ขออย่างเดียว คือมุ่งมั่น ทำให้ต่อเนื่อง ตั้งใจจริง อย่าทอดทิ้งกลางคัน
แล้ววันนั้น วันที่ Skoda เต็มท้องถนนเมืองไทย ก็จะมาถึง…
แล้วผมจะรอดูวันนั้น…
—————————-///——————————–
ขอขอบคุณ
คุณสุวิชชา ลีนุตพงษ์
MTM Thailand
www.mtm-thailand.com
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
—————————————————————————
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ
Skoda Auto สาธารณรัฐเชค ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใด
หรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
15 เมษายน 2011
Copyright (c) 2011 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of Skoda Auto
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 15th,2011
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่